BullVPN ผู้ให้บริการ VPN ใช้ง่ายค่าบริการเป็นมิตร ดีที่สุดในไทย!!
ในยุคนี้ อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม, ทำงานหรือใช้แอพฯ ธนาคาร ก็ต้องใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งถ้าให้ดีก็ต้องมี VPN ควบคู่กันเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล, ความเป็นส่วนตัวและใช้เปิดดูเว็บไซต์หรือสตรีมมิ่งต่างประเทศที่ดูในไทยไม่ได้ด้วยถึงจะดีที่สุด ยิ่งถ้าใครไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟแล้วต่อ Wi-Fi สาธารณะก็ควรใช้ VPN เป็นประจำเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวด้วย
BullVPN เองก็เป็นผู้ให้บริการ VPN ชั้นนำอันดับหนึ่ง นับเป็น VPN ที่ดีที่สุดในไทย หน้าโปรแกรมและแอพฯ ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ตั้งค่าสะดวก รองรับหลากหลายอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น Windows, macOS, iOS, Android, Smart TV รวมไปถึงส่วนเสริมใน Google Chrome เบราเซอร์ยอดนิยมในปัจจุบันนี้ก็สามารถใช้งานได้อีกด้วย
วิธีการใช้งานก็ง่าย เพียงคลิกเดียวก็สามารถใช้งานได้ทันที มีเซิร์ฟเวอร์ VPN ให้บริการอยู่มากกว่า 100 เซิร์ฟเวอร์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกถึง 28 ประเทศให้สลับใช้งานได้ตามต้องการ ทำให้เข้าใช้เว็บไซต์หรือดูคอนเทนต์ได้หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีช่องทางซัพพอร์ตทั้งผ่านทาง Facebook Fanpage, WeChat และ Line อีกด้วย
หัวข้อบทความ
- VPN คืออะไรและเหมาะกับใครบ้าง?
- จุดเด่นของ BullVPN มีอะไรบ้าง?
- รีวิวการทดลองใช้งาน BullVPN เข้าชมเว็บไซต์ต่างประเทศ
- แพ็คเกจใช้งานและโปรโมชั่นของ BullVPN และประเภทของผู้ใช้ที่ควรใช้บริการนี้
VPN คืออะไรและเหมาะกับใครบ้าง?
เชื่อว่าผู้ใช้หลายๆ คนอาจจะได้ยินคำว่า VPN (Virtual Private Network) วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันมาสักระยะหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ต่อการใช้อินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันอย่างไร ทั้งที่ VPN เป็นอีกโปรแกรมที่ควรมีติดตั้งไว้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องของคุณเมื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อความเป็นส่วนตัวและป้องกันการโดนล้วงข้อมูลเมื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาธารณะ เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลได้
สำหรับวิธีการทำงานของระบบนี้แบบเข้าใจง่าย คือ VPN เป็นโปรโตคอลการส่งข้อมูลแบบ Point-to-Point ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตให้เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยปกติการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่มี VPN จะเชื่อมต่ออุปกรณ์ของเราผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแล้วต่อเข้าไปยังเว็บไซต์นั้นโดยตรง
แต่ VPN จะเข้ามาเป็นตัวคั่นกลางให้พีซีหรือสมาร์ทโฟนของเราเชื่อมต่อเข้า Private Network ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการก่อน แล้วระบบจะปกปิด IP Address ของอุปกรณ์เอาไว้แล้วค่อยเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการอีกที มีข้อดีคือ ทำให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเป็นแบบไม่ระบุตัวตน (Anonymously) ป้องกันผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ ดักเก็บข้อมูลของเราไปใช้ได้ยากขึ้น และถ้าผู้ใช้คนไหนใช้ระบบ VPN ควบคู่กับฟีเจอร์ Incognito ในเบราเซอร์ก็ยิ่งปลอดภัยขึ้นไปอีก
ด้านประโยชน์ของ VPN นั้นมีหลากหลาย นอกจากรักษาความเป็นส่วนตัว ป้องกันการโดนบริษัทหรือองค์กรเก็บข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อยิงโฆษณาได้แล้ว ยังป้องกันตัวเองจากมือที่สามซึ่งรอดักจับข้อมูลตอนเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะ หากใช้ในบ้านก็ใช้เปิดดูซีรี่ส์ใน Netflix ที่ล็อคให้ดูได้บางประเทศ, เปิดเว็บไซต์ที่ถูกบล็อคหรือไว้เล่นเกมออนไลน์เซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศได้สะดวกขึ้น โดยรูปแบบของ VPN จะถูกแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้
- Remote access – เป็นการเชื่อมต่อ VPN เข้าไปยัง Local Area Network (LAN) ซึ่งเป็นระบบภายในองค์กรขนาดใหญ่ ทำให้พนักงานภายในองค์กรรีโมตการทำงานจากนอกออฟฟิศเข้ามาเรียกใช้ทรัพยากรภายในองค์กรได้เสมือนนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศโดยไม่มีข้อมูลหลุดออกไปยังอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (Public Internet)
- Site-to-Site – เป็นการเชื่อมต่อ VPN คล้าย Remote Access แต่ขยายสเกลการเชื่อมต่อจากภายในภูมิภาคเดียวกันไปยังภูมิภาคอื่นบนโลก โดยการเชื่อมต่อนี้ต้องตั้ง Data Center และใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อเดียวกันอย่าง IPv4 หรือ IPv6 และใช้เชื่อมต่อสำนักงานสาขาในประเทศเดียวกันแต่อยู่คนละจังหวัดได้ด้วย
- Extranet-based site-to-site – เป็นการเชื่อมต่อประเภท Site-to-Site เหมือนกับข้อบน แต่เปลี่ยนจากมีองค์กรเดียวใช้งานระบบนี้ กลายเป็นมีหลายองค์กรแชร์ใช้งานระบบนี้ร่วมกันแทน
สำหรับข้อดีเมื่อใช้งาน VPN มีดังนี้
- รักษาความปลอดภัยอุปกรณ์เมื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi สาธารณะ – แม้ Wi-Fi จะให้บริการฟรี แต่เราก็ไม่ทราบว่าผู้เปิดให้ใช้บริการจะดักข้อมูลอะไรของเราไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง แต่เมื่อใช้ VPN แล้ว ระบบจะช่วยซ่อนข้อมูลส่วนตัวต่างๆ รวมไปถึงข้อมูลบัตรเครดิตและบัญชีธนาคารของเราอีกด้วย ช่วยลดโอกาสเสี่ยงตอนทำธุรกรรมสำคัญไปได้มาก
- รักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล – สาเหตุของการถูกยิงโฆษณา หลายครั้งเกิดจากการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไม่ใช้ VPN ทำให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มชั้นนำเจ้าต่างๆ เอาข้อมูลความสนใจของเราไปวิเคราะห์ยิงโฆษณาให้ตรงความสนใจของผู้ใช้ได้ง่าย ซึ่งถ้าเราเชื่อมต่อ VPN เอาไว้ก็จะช่วยลดปัญหายิบย่อยเหล่านี้ไปได้มาก
- เปิดดูคอนเทนต์ได้โดยไม่เกี่ยงสถานที่ – จะเกมเมอร์หรือผู้ชื่นชอบการดูสตรีมมิ่งจากต่างประเทศก็รู้กันดีว่าผู้ให้บริการจะคัดกรองคอนเทนต์แยกตามภูมิภาคการเชื่อมต่อจาก IP Address ด้วยหลายๆ เหตุผลตามแต่นโยบายของแต่ละบริษัท แต่พอใช้ VPN ก็สามารถดูสตรีมมิ่งหรือเชื่อมต่อไปเล่นเกมออนไลน์ในเซิร์ฟเวอร์ของประเทศนั้นได้ทันที
- ลดค่าใช้จ่ายและซื้อสินค้าหรือบริการได้ถูกลง – นอกจากความปลอดภัย ระบบ VPN ก็ปรับมาใช้เพื่อความประหยัดได้ด้วย ตัวอย่างเช่น ใช้โซนไปประเทศอื่นเพื่อซื้อเกมในระบบ Steam ซึ่งค่าเงินถูกกว่าประเทศไทยและเลือกซื้อบางเกมซึ่งไม่ได้วางขายในสโตร์ฝั่งไทยได้อีกด้วย
จุดเด่นของ BullVPN มีอะไรบ้าง?
- มีให้โหลดใช้งานหลากหลายแพลตฟอร์ม – โปรแกรมของทางบริษัทมีให้ใช้บริการหลากหลายแพลตฟอร์ม ผู้ใช้สามารถเลือกโหลดได้ทั้ง Windows, iOS, iPadOS, Android, macOS, Smart TV หรือ Chrome Extension เสริมเข้ามาใน Google Chrome แทนการติดตั้งไว้ในเครื่องก็ได้ ผู้สนใจสามารถคลิกดูได้ที่นี่
- เชื่อมต่อได้โดยไม่ถูกบล็อค – บางเว็บไซต์, เกมออนไลน์, บริการสตรีมมิ่งชั้นนำหลายๆ เจ้าจะถูกล็อคหรือบล็อคคอนเทนต์เอาไว้เฉพาะภูมิภาคด้วยหลายๆ เหตุผล ไม่ว่าจะลด Traffic จากต่างประเทศหรือนโยบายของทางบริษัทก็ตาม แต่เมื่อใช้ BullVPN ก็สามารถเปิดดูได้อย่างแน่นอน
- ซ่อน IP Address ของเราเพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว – ข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะอายุ, เพศ, เชื้อชาติ, ข้อมูลธนาคารและบัตรเครดิตเป็นเรื่องสำคัญ หากป้องกันไม่ดีอาจถูกขโมยไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นแนะนำให้สมัครใช้บริการ VPN เอาไว้ได้เลย โดยจุดเด่นของ BullVPN จะมีดังนี้
- ไม่บันทึกพฤติกรรมออนไลน์และไม่อัพโหลดข้อมูลส่วนบุคคล
- ป้องกันการเข้าเครือข่ายของเราเมื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi Hotspot ฟรี
- มีระบบ DNS Leak ปกปิดและป้องกัน IP Address จริงของเครื่อง ทำให้ตอนเปิดเว็บไซต์ต่างๆ เป็นแบบไม่ระบุตัวตนป้องกันข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลได้ดีมาก เมื่อเปิดโปรแกรมและเปิด VPN แล้ว ตัวระบบจะซ่อน IP Address จริงของเราในทันที
- มีทีมงานคอนซัพพอร์ตการใช้งาน – เมื่อเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยเวลาใช้งาน สามารถสอบถามกับทางทีมงานผ่าน Facebook Fanpage, WeChat, Live Chat ได้ทันที ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานหรือใช้บริการของทางบริษัทได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัดอีกด้วย
จุดเด่นทั้งหมดนั้นสามารถสรุปได้ว่า BullVPN นั้นเป็นผู้ให้บริการ VPN ชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งรูปแบบการทำงานของ VPN และหน้าตาโปรแกรมซึ่งใช้งานได้สะดวกไม่ต้องเสียเวลาทำความเข้าใจนานมากก็ใช้งานได้ทันที
ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าผู้ใช้หลายคนอยากใช้บริการ VPN แต่มักพบแต่ผู้ให้บริการจากต่างประเทศ จึงกังวลว่าถ้าใช้งานแล้วเกิดปัญหาก็ต้องรอการแก้ไขนานจนทำงานล่าช้าไม่ทันใจ ทว่า BullVPN เป็นผู้ให้บริการ VPN รองรับภาษาไทยพร้อมให้บริการผู้ใช้งานทุกคน ไม่ต้องกังวลเมื่อเกิดปัญหาการใช้งาน สามารถสอบถามปรึกษาและแก้ปัญหาระหว่างใช้งานได้ทันที
นอกจากให้บริการ VPN ตามปกติแล้ว หากใครมีข้อมูลสำคัญหรือต้องการใช้อินเทอร์เน็ตโดยปลอดภัยเป็นพิเศษ ทางบริษัทก็ให้บริการ Private VPN และ Proxy ซึ่งมีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูงมาก เลือกประเทศที่ต้องการใช้งานได้หลากหลายตามต้องการ
นอกจากนี้ยังมีบริการ Whitelist IP สำหรับกำหนดการเข้าถึงข้อมูลโดยเจาะจง IP Address ได้ ทำให้เครื่องในกลุ่ม Whitelist IP เข้าถึงข้อมูลได้จากระยะไกลอีกด้วย มีค่าบริการ Private VPN และ Proxy เริ่มต้นเดือนละ 700 บาท ส่วนการสมัครใช้บริการทำได้ไม่ยาก โดยมีขั้นตอนดังนี้
- สมัครใช้งานและติดตั้งโปรแกรมให้เรียบร้อยเพื่อเริ่มต้นใช้งาน
- ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของทางบริษัทผ่านทาง Facebook Fanpage หรือ Line Official เพื่อเริ่มใช้บริการและรับรายละเอียดเพิ่มเติม
- รอทางบริษัทดำเนินงานราว 1-2 วัน ก็สามารถใช้งานได้ทันที
รีวิวการทดลองใช้งาน BullVPN เข้าชมเว็บไซต์ต่างประเทศ
การเริ่มใช้บริการ BullVPN นั้นง่ายมาก หลังจากสมัครบัญชีกับทางเว็บไซต์แล้ว ที่หน้าเว็บไซต์ก็เปิดเช็คข้อมูลอย่างวันเวลาใช้งานที่เหลือ, รับวันทดลองใช้งานเพิ่ม, ชำระค่าบริการเพื่อต่ออายุการใช้งานไปจนถึงหน้ากรอก Promo Code หรือแชร์ให้เพื่อนใช้ก็ได้ โดยคัดลอกลิ้งค์ในกรอบ URL for friends แล้วส่งให้เพื่อนได้ทันที
เมื่อคลิกเข้ารับวัดทดลองใช้งาน ผู้ใช้ใหม่นอกจากได้วันใช้งานฟรี 1 วันหลังจากยืนยันตัวตนผ่าน E-mail แล้ว ยังสามารถแชร์ผ่าน Twitter ส่วนตัวเพื่อประชาสัมพันธ์ให้กับทางบริษัทเพื่อรับวันใช้งานเพิ่มฟรีอีก 2 วัน สรุปแล้วหากสมัครใช้งานและแชร์ผ่าน Twitter จะได้รับวันใช้งานเพิ่มสูงสุด 3 วัน
หน้า UI ของโปรแกรมถือว่าใช้งานได้ง่าย เมื่อต้องการใช้งานหรือหยุดเชื่อมต่อก็กดโลโก้ “พี่วัว” ตรงกลางเพียงครั้งเดียวก็พร้อมใช้งานทันที ส่วนกรอบ Profile ด้านล่างจะโชว์ Username กับเวลาใช้งานของไอดีนี้ ถ้าใช้จนหมดจะขึ้นเป็น Expired สีแดง หากจะใช้งานต่อก็เติมเงินหน้าเว็บไซต์แล้วใช้งานได้ทันที
หลังจากเชื่อมต่อเสร็จ จะมี Notification แจ้ง Assign IP หรือ IP จัดสรรจากโปรแกรม VPN ซึ่งไม่ใช่ IP แท้จริงของเครื่อง ดังนั้นเราก็ท่องอินเตอร์เน็ตได้อย่างสบายใจแล้ว
ในหน้าแรกของโปรแกรม VPN จะมีคำสั่งให้ใช้งาน 4 ส่วนหลักๆ ได้แก่
- ขีดสามเส้นมุมบนซ้ายมือ – ใช้เปิดการตั้งค่าโปรแกรมโดยละเอียด นอกจาก Setting หลักจะมีการตั้งค่า Network, Account รวมทั้ง Info รวมอยู่ด้วย
- Check IP มุมบนขวามือ – จะทำงานสองแบบ หากคลิ๊กโดยไม่เปิดใช้งาน VPN จะเข้าหน้าเว็บไซต์ของทางบริษัทพร้อมโชว์รายละเอียดของผู้ใช้ ได้แก่ IP Address, ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต, ประเทศและแผนที่ Google Maps ของเราอีกด้วย แต่ถ้าเปิดระบบ VPN เมื่อไหร่จะเปิดหน้านี้ไม่ได้
- โลโก้รูปธงตรงกลางเหนือโลโก้ – ใช้เปลี่ยนประเทศปลายทางที่ต้องการเชื่อมต่อ VPN เลือกได้ 28 ประเทศทั่วโลกพร้อมเซิร์ฟเวอร์ให้เลือกใช้อีก 100 แห่ง ผู้สนใจสามารถคลิกดูที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ได้ที่นี่
- Logs มุมล่างขวามือ – ใช้แสดงข้อมูลการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน VPN ของเราโดยละเอียด หากยังไม่เชื่อมต่อจะขึ้นเป็นหน้าสีขาว
การเชื่อมต่อเมื่อต้องการ VPN ไปยังต่างประเทศเพื่อดูสตรีมมิ่งหรือเล่นเกม ให้คลิกกรอบมีรูปธงชาติเหนือโลโก้แล้วจะมีหน้าต่างเลือกเซิร์ฟเวอร์เปิดแยกออกมา หากจะใช้ทำงานทั่วไปแต่ต้องการความเป็นส่วนตัว ให้กด Smart Server ปล่อยให้โปรแกรมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ดีสุดเลยก็ได้ หรือจะเลื่อนหาตามประเทศตามรายชื่อด้านล่างก็ดี
เมื่อเลือกประเทศแล้ว สังเกตว่าท้ายชื่อเซิร์ฟเวอร์บางรายการจะมีคำว่า Netflix กำกับไว้ หากใช้งานตามปกติจะเชื่อมต่อแบบเลือกแค่ประเทศก็ดับเบิ้ลคลิกประเทศแล้วปล่อยระบบจัดการรายละเอียดส่วนอื่นไปก็ได้ ยกเว้นว่าอยากดูคอนเทนต์ Netflix เฉพาะของประเทศนั้นๆ ค่อยเลือกเซิร์ฟเวอร์เจาะจงเพื่อดูสตรีมมิ่งก็ได้
ด้านความเร็วรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต เมื่อทดสอบด้วย Ookla แบบปิด VPN จะได้ความเร็ว Download และ Upload อยู่ช่วง 700 Mbps พอเปิดใช้งาน BullVPN แล้ววัดความเร็วรับส่งข้อมูลอีกครั้ง ด้าน Download ทำได้ 116.59 Mbps ส่วน Upload ได้ 67.44 Mbps
สำหรับความเร็วหลังเปิด BullVPN ขึ้นมาใช้งานแล้วช้าลงบ้าง ซึ่งผู้อ่านหลายคนอาจคิดว่ามันคงช้าจนเปิดเว็บไซต์หรือดูสตรีมมิ่งไม่ได้แน่ๆ แต่จากการทดลองใช้งานจริงก็ใช้ดู Netflix Japan ได้ลื่นไหลดีไม่มีปัญหา เนื่องจากบริการสตรีมมิ่งทั่วไปต้องการอินเตอร์เน็ตความเร็ว 15 Mbps ขึ้นไปก็ดูหนัง 4K ได้ เปิดเบราเซอร์ทำงานกับเว็บแอพฯ ได้สบายๆ ไม่มีอาการช้าหรือหน่วงมากวนใจแม้แต่น้อย
ส่วนตัวผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ใช้งาน VPN แบบติดมากับเบราเซอร์มาก่อนหน้านี้ ซึ่งระบบ VPN ดังกล่าวทำงานได้ช้าและเสียเวลาโหลดหน้าเว็บไซต์เป็นอย่างมากจนแทบไม่ได้งาน ผิดกับ BullVPN ซึ่งเป็นโปรแกรมแยกโดยเฉพาะ สามารถเปิดเว็บไซต์ โหลดไฟล์งานได้รวดเร็วเหมือนปกติ ได้ประสบการณ์ใช้งานดีกว่าชัดเจน
ทดลองใช้ Bullvpn เข้าชมเว็บไซต์ต่างประเทศ
สำหรับคนอยากดูซีรี่ส์ต่างประเทศโดยไม่เปิดเว็บไซต์ดูหนังแบบผิดกฏหมายแล้วใช้บริการ Netflix อยู่แล้ว ก็เปิด BullVPN เลือกเซิร์ฟเวอร์สำหรับ Netflix โดยเฉพาะแล้วเชื่อมต่อเพื่อดูซีรี่ส์ได้เลย เมื่อระบบ VPN เข้าสู่เซิร์ฟเวอร์ญี่ปุ่นสำหรับ Netflix แล้ว พอกด F5 จะเห็นว่าซีรี่ส์ญี่ปุ่นจะเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ มีเรื่องใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาให้เลือกดูได้มากขึ้นหลายเรื่อง
นอกจากซีรี่ส์หรือหนังแล้ว ยังเลือกชม Exclusive Content ซึ่งมีเฉพาะใน Netflix Japan เท่านั้นได้ด้วย ตัวอย่างเช่น Pocket Monster ซึ่งชมใน Netflix Thailand ไม่ได้ ต้องต่อ VPN เข้ามา Netflix Japan เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีซีรี่ส์และหนังแบบ Exclusive ฉายเฉพาะในญี่ปุ่นอีกหลายเรื่องและอัพเดทเร็วกว่าจะมีให้เลือกชมมากมายและอัพเดทตอนใหม่เร็วและต่อเนื่องด้วย
ข้อดีของอินเตอร์เน็ตเมื่อต่อ VPN จะปลดล็อคคอนเทนต์ให้เลือกชมได้มากขึ้นหลายเท่า ตัวอย่างได้แก่ซีรี่ส์เรื่อง Solitary Gourmet ซึ่งมีใน Netflix ประเทศไทยและญี่ปุ่น แต่สังเกตจำนวนตอนจะเห็นว่าของประเทศไทยรับชมได้ถึง Season 2 เท่านั้น ส่วน Netflix Japan ดูได้ถึง Season 8 ซึ่งฉายไปเมื่อปี 2019 แล้ว และผู้เขียนคาดว่าเร็วๆ นี้ก็จะอัพเดท Season 9 ตามเข้ามาอย่างแน่นอน
เมื่อคลิกเลือกตอนได้แล้วก็นั่งชมตอนที่ต้องการได้ทันที ได้ความต่อเนื่องไม่มีอาการรอโหลดหรือติด Buffer เมื่ออินเตอร์เน็ตทำงานช้าให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว ถือว่าระบบ VPN ของทางบริษัทสามารถใช้งานได้ดีมากไม่ต่างกับตอนเปิดอินเตอร์เน็ตตามปกติ
ข้อดีอีกอย่างของระบบ VPN ก็คือการรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างอิสระไม่โดนบล็อคเนื้อหา ซึ่งผู้เขียนได้ทดลองเชื่อมต่อเข้าเว็บไซต์ DMM ของญี่ปุ่นดู โดยปกติถ้าไม่ได้เปิด VPN จะมีหน้าต่างแจ้งผู้ใช้ว่าด้วยเรื่องกฏหมายและการใช้งานเป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากเว็บไซต์ DMM นอกจากเกมและบริการต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นแล้วยังมีเนื้อหาค่อนข้างหลากหลายแบบอีกด้วย
แต่ถ้าเปิด VPN ก่อนเข้าเว็บไซต์นี้แล้ว แบนเนอร์จะเปลี่ยนไปเล็กน้อยและไม่มีหน้าต่างแจ้งเตือนข้างต้นเปิดขึ้นมาแจ้งเตือนผู้ใช้อีกแล้ว และสามารถใช้งานได้เท่ากับชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
จะเห็นว่า VPN นั้นช่วยปลดล็อคคอนเทนต์ต่างๆ ออก ให้ผู้ใช้มีอิสระในการรับชมคอนเทนต์ยิ่งกว่าเดิมและค่าบริการรายเดือนก็ไม่แพงเกินไปอีกด้วย หรือจะซื้อเหมาเป็นรายปีก็คุ้มค่า ใช้งานได้ยาวแล้วมาชำระค่าบริการในปีหน้าได้เลย
แพ็คเกจใช้งานและโปรโมชั่นของ BullVPN และประเภทของผู้ใช้ที่เหมาะกับบริการนี้
แพ็คเกจสำหรับผู้สนใจจะมีให้เลือกใช้หลายแพ็คเกจด้วยกัน เริ่มต้นที่ 7 วันไปจนถึง 1 ปี เลือกสกุลเงินที่ต้องการใช้ชำระเงินได้ 2 แบบ ได้แก่ บาทหรือดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแพ็คเกจดังนี้
- 7 วัน 70 บาท เหมาะกับคนอยากทดลองใช้แต่จำกัดไว้ 1 Connection
- 1 เดือน 179 บาท เหมาะกับผู้จำเป็นต้องใช้ VPN ระยะหนึ่งหรือล็อคอินเกิน 1 เครื่อง
- 3 เดือน 499 บาท เฉลี่ย 166 บาท/เดือน
- 6 เดือน 949 บาท เฉลี่ย 158 บาท/เดือน
- 1 ปี 1,650 บาท เฉลี่ย 137 บาท/เดือน
ในหน้าเริ่มต้นเลือกแพ็คเกจ หากเลือกซื้อแพ็คเกจใช้งานเกิน 7 วัน จะเพิ่มจำนวนการเชื่อมต่อโดยใช้ Account เดียวเป็น 2 Connections เพิ่มได้สูงสุด 20 Connections แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามจำนวนการเชื่อมต่อ
เมื่อเลือกแพ็คเกจแล้ว หน้าขั้นตอนที่ 2 ให้กรอก E-mail หรือ Username ที่สมัครใช้งานลงไป ถ้าต้องการซื้อเก็บเอาไว้ก่อนให้ติ๊กถูกตรงช่อง “กำหนดเอง” แล้วเลือกวันที่ต้องการเริ่มใช้งานเป็นวันแรกได้ หากไม่กำหนดวันเปิดใช้งานเมื่อชำระค่าบริการแล้ว ระบบจะเริ่มนับวันใช้งานทันที
หน้าขั้นตอนการชำระเงิน ทางบริษัทจะรองรับการชำระเงินหลากหลายแบบ ตั้งแต่สแกนจ่ายด้วย QR Code พร้อมแสดงขั้นตอนการชำระเงินเอาไว้โดยละเอียด, สั่งชำระผ่านบัตรเครดิต, True Wallet, ShopeePay, PayPal, โอนเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทยของทางบริษัทก็ได้ แต่ต้องรอตรวจสอบการโอนเงินราว 1 ชั่วโมงถึง 1 วัน นอกจากนี้ยังชำระด้วยคริปโตเคอร์เรนซี่ได้อีกด้วย หากใครซื้อแพ็คเกจเริ่มต้นจะชำระผ่าน PayPal กับคริปโตเคอร์เรนซี่ไม่ได้
หากใครสะดวกชำระด้วยคริปโตเคอร์เรนซี่ สามารถเลือกหัวข้อนี้ได้เลย และรองรับ 2 สกุลเงินดิจิตอล ได้แก่ BUSD, USDT ซึ่งเป็น Stable Coin ทั้งคู่ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนคาดว่าเพราะสกุลเงินดิจิตอลทั้งสองสกุลมีเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นแบ็คอยู่และสอดคล้องกับการรับชำระเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐที่หน้าสั่งซื้อหน้าแรกนั่นเอง
ใครควรใช้ VPN?
แม้หลายๆ คนอาจจะเห็นว่าบริการ VPN น่าใช้งานแต่ก็ไม่ได้จำเป็นยิ่งยวด แต่ถ้ามองกลับกัน ในปัจจุบันนี้ผู้ใช้หลายๆ คนพกโน้ตบุ๊คไปทำงานตามร้านกาแฟแล้วเชื่อมต่อ Wi-Fi Hotspot ฟรีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นบริการของทางร้านกาแฟเองหรือจากผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ก็อาจมีการดักข้อมูลส่วนตัวของเราไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งบางคนอาจจะถูกดักข้อมูลสำคัญอย่างบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตได้เลย
ดังนั้นเมื่ออินเตอร์เน็ตเป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะใช้เพื่อความบันเทิงหรือทำงาน การป้องกันตัวเองด้วย VPN ก็สำคัญไม่แพ้การจ่ายเงินใช้บริการสตรีมมิ่งเพื่อความบันเทิงอย่างแน่นอน เพียงแค่จัดสรรเงินสักเล็กน้อยก็ช่วยลดปัญหาการโดนดักข้อมูลส่วนตัวไปได้มาก
ซึ่งถ้าผู้ใช้คนไหนไม่มั่นใจว่าจะใช้บริการ VPN จากผู้ให้บริการรายใด ก็ขอแนะนำ BullVPN เป็นเจ้าแรกเพราะเป็นบริษัทสัญชาติไทย มีทีมซัพพอร์ตพร้อมให้บริการชาวไทยผู้อยากใช้งาน VPN ทุกคน โปรแกรมเข้าใจง่ายใช้งานสะดวกเชื่อมต่อเน็ตได้รวดเร็วไม่ต่างกับการใช้งานตามปกติอีกด้วย