สรุปข้อมูล iPhone 14 ทุกรุ่น วันเปิดตัว สเปค ราคา และวันวางจำหน่าย อัปเดต 2022
ภายหลังจากงาน Apple Event ‘Far Out ในวันที่ 8 กันยายน 2022 (ตรงกับวันที่ 8 กันยายน 2022 เวลา 00:00 น. ตามเวลาประเทศไทย) เราก็ได้เห็นโฉมหน้าของ iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 14 ที่ได้เปิดตัวออกมาถึง 4 รุ่นด้วยกัน ทีมงาน NotebookSPEC จึงจะมาสรุปรวมข้อมูลทั้งหมดของ iPhone 14 Series นี้ทั้งหมด ว่าจะมีรายละเอียดทั้งในเรื่องของ ดีไซน์ สเปค ราคา อย่างไรกันบ้าง
สรุปสเปคและเปรียบเทียบ iPhone 14 Series
ตารางเปรียบเทียบ iPhone 14 ทุกรุ่น
iPhone 14 | iPhone 14 Plus | iPhone 14 Pro | iPhone 14 Pro Max | |
---|---|---|---|---|
Display | OLED 6.1″ (Super Retina XDR) ความละเอียด 2532 x 1170 / 460 ppi | OLED 6.7″ (Super Retina XDR) ความละเอียด 2778 x 1284 / 458 ppi | OLED 6.1″ (Super Retina XDR) ความละเอียด 2556 x 1179 / 460 ppi | OLED 6.7″ (Super Retina XDR) ความละเอียด 2796 x 1290 / 460 ppi |
Chipset | A15 Bionic | A15 Bionic | A16 Bionic | A16 Bionic |
RAM | 6 GB (?) | 6 GB (?) | 6 GB | 6 GB |
Memory | 128GB / 256GB / 512GB | 128GB / 256GB / 512GB | 128GB / 256GB / 512GB / 1TB | 128GB / 256GB / 512GB / 1TB |
Rear Camera | Dual Camera กระจกเลนส์ครอบทับด้วย Sapphire Crystal, เลนส์ Wide 12MP f/1.5 เลนส์ 7 ชิ้น รองรับ OIS แบบ ออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์, 100% Focus Pixel เลนส์ Ultra-Wide 12MP f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา รองรับ Deep Fusion รองรับ Photonic Engine | Dual Camera กระจกเลนส์ครอบทับด้วย Sapphire Crystal, เลนส์ Wide 12MP f/1.5 เลนส์ 7 ชิ้น รองรับ OIS แบบ ออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์, 100% Focus Pixel เลนส์ Ultra-Wide 12MP f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา รองรับ Deep Fusion รองรับ Photonic Engine | กล้องหลัง 3 ตัว เลนส์ Pro Camera กระจกเลนส์ครอบทับด้วย Sapphire Crystal, เลนส์ Wide 48MP f/1.78 เลนส์ 7 ชิ้น รองรับ OIS แบบ ออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์, 100% Focus Pixel เลนส์ Ultra-Wide 12MP f/2.2 มุมกว้าง 120 องศา เลนส์ Telephoto 12MP f/2.8 มี LiDar Scanner ยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานในด้าน AR และเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพให้สวยงามและมีมิติมากยิ่งขึ้น รองรับ Apple ProRAW, Deep Fusion, Photonic Engine | เลนส์ Pro Camera กระจกเลนส์ครอบทับด้วย Sapphire Crystal, เลนส์ Wide 48MP f/1.78 เลนส์ 7 ชิ้น รองรับ OIS แบบ ออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์, 100% Focus Pixel เลนส์ Ultra-Wide 12MP f/2.2 มุมกว้าง 120 องศา เลนส์ Telephoto: 12MP f/2.8 มี LiDar Scanner ยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานในด้าน AR และเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพให้สวยงามและมีมิติมากยิ่งขึ้น รองรับ Apple ProRAW, Deep Fusion, Photonic Engine |
Front Camera | TrueDepth 12MP f/1.9 ถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps รองรับการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps รองรับ Auto Fucus | TrueDepth 12MP f/1.9 ถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps รองรับการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps รองรับ Auto Fucus | TrueDepth 12MP f/1.9 ถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps รองรับการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps, ProRes สูงสุด 4K ที่ 30 รองรับ Auto Fucus | TrueDepth 12MP f/1.9 ถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps รองรับการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps, ProRes สูงสุด 4K ที่ 30 รองรับ Auto Fucus |
Video | 4K สูงสุด 60fps / HDR แบบ HDR Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps รองรับ Action Mode | 4K สูงสุด 60fps / HDR แบบ HDR Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps รองรับ Action Mode | 4K สูงสุด 60fps / HDR แบบ HDR Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps บันทึกวิดีโอ ProRes สูงสุด 4K ที่ 30 fps (1080p ที่ 30 fps สำหรับความจุ 128GB) รองรับ Action Mode | 4K สูงสุด 60fps / HDR แบบ HDR Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps บันทึกวิดีโอ ProRes สูงสุด 4K ที่ 30 fps (1080p ที่ 30 fps สำหรับความจุ 128GB) รองรับ Action Mode |
Network | WiFi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) Bluetooth 5.3 3G 4G 5G Nano-SIM eSIM (คู่) | WiFi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) Bluetooth 5.3 3G 4G 5G Nano-SIM eSIM (คู่) | WiFi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) Bluetooth 5.3 3G 4G 5G Nano-SIM eSIM (คู่) | WiFi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) Bluetooth 5.3 3G 4G 5G Nano-SIM eSIM (คู่) |
Battery | ไม่ระบุ (เล่นวิดีโอได้สูงสุด 20 ชั่วโมง) | ไม่ระบุ (เล่นวิดีโอได้สูงสุด 26 ชั่วโมง) | ไม่ระบุ (เล่นวิดีโอได้สูงสุด 23 ชั่วโมง) | ไม่ระบุ (เล่นวิดีโอได้สูงสุด 29 ชั่วโมง) |
– 128GB ราคา 32,900 บาท -256GB ราคา 36,900 บาท – 512GB ราคา 45,900 บาท | – 128GB ราคา 37,900 บาท – 256GB ราคา 41,900 บาท – 512GB ราคา 45,900 บาท | – 128GB ราคา 41,900 บาท – 256GB ราคา 45,900 บาท – 512GB ราคา 54,900 บาท – 1TB ราคา 63,900 บาท | – 128GB ราคา 44,900 บาท – 256GB ราคา 48,900 บาท – 512GB ราคา 57,900 บาท – 1TB ราคา 66,900 บาท |
สเปคดังกล่าวเป็นสเปคอย่างเป็นทางการ ยกเว้น RAM เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ใช้งานเท่านั้น
iPhone 14 Series ดีไซน์และสีสัน
iPhone 14/ 14 Plus
iPhone 14 Series นั้น เรียกว่ามาในรูปลักษณ์ที่เราคุ้นตากันแล้ว กับ iPhone ทรงเหลี่ยม ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ใน iPhone 12 Series และได้รับการปรับดีไซน์เล็กน้อยใน iPhone 13 และเช่นเดียวกันในไอโฟน 14 โดยใน ไอโฟน 14 นั้น แบ่งออกเป็น 2 รุ่นก็คือ iPhone 14 และ 14 Plus โดยจะมาในดีไซน์เดียวกันกับ iPhone 13 ที่ยังคงมีรอยบากเช่นเดิม แบบเดียวกับใน iPhone 13
- มี 2 ขนาดด้วยกัน คือ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว
- ไอโฟน 14 รอบนี้มีมาให้เลือกด้วยกัน 5 สี ได้แก่ สี Starlight, Midnight, Blue (เฉดสีใหม่), Purple (เฉดสีใหม่) และ (Product)RED
- ตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม และใช้กระจกหน้าจอเป็น Ceramic Shield เช่นเดิม
- ดีไซน์กล้องด้านหลังมาในแนวทแยง เช่นเดียวกับ iPhone 13
iPhone 14 Pro/ 14 Pro Max
ทางฝั่งของรุ่นโปรนั้น ไอโฟน 14 โปร ยังคงใช้ดีไซน์เช่นเดียวกับ iPhone 13 Series แต่ก็เพิ่มความแตกต่างมาด้วย รอยบากที่กลายเป็นลักษณะของแคปซูลที่เรียกว่า Dynamic Island ซึ่งสามารถเปลี่ยนรูกล้องและเซนเซอร์สแกนหน้าให้กลายเป็นแถบแสดงผลการแจ้งเตือน หรือกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งในรุ่นโปรก็ออกมา 2 รุ่นเช่นเดิม คือ iPhone 14 Pro และ Pro Max
- มีมาด้วยกัน 2 ขนาด คือ ขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว
- มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี คือ Space Black, Silver, Gold และ Deep Purple (สีใหม่)
- ตัวเครื่องใช้วัสดุเช่นเดิมคือ สแตนเลสสตีล ด้านหลังเป็นกระจกผิวด้าน
- ดีไซน์กล้องหลังมาในแนวทแยงเช่นเดียวกันกับใน iPhone 13 Pro/ 13 Pro Max
iPhone 14 สเปค
มาต่อกันในเรื่องของสเปคตัวเครื่องกันบ้าง เช่นเดิม คือไอโฟนจะแบ่งออกเป็น 2 Line up ด้วยกันคือรุ่นธรรมดาและรุ่นโปร ซึ่งจะมีความแตกต่างด้านสเปคกันอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย
iPhone 14/ 14 Plus
สำหรับใน ไอโฟน 14 และ ไอโฟน 14 พลัส นั้น ก็เรียกได้ว่าถอดสเปคมาจาก iPhone 13 Pro รุ่นก่อนหน้าเลย แต่ก็ได้รับการปรับให้มีความเร็วแรงสมเป็นรุ่นใหม่
- ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic (ชิปประมวลผลตัวเดียวกับใน iPhone 13 Series), CPU แบบ 6‑core, Neural Engine
- ใช้จอภาพเป็น Super Retina XDR แบบ OLED
- ไอโฟน 14 หน้าจอความละเอียด 2,532 x 1,170 Pixel ที่ 460 ppi
- ไอโฟน 14 พลัส หน้าจอความละเอียด 2,778 x 1,284 Pixel ที่ 458 ppi
- รองรับการแสดงผลแบบ HDR, True Tone
- หน้าจอความสว่าง 800 nits และสูงสุดถึง 1,200 nits (HDR)
- หน้าจอรองรับการแสดงผลแบบการปรับเปลี่ยนรูปภาพ ฟอนต์ และวิกเจ็ต ที่จะมีใน iOS16
- ความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ IP68 มาตรฐาน IEC 60529
- กล้องที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
- กล้องหลัง มาพร้อมความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/1.5 รองรับการประมวลผลในการถ่ายภาพที่ดียิ่งขึ้น สามารถถ่ายรูปได้คมชัด แม้จะอยู่ในที่แสงน้อย
- แฟลชเป็นแบบ True Tone
- Photonic Engine ช่วยให้ภาพมีความคมชัดและรายละเอียดที่ดียิ่งขึ้น
- Action Mode ความละเอียดสูงสุด 2.8K ที่ 60 fps สามารถถ่ายวิดีโอได้นิ่งยิ่งขึ้น รวมไปถึงใช้งานร่วมกับโหมดการถ่ายภาพยนตร์ได้ด้วย
- กล้องหน้า TrueDepth ใหม่ ความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/1.9
- รองรับ Auto Focus ด้วย Focus Pixels
- สามารถถ่ายรูปในที่แสงน้อยออกมาได้ดีมากยิ่งขึ้น
- กล้องหลัง มาพร้อมความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/1.5 รองรับการประมวลผลในการถ่ายภาพที่ดียิ่งขึ้น สามารถถ่ายรูปได้คมชัด แม้จะอยู่ในที่แสงน้อย
- มาพร้อมเซ็นเซอร์ Face ID, บารอมิเตอร์, ไจโรแบบช่วงไดนามิกสูง, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบแรง g สูงม เซ็นเซอร์ตรวจจับระยะ, เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบแบบคู่
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) พร้อม MIMO แบบ 2×2, Bluetooth 5.3
- แบตเตอรี่ยาวนานขึ้น รองรับการเล่น วิดีโอได้สูงสุด 20 ชั่วโมงและฟังเพลงได้สูงสุด 80 ชั่วโมง ในรุ่น Plus สามารถดูวิดีโอได้สูงสุด 26 ชั่วโมงและฟังเพลงได้สูงสุด 100 ชั่วโมง
- พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Lightning รองรับการชาร์จ 10W และ MagSafe สูงสุด 15W
iPhone 14 Pro/ 14 Pro Max
มาดูทางฝั่งของรุ่นโปร อย่าง ไอโฟน 14 โปร และ ไอโฟน 14 โปรแม็กซ์กันบ้าง ต้องบอกเลยว่าในรุ่นนี้นั้น ได้อัปเกรดพอสมควร ถึงแม้ดีไซน์โดยรวมยังคงคล้ายๆ เดิม แต่สเปคข้างในนั้นเรียกว่าสมการรอคอยเลยทีเดียว
- ใช้ชิปประมวลผล A16 Bionic ที่มีเทคโนโลยีแบบ 4 นาโนเมตร, CPU แบบ 6‑core, Neural Engine
- ใช้จอภาพเป็น Super Retina XDR แบบ OLED มาพร้อม เทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตรารีเฟรชแบบปรับได้สูงสุดที่ 120Hz
- ไอโฟน 14 โปร หน้าจอความละเอียด 2,556 x 1,179 Pixel ที่ 460 ppi
- ไอโฟน 14 โปรแม็กซ์ หน้าจอความละเอียด 2,796 x 1,290 Pixel ที่ 460 ppi
- รองรับการแสดงผลแบบ HDR, True Tone
- หน้าจอความสว่าง 1,000 nits, สว่าง 1,600 nits (HDR) และสูงสุดถึง 2,000 nits เมื่ออยู่กลางแจ้ง
- หน้าจอรองรับการแสดงผลแบบการปรับเปลี่ยนรูปภาพ ฟอนต์ และวิกเจ็ต ที่จะมีใน iOS16
- รองรับ Always-on Display ที่เมื่อวางไว้หรือใส่กระเป๋า จะสามารถปรับแสงให้มืดลงเพื่อประหยัดพลังงานและปรับอัตราการรีเฟรชเรทให้ต่ำลงไปได้สุดๆ ที่ 1Hz
- รองรับ Dynamic Island
- ความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ IP68 มาตรฐาน IEC 60529
- กล้องที่ได้รับการอัปเกรดในระดับโปร
- กล้องหลัง
- กล้องหลักมาพร้อมความละเอียด 48MP พร้อมเซ็นเซอร์แบบ Quad-pixel, รูรับแสงขนาด ƒ/1.78 รองรับการประมวลผลในการถ่ายภาพที่ดียิ่งขึ้น สามารถถ่ายรูปได้คมชัด แม้จะอยู่ในที่แสงน้อย
- กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/2.2
- กล้องเทเลโฟโต้ ความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/2.8
- รองรับการบันทึกแบบ ProRAW
- แฟลชเป็นแบบ True Tone
- Photonic Engine ช่วยให้ภาพมีความคมชัดและรายละเอียดที่ดียิ่งขึ้น
- Action Mode ความละเอียดสูงสุด 2.8K ที่ 60 fps สามารถถ่ายวิดีโอได้นิ่งยิ่งขึ้น รวมไปถึงใช้งานร่วมกับโหมดการถ่ายภาพยนตร์ได้ด้วย
- กล้องหน้า TrueDepth ใหม่ ความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/1.9
- รองรับ Auto Focus ด้วย Focus Pixels
- สามารถถ่ายรูปในที่แสงน้อยออกมาได้ดีมากยิ่งขึ้น
- กล้องหลัง
- มาพร้อมเซ็นเซอร์ Face ID, สแกนเนอร์ LiDAR, บารอมิเตอร์, ไจโรแบบช่วงไดนามิกสูง, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบแรง g สูง, เซ็นเซอร์ตรวจจับระยะ, เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงโดยรอบแบบคู่
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G, Wi-Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) พร้อม MIMO แบบ 2×2, Bluetooth 5.3
- แบตเตอรี่ยาวนานขึ้น รองรับการเล่น วิดีโอได้สูงสุด 23 ชั่วโมงและฟังเพลงได้สูงสุด 75 ชั่วโมง ในรุ่น Plus สามารถดูวิดีโอได้สูงสุด 29 ชั่วโมงและฟังเพลงได้สูงสุด 95 ชั่วโมง
- พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Lightning รองรับการชาร์จ 20W และ MagSafe สูงสุด 15W
iPhone 14 ราคาและวันวางจำหน่าย
สำหรับราคาใน iPhone 14 ทั้ง 4 รุ่นนั้น มีดังนี้
- iPhone 14 (6.1”)
- ความจุ 128GB ราคา 32,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 36,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 14 Plus (6.7”)
- ความจุ 128GB ราคา 37,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 41,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 50,900 บาท
- iPhone 14 Pro (6.1”)
- ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคา 63,900 บาท
- iPhone 14 Pro Max (6.7”)
- ความจุ 128GB ราคา 44,900 บาท
- ความจุ 256GB ราคา 48,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 57,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคา 66,900 บาท
สำหรับการสั่งจองล่วงหน้านั้น ในปี 2022 นี้ ประเทศได้เป็นกลุ่มประเทศแรกที่เปิดให้สั่งจองพร้อมกับทางอเมริกา (Tier 1) สามารถสั่งจองได้ในวันที่ 9 กันยายน 2022 เป็นต้นไป และจะวางจำหน่ายในวันที่ 16 กันยายน 2022 (ยกเว้น iPhone 14 Plus ที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคม 2022)
ฟีเจอร์ใหม่ใน iPhone 14 Series
เปิดตัวรุ่นใหม่ทั้งที จะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้อย่างไร สำหรับการเปิดตัวในงาน Apple Event ‘Far Out ที่ผ่านมา ซึ่งหลายๆ ฟีเจอร์ที่ออกมาใหม่นั้น ก็เป็นฟีเจอร์ที่แฟนๆ Apple ต่างก็รอคอยกันมานานแล้ว ฟีเจอร์ใหม่ๆ นี้ก็เรียกว่าน่าสนใจมากๆ เลยด้วย
- เปลี่ยนรอยบากเป็น Dynamic Island
ก่อนหน้านี้ ทั้งแต่ iPhone X เป็นต้นมา เรียกได้ว่าเกิดเป็นกระแสไปกันถ้วนหน้าเลยกับรอยลากของไอโฟน แต่ในปีนี้สำหรับไอโฟน 14 ก็เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงสมการรอคอย เพราะในรุ่นโปร นั้น ได้รับการเปลี่ยนรอยบากนี้ให้เป็น Notch แบบแคปซูล ที่เรียกว่า Dynamic Island ซึ่งทำหน้าที่มากกว่าเป็นส่วนของกล้องหน้าและเซ็นเซอร์ แต่ยังเป็นการแสดงผลต่างๆ บริเวณโดยรอบของกล้องอีกด้วย ถือว่าทำออกมาได้แนบเนียนและน่าใช้งานเป็นอย่างมาก
- Always-on-Display ที่รอคอย
เรียกร้องกันมานานสำหรับฟีเจอร์ Always-on Display ในไอโฟน และในที่สุดทาง Apple ก็ได้ใส่ฟีเจอร์นี้ลงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับในรุ่น Pro และ Pro Max แถมยังมาพร้อมการประหยัดพลังงานขั้นสุด ที่สามารถปรับลดอัตราการรีเฟรชเรทหน้าจอลงไปได้ต่ำสุดที่ 1Hz เลยด้วย นอกจากนี้ในรุ่น Pro และ Pro Max ยังสามารถปรับความสว่างหน้าจอได้สูงสุดถึง 2,000 nits เลยด้วย
- ถ่ายวิดีโอได้นิ่งยิ่งขึ้นด้วย Action Mode
สำหรับในไอโฟน 14 ทั้ง 4 รุ่นนี้นั้น มาพร้อมการรองรับ Action Mode ที่จะช่วยการให้ถ่ายวิดีโอทำได้นิ่งยิ่งขึ้น เหมือนกล้องระดับโปรเลย อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับ Cinematic Mode หรือโหมดการถ่ายภาพยนตร์อีกด้วย
- กล้องหลังความละเอียดสูงถึง 48MP
สมการรอคอยกันเลยทีเดียว สำหรับในรุ่น Pro และ Pro Max ที่ในรอบนี้ Apple ก้ได้จัดเต็มสมการรอคอย กับกล้องหลังความละเอียดสูงสุดถึง 48MP บอกได้เลยว่าคมชัดสะใจเหมือนกล้องระดับโปรเลย อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Quad-pixel ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพมีรายละเอียดที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
- ฟีเจอร์ Car Crash Detection และ Emergency satellite
สำหรับฟีเจอร์นี้เรียกว่าออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเลย โดยไอโฟน 14 ทั้ง 4 รุ่น จะรองรับการตรวจจับอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุทางรถยนต์ Car Crash Detection (ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับ Apple Watch Series 8) โดยจะตรวจจับแรงกระแทก เสียงดัง ฯลฯ เพื่อนำว่าวิเคราะห์ และหากอยู่ในระดับของอุบัติเหตุ ไอโฟนจะโทรออกหาเบอร์ฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ Emergency satellite ที่จะเป็นฟีเจอร์ที่คอยช่วยเหลือผู้ใช้งาน ในกรณีที่อยู่นอกเขคสัญญาณ เช่น ภูเขา, ทะเลทราย ฯลฯ โดยการส่งสัญญาณ SOS ไปผ่านดาวเทียม และเมื่อจับสัญญาณได้ ระบบก็จะส่งพิกัดรวมทั้งเปอร์เซ็นของแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ รวมไปถึง Medical ID สำหรับข้อความช่วยเหลือ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฟีเจอร์นี้ในเบื้องต้นจะเปิดให้บริการในบางประเทศเท่านั้น
กล่าวโดยสรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนๆ ก็มาพร้อประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม เร็วแรงสมการรอคอย แต่โดยรวมแล้วใน iPhone 14 Pro และ Pro Max นั้น ก็ถือว่าออกมาได้อย่างโปรจริงๆ มีความแตกต่างจากรุ่นธรรมดาที่ชัดเจนกว่าก่อนหน้า ทั้งเรื่องหน้าจอ กล้อง รวมไปถึงราคาด้วย ทั้งนี้หลังจากเปรียบเทียบดูกันชัดๆ ไปแล้ว ใครที่อยากเลือกรุ่นไหนก็สามารถเลือกให้ถูก ให้ตรงกับสไตล์ตัวเองได้เลย