SmartWatch รุ่นไหนดี ในงบหลักพัน แต่ประสิทธิภาพเกินราคา อัปเดต 2022
SmartWatch ในปัจจุบันมีให้เราเลือกซื้อเลือกหามาใช้งานเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น ซึ่งใครหลายคนก็อาจเกินอาการสับสน หรือตัดสินใจไม่ได้ ว่าควรเลือกรุ่นไหนดี รุ่นไหนที่จะมีความคุ้มค่า คุ้มกับราคาที่ต้องจ่ายไป วันนี้ทีมงาน NotebookSPEC ก็อยากมาแนะนำ Smart Watch ในราคาหลักพัน แต่ประสิทธิภาพหลักหมื่น ว่าจะมีแบรนด์ไหน รุ่นใด ที่น่าสนใจ น่าซื้อมาใช้งานกันบ้าง
แนะนำสมาร์ทวอช น่าใช้งาน ราคาไม่เกิน 2,000 บาท
Smart Watch | ราคา | สิ่งที่น่าสนใจ | ข้อสังเกต |
---|---|---|---|
Amazfit GTR 4 | 7,xxx บาท | ฟีเจอร์ครบครัน น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย รองรับการพูดคุยโทรศัพท์ | การแจ้งเตือนต่างๆ รองรับการใช้งานภาษาไทย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอักษรพิเศษนั้นยังไม่สามารถอ่านได้ ซึ่งต้องรอการอัปเดตปรับปรุงระบบต่อไป นอกจากนี้ แบตเตอรี่ค่อนข้างหมดไวหากใช้พูดคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน |
Xiaomi Mi Band 7 Pro | 2,299 บาท | ฟีเจอร์ครบ รองรับ GPS ในตัว น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย | สำหรับ Xiaomi Mi Band 7 Pro นั้นไม่สามารถพูดคุยโทรศัพท์แบบ Bluetooth calling ผ่านทาง Smart Watch ได้ |
Xiaomi Mi Watch S1 | 5,xxx บาท | รองรับ GPS ในตัว ฟีเจอร์ครบครัน สวมใส่สบาย มี NFC รองรับการจ่ายเงินผ่าน MasterCard รองรับ Bluetooth Calling | ถึงแม้ว่าทางแบรนด์จะเคลมว่าสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานสูงสุดถึง 24 วัน แต่การใช้งานจริงนั้น อาจไม่ถึง ขึ้นอยู่กับการปรับความถี่ของการตรวจจับ รวมไปถึง การใช้งานฟีเจอร์การพูดคุยโทรศัพท์ ก็มีส่วนให้แบตเตอรี่หมดไวยิ่งขึ้น |
SUUNTO 5 PEAK | 9,900 บาท | ฟีเจอร์ครบ น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย รองรับการวางแผนการเดินทาง มี GPS Navigation | โดยรวมนั้นฟีเจอร์ที่มีมาให้ค่อนข้างครบครัน แต่หากเทียบกับสมาร์ทวอชแบรนด์อื่นๆ SUUNTO 5 PEAK จะออกไปทางการเน้นการออกกำลังกายมากกว่าไลฟ์สไตล์ อีกทั้งการตอบกลับข้อความยังจำกัดให้ใช้ได้เฉพาะระบบปฏิบัติการ Android ด้วย |
HUAWEI WATCH 3 | 7,999 – 9,999 บาท | ฟีเจอร์ครบ รองรับ eSIM สวมใส่สบาย ดีไซน์สวย | การใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ใน iOS อาจจะมีข้อจำกัดที่มากกว่า แต่สำหรับ Android สามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนแอพได้ตามปกติ |
1. Amazfit GTR 4
Amazfit ถือเป็นแบรนด์ที่ทำ Smart Watch ออกมาได้น่าใช้งานมากๆ และได้รับความนิยมสูง จนถึงตอนนี้ก็ได้มีรุ่นใหม่ออกมาแล้ว อย่าง Amazfit GTR 4 ที่มาในดีไซน์หน้าปัดกลม ดูทันสมัย เท่ และเรียบหรูไปด้วยในตัว สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศทุกวัย มาพร้อมฟีเจอร์ที่ครบครัน น่าใช้งาน โดยในรุ่นนี้มีให้เลือก 3 สีด้วยกัน คือ Grey, Black และ Brown
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466 x 466 พิกเซล, 326PPI
- หน้าจอกระจกนิรภัย เคลือบ Anti-fingerprint ป้องกันรอยนิ้วมือ และป้องกันแสงสะท้อน
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Zepp OS 2.0
- เฉพาะตัวเรือน น้ำหนัก 34 กรัม
- แบตเตอรี่ขนาด 475mAh ใช้งานได้ยาวกว่า 14 วัน มาพร้อม Battery Saver Mode
- มี Watch Face เลือกกว่า 200 แบบ
- รองรับ Always-on Display
- รองรับการใช้งาน Alexa
- รองรับการกันน้ำได้ลึกในระดับ 50 เมตร (5ATM) รองรับการวัด Heart Rate ในขณะว่ายน้ำ
- รองรับฟีเจอร์ SpO2 หรือออกซิเจนในเลือด
- รองรับการวิเคราะห์การออกกำลังกาย
- รองรับการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ
- รองรับการตรวจสอบการนอนหลับ
- รองรับการตรวจจับความเครียด
- รองรับโหมดกีฬากว่า 150+ โหมด
- รองรับการประเมินสุขภาพ PAI
- รองรับฟีเจอร์ การค้นหาโทรศัพท์, นาฬิกาจับเวลา, Pomodoro, พยากรณ์อากาศ, การแจ้งเตือนการยืน, การแจ้งเตือนแอพต่างๆ จากสมาร์ทโฟน, แจ้งเตือนสายเรียกเข้า, ปลดล็อกโทรศัพท์, ไฟฉาย, โหมดห้ามรบกวน, การควบคุมการฟังเพลง เป็นต้น
- รองรับการทำงานร่วมกับแอพพลิเคชัน Zepp
- รองรับการพูดคุยโทรศัพท์ผ่านทาง SmartWatch
สิ่งที่น่าสนใจ
สมาร์ทวอช Amazfit GTR 4 รุ่นนี้ออกแบบมาให้ครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้น น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย ถึงแม้จะมีดีไซน์ที่คล้ายเดิม แต่ก็ได้รับการพัฒนาปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม มีโหมดการใช้งานและฟีเจอร์ต่างๆ มาให้ครบครัน การตรวจจับการเคลื่อนไหว การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ทำออกมาได้ค่อยข้างดีพอสมควร อีกทั้งยังสามารถพูดคุยโทรศัพท์โดยตรงผ่านทางตัวนาฬิกาได้เลยด้วย
ข้อสังเกต
เบื้องต้นนั้น การแจ้งเตือนต่างๆ รองรับการใช้งานภาษาไทย แต่อย่างไรก็ตาม ตัวอักษรพิเศษนั้นยังไม่สามารถอ่านได้ ซึ่งต้องรอการอัปเดตปรับปรุงระบบต่อไป นอกจากนี้ แบตเตอรี่ค่อนข้างหมดไวหากใช้พูดคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน
ราคา ประมาณ 7,190 – 7,990 บาท
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: SHOPEE
2. Xiaomi Mi Band 7 Pro
ปกติเราจะคุ้นชินกับ Mi Band ที่เป็น Smart Band ขนาดเล็กกะทัดรัด แต่ฟีเจอร์เกินราคา ในรอบนี้ มาดูในรุ่นที่อัปเกรดขึ้นมาอย่าง Xiaomi Mi Band 7 Pro ที่มาในดีไซน์หน้าจอแบบสีเหลี่ยมขอบมน ที่ตอบโจทย์ในเรื่องของไลฟ์สไตล์และการออกกำลังกาย รองรับฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจวัดความเครียด อัตราการเต้นของหัวใจ มาพร้อมแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 1.64 นิ้ว ความละเอียด 280 x 456 พิกเซล, 326PPI ใช้กระจก 2.5D ที่มีความแข็งแรงทนทาน
- รองรับการทำงานระบบสัมผัสแบบเต็มหน้าจอ
- น้ำหนักตัวเครื่อง 20.5 กรัม
- แบตเตอรี่ขนาด 235mAh สามารถใช้งานได้นานสูงสุด 20 วัน
- รองรับโหมดออกกำลังกายกว่า 117 โหมด
- รองรับการตรวจจับการเต้นของหัวใจ
- รองรับการตรวจวัดออกซิเจนในเลือด
- รองรับการตรวจจับความเครียด
- รองรับการตรวจจับการนอนหลับ
- รองรับการประเมินสุขภาพ PAI
- รองรับการติดตามรอบเดือน
- รองรับฟีเจอร์รีโมทถ่ายภาพสำหรับสมาร์ทโฟน
- รองรับการควบคุมเพลง บันทึกภาพ รีโมทคอนโทรล ฯลฯ
- รองรับ GPS ในตัว
- รองรับการใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชัน Mi Fitness
สิ่งที่น่าสนใจ
สำหรับ Xiaomi Mi Band 7 Pro ถือว่าให้ฟีเจอร์การใช้งานมาครบครันมากๆ ทั้งการตรวจจับวัดค่าต่างๆ รวมไปถึงการออกกำลังกายที่มีให้เลือกมากมาย แถมยังมี GPS ในตัวด้วย ช่วยให้การออกกำลังกายโดยเฉพาะการวิ่งนั้น สามารถทำได้ดีและมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ข้อสังเกต
สำหรับ Xiaomi Mi Band 7 Pro นั้นมีฟีเจอร์แสดงการแจ้งเตือน แต่ก็ไม่สามารถพูดคุยโทรศัพท์แบบ Bluetooth calling ผ่านทาง Smart Watch ได้
ราคา ประมาณ 2,299 บาท
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: SHOPEE
3. Xiaomi Mi Watch S1
Xiaomi Mi Watch S1 สมาร์ทวอชอีกรุ่นจากเครือ Xiaomi ที่น่าสนใจ ตัวนาฬิกามีการออกแบบดีไซน์ในหน้าปัดกลม ดูดี ทันสมัย มาพร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานที่ดี มีฟีเจอร์ใช้งานครบครัน สวมใส่สบายได้ทั้งวัน พร้อมหน้าจอคมชัดความละเอียดสูง มี GPS ในตัว
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอขนาดใหญ่ AMOLED 1.43 นิ้ว ที่มีความละเอียด 466 x 466 พิกเซล หน้าจอใช้กระจก Sapphire มีความแข็งแรงทนทาน
- น้ำหนักตัวเรือน 52 กรัม
- แบตเตอรี่ขนาด 470mAh สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานสูงสุด 24 วัน
- มีระดับการกันน้ำกันเหงื่ออยู่ที่ 5ATM
- มี GPS ในตัว
- รองรับการตรวจวัดออกซิเจนในเลือด
- รองรับการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- รองรับการแจ้งเตือนข้อความ แอพต่างๆ, สายโทรศัพท์
- มีเซนเซอร์เข็มทิศ, วัดความเร่ง, วัดการหมุน, วัดการทรงตัว ฯลฯ
- รองรับโหมดการออกกำลังได้กว่า 117 โหมด
- รองรับการติดตามคุณภาพการนอน
- รองรับการใช้งาน Alexa
- รองรับ Bluetooth Phone Call
- รองรับการทำงานร่วมกับแอพพลิเคชัน Mi Fitness
- รองรับ NFC สามารถชําระเงินแบบไร้สัมผัสด้วย MasterCard
สิ่งที่น่าสนใจ
สำหรับ Xiaomi Mi Watch S1 ถือว่าเป็นสมาร์ทวอชที่น่าสนใจมากๆ รุ่นหนึ่ง ด้วยราคาในระดับกลาง ที่มาพร้อมทั้ง GPS ในตัวที่ช่วยให้การติดตามการออกกำลังกายนั้นมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมถึงรองรับการพูดคุยโทรศัพท์ได้ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth นอกจากนี้ยังมี NFC ที่สามารถชําระเงินได้แบบไร้สัมผัสด้วย MasterCard
ข้อสังเกต
ถึงแม้ว่าทางแบรนด์จะเคลมว่าสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานสูงสุดถึง 24 วัน แต่การใช้งานจริงนั้น อาจไม่ถึง ขึ้นอยู่กับการปรับความถี่ของการตรวจจับ รวมไปถึง การใช้งานฟีเจอร์การพูดคุยโทรศัพท์ ก็มีส่วนให้แบตเตอรี่หมดไวยิ่งขึ้น
ราคา ประมาณ 5,xxx บาท
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: SHOPEE
4. SUUNTO 5 PEAK
SmartWatch จากแบรนด์ SUUNTO อย่าง SUUNTO 5 PEAK ที่ต้องบอกเลยว่าตัวนี้ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจมากๆ ออกแบบมาด้วยดีไซน์ทันสมัย สวมใส่ได้ในทุกโอกาส มาพร้อมกับฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ ครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งการออกกำลังกายและส่วมใสใช้งานทั่วไป มีให้เลือกกว่า 6 สีสัน ไม่ว่าจะเป็น Ridge Sand Multicolor, Cave Green, Ochre, Black, Ridge Sand, Dark Heather
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอสัมผัส TFT LCD ขนาด 1.69 นิ้ว ความละเอียด 240×280 พิกเซล
- มาพร้อม LED Backlight
- น้ำหนัก 39 กรัม
- มีมาตรฐานกันน้ำกันได้ถึง 30 เมตร
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานสูงถึง 100 ชั่วโมง
- รองรับโหมดกีฬากว่า 80 โหมด
- รองรับการแจ้งเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกผ่านทางหน้าจอ
- มี GPS ในตัว
- รองรับการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- รองรับการตรวจจับคุณภาพการนอน, นับก้าว, แคลอรี่
- รองรับการแจ้งเตือนสายเรียกเข้า แจ้งเตือนข้อความ ฯลฯ
- รองรับการตอบกลับข้อความ (เฉพาะ Android)
- รองรับ Adventure function สำหรับการวางแผนการเดินทาง สามารถใช้งานร่วมกับแอพ 3D Map ได้
- มีระบบ GPS Navigation
สิ่งที่น่าสนใจ
SUUNTO 5 PEAK เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทวอชที่น่าซื้อมาใช้งาน ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์ไสตล์ และการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจจับวัดค่าต่างๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชอบการออกกำลังกาย
ข้อสังเกต
โดยรวมนั้นฟีเจอร์ที่มีมาให้ค่อนข้างครบครัน แต่หากเทียบกับสมาร์ทวอชแบรนด์อื่นๆ SUUNTO 5 PEAK จะออกไปทางการเน้นการออกกำลังกายมากกว่าไลฟ์สไตล์ อีกทั้งการตอบกลับข้อความยังจำกัดให้ใช้ได้เฉพาะระบบปฏิบัติการ Android ด้วย
ราคา ประมาณ 9,900 บาท
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: SHOPEE
5. HUAWEI WATCH 3
HUAWEI WATCH 3 อีกหนึ่งสมาร์ทวอชจาก HUAWEI ที่มาพร้อมความอัจฉริยะ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ สำหรับรุ่นนี้ โดดเด่นด้วยการรองรับการใส่ eSIM มาพร้อมฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมาย ที่รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการออกกำลังกาย ด้วยดีไซน์เรียบหรู ดูดี มีความทันสมัย สำหรับ HUAWEI WATCH 3 มีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกัน คือ Active Edition และ Classic Edition
สเปคคร่าวๆ
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466 x 466 พิกเซล, 326PPI
- รองรับการสัมผัสเต็มหน้าจอ
- มาตรฐานการกันน้ำกันเหงื่อ 5ATM
- สามารถใช้งานแบบทั่วไปได้นาน 3 วัน และใช้โหมดอายุแบตเตอรี่ได้ยาวนานสูงสุด 14 วัน
- รองรับโหมดออกกำลังกายกว่า 100 โหมด
- รองรับการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
- รองรับการตรวจวัดออกซิเจนในเลือด
- รองรับการวัดและติดตามความเครียด
- รองรับ Emergency SOS
- รองรับการแจ้งเตือนแอพพลิเคชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น LINE, Facebook
- รองรับการแจ้งเตือนสายเรียกเข้า, รับสาย – โทรออก ผ่าน eSIM
- รองรับการควบคุมเพลง
- สามารถใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชัน HUAWEI Health
สิ่งที่น่าสนใจ
HUAWEI WATCH 3 เป็น Smart Watch ที่มีความน่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับใครที่ต้องการฟีเจอร์การรองรับการโทรศัพท์ เพราะรุ่นนี้รองรับ eSIM ทำให้สวมใส่สมาร์ทวอชไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องพกโทรศัพท์ สามารถโทรออก หรือรับสาย ด้วยตัว HUAWEI WATCH 3 ได้เลย
ข้อสังเกต
สำหรับรุ่นนี้นั้นการใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ใน iOS อาจจะมีข้อจำกัดที่มากกว่า แต่สำหรับ Android สามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนแอพได้ตามปกติ
ราคา ประมาณ 7,999 – 9,999 บาท
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: SHOPEE
และทั้งหมดนี้ก็คือ SmartWatch ในราคาหลักพันแต่ประสิทธิภาพหลักหมื่น ที่น่าสนใจ และน่าซื้อหามาใช้งาน เหมาะสำหรับใครที่กำลังมองหา Smart Watch ราคาระดับกลางมาใช้งาน แต่ยังไม่รู้จะเลือกรุ่นไหนดี ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนำรุ่นที่ทีมงานแนะนำ ไปประกอบการพิจารณาเลือกซื้อกันได้