จอคอม จอเล่นเกม 2022 เลือกให้ถูกใจ ต้องดูที่สิ่งใดบ้าง 5 ข้อนี้เป็นแนวทางที่ให้คุณซื้อได้ตรงความต้องการ
จอคอม จอเล่นเกม เวลาที่คุณเลือกที่จะหาซื้อจอเล่นเกมสักรุ่นหนึ่ง คุณนึกถึงสิ่งใดเป็นเรื่องแรกๆ กันครับ เพราะว่าจอเกมมิ่งในปัจจุบัน ก็มีตัวเลือกอยู่มากมาย ในปี 2022 นี้ ก็ดูจะมีจอคอมรุ่นใหม่ออกมาให้ได้ใช้งานกันมากมาย สังเกตได้จากงาน Commart ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีให้เลือกกันทุกค่าย และเปิดราคากับจอสำหรับเล่นเกมในระดับต้นๆ ไม่ถึง 5 พันบาท สำหรับจอขนาด 27″ อย่างไรก็ดี การเลือกจอคอมมาใช้สักรุ่นหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้ง่าย เพราะมีฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งจะทำให้คุณชื่นชอบและใช้งานกันได้แบบยาวๆ แต่ถ้าเลือกผิด ก็อาจจะหงุดหงิดกับการใช้งานได้ไม่น้อย วันนี้เราก็นำเอาเรื่องสำคัญๆ ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการเลือกจอที่จะนำไปเล่นเกมให้ถูกใจ ส่วนจะต้องดูอะไรบ้าง มาดูบทความนี้กันครับ
จอคอมเล่นเกมปี 2022 เลือกแบบไหนดี?
- พื้นที่แสดงผลขนาดใหญ่
- ความละเอียด (Resolution) และอัตรารีเฟรชเรต
- ฟีเจอร์และเทคโนโลยีพิเศษ
- การปรับแต่ง
- จอโค้งหรือจอแบน
- 5 จอคอมเกมมิ่ง 2022 ที่น่าสนใจ
- Conclusion
1.พื้นที่แสดงผลขนาดใหญ่
พื้นที่แสดงผลเป็นปัจจัยแรกๆ ของใครหลายคนที่คิดจะเปลี่ยนจอเล่นเกมตัวใหม่ เพราะพื้นที่แสดงผลที่ใหญ่ ก็ทำให้เห็นอะไรๆ ได้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเกมแนวใดก็ตาม Action, RPG, RTS หรือ MOBA เปรียบเทียบให้ดูตามนี้เลยครับว่า จะเห็นสิ่งต่างๆ ได้ใหญ่เพียงใด ระหว่างจอ 24” กับ 32” อย่างในเกม PUBG กับ DOTA2 ความต่าง ก็จะยิ่งเห็นได้ชัด ตัวละครก็จะใหญ่สะใจ DOTA2 นี่ เห็นชุดของฮีโร่ได้ชัดมากขึ้น
เกมแอ็คชั่นก็เรียกว่า เล็งได้ง่ายกว่าเดิม เมื่อก่อนอาจจะเห็นศัตรูอยู่ไกลๆ แต่ขยับปืนยิงทีไรก็ไม่โดน เพราะยังไม่ชัด แต่ถ้าจอใหญ่ขึ้นแล้ว ศัตรูก็ตัวโตขึ้น อย่างน้อยๆ ระยะเดียวกัน ก็ไม่น่าพลาด
และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการจะต้องเลือกเมนูตั้งค่าของเกม แล้วมันเล็ก จนบางทีก็ตาลาย ได้จอใหญ่ๆ ก็จะเห็นชัดมากขึ้น จะเลือกหรือเลื่อนเมนูก็สะดวกไม่น้อย แต่การที่เลือกจอขนาดใหญ่ ก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไปนะครับ ข้อจำกัดมันก็มี อย่างเช่น
พื้นที่การจัดวาง น้ำหนัก: สิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกก็คือ จอใหญ่ น้ำหนักก็จะเพิ่มตามไปด้วย สิ่งที่ต้องคำนึงคือ โต๊ะคอมของคุณ ว่าสามารถรับน้ำหนักได้ดีแค่ไหน และปลอดภัยเพียงใด วางจอไปแล้ว จะยังมีพื้นที่พอวางเคสคอมมั้ย หรือต้องย้ายไปวางใต้โต๊ะ แผ่นรองเมาส์ตัวโปรด รวมถึงพื้นที่การวาดเมาส์ของคุณ ยังสะดวกเหมือนเดิมหรือไม่ ขอยกตัวอย่างแบบนี้ครับ
MSI MPG ARTYMIS 323CQR เป็นจอไซส์ใหญ่ 32″ สเปคจัดเต็ม เอาใจเกมมิ่ง ความละเอียด 2K 1440p อัตรารีเฟรชเรต 165Hz และมีฟังก์ชั่้นปรับเลื่อนจอได้หลายแบบ น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 9Kg และความยาวถึง 70cm ในขณะที่จอรุ่นน้อง ที่ย่อมลงมาอย่าง Optix MAG241CR ที่เป็นจอเกมมิ่งเหมือนกัน แต่ขนาดเล็กกว่าอยู่ที่ 24″ ความละเอียด 1080p และมีฟังก์ชั่นปรับเลื่อนได้เล็กน้อย น้ำหนักอยู่ที่ 5Kg และความยาวเพียง 53cm เท่านั้น ลองไม่มองข้ามตรงจุดนี้ด้วยครับ
ระยะการนั่ง: อาจจะต้องถอยออกมาจากเดิม อย่าลืมว่าจอขนาดเล็ก คุณแค่กรอกสายตาไปมา ก็มองเห็นได้ทั่วจอแล้ว แต่จอที่ใหญ่ขึ้น บางครั้งไม่แค่กรอกตา แต่อาจจะต้องหันทั้งคอ ยิ่งช่วงที่ฉุกละหุก อยู่ท่ามกลางดงศัตรู หรือกำลังไล่ล่าอยู่ หันดูไม่ทัน คุณอาจจะกลายเป็นเหยื่อได้เลย ระยะการถอย ไม่ตายตัว เพราะสายตาไม่เหมือนกัน แต่ระยะที่เป็นพื้นฐานของจอคอม จะเป็นดังนี้ จอ 24″ Full-HD อาจจะห่างแค่ 80-90cm แต่จอ 32″ Full-HD เหมือนกัน อาจจะต้องห่างถึง 110cm ด้วยระยะที่ห่างออกมานี้ ไม่ใช่แค่ตัวคุณเพียงอย่างเดียว เพราะต้องหาโต๊ะที่วางได้ รวมถึงที่วางเมาส์ คีย์บอร์ด ที่ให้คุณคอนโทรลได้สะดวกอีกด้วย
ความละเอียด: ได้พื้นที่ขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ ถ้าความละเอียดไม่สูงตามไปด้วย หรือพิกเซลบนจอก็ช่างน้อยเหลือเกิน สังเกตได้จากจอที่ไม่ได้เป็นจอเกมมิ่งเป็นหลัก เช่นจอ 27” หรือ 32” แต่เป็นแค่ Full-HD ได้พื้นที่จอใหญ่ ทำงานสะดวกมากขึ้นก็จริง แต่ก็เน้นพรีวิวเป็นหลัก เช่น จอในสำนักงาน หรือจอที่ใช้ในงานทั่วไป ในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจทำให้ภาพที่ได้ดูแตกๆ หรือไม่คมตามที่ควรจะเป็น แต่ปัญหานี้จบได้ แค่คุณจ่ายเพิ่มเป็นจอเกมมิ่ง ตรงนี้เดี๋ยวไปอธิบายในส่วนของ Resolution ครับ
2.ความละเอียด (Resolution) และอัตรารีเฟรชเรต
ทั้งสองสิ่งนี้ขอพูดคู่กันไปในหัวข้อเดียวกันเลย ถ้าจะเลือกจอเล่นเกมใหม่ทั้งที ก็น่าจะเพิ่มคุณภาพของภาพให้ดีขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะเกมเมอร์ ที่เริ่มเบื่อกับความละเอียดเดิมๆ และเลือกจอที่มีพื้นที่แสดงผลขนาดใหญ่ อย่างที่ได้กล่าวไปในหัวข้อ พื้นที่แสดงผล ซึ่งให้พื้นที่กว้างอย่างเดียว อาจจะดูแปลกๆ ไม่ได้รายละเอียดที่ดีมากนัก แต่ถ้าขยับมาที่ 2K 1440p หรือ 4K 2160p ก็จะได้ภาพที่ให้ความรู้สึกที่ลึกลงไปอีก รวมถึงพื้นที่แสดงผลจะมากขึ้นเป็นอีกเท่าตัว แต่อาจจะมีคำถามว่า จะทำให้ภาพในเกม เปลี่ยนไปอย่างไร? มาดูที่ตัวอย่างนี้กันครับ
จอแสดงผลขนาด 32” ความละเอียด 2K แต่เล่นในโหมด Full-HD เราตั้งค่าจอให้เป็น Full-HD และเกมอยู่ที่ 1080p เช่นกัน พื้นที่ในการเล่นแบบนี้ และเมื่อเทียบกับจอ 32” แต่ตั้งความละเอียดเป็น Native 2K ตามสเปคจอ และเล่นเกมในโหมด 2K เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่า ขอบเขตของพื้นที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
แต่ๆๆๆ อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปนะครับ ว่าจะได้พื้นที่ทำงานที่กว้าง หรือได้รายละเอียดในเกมมากขึ้น สิ่งแรกที่คุณต้องคำนึงถึงก็คือ สเปคคอมเล่นเกมของคุณนั้น จะดันไหวหรือเปล่า เพราะสเปคคอมของคุณต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อความละเอียดที่สูงเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ถ้าคอมแรงอยู่แล้ว ก็ข้ามไปได้เลยครับ แต่ถ้าไม่ไหว ก็คงต้องเตรียมงบประมาณหาการ์ดจอแรงๆ สักตัวมาเล่นแทนครับ
อัตรารีเฟรชเรต (Refresh Rate)
คงไม่ต้องอธิบายกันเยอะสำหรับข้อนี้ เพราะคอเกมทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี ทำให้ภาพในเกมลื่นสบายตามากขึ้น การเลือกจอที่มีความละเอียดสูงอย่างเดียวอาจไม่พอสำหรับการเล่นเกม แต่อาจจะเหมาะกับการทำงานมากกว่า โดยเฉพาะคนที่มีคอมแรงๆ การ์ดจอขั้นเทพอยู่แล้ว คงไม่มาเล่นบน Refresh rate 60Hz พื้นฐาน แต่น่าจะต้องมองไปที่ตัวเลขมากกว่านี้ อย่างน้อยๆ ก็ 120Hz ขึ้นไป ซึ่งในปัจจุบัน จอเล่นเกม ก็เริ่มต้นกันที่ จอ 144Hz กันแล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
แม้ว่าอัตรารีเฟรชเรต จะไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องของเฟรมเรตโดยตรงเสียทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่า มีความใกล้เคียงกัน เช่น สเปคคอมของคุณ เล่นเกมไปได้ที่ 40-50fps. ซึ่งหมายถึง เฟรมต่อวินาที นั่นคือ ที่ระบบเรนเดอร์ออกมาได้ จอคอมที่มีรีเฟรชเรตระดับ 60Hz ก็ดูจะเพียงพอต่อการใช้งาน นั่นก็เพราะ จอภาพแสดงผลได้ 60 เฟรมต่อวินาที ก็ทำให้ได้ภาพที่มีความนุ่มนวล สอดคล้องกัน
แต่ถ้าเมื่อใดที่คอมคุณแรง เล่นเกมได้ระดับ 120fps. แต่หน้าจอของคุณเป็นแค่ 60Hz ภาพที่ได้แม้จะต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ความสมูท นุ่มนวล รวมถึงในระยะเป้าที่คุณกำลังเล็ง แทนที่จะเคลื่อนไหวกระบอกปืนไปยังเป้าได้ลื่นไหล ก็มาต้องสะดุดกับการแสดงผลเฟรมที่น้อย ก็ทำให้ความแม่นยำลดลงไปด้วย อีกทั้งเสียทรัพยากรไปเปล่าๆ เพราะเครื่องแรงขึ้น แต่จอแสดงผลได้เท่าเดิม ส่วนถ้าคอมคุณไม่แรง เฟรมเรตไม่ได้สูง เลือกจอเล่นเกมที่มีรีเฟรชเรตที่สูงกว่า ก็ให้ผลไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ว่า อาจจะใช้วิธีลด Detail ในเกม เพื่อให้ได้เฟรมเรตที่มากขึ้น ก็ยังพอเป็นไปได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็คงไม่ใช่แค่เรื่องของ Refresh Rate เท่านั้น อัตราตอบสนอง อย่าง Response time ก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่จอโดยส่วนใหญ่ ก็จะอยู่ที่ 1ms หรือน้อยๆ ก็ 5ms อยู่แล้ว จึงไม่ได้เป็นตัวแปรที่มีผลมากนักในปัจจุบัน
3.ฟีเจอร์และเทคโนโลยีพิเศษ
เรื่องของสเปค พื้นที่แสดงผล รีเฟรชเรต ความละเอียด ก็เป็นเรื่องที่ต้องสนใจ เมื่อจะซื้อจอเล่นเกมสักรุ่น แต่ฟีเจอร์หรือคุณสมบัติพิเศษของจอ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะไม่เพียงมีผลต่อการเล่นเกมเท่านั้น แต่ในบางครั้งยังช่วยให้คุณเล่นเกมได้ดีขึ้น หรือบางทีก็ได้เปรียบในการเล่นเกม เรียกว่าโอกาสชนะมากขึ้นก็ว่าได้ครับ โดยฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้ มักจะมีมาให้บนจอเกมมิ่งหลายรุ่น แต่จะมีให้มากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับไลน์ผลิตภัณฑ์ของแต่ละรุ่นนั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะมีให้ปรับใน OSD settings ของจอภาพ ตัวอย่างเช่น
เพิ่มการมองเห็นในฉากมืด: Night Vision, Black Stabilizer ก็จะเรียกกันแนวๆ นี้ เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้คุณมองเห็นสิ่งต่างๆ ในฉากที่มืดได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกม Action หรือแนวหลอนๆ อย่าง PUBG, Battlefield, Dead by Daylight หรืออื่นๆ ซึ่งข้อดีคือ คุณอาจมองเห็นศัตรูได้ และจัดการได้ก่อน รวมถึงเกม Adventure ที่มีเคสต์รายทาง เช่นการหาของ ก็ทำได้ง่ายขึ้น บางรุ่นมีให้ปรับระดับได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะปรับอย่างไร ไม่ให้เสียอรรถรสในการเล่นนั่นเอง
มีฟังก์ชั่นเสริม ช่วยในการเล็งเป้า: โดยจะเป็น AIM Point ในการบอกทิศทางได้แม่นยำ เพื่อเล็งเป้าหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และบางรุ่นยังมี Smart Cross Hair ที่ให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่า Cross Hair ให้ตัดกับสีพื้นหลังได้ ทำให้มองเห็นเป้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเกม PUBG หรือ WarZ และเกมอื่นๆ ที่การโจมตีในจุดต่างๆ ของร่างกายให้ความรุนแรงที่แตกต่างกัน นับว่ามีประโยชน์ไม่น้อยเลยครับ
เพิ่มความนุ่มนวลต่อเนื่องในการเล่นเกม: เช่น เทคโนโลยี G-Sync, FreeSync ตรงนี้ยังมีแยกเลเวลอีกเป็น G-SYNC Compatible กับ G-SYNC หรือจะเป็นอีกค่ายที่มี FreeSync, FreeSync Premium และ FreeSync Premium Pro เป็นต้น คุณสมบัติและเงื่อนไขก็จะต่างกันออกไป รวมถึงคุณภาพในการแสดงผล ก็จะไม่เหมือนกันด้วย เฟรมเรตที่ได้นิ่งและไหลลื่น รวมถึงลดอาการภาพฉีกขาดได้ การเล่นเกมแนว FPS หากไม่สะดุด ภาพไม่ขาด ไหลลื่นต่อเนื่อง โอกาสชนะก็เพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน ตรงนี้ถ้าเงินเหลือ แนะนำให้จัด แต่ถ้าเน้นประหยัด จะเป็นฟีเจอร์เริ่มต้น ก็ยังพอไหว
ให้สีสันที่สดใสสมจริง: ตรงนี้ถือเป็นตัวแปรอย่างหนึ่งที่ทำให้จอของคุณราคาถูกหรือแพงได้เหมือนกัน ยิ่งเป็นจอที่ได้รับ VESA DisplayHDR Certification ก็จะทำให้ราคาสูงขึ้นไป ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเวอร์ชั่นได้นั่นเอง สำหรับคอเกม หากต้องการความสมจริง สีสันมีการไล่เฉด กลมกลืน HDR คือคำตอบ แต่ถ้าการเล่นเกมของคุณ แค่เอฟเฟกต์สวยๆ ภาพคมชัด แค่เป็นจอที่รองรับ HDR ร่วมกับ Windows ได้ก็เพียงพอแล้ว ราคาสบายกระเป๋า
นอกจากนี้ก็ยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายบนจอเกมมิ่งรุ่นใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้การใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงให้อรรถรสในการเล่นเกมได้แบบเต็มอิ่มอีกด้วย
4.การปรับแต่ง
ความยืดหยุ่น บางคนอาจจะมองว่าไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะคอเกมที่เน้นการดูหน้าจอแบบตรงๆ เอาแค่ปรับเลื่อนมุมนิดหน่อย ให้เข้ากับสายตาได้ก็พอ แต่บางคนก็ไม่ได้เล่นเกมเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้งานอื่นๆ ในชีวิตประจำวันด้วย ไม่ว่าจะเป็น การทำงาน ดูหนัง แต่งภาพ หรือการตัดต่อวีดีโอ สาย Content Creator การปรับเลื่อนจอได้สะดวก หรือมีให้ปรับได้บ้าง ก็น่าจะเหมาะสมกับการใช้งานดีครับ
โดยพื้นฐาน จอเดิมๆ ทั่วไป ก็อาจจะมีให้ปรับได้ 2 รูปแบบคือ มุมก้ม-เงย (tilt) เป็นหลัก แต่บางรุ่นก็เพิ่มระดับความสูง-ต่ำของหน้าจอมาให้ แต่รุ่นที่เป็นตัวท็อปๆ นั้น ก็จะยัดทุกฟังก์ชั่นมาให้เลย ไม่ว่าจะเป็น มุมก้ม-เงย, ปรับความสูง-ต่ำ, เพิ่มหันหน้าจอซ้าย-ขวา เผื่อเวลาให้คนข้างๆ ช่วยกันดู และบางรุ่นก็จะให้ปรับ Pivot หรือหมุนจอ 90 องศา เลือกใช้หน้าจอเป็นแนวตั้งหรือแนวนอนได้อีกด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่ให้มาครบๆ ราคาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลด้วย
อีกสิ่งหนึ่งก็สำคัญ เมื่อพูดถึงเรื่องการปรับแต่ง นั่นคือ OSD settings หลายคนอาจจะมองข้าม แต่เชื่อเถอะว่า ยิ่งใช้สะดวกเท่าไร มีความละเอียดและโหมดการใช้งานที่ครอบคลุม มันจะเป็นตัวช่วยที่ดีให้การเล่นเกมได้เลย และสิ่งที่ต้องดูมี 2 อย่างนี้
เรื่องแรก: ใช้ง่าย ปรับแต่งได้เร็ว อย่างที่เราเคยได้สัมผัสกัน การปรับแต่ง OSD บางรุ่นจะเป็น ปุ่มหลายๆ ปุ่ม เรียงกัน และแต่ละปุ่ม ก็จะเป็นฟังก์ชั่นเฉพาะ เช่น เลื่อนซ้าย-ขวา เลือก ยกเลิก หรือจะกลับสู่หน้าหลัก บางคนก็ถนัด แต่บางคนก็งง ยิ่งปุ่มเยอะ และไปอยู่ด้านหลังด้วย บางทีก็ไม่ง่าย แต่บางคนอาจจะใช้ถนัด ก็ว่ากันไป อีกแบบหนึ่งจะเป็นจอยสติ๊ก คือ ปุ่มเดียวเหมือนจอยเล่นเกมคอนโซล เลื่อนไปมาได้สะดวก ได้ถูกใจก็กดเลือก จะไปซ้าย-ขวา ขึ้น-ลง ก็ง่าย แต่ก็แลกมาด้วยการต้องระมัดระวังหน่อย เพราะบางคนมือหนัก กดจนหลุดได้เช่นกัน
เรื่องที่สอง: คือเรื่องฟังก์ชั่นภายใน OSD ควรจะต้องดูง่าย เข้าใจได้รวดเร็ว ชนิดที่ว่าไม่ต้องมานั่งตีความ หรือต้องเลื่อนไขไปจนลึกหลายชั้น ซับซ้อน ซึ่งจะทำให้คุณเบื่อทุกครั้ง ที่ต้องมาตั้งค่า OSD นี้ พาลจะใช้ได้ไม่เต็มที่ ไม่คุ้มราคา จอที่ดีควรจะให้คุณเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นาน และอีกสิ่งที่จำเป็นก็คือ Gaming Mode ที่อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีเป็นโพรไฟล์ให้เลือกปรับ เช่น FPS, RTS, MOBA, Adventure เป็นต้น ส่วนอื่นก็จะเป็นการใช้สำหรับ การดูหนัง ทำงาน หรือท่องเว็บ เป็นต้น แต่ถ้าจะให้ Advance ขึ้น ก็ควรจะปรับแต่งในโหมด User จนถูกใจ แล้วบันทึกเก็บเอาไว้ใช้กับเกมแนวที่เล่นได้อีกด้วย
5.จอโค้งหรือจอแบน
หลายคนก็ว่าจะโค้ง เป็นจอที่เหมาะกับการเล่นเกม แต่บางคนก็มองว่าจออีสปอร์ตที่แข่งขัน ส่วนใหญ่ก็จะเห็นเป็นจอแบน (Flat) ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้ ก็ไม่มีมีผิดถูกถ้าคุณคิดจะเลือกแบบที่คุณชื่นชอบ แต่ขอให้คุณไปลองดูจอตัวอย่าง ที่มีให้ดูกันตามหน้าร้านในห้าง ก่อนจะตัดสินใจ
แต่ก็จะให้ข้อมูลในเบื้องต้นแบบนี้ครับว่า จอโค้ง หลายคนชื่นชอบ เพราะสามารถโอบกระชับสายตาได้ดี ทำให้เรามองเห็นพื้นที่ต่างๆ ได้ครอบคลุมมากขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่า ต้องเป็นจอที่มีพื้นที่แสดงผลขนาดใหญ่ ก็จะได้ประโยชน์จากความโค้งนี้ได้มากขึ้น หากเป็นจอเล็กๆ อย่าง 24-27” ก็อาจจะไม่ได้เห็นผลมากนัก
แต่ถ้าในกรณีที่คุณชื่นชอบแสงสีที่ตรงไปตรงมา มองเห็นได้จากมุมที่คุณนั่งอยู่ ไม่ต้องกังวลแสงที่สะท้อนจากในมุมต่างๆ เนื่องจากจอแบน คุณสามารถกำหนดมุมในการวางหรือปรับแสงไฟจากโซนรอบตัวคุณได้ง่ายกว่า อีกทั้งจอเกมมิ่ง อีสปอร์ต ก็จะไซส์ไม่ใหญ่ แต่ใส่เทคโนโลยีมาจัดเต็ม ก็ทำให้คุณมองเห็นครอบคลุมพื้นที่ และรู้สึกแฮ้ปปี้มากกว่าการใช้จอโค้งก็เป็นได้ครับ
สุดท้ายคือเรื่องของพอร์ตนะครับ เพราะอย่าลืมว่า เล่นเกมให้สนุก ภาพลื่นๆ บนจอรีเฟรชเรตสูงๆ ก็ต้องอาศัยพอร์ตที่ตอบโจทย์ได้เช่นกัน พื้นฐานควรจะมีทั้ง HDMI และ DisplayPort แต่ถ้าเป็นจอความละเอียดสูงและรีเฟรชเรตที่สูง ก็ต้องใช้พอร์ตรุ่นใหม่ อย่าง HDMI 2.0 หรือ 2.1 ที่รองรับจอ 8K หรือ 10K ได้ รวมถึง 4K ที่มากกว่า 120Hz ขึ้นไป
เช่นเดียวกับ DisplayPort 1.4 และ 2.0 ที่เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งนอกจากจะต้องดูรายละเอียดแล้ว ก็จะต้องไปเลือกสายสัญญาณที่เข้ากันได้มาใช้งาน เพื่อให้การแสดงภาพออกมาสมบูรณ์ เอาเป็นว่า คุณชอบแบบไหน ก็อยากให้ไปลองใช้งานดูก่อน มีตัวอย่างให้ได้ลองอยู่มากมาย ตามหน้าร้าน ชื่นชอบแบบไหน ก็เลือกได้ตามสะดวกครับ
5 จอคอมเกมมิ่ง 2022 ที่น่าสนใจ
จอเกมมิ่งที่มีความล้ำสมัย ทั้งด้านหน้าและหลัง ใส่ฟีเจอร์มาให้กับผู้ใช้ครบครันขอบจอบางเฉียบ ใช้งานแบบมัลติมอนิเตอร์ได้ ไม่มีขอบเยอะจนเสียอารมณ์ อัตรา refresh rate 144Hz เป็นพาแนลแบบ VA ที่ให้สีสันสดใส เหมาะกับการเล่นเกมอย่างยิ่ง Flicker Free ลดอาการสั่นไหวของภาพ รองรับเทคโนโลยี AMD FreeSync Premium เพื่อภาพที่ต่อเนื่อง ลดอาการภาพฉีกขาด การกระตุกในเกมน้อยลง ดูสบายตา เช่นเดียวกับฟีเจอร์ Eye Saver Mode และ Flicker Free ที่ลดอาการสั่นไหว ให้ภาพที่นุ่มนวล เป็นจอให้การปรับเลื่อนได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น มุมก้ม-เงย, หันซ้าย-ขวา และปรับหมุน Pivot ได้อีกด้วย Samsung ODYSSEY G3 LF24G35TFWEXXT รุ่นนี้ราคาประมาณ 5,900 บาท
จอแสดงผลขนาดใหญ่ 31.5″ ให้การแสดงผลเต็มตา ทั้งการดูหนัง ทำงานและเล่นเกม บนความละเอียด Full-HD และเป็นจอโค้งในแบบ Curved 1800R บนพื้นที่ ที่เพียงพอต่อการใช้งาน ด้วยพาแนลสำหรับการเล่นเกม VA จึงให้สีสันสดใสได้ดีในระดับหนึ่ง และตอบสนองได้ไว มุมมองกว้าง กับดีไซน์ที่เรียกว่าออกมาได้ทันสมัย ด้วยขอบจอที่บางพิเศษ ดีไซน์ตัวฐานโค้งมน ฟีเจอร์ถนอมสายตา BlueLightShield และ Acer VisionCare™รองรับ AMD FreeSync และรีเฟรชเรตระดับ 144Hz ให้เกมเมอร์เล่นเกมได้ลื่นไหลขึ้น มีพอร์ตสัญญาณ Input มาให้ทั้ง HDMI และ DP ราคาอยู่ที่ประมาณ 7,500 บาท
จอเกมมิ่ง 27″ 165Hz ฟีเจอร์จัดเต็ม เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความลื่นไหลให้กับการเล่น บนหน้าจอขนาด 27″ ซึ่งเป็นพาแนลแบบ VA ออกแบบมาเพื่อคอเกมโดยเฉพาะ กับอัตรารีเฟรเชเรตที่สูงถึง 165Hz และเพิ่มความมั่นใจให้กับการเล่นเกมด้วยเทคโนโลยี Adaptive Sync ลดอาการภาพฉีกขาด ให้เฟรมเรตในเกมและอัตรารีเฟรชเรตลื่นไหล บนความละเอียด 1920x1080p Full-HD ดีไซน์ขอบจอบางเฉียบ และให้ลูกเล่นในการปรับแต่งบน OSD ได้อย่างละเอียด สนับสนุน HDR และมีลำโพงมาให้ในตัว ปรับโหมดการเล่นเกมได้ ไม่ว่าจะเป็น Standard, FPS, RTS, MOBA ราคาประมาณ 7,900 บาท
จอเกมมิ่งไซส์ 24″ ให้ภาพที่สว่างสดใส พาแนล IPS ให้ความคมชัด และฟีเจอร์เพิ่มความสมจริง HDR 10 ที่ให้ความอิ่มของสี รองรับ AMD FreeSync Premium และฟังก์ชั่นการเล่นเกม เพิ่มความได้เปรียบ ช่วยมองเห็นศัตรูในที่มืดได้ชัดขึ้น รองรับการปรับแต่ง OSD ได้ทั้งบนหน้าจอ และซอฟต์แวร์ LG Screen Manager พร้อมด้วยการปรับมุมก้มเงย เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งาน ด้วยการออกแบบที่ล้ำสมัย ทั้งด้านหน้าและหลัง รวมถึงโทนสีแดงที่ดูเร้าใจ เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 6,900 บาท
ใส่ให้อารมณ์ของเกมมิ่ง ฟีเจอร์ครบสำหรับคอเกม อัตรารีเฟรชเรต 165Hz และพาแนล VA ที่สีสันสดใส เหมาะกับการเล่นเกม มาพร้อม AMD FreeSync Premium ให้เล่นเกมได้ลื่นไหล ลดอาการภาพฉีกขาด ดีไซน์ล้ำสมัย เป็นสไตล์ของจอโค้ง ให้พอกระชับสายตาและมีขอบจอบางเฉียบ ขาตั้งและด้านหลังตัวจอทำออกมาโดดเด่น ค่า Response time ต้ำตอบสนองไว รองรับ HDR mode ไล่เฉดสีทำได้สวยงาม เพิ่มความสมจริงและสวยงามมากขึ้น ทั้งในแง่ของการเล่นเกม และชมภาพยนตร์ มีขอบเขตสีที่กว้าง เคาะราคาที่ 8,500 บาท
Conclusion
ทั้งหมดนี้เป็น 5 แนวทางในการเลือกจอคอมเล่นเกมปี 2022 แบบง่ายๆ เพื่อให้ได้จอที่ถูกใจคุณ อย่าลืมนะครับว่า คุณใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมในแต่ละวันเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะเกมเมอร์ที่เล่นเป็นประจำ หรือเล่นเป็นทีม อย่างเช่นเกมยอดนิยมในปัจจุบัน ที่เป็นแนว Battle Royale ที่เล่นกันเป็นทีมร่วมกันกับเพื่อนๆ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกจอคอมที่ถูกใจคุณได้มากที่สุด ก็เป็นเหมือนการเลือกอาวุธคู่กายของคุณ ให้เล่นเกมได้สนุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมอีกด้วย สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามกันนะครับ