HyperX Cloud Alpha S หูฟังเกมมิ่ง เสียง 7.1 นุ่มกระชับ ปรับแต่งได้ ดูหนัง เล่นเกม เต็มอิ่ม
HyperX Cloud Alpha S รุ่นนี้มาในธีมของ Diablo Immortal Edition ที่เป็นสายพันธุ์ของเกมมิ่งซีรีส์ กับเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งจะต่างจาก Alpha รุ่นก่อนนิดหน่อย ตรงที่รุ่นนี้จะเป็นโทนสีน้ำเงิน ซึ่งจะหมายถึงการเข้ากันได้กับเครื่องเล่นเกมอื่นๆ เช่น PS4 หรือ PS5 นอกเหนือจากการเล่นบนพีซีหรือโน๊ตบุุ๊ค ด้วยการออกแบบในลักษณะของ Over-ear และวัสดุที่มีความนุ่มนวล กระชับ ใส่สบาย ด้วยเมมโมรีโฟม ที่หุ้มด้วยวัสดุแบบหนัง เพิ่มความสบายมากขึ้น โครงสร้างยังอยู่ในระดับที่เหมาะกับคนเอเซีย น้ำหนักเบาแค่ 310 กรัม ปรับเลื่อนได้ง่าย ให้เหมาะกับศีรษะขนาดต่างๆ ไดรเวอร์ขนาดใหญ่ และเป็นแบบ Dual chamber ให้การแยกรายละเอียดเสียงได้ชัดเจนขึ้น ไมโครโฟนถอดออกได้ พร้อมสายถักหุ้มมาเป็นอย่างดี เพื่อความทนทาน โดยที่ให้การปรับจูนง่ายขึ้น ด้วยรีโมทที่ทำหน้าที่เป็น Sound card และปรับ Volume สะดวกยิ่งขึ้น แต่เพิ่มเติมความมันส์ขึ้นอีกนิด ด้วยฟังก์ชั่น Bass slide ที่มาอยู่บนหูฟังทั้ง 2 ข้าง พร้อมด้วยการรับประกัน 2 ปี
HyperX Cloud Alpha S
จุดเด่น
- รองรับระบบเสียง 7.1
- ครอบหูฟังเมมโมรีโฟม นุ่มกระชับ
- ใส่สบาย น้ำหนักเบา
- ให้เสียงเบสแน่น ปรับแต่งได้
- มีคอนโทรลที่สาย เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งาน
- เสียงกลางแน่น เสียงแหลมชัด
ข้อสังเกต
- ต้องใช้อุปกรณ์ต่อผ่าน USB เพื่อใช้งานระบบเสียง 7.1
- ถ้าไม่ปรับใช้เสียง 7.1 เสียงจะออกทุ้มๆ ราบเรียบไปหน่อย
Specification
Description | |
Impedance | 65 Ω |
Cable Length | 1m detachable headset cable |
Weight Note (Metric) | Weight with microphone: 321g |
Weight | 310g |
Form Factor | Over ear, circumaural, closed back |
Warranty | 2 year |
Hardware Compatibility | PC, PS5™, PS4™ |
Features | Bass adjustment sliders, Durable aluminum frame, Game and chat balance, HyperX 7.1. surround sound[1], HyperX Dual Chamber Drivers, Signature HyperX comfort |
Price | 3,990 บาท |
ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX
Unbox
สำหรับแพ๊คเกจของ HyperX Cloud Alpha S รุ่นนี้ มาในโทนสีขาว-น้ำเงิน ด้านหน้ามาพร้อมโลโก้ขนาดใหญ่ ระบุชื่อรุ่นมาอย่างชัดเจน พร้อมรายละเอียดของหูฟัง เช่น 7.1 surround และ Bass adjustment slider โดยมีภาพกราฟิกของหูฟังไว้อย่างชัดเจน โดยหูฟังรุ่นนี้ นอกจากจะรองรับระบบเสียง 7.1-channel และมี Certified ทั้ง Discord และ Teamspeak อีกด้วย
ด้านหลังกล่องจะยังคงเป็นรายละเอียดของฟีเจอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่บันเดิลมาในกล่อง ไม่ว่าจะเป็น Game and Chat balance ที่เป็นตัวปรับจูน ในแบบรีโมท เพิ่มฟังก์ชั่นการเปิด-ปิดการใช้งานระบบเสียง 7.1 channel, ไมโครโฟนเป็นแบบถอด-ใส่ได้ และยังมีแถบสไลด์ปรับ Bass ได้ทั้งซ้ายขวาตามต้องการ
ด้านข้างซ้ายและขวาของกล่อง แจ้งรายละเอียดของอุปกรณ์ที่บันเดิลมาให้ ไม่ว่าจะเป็น หูฟัง ไมโครโฟน สายสัญญาณ ตัวคอนโทรลระบบเสียง 7.1 และครอบหูแบบผ้า รวมถึงถุงผ้า
อุปกรณ์ที่มีมาให้ประกอบด้วย USB Audio mixer, เอกสารประกอบการใช้งาน และถุงผ้าสำหรับใส่หูฟัง
ไมโครโฟนในแบบถอดได้ (Detachable) สามารถปรับพับงอได้ เชื่อมต่อผ่านแจ๊ค 3.5mm พร้อมตัวกรองเสียง
อุปกรณ์ทั้งหมดที่มีมาให้ในกล่องสำหรับการเชื่อมต่อเข้ากับหูฟัง HyperX รุ่นนี้ จะมีประมาณนี้ สายต่อ Aux, Microphone, USB Audio Control Mixer และหูฟัง
Design
หูฟังยังคงมาในสไตล์แบบเดียวกับ HyperX Cloud Alpha ต่างกันตรงที่มาในโทนสีดำ-น้ำเงิน แต่ก็รุ่นที่เป็นสีแดงให้เลือกเช่นกัน เช่นเดียวกับในตระกูลพี่ๆ น้องๆ ของรุ่น ไม่ว่าจะเป็น HyperX Cloud หรือ Cloud Stinger ก็ตาม
แต่ที่สะดุดตาก็คือ แถบโลโก้ด้านข้างจากเดิมที่เป็น HyperX กลับมาพร้อมโลโก้ของเกม Diablo Immortal อีกด้วย ประหนึ่งว่าทำออกมาตอบโจทย์คนที่เล่นเกมแนว MMO Action RPG แบบนี้ด้วยเช่นกัน และอย่างที่กล่าวไปในตอนต้นคือ คุณจะได้รับเป็น Gift ซึ่งเป็นของในเกม Diablo นี้ด้วย ซึ่งจัดมาเป็นพิเศษ เพื่อแฟนเกมโดยเฉพาะ
หูฟังยังคงเน้นสไตล์ที่ดูเป็นเกมมิ่ง แต่ยังมีเอกลักษณ์ความเป็น HyperX Cloud อยู่เต็มเปี่ยม ด้วยเส้นสายสีน้ำเงินตัดกับพื้นบอดี้สีดำ และโลโก้ HyperX ที่อยู่บนครอบหูฟังอีกด้านหนึ่งนั่นเอง
ในส่วนของเมมโมรีโฟมบริเวณจุดที่เป็นครอบหูฟัง (Ear cushion) ให้ความนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีความหนาพอสมควร เพื่อให้ความสบายเมื่อต้องใช้เป็นเวลานาน และโดยส่วนตัวชอบที่การกันเสียงจากภายนอกได้ดีทีเดียว
Headband หรือที่คาดศีรษะความกว้างประมาณ 3cm ซึ่งค่อนข้างพอดี เรียกว่าวางบนหัวได้แบบไม่เกะกะ ลดปัญหาทรงผมยุ่งเหยิงได้ และหุ้มด้วยวัสดุแบบหนัง และมีโลโก้ HyperX ไว้อย่างชัดเจน เดินด้ายเป็นตะเข็บด้านข้างสีน้ำเงิน ให้สอดคล้องไปกับสีสัน
ครอบหูฟังด้านในจะเป็นแบบเมมโมรีโฟมเช่นกัน และมีวัสดุหุ้มด้านในมาแบบหนัง ให้ความนุ่มสบายเช่นเดียวกับครอบหูฟัง และให้การกระจายน้ำหนักได้ดี ไม่รู้สึกรำคาญเวลาที่ใช้งานไปนานๆ
และคนที่ไม่ค่อยได้ใช้หูฟัง หรือสับสนกับด้านซ้าย-ขวา ไม่ต้องกังวลว่าจะใส่ผิด เพราะจะมีอักษร L (ซ้าย) และ R (ขวา) ให้เห็นกันแบบชัดๆ หรือถ้าอยากจำง่ายๆ ก็คือ ไมโครโฟนจะอยู่ทางด้านซ้ายเสมอ
โครงสร้างหลักของหูฟัง HyperX Cloud Alpha S ยังคงเป็นอะลูมิเนียม เช่นเดียวกับในหลายๆ รุ่น ปรับมุมองศาได้เล็กน้อย ให้กระชับเข้ากับใบหูได้ดี
และยังมีฟังก์ชั่นการปรับเลื่อนครอบศีรษะได้ง่าย ด้วยการปรับความยาวให้เข้ากับขนาดของศีรษะแต่ละคนได้ โดยขยับเป็นทีละสเตป จากที่เราได้ลองวัดดูก็เลื่อนออกได้ถึงข้างละ 4cm เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงใช้ร่วมกันได้ทั้งบ้าน แม้ว่าจะมีสรีระต่างกันก็ตาม
บนหูฟังทั้ง 2 ข้างมีให้ปรับเลื่อน Bass เป็นแบบสไลเดอร์ ปรับเสียงเบสได้ถึง 3 ระดับ ให้คุณเพิ่ม-ลดระดับเบาได้ตามต้องการ โดยในช่วงที่พีคๆ ต้องการเสียงกลางที่มากขึ้น เพื่อฟังรายละเอียดของเคสท์ ก็อาจจะลดลงมา แต่เมื่อจะลุยลงดัน หรือฉายเดี่ยว ก็ปรับเพิ่มขึ้นเพื่อความมันส์ได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะคุณไม่ต้องไปปรับเลื่อนที่ซอฟต์แวร์หรือปรับบน Mixer ของระบบ แค่เลื่อนบนหูฟัง เอาตามที่คุณชอบเท่านั้น โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบทีเดียวสำหรับฟังก์ชั่นนี้
สายต่อเป็นแบบสายถักที่หุ้มมาบนสายสัญญาณที่มีความยาวประมาณ 1 เมตร โดยมีแจ๊คแบบ 3.5mm ใช้ต่อเข้ากับหูฟังและช่องต่อ Headset บนพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค แต่ถ้าในกรณีที่จะเล่นคู่กับอุปกรณ์เล่นเกมอื่นๆ ก็สามารถใช้หัวต่อ Aux ที่มากับตัวหูฟังใช้งานร่วมกับ PS4, Xbox ที่เป็นเครื่องเล่นเกมคอนโซล รวมถึง Nintendo Switch และมือถือได้อีกด้วย
อย่างที่ได้เห็นกันแบบชัดๆ สำหรับครอบหูฟังทั้ง 2 ด้าน จะเป็นเมมโมรีโฟม ที่นุ่มและแน่น และมีวัสดุที่หุ้มตามมาตรฐาน ซึ่งส่วนตัวมองว่าให้การระบายอากาศได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ถนัด ก็จะมีแบบผ้ามาให้ได้เปลี่ยนใช้งาน ด้านในจะมีตัวครอบกันฝุ่นอยู่อีกชั้นหนึ่ง ปิดในส่วนของไดรเวอร์ที่อยู่ด้านใน
จุดเชื่อมต่อสายสัญญาณ Aux จะอยู่ทางด้านซ้ายของหูฟัง ใกล้กับช่องต่อไมโครโฟน และสามารถเชื่อมต่อเข้า USB Audio Control Mixer ในการเพิ่มระบบเสียง 7.1-channel ได้อีกด้วย
Control
ตัวอุปกรณ์ USB Audio Control Mixer เป็นอุปกรณ์ที่มาเสริมลูกเล่นการใช้งานให้กับผู้ใช้ที่ต้องการระบบเสียงแบบ 7.1-channel โดยอุปกรณ์ที่ว่านี้ จะเชื่อมต่อเข้ากับพีซีผ่านทางพอร์ต USB และให้สัญญาณเสียงรอบทิศทาง ขนาดค่อนข้างเล็ก และยังใช้หนีบกับเสื้อผ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกเวลาที่ใช้งาน เพราะสายสัญญาณที่ต่อพ่วงมาด้วยนี้ค่อนข้างยาวทีเดียว
การใช้งานก็ค่อนข้างง่าย ไม่ต้องลงไดรเวอร์หรือติดตั้งโปรแกรมให้วุ่นวาย เพราะเป็นแบบ Plug & Play ต่อสายให้เข้ากับตัวอุปกรณ์ ก็พร้อมใช้งานได้ทันที
ในการทดลองใช้งานจะเห็นว่าหากเป็นสาวๆ รูปร่างเล็ก หูฟังจะให้มิติที่ค่อนข้างใหญ่สักหน่อย แต่ได้การครอบหูแบบเต็ม จุดวางศีรษะก็ทำได้ง่าย ไม่เกะกะ เข้ากันได้กับเกมเมอร์ในทุกระดับ
Performance
มาว่ากันที่ความรู้สึกในการสวมใส่ ถ้าใครเคยใช้หูฟังในแบบ Close-cup หรือ Over-ear ก็น่าจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในการสวมใส่ ที่แทบจะตัดเราออกจากโลกภายนอก ด้วยการลดเสียงโดยรอบได้ดีพอสมควร รวมถึงความแน่นของเมมโมรีโฟม ที่ครอบหูแบบโอบกระชับ ด้วยความที่ออกแบบช่องนี้ออกมากว้าง จึงทำให้ไม่ทับใบหูให้เกิดความรำคาญ
และด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา อยู่ที่ประมาณ 310 กรัม จึงลดภาระที่หูฟังจะกดลงบนศีรษะได้มาก ความกระชับอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เรียกว่าหันซ้ายขวา ก็ไม่เลื่อนได้ง่าย และการปรับเลื่อนไล่ระดับก็ค่อนข้างนุ่มนวล แนะนำว่าให้ปรับเลื่อนหลังจากที่สวมใส่ไปแล้ว จะง่ายกว่า การกระจายน้ำหนักก็ทำได้ดี
สำหรับตัวชุด Mixer นี้สามารถใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะใช้ในการ เปิด-ปิดไมโครโฟน, เพิ่ม-ลดเสียง และการเปิดใช้งานระบบเสียงรอบทิศทาง 7.1-channel รวมถึงการใช้งาน game and chat audio balance ที่ให้คุณปรับเสียงเกมและเสียงแชทได้อย่างเหมาะสมตามที่ต้องการ บางครั้งเราอยากจะเติมอารมณ์เกมสุดๆ แต่ก็พอได้ยินเสียงสนทนาของเพื่อนบ้าง จะได้ไม่เสียรูปเกม ก็สามารถกดปุ่มเพิ่มหรือลดได้จากปุ่ม อยากให้ไปทาง Chat ก็ได้ หรือจะกดปุ่มรูปจอยสติ๊ก ก็หมายถึงเน้นเสียงในเกมให้มันสุดๆ
และปุ่มเปิด-ปิดไมค์นี้ ยังซ่อนฟังก์ชั่นการตรวจเช็คเสียงตัวเองได้ แค่กดปุ่มค้างเอาไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วพูด เราก็จะได้ยินเสียงพูดของเราเอง เอาไว้สำหรับคนที่จะใช้ในการแชต ทำสตรีมหรือบันทึกเสียงจะได้ทราบถึงระดับเสียง และโทนเสียงของเราได้ดียิ่งขึ้น
มาพูดถึงอารมณ์เสียงกันบ้างในการเล่นเกม เอฟเฟกต์ยังมาได้เด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นเสียงระเบิด ท่อรถแข่ง หรือการโจมตีกลางอากาศจาก ปตอ. ซึ่งคะแนนตรงนี้ทำได้ดี และยิ่งถ้าคุณชอบเสียงเอฟเฟกต์ที่เร้าใจ ในช่วงที่เล่นเกมแอ็คชั่น แนะนำให้ปรับเลื่อน Bass slider ไปสักครึ่งหนึ่ง ก็ทำให้เสียงเด่นชัดมากขึ้น ให้ความเร้าใจ โดยเฉพาะเกมแนวแอ็คชั่น หรือเกมสายหลอนอย่าง WarZ หรือจะเป็น DBDL
ส่วนถ้าเป็นเกมแนวแอ็คชั่น เน้นมันส์และได้ความแม่นยำด้วย การใช้ฟีเจอร์ 7.1 channel กับระบบเสียงรอบทิศทาง ช่วยให้คุณจับแนวของศัตรูได้แม่นกว่า ตามจริงก็ใช้ได้ในเกมเกือบทุกแนว Action, Racing, RPG อย่างเกม PUBG คุณจะได้อารมณ์รอบตัว ที่มีส่วนช่วยให้คุณจัดการหรือเช็คระยะจากศัตรูได้ไวขึ้น แต่บางครั้งก็รู้สึกหลอน ในช่วงคับขันได้เหมือนกัน หรืออย่าง DBDL ที่รอบตัวคุณต้องเจอกับ Killer ที่วิ่งไล่ต้อนคุณอยู่ แต่ถ้าคุณชำนาญ มันจะเป็นตัวช่วยที่ดีให้คุณจับทางได้ไวขึ้น เช่นเดียวกับ Forza 5 ที่เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มมาเต็ม คู่กับเสียงแรงกระแทกหรือรถแข่งที่มาตีคู่กับคุณได้ชัดเจนมากๆ และให้ผลทั้งในส่วนของการชมภาพยนตร์อีกด้วย
เสียงแหลมพอเก็บได้ รายละเอียดจัดมาได้ดี ส่วนหนึ่งน่าจะได้จากการเป็น Dual chamber ที่ออกแบบให้แยกความถี่เสียงเบส กลางและเสียงสูงออกจากกัน ทำให้ได้ความต่างของเสียงมากยิ่งขึ้น ไม่รู้สึกขุ่น หรือทึบจนเกินไป และอารมณ์ของการเล่นจะต่างออกไป โดยเฉพาะฉากที่ยิงถล่ม มีเสียงกระจกแตก หรือปลอกกระสุนที่กระเด็น จุดสำคัญคือให้ความรู้สึกสำหรับคนที่ชอบรายละเอียดที่ดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ Dual chamber ทาง HyperX จะใส่ไว้ในหูฟังกลุ่มท็อปๆ เป็นหลัก แต่ HyperX Cloud Alpha S รุ่นนี้แค่ 3,990 เท่านั้น คุณจะได้ฟีเจอร์นี้ด้วย ตรงนี้ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
Conclusion
หลังจากที่ได้ทดลองใช้มาสักระยะหนึ่งสิ่งที่สัมผัสได้คือ ความกระชับใส่สบาย ที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ HyperX นี้ แต่ส่วนตัวไม่ค่อยจะอินกับสัมผัสของวัสดุแบบหนังมากนัก แต่ชอบที่เป็นครอบหูฟังแบบผ้ามากกว่า ตรงนี้ค่อนข้างนานาจิตตังครับ ในส่วนที่เป็นจุดเด่นในด้านของเสียง แม้จะไม่ได้ต่างจากรุ่นเดิม เพราะเป็นแบบเดียวกัน ต่างกันที่สติ๊กเกอร์ในเวอร์ชั่น Diablo Immortal ที่ใส่เข้ามา แต่ก็ยังได้ความรู้สึกและกลิ่นอายของรุ่นพี่อย่าง HyperX Cloud Alpha มาเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบเสียง 7.1 การเติมเสน่ห์ของเสียงแหลมเข้ามา เอฟเฟกต์ก็ดูดีมีความสนุกมากขึ้น และยังปรับ Bass ได้จากหูฟัง ที่สำคัญได้อารมณ์เสียงที่หนักและกระชับยิ่งขึ้น ถือว่าทาง HyperX เอาใจคอเกมในทุกแบบจริงๆ
ติดต่อ: ตัวแทนจำหน่าย HyperX Gaming ทั่วประเทศ
ราคา: ประมาณ 3,990 บาท