ASUS ROG ZEPHYRUS M16 (GU603) ปี 2022 ใช้สเปกชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H และการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti รุ่นใหม่ล่าสุดประสิทธิภาพสูงระดับท็อป กับการที่เป็น Gaming Notebook ที่น่าซื้อที่สุดรุ่นหนึ่ง เน้นความพรีเมียม เบา 2 กิโลกรัม ดีไซน์บางเบา หน้าจอใหญ่ 16″ จอ QHD+ 165Hz สีสวยวามจริงลื่นไหล รองรับ Dolby Vision ติดตั้งลำโพง 6 ตัว เสียงดีเสียงดังสนับสนุน Dolby Atmos วัสดุฝาหลังเป็นโลหะผ่านกระบวนการขึ้นรูปเจาะ CNC ที่เรียบเนียนสวยงาม สีสัน Off Black ที่ให้ความดุดันอย่างโดดเด่น
โดยติดตั้งแรมมาขนาด 32GB DDR5 Bus 4800MHz อีกทั้งได้ที่เก็บข้อมูลมาเป็นแบบ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB อีกทั้งมีระบบ IR Camera สแกนหน้าเข้าใช้งานด้วย จัดเต็มเลยการเล่นเกมจริงจังหรือทำงานสาย Creator มืออาชีพ มีมาตรฐานการเชื่อมต่อมาตรฐาน Thunderbolt 4 ที่รองรับทุกๆ การเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะโอนถ่ายข้อมูล ต่อจอแยก 4K/8K และชาร์จไฟ PD มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ใช้ได้ทันที แบตใช้งานได้นาน 10 ชั่วโมง ประกันก็เป็น 3 ปี On-site Service และประกันอุบัติเหตุในปีแรกด้วย สนนราคา 92,990 บาท
NBS Verdict
นับว่าเป็น Gaming Notebook ที่ทำงานระดับมืออาชีพ ดีไซน์บางเบา เน้นการทำงาน ให้ปสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอด ผ่านขนาดหน้าจอ 16″ ที่ทรงพลังจริงๆ และแรงล้ำไม่ซ้ำใคร สำหรับการมาของ ASUS ROG Zephyrus M16 เชื่อได้เลยว่าตลาด Gaming Notebook สนุกสนานแน่นอน ไม่ใช่แค่เป็นรุ่นหน้าจอ QHD+ ที่คมชัดกว่า Full HD และได้พื้นที่มากกว่าด้วยสัดส่วน 16:10 การอัปเกรดครั้งใหญ่สุดด้วยการมาของสเปกชิปประมวลผลตัวท็อปให้ล่าสุดจาก Intel Core i9 Gen 12 H45 อย่าง i9-12900H ก็แรงลื่นและล้ำหน้าเหนือชั้นกว่าที่เคยมีมา จากสถาปัตยกรรม Hybrid Core แบ่งเป็น P-Core / E-Core
ประกอบกับการ์ดจอแยกรุ่นรองท็อปตัวใหม่ NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (8GB GDDR6) มีค่า TGP ที่อัดไฟไปได้สูงถึง 120W โดยผ่านการ ROG Boost (Over Clock) จากทาง ROG พร้อมด้วย MUX Switch ที่บังคับใช้การ์ดจอแยกอย่างเดียวไม่ต้องสลับไปมา ที่ดูแล้วจากผลทดสอบจริงๆ แล้ว มีความเหนือกว่า Gaming Notebook ปีก่อน ซึ่งให้ประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอดทั้งภาพที่สวยงามและเสียงที่จัดเต็มด้วยลำโพง 6 ตัว ระบบ Dolby Atmos อย่างที่หาไม่ได้ใน Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ณ ขณะที่เรากำลังรีวิวอยู่ และจากการใช้งานจริงๆ ทั้ง เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง
ดีไซน์การออกแบบทั้งหมดเองต้องบอกตามตรงว่าเหมือนรุ่นปีก่อน 100% โดยมาทิศทางเดียวกัน ASUS ZEPHYRUS หลายๆ รุ่น ในทุกๆ มิติ โดยฝาหลังเองมีการรังสรรค์เจาะรูกว่า 8279 รูพร้อมสีสันภายในเพิ่มความมันวาวไม่เหมือนใคร พร้อมการเสริมรังผึ้งใต้ที่พักฝ่ามือเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยวัสดุที่น้อยที่สุดเพื่อให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง การออกแบบทนต่อการโค้งงอภายใต้แรงกดเพื่อความรู้สึกกระชับในขณะที่เราใช้งาน พร้อมมี ErgoLift Hinge ช่วยตัวเครื่องให้เอียงเข้ากับการพิมพ์ และกางได้สุดที่ 180 องศา อย่างที่โน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ไม่มี ซึ่งดีไซน์ที่แม้จะเหมือนเดิมแต่ก็ยังทันสมัยอยู่ในปี 2022
จุดเด่นคือ ตัวเครื่องความบางที่ 19.9 มิลลิเมตร ขอบจอบางเฉียบ พกพาสะดวกด้วยความเบาของเครื่องเพียง 2 กิโลกรัม แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานประมาณเกือบ 10 ชั่วโมง การเชื่อมต่อก็ครบครันทั้งไร้สายและพอร์ต Thundebolt 4 รองรับการโอนถ่ายข้อมูล / ต่อจอแยก / ชาร์จ PD ที่สำคัญก็คือได้หน้าจอคุณภาพสูง ที่ได้ Refresh Rate ที่ 165Hz นับได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 16″ สัดส่วน 16:10 ที่ความละเอียด Quad HD+ ที่คมชัดกว่า Full HD ซึ่งเป็นมาตรใหม่ที่ดีที่สุดรุ่นนึงและเหมาะสมกับการที่เป็น Gaming Notebook อีกรุ่นที่น่าซื้อ ทั้งจากตัวเครื่อง ฟีเจอร์ และประสบการณ์ใช้งานจริง ถ้างบถึง
ซึ่งแม้สเปกภายในจะประสิทธิภาพแรงขนาดนี้ แต่ร้อนที่เกิดขึ้นเวลาใช้งานหนักๆ จากเทคโนโลยี ROG Intelligent Cooling ที่จัด Heatpipe มาให้ถึง 6 เส้น, พัดลมเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดเสียงรบกวนพร้อมทำความสะอาดตัวเองได้ และใช้ Liquid Metal ช่วยนำพาความร้อน ที่ติดตั้งแรมตัวเครื่องมา 32GB DDR5 Bus 4800Hz พร้อม SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนักๆ หรือเล่นเกม 3 มิติก็จะมีความลื่นไหลแน่นอน เทียบกับรุ่นรุ่นก่อนๆ ก็เหนือชั้นกว่าด้วย และที่ชอบมากๆ จะเป็นเรื่องของไมโครโฟนแบบ 3 มิติ มีเทคโนโลยี AI Noise-Canceling ช่วยลดเสียงรบกวนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเล่นเกมกับเพื่อน
อย่างไรก็ตาม ASUS ROG ZEPHYRUS M16 รุ่นปี 2022 ก็จะมีข้อสังเกตเหมือนเดิมคือ การที่ไม่มี SD Card Reader มีแต่ก็ยังมี micro SD Card Reader มาให้ (แต่สายทำงานน่าจะใช้ SD Card มากกว่า) และความร้อนของชิปประมวลผลค่อนข้างสูงเวลาใช้งานหนักๆ แต่ไม่มีผลใดๆ รวมถึงดีไซน์หน้าตาตัวเครื่องโดยรวมเหมือนกับรุ่นปีก่อน 100% ถ้ารับได้ก็จัดไป แน่นอนว่าได้ประกัน ASUS Exclusive Care 3 ปี On-site Service และประกันอุบัติเหตใน 1 ปีแรก จัดเป็น Gaming Notebook ระดับบนของปี 2022 ที่สมราคาจริงๆ ที่ 92,990 บาท และในตอนนี้มีเพียงสเปกเดียว ถ้างบถึงและชอบก็ไม่ต้องลังเลนานครับ
จุดเด่น ASUS ROG ZEPHYRUS M16
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจตามสไตล์ ROG ZEPHYRUS งานประกอบแน่นวัสดุดีเยี่ยม
- หน้าจอ 16″ ได้บางพิเศษมิติเทียบเท่าร 15.6″ ตัวเครื่องเบา 2 กิโลกรัม บางสุดที่ 19.9 มิลลิเมตร
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผลรุ่นใหม่ตัวท็อป Intel Core i9-12900H แรงลื่น ล้ำหน้า
- การ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti พร้อม OC มาจาก ASUS เพิ่มความแรงไปอีก
- ได้ฟีเจอร์ MUX Switch เพิ่มความแรง ลดความหน่วงและเพิ่มประสิทธิ์ภาพอีก 9% โดยเฉลี่ย
- แรมขนาด 32GB DDR5 มาตรฐานใหม่ แบบ Onboard มา 16GB และ SO-DIM 16GB
- ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ที่ความเร็ว 5,xxx – 6,xxx MB/s
- จอเทคโนโลยี ROG Nebula display ความละเอียด QHD + ที่ 165Hz รองรับ Dolby Vision
- ติดตั้ง 6 ลำโพง ระบบ Dolby Asmos รองรับ Hi-Res เพื่อให้ได้รับประสบการณ์เสียงชั้นยอด
- ติดตั้งกล้องเว็บแคม พร้อมไมโครโฟนแบบพิเศษ 3 มิติ ที่ AI ช่วยตัดเสียงรบกวนได้เยี่ยม
- คีย์บอร์ด Gaming มีไฟ RGB แบบ All Zone พร้อม Aura Wallpaper ที่ซิงค์ไฟกันได้
- อุณหภูมิในการใช้งานถือว่าจัดการได้ดี ด้วย ROG Intelligent Cooling ทำงานได้ไม่มีสะดุด
- พอร์ตการเชื่อมต่อครบครันและมี Thunderbolt 4 รองรับ 40Gbps / DisplayPort / USB PD
- มี IR Camera ในการสแกนใบหน้า ผ่าน Windows Hello เพื่อเข้าใช้งาน Login ด้วย
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวสูงสุดเกือบ 10 ชั่วโมง ในการใช้ดู Youtube
- มาพร้อมกับระบบชาร์จเร็วสูงสุด 50% ใน 30 นาที และมีช่องชาร์จแบบ Type-C
- มีซอฟต์แวร์ Armory Crate และ MyASUS มาช่วยปรับแต่งการใช้งาน
- มาพร้อม Windows 11 Home ใช้งานได้ทันที มีความสเถียร์ของไดร์เวอร์
- ประสบการณ์ใช้งานดีเยี่ยม ประทับใจมาก เมื่อเทียบกับราคาถือว่าคุ้มค่าน่าซื้อ
- ASUS Exclusive Care ประกัน 3 ปีแบบทั่วโลก พร้อมบริการ On-site Service และมีประกันอุบัติเหตุ 1 ปี
ข้อสังเกต ASUS ROG ZEPHYRUS M16
- ถ้าได้เป็น SD Card Reader จากที่เป็น micro SD Card Reader น่าจะเหมาะกว่านี้
- ความร้อนของชิปประมวลผลค่อนข้างสูงเวลาใช้งานหนักๆ แต่ไม่มีผลใดๆ
- ดีไซน์หน้าตาตัวเครื่องโดยรวมเหมือนกับรุ่นปีก่อน 100%
Specification
ASUS ROG ZEPHYRUS M16 จะมีจำหน่ายอยู่เพียงสเปกเดียวเท่านั้น รุ่นที่ผมได้มารีวิวใช้ชิปประมวลผลตัวท็อปสุดเป็น Intel Core i9-112900H ความเร็ว 2.40 – 5.30 GHz ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด สถาปัตยกรรมแบบใหม่ Hybrid Architecture ทำงาน E-Core และ P-Core ประสิทธิภาพไว้ใจได้ โดยมีการ์ดจอออนชิปรุ่นใหม่อย่าง Intel Iris Xe Max Graphics 96EU พร้อมการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ที่แรงลื่นและร้อนน้อยสุดๆ อย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (8GB GDDR6) มีค่า TGP 120W
พร้อมที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ไว้ด้วย มีความลื่นไหลขั้นสูง อีกทั้งยังรองรับการติดตั้งอัปเกรดเพิ่ม SSD M.2 มาให้อีก 1 ช่อง โดยรองรับการต่อ Raid ในส่วนของหน่วยความจำแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ Quad Channel มาตรฐานใหม่ DDR5 Bus 4800 MHz (16GB x 2 โดยออนบอร์ดมาแล้ว 1 แถว) โดยสามารถอัปเกรดได้สูงสุด 48GB
โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้าคือได้หน้าจอขนาด 16″ ความละเอียด QHD+ ที่ 2560 x 1600 พิกเซล ที่สะดส่วน 16:10 ให้พื้นที่มากกว่าหน้าจอทั่วไป พาเนล IPS เกรดสูง ระดับขอบเขตสี sRGB 100% รองรับ Refresh Rate ที่ 165Hz พร้อมมาตรฐาน DolbyVision ให้ความเรียบเนียนในการใช้งานสุด พร้อมความลื่นไหลและค่าสีที่เที่ยงตรงในจอเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบเสียง Dolby Atmos ลำโพงเป็น 6 ตัวจัดเต็ม ได้กล้องเว็บแคม 720p และมีไมค์แบบ 3 ตัว ระบบ Two-Way AI Noise Cancelation ภายในตัว
พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง 2 x USB 3.2 Gen 2 Type-A และ 1 x USB 3.2 Gen2 Type-C โดดเด่นด้วย Thunderbolt 4 ที่รองรับโอนถ่ายข้อมูล 40Gbps / DisplayPort 1.4 ออก 4K, 8K ได้ / ชาร์จไฟผ่านทาง USB PD (Power Delivery) ระบบการเชื่อมต่อไร้สายเป็นมาตรฐานใหม่อย่าง Intel Wi-Fi 6E (2×2) และ Bluetooth 5.2 พร้อมระบบปฎิบัติการติดตั้ง Windows 11 Home และซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Armory Crate / MyASUS มาให้ในตัว
ASUS Exclusive Care ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 ปี Local Onsite Service เครื่องมีปัญหา ไปซ่อมถึงที่ 3 ปี International Warranty เครื่องมีปัญหาแต่อยู่ต่างประเทศ ก็ยัง สามารถใช้บริการการรับประกันระหว่างประเทศได้ 1 ปี Perfect Warranty อุบัติเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะทำน้ำหกใส่ ไฟฟ้าลัดวงจร หรือเครื่องตกหล่น โดยทั้งหมดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เมื่อซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ ASUS Exclusive Care
ASUS ROG Zephyrus M16 GU603ZW-K8017WS ราคา 92,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i9-12900H (14C/20T & 1.8 – 3.8GHz + 2.5 – 5.0 GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe Max 96EU + NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (8GB GDDR6)
-
RAM : 32GB DDR5 Bus 4800 MHz (Onboard 16GB)
-
DISPLAY: 16″ IPS QHD+ 165Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 1TB
-
OS : Windows 11 Home
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
Hardware / Design
ASUS ROG ZEPHYRUS M16 อยู่บนพื้นฐานการออกแบบของตระกูล ROG ZEPHYRUS ที่เน้นสายเกมเมอร์สายพกพาบางเบาที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ ดีไซน์และสเปกแรงล้ำกว่ารุ่นทั่วไป มีสีสัน Off Black พร้อม ตัวเครื่องมีผิวสัมผัส Soft-touch ในบริเวณที่รองข้อมือ ที่ยังช่วยลดโอกาสเกิดรอยนิ้วมือที่ไม่น่าดู ด้วยเคลือบผิวที่บาง ทำให้ยังคงได้ผิวสัมผัสที่ดี แต่ยังคงสไตล์ความบางกะทัดรัดไว้ กับน้ำหนักเพียง 2 กิโลกรัมและบางเพียง 19.9 มิลลิเมตร
รวมไปถึงหน้าจอมีขนาด 16″ แบบขอบจอบางเฉียบ Nano Edge Display ตามสไตล์ของ ASUS โดยตัวเครื่องเทียบเท่า 15.6″ เท่านั้น ทำให้ใช้งานได้เต็มตามากขึ้น ส่วนช่องระบายความร้อนมีทั้งหมด 4 ช่อง เทคโนโลยี ROG Intelligent Cooling เป่าออกใต้หน้าจอ 2 ช่อง และด้านขวาซ้ายอีกอย่างละ 1 ช่อง พัดลม 2 ตัว แบบ 84 ใบ พร้อมฮีทไปป์ 6 เส้นขนาดใหญ่พร้อมทำความสะอาดตัวเองได้ และ Liquid Metal Thermal Grizzly Conductonaut ดึงความร้อนออกจาก CPU / GPU ได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่นำพาความร้อนออกได้เป็นอย่างดี
มีความโดดเด่นโดยฝาหลังโลหะวัสดุแม็กนีเซียมอัลลอยด์ที่เราเห็นเป็นจุดๆ ซึ่งกระจายไปทั่วนั้น ผ่านกระบวนการ CNC ด้วยเครื่องจักรมาเป็นอย่าง กว่า 8,297 รูด้วยกัน พร้อมแซมด้วยสีปริซึม ได้บานพับ ErgoLift Hinge นั้นเวลาที่กางออกมาใช้งานในรูปแบบโน๊ตบุ๊คจะทำให้คีย์บอร์ดทำมุม 3 องศากับฐานตั้ง พร้อมกางจอได้สูงสุดที่ 180 องศา จากการที่มีบานพับแบบพิเศษช่วยยกตัวเครื่องสูงขึ้นจากพื้น โดยขอบตัวเครื่องด้านหลังจะมียางรองพร้อมทำหน้าที่เป็นฐานรองด้านหลัง ช่วยเรื่ององศาการพิมพ์ที่สบายขึ้น การรดูดลมเย็นที่ดีขึ้น และลำโพงสะท้อนเสียงได้มากยิ่งขึ้นด้วย
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่อง ASUS ROG ZEPHYRUS M16 เป็นวัสดุพลาสติกที่แข็งแรงงานประกอบเรียบร้อย พร้อมอากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นอีก 4 ช่องด้านล่างใต้เครื่อง อีกทั้งยังมีช่องด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องดูดลมอีกช่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก ส่วนถ้าจะอัปเกรดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ขันน็อตไม่กี่ตัวจากนั้นค่อยๆ ดึงขึ้น รวมๆ ซึ่งจะมีอยู่ 1 ตัวที่มุมขวาที่จะดันตัวฝาหลังขึ้นมาเล็กน้อยในการใช้นิ้วงัดขึ้นมาง่ายๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง ASUS นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ นอกจากที่อัปเกรดได้ไม่ยากแล้ว ยังทำความสะอาดได้สะดวกสบายอีกด้วย
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่อง ASUS ROG ZEPHYRUS M16 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook ในช่วงปี 2022 ได้ความบางเบาหน้าจอ 16″ ได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก จากแต่ก่อนแทบเป็นไปไม่ได้ที่ความแรงระดับนี้ จะอยู่บนตัวเครื่องที่บางและเบาแบบนี้ แต่ตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่ล้ำหน้ากว่ารุ่นปีก่อนๆ ไปอีกขั้น
Keyboard / Touchpad
ASUS ROG ZEPHYRUS M16 เป็นคีย์บอร์ด Gaming แบบ Stealth Type พิมพ์ได้เงียบ ที่มีไฟ LED แบบ RGB All Zone แต่ละปุ่มมีมุมโค้งเข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.7 มิลลิเมตร พร้อมเทคโนโลยี OverStroke เพื่อการกดรัวที่ดียิ่งขึ้นด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ 20 ล้านครั้ง รวมถึงสามารถมีฟังก์ชั่นเพิ่มลดเสียง เปิดปิดไมค์ และปุ่มเรียกโปรแกรม Armoury Crate ซึ่งตัวปุ่มต่างๆ ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์อย่างแท้จริง
ในส่วนของทัชแพดเองขนาดใหญ่มากๆ ใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ ถึง 20% ดีไซน์แบบซ่อนปุ่มคลิกซ้ายขวา ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ปุ่มนุ่มกดง่าย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี ฟีเจอร์ Multi-touch หรือ Smart Gesture ที่สามารถใช้งานควบคู่กับ Windows 11 Home ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นทัชแพดที่ใช้งานได้ดีที่สุดรุ่นนึงสำหรับ Gaming Notebook
ที่สำคัญมีในส่วนของปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Turbo / Performance / Silent / Windows ตามความเหมาะสมในการใช้งานต่างๆ เช่นการเล่นเกมจะเป็น Turbo ส่วนถ้าใช้งานทั่วไปคือ Windows
Screen / Speaker
ASUS ROG ZEPHYRUS M16 มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบ Nano Edge Display ด้วยขนาด 16″ ได้เทคโนโลยี ROG Nebula display ความละเอียด QHD+ (2560 x 1600 พิกเซล) สัดส่วนหน้าจอ 16:10 ที่ดีกว่า 16:9 ในการทำงานต่างๆ โดยได้พาเนลเป็น IPS คุณภาพดีเยี่ยม มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare ลดแสงสะท้อน ติดตั้ง Webcam ความละเอียด 720p ไปที่ขอบหน้าจอด้านบน และไมโครโฟนแบบ 3 ตัว มีระบบตัดเสียงรบกวน เทคโนโลยี ASUS AI Noise-Canceling Audio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการประชุมแบบวิดีโอ หรือ VDO Call รวมไปถึงอัดเสียง เหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอเป็น Refresh Rate ที่ 165Hz / 3ms ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่แค่ 60Hz รวมๆ แล้ว พร้อม ลดอาการเบลอ ค้าง จากการเคลื่อนไหว เพื่อการ Ray Tracing ที่แม่นยำยิ่งขึ้น และด้วยฟีเจอร์ Adaptive-Sync ยังช่วยให้การเล่นเกมมีความเรียบลื่น ช่วยลดอาการภาพฉีกขาด และลดการกระตุก เพื่อความบันเทิงขั้นสูงสุด โดยมีการ ค่าสีที่ทาง ASUS เคลมที่ 100% DCI-P3 รับการการันตีจาก Pantone พร้อมรองรับ Doldy Vision เรียกได้มาเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook ที่ดีกว่ารุ่นปีก่อนๆ ไปอีกขั้น
ทดสอบหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสัน Gamut เทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB 100% / AdobeRGB 88% / DCI-P3 92%เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับสูงมากๆ แน่นอนว่าเทียบกับ Gaming Notebook ทั่วไปนั้นดีกว่ามาก ถือว่าเป็นระดับที่ดีเยี่ยมจริง ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ 400 nit ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไปพอสมควร สู้แสงกลางแจ้งได้สบายๆ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพแบบมืออาชีพได้สบายๆ
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าหลายๆ ช่องที่เป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 400 cd/m2 แต่สำหรับช่องมุมขวาล่างจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 18% ที่ถือว่ารับได้ อีกทั้งค่าคลาดสี Delta-E เฉลี่ยแล้วอย่ที่ 1.04 เท่านั้นเอง ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว สรุปคือเล่นเกมได้ดีมากๆ ส่วนสีสันก็จัดว่ายอดเยี่ยมอย่างที่หาได้อยากในตลาดโน๊ตบุ๊ค สมกับการที่มาพร้อมกับ Pantone Validated
ASUS ROG ZEPHYRUS M16 ติดตั้งระบบเสียงแบบ 6 ลำโพง แบ่งออกเป็น 2x 2W tweeterโดยมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องบริเวณขอบที่วางมือซ้ายและขวาซ้ายขวา คุณภาพสูง ที่เน้นให้เสียงกลางและแหลม พร้อมลำโพงซัฟวูฟเฟอร์อีก 4 ตัวด้านใต้ตัวเครื่อง ทำให้ได้เสียงทุ่มหนักหน่วงกว่า แบบ Dual force-canceling ให้เสียงที่สมดุลและ ยอดเยี่ยม อีกทั้งมี Smart Amp เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัดที่ชัดขึ้นถึง 1.5 เท่า เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ให้ขอบเขตเสียงที่กว้าง เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาพอตัว
จากการที่มีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์แยกออกมาต่างหาก มีไดนามิกมากขึ้นสำหรับเสียงความถี่ต่ำ ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้ รวมไปถึงมีเทคโนโลยี Dolby Atmos ช่วยจำลองเสียง 3 มิติได้อีกด้วย เรียกได้ว่าสุดยอดทั้งด้านภาพและเสียงจริงๆ สำหรับ Gaming Notebook เครื่องนี้ เรียกได้ว่าเต็มอารมณ์ทั้งการใช้งานทั่วไป ดูหนัง ดู Youtube / Netflix / Disney+ Hotstar อย่างที่รุ่นอื่นๆ ทำไม่ได้
Connector / Thin And Weight
ด้านพอร์ตการเชื่อมต่อ ASUS ROG ZEPHYRUS M16 จัดว่าครบเครื่องมากๆ จากการที่เป็น Gaming Notebook หน้าจอ 16″ ระดับสูง โดยตัวพอร์ตจะอยู่ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่อง มีทั้ง USB 3.2 Type-A จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.2 Type-C จำนวน 1 พอร์ต และ Thunderbolt 4 ที่รองรับการโอนไฟล์สูงสุดที่ความเร็ว 40Gbps / DisplayPort 1.4 ผ่านจอแยก 4K, 8K / ชาร์จไฟกลับเข้าเครื่อง USB Power Delivery พร้อมช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตร 1 ช่อง และ HDMI 2.0 แน่นอนว่ามีต่ออแดปเตอร์ปกติ 1 ช่องด้วย นอกจากนี้ยังได้ในส่วนของ LAN RJ45 ด้วย ส่วน Kensington Lock ก็ยังติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน
ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6E (2×2) ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้มีความสเถียรมากยิ่งขึ้นไปกว่า 6 AX ส่วนขนาดของตัวเครื่อง 355 x 243 x 19.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2 กิโลกรัม ถือว่าค่อนข้างเบาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ และเมื่อรวมกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 240W เข้าไปด้วยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 2.8 กิโลกรัมเท่านั้น พอแบกพกพาไปไหนมาไหนได้อยู่ไม่หนักมาก ถือมือเดียวก็สบายๆ หยิบจับไปไหนก็สะดวกทีเดียวสำหรับหนุ่มๆ หรือสาวๆ ที่เป็นสาย Gamer
Inside / Upgrade
การแกะเครื่อง ASUS ROG ZEPHYRUS M16 เพื่อทำการอัปเกรดหรือการทำความสะอาดในอนาคตได้ง่ายนั้นทำง่ายมาก โดยมุมนึงจะมีสกรูแบบพิเศษหนึ่งตัวที่จะช่วยให้การเข้าถึงการอัพเกรดเป็นเรื่องง่ายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เพียงไขน็อตทุกตัว จะมีอยู่ 1 ตัวที่มุมตัวเครื่อง ที่เราสามารถใช้มือค่อยๆ แกะออกมาได้เลย จากการที่มันจะเปิดแง้มขึ้นมาอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามต้องระวังนิดนึงก็คือ จะมีน๊อต 3 ตัวที่มียางสีติดติดเอาที่กลางตัวเครื่อง อย่าลืมว่าต้องัดออกมาแล้วไขน็อตออกด้วย
เมื่อแกะออกมาแล้วก็จะเห็นฮาร์ดแวร์หลายๆ ถูกออกแบบจัดระเบียบได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว เมนบอร์ดสีแดงโดดเด่นตามสไตล์ ROG มีพัดลมขนาดใหญ่เทคโนโลยี ROG Intelligent Cooling พร้อมระบายความร้อนที่มี Anti-Dust Tunnels ที่อยู่ในชุดฟินสีดำ หมดกังวลเรื่องฝุ่นที่ติดตรงครีบระบายความร้อนจุดสังเกตที่เปลี่ยนไปคือตัวเครื่องเลือกใช้ฮีทไปป์ 6 เส้น ฟินก็เป็นแบบบางพิเศษที่ 0.1 มิลลิเมตร พร้อมกันนั้นยังมีการติดตั้ง Liquid Metal จาก Thermal Grizzly นำพาความร้อนแบบพิเศษจาก CPU / GPU เรียกได้ว่าเอาอยู่กับสเปกแบบนี้แล้ว
ซึ่งหลังจากที่แกะออกมาแล้วนั้นจะเห็นแผ่นสีดำ ส่วนเพื่อกันไฟฟ้าสถิต และในส่วนของฮาร์ดแวร์ที่สามารถทำการอัปเกรดคือมีช่องใส่ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ที่ใส่มาแล้ว 1TB ได้ความเร็วแรงมากๆ ถ้าจะอัพเกรดเพิ่ม SSD M.2 อีก 1 ตัวก็สามารถเพิ่มได้เลย เพราะมีสล็อตว่างอยู่แล้ว ส่วนหน่วยความจำแรมขนาด 16GB แถวแรกเป็นแบบฝังบอร์ด และรองรับการใส่ 1 แถว (SO-DIM) ซึ่งใส่มาแล้ว 16GB อีกหนึ่งแถว รวมเป็น 32GB ซึ่งก็ใส่มาเต็มแล้วในส่วนของเครื่องทดสอบ ซึ่งรองรับการอัปเกรดสูงสุดที่ 48GB
Performance / Software
ASUS ROG ZEPHYRUS M16 ได้ฮาร์ดแวร์ภายในมาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นยอดนิยมของ Gaming Notebook อย่าง Intel Core i Gen 12H (Alder Lake) เน้นนำไปใช้งานหนักๆ อัปเกรดมาใช้สถาปัตยกรรมไฮบริด คอร์ใหญ่ผสมกับคอร์เล็ก เพื่อรองรับโหลดงานที่หลากหลาย โดยแบ่งเป็น Performance Core (P-core) เน้นงานเธรดเดี่ยว ที่ต้องการประสิทธิภาพในงานประมวลผลขั้นสูงอย่างทำงานที่ซับซ้อนหรือเล่นเกม และ Efficient Core (E-core) ที่ใช้กับงานทั่วไป รวมไปถึงงานที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ติดตั้งมาเป็นรุ่นล่าสุดอย่าง Core i9-12900H
มีความเร็วในการประมวลผล E-Core อยู่ที่ 1.8 – 3.8 GHz ส่วน P-Core อยู่ที่ 2.5 – 5.0 GHz เป็นซีพียูแบบ 14 Core (P6 + E8) / 20 Threads ซึ่งถ้าดูจากคะแนนผลการทดสอบด้านต่างๆ คือเหนือชั้นกว่า Core i9-11900H ขึ้นไปอีก มาพร้อมแรมภายในขนาด 32GB DDR5 Bus 4800MHz แบบ 16GB x 2 แถว ทำงานแบบ Quad Channel ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ที่มีมาให้แบบสบายๆ และเข้ากับ Intel Core i Gen 12H ได้ที่สุด
การ์ดจอออนชิปเป็น Intel Iris Xe Max Graphics 96EU ด้วยความเร็ว 1650 (Boost) MHz ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K โดยมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (8GB GDDR6) กับค่า TGP 120W ความแรงสูงสุด 1085 MHz ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้ลื่นไหลแน่นอน
แน่นอนว่ามี Ray-Tracing รุ่นใหม่ ซึ่งก็คือเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลการให้แสงสำหรับเกมแบบ real-time จากที่ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาเกมจะต้องใช้วิธีการสร้าง Geometries แบบสับซ้อนซึ่งทำให้การประมวลผลแสงในเกมให้เหมือนจริงที่ใช้กำลังของ GPU ค่อนข้างหนัก Ray-Tracing นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ GPU นั้นทำงานน้อยลงและสามารถที่จะประมวลผลในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าการที่จะทำได้นั้นตัวเกมเองก็ต้องใช้เอนจิ้นที่รองรับเทคโนโลยี Ray-Tracing นี้ด้วย โดยส่งผลให้ภาพมีความสวยสมจริงขึ้น แต่เฟรมเรทก็ยังสามารถทำได้ลื่นไหล
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / CINEBENCH 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H คะแนนก็อยู่ในระดับสูงมากๆ อย่างน่าประทับใจสมกับเป็นรุ่นระดับบน เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryze / Intel Core รุ่นก่อนๆ ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอแยก RTX 3070 Ti เองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบนสุด ที่เน้นการทำงาน 3D เป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ที่กลายเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook ไปแล้ว รองรับการใช้งานได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB แบบ M.2 NVMe PCIe Gen 4 ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 6525 MB/s และเขียนที่ 4620 MB/s ที่เร็วมากๆ จัดเป็น SSD ระดับสูงเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับ SSD M.2 SATA 3 หรือ SSD มาตรฐาน M.2 NVMe PCIe Gen 3 แบบเดิมๆ แล้วละก็ จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ตั้งแต่เปิดเครื่อง โหลดไฟล์ต่างๆ รวมไปถึงการโหลดเกม
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 7,823 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็น Gaming Notebook สเปกใหม่ล่าสุดจากชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H มีการ์ดจอแยกระดับ Gaming อย่าง NVIDIA GeFoce RTX 3070 Ti ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คปีก่อนมากพอตัว
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 10,632 เน้นเรื่อง DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขากับ DirectX 12 ได้ดีขนาดไหน
โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 – 140 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ประกอบไปด้วย Resident Evil 8 / GTA V / Far Cry 6 ที่เป็นเกมออฟไลน์ที่กินทรัพยกร รวมไปถึงเกมออนไลน์ยอดนิยมอย่าง PUBG / DOTA 2 / SCUM บนความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซล (ตาม Native ของหน้าจอ) โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ที่ต้องบอกว่าเฟรมเรทที่ออกมานั้นมีความลื่นไหลสบายตา กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์แบบแล้ว แต่ถ้าอยากได้ลื่นกว่านี้จะปรับกราฟิกลงมากลางๆ หรือปรับความละเอียดเป็น 1920 x 1200 พิกเซลก็ได้
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบที่สนับสนุนการแสดงผล Refresh Rate ที่ 165Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ โดยไม่มีอาการฉีกขาด เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 165Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 144Hz ขึ้นไป ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมาต่ำๆ หน่อย ซึ่งทุกการทดสอบนี้เราเปิดฟีเจอร์ MUX Switch บังคับเลือกใช้งานการ์ดจอแยกแบบไม่ผ่านออนชิป เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
นอกเหนือจากนี้ยังมี Armory Crate ซอฟต์แวร์ Utility เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ได้หน้าจอที่สวยงามและดูง่ายกว่าเดิม ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบร อาทิ ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้หลายโปรไฟล์ ซึ่งการตั้งค่าต่างๆ จะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate รวมไปถึงการตั้งค่สาอื่นๆ ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น AuraRGB ในส่วนของคีย์บอร์ด หรือ Gaming Gear อื่นๆ รวมไปถึง Aura Wallpaper ที่สำคัญเลือกเปิดปิด MUX Switch ตรงจุดนี้
ปิดท้ายกับอีกหนึ่งซอฟต์แวร์ ASUS ROG ZEPHYRUS M16 ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS (เปิดเครื่องมาเจอเลยใน ASUS Notebook ทุกรุ่น) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS ที่ทำให้ใช้งานร่วมกับ Notebook เช่นสะท้อนจอ ส่งข้อมูล รวมไปถึงใช้มือถือเป็นเว็บแคม
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ ASUS ROG ZEPHYRUS M16 ที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติขนาดความจุสูง 5765 mAh ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวเกือบๆ 10 ชั่วโมงจริงๆ เรียกได้ว่าน่าประทับใจทีเดียวกับการที่ Gaming Notebook จอ 16″ สเปกแรงลื่นแบบนี้ สมกับที่ทาง ASUS เคลมไว้ที่ 10 ชั่วโมงทีเดียว
ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขนาดนี้ สมกับเป็น ROG ZEPHYRUS Series จริงๆ อีกทั้งยังรองรับการชาร์จไฟกลับแบบรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี Fast Charging ที่ใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็สามารถชาร์จไฟแบตเตอรี่จาก 0% กลับมาที่ 50% ได้ นอกนจากนี้ยังรองรับอแดปเตอร์ที่เป็น USB-C มาตรฐาน PD ซึ่งจะมีขนาดเล็ก เพื่อชาร์จไฟได้อีกด้วย เพื่อความสะดวกสบายในการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ยิ่งขึ้นไปอีก แนะนำว่าให้ซื้ออแดเตอร์ USB-C ติดไว้อีกซักอัน
สำหรับอุณหภูมิทดสอบด้วยโปรแกรม Hardware Monitor สามารถตรวจสอบได้ครบถ้วนทั้ง CPU / GPU จากการที่เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด จากการทดสอบเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 60 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 26 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ด้วยการเปิดโหมด Turbo ที่เร่งประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน
ประสิทธิภาพโดยรวมยังลื่นไหลอยู่ ซึ่งชิปประมวลผลร้อนสุดๆ ที่ 100 องศาเซลเซียส นับว่าควบคุมความร้อนได้ดี โดยไม่สูงเกินไปกว่านี้แน่นอน เพราะระบบยังคงจัดการได้ดีอยู่ พร้อมกันนั้นไม่กระทบต่อการใช้งานด้วย เพราะประสิทธิภาพไม่ตกเลย ในส่วนของการ์ดจอแยกจะร้อนสุดอยู่ที่ 84.2 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่มีซอฟต์แวร์ Armory Crate ถ้าใช้งานทั่วไป เราสามารถเลือกปรับโหมดต่างๆ เช่น Silent ทำให้พัดลมไม่หมุนไม่มีเสียง ก็คือเสียง 0dB นั่นเอง
Conclusion / Award
สมการรอคอยของการมาของ Gaming Notebook ดีไซน์บางเบาหน้าจอ 16″ ในปี 2022 ที่เป็นการพัฒนามาจาก DNA ของ ASUS ROG ZEPHYRUS Series ที่ต้องบอกว่าแรงกว่า Gaming Notebook ปีก่อนมากๆ สำหรับ ASUS ROG Zephyrus M16 มีฟีเจอร์ Gaming และฟีเจอร์ขั้นสูงมากมาย โดยมีราคา 92,990 บาท และตอนนี้มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น จัดได้ว่าเน้นความพรีเมียมและเรื่องความบางเบาพกพา พร้อมประสิทธิภาพความแรงขั้นสูง ให้ประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอดกว่าทั้งระบบภาพและเสียง อย่างที่หาได้ยากจริงๆ ใน Gaming Notebook ทั่วไป หรือแม้แต่รุ่นราคาใกล้เคียงกัน
ซึ่ง ASUS ROG ZEPHYRUS M16 เครื่องที่ได้รับมารีวิวในหลายสัปดาห์นี้เป็นสเปกเครื่องขายจริงที่พร้อมจำหน่ายในไทยแล้ว ได้สเปกชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H ที่เน้นความแรงที่มากกว่า Core i9-11900H ในแง่ของรูปแบบ Hybrid Core อย่าง P-Core และ E-Core ผ่านการควบคุมด้วย Intel Thread Director อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของชิปประมวลผล Intel ผสานกาทำงานร่วมกับการ์ดจอแยกตัวแรงแต่ร้อนน้อยอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (6GB GDDR6) ซึ่งยังมีฟีเจอร์ ROG Boost เพิ่มความแรงด้วยค่า TGP 120W ที่สำคัญคือมี MUX Switch ที่เราเลือกปิดเปิดได้มาช่วยจัดการ
รวมไปถึงในส่วนของแรมยังได้เป็นมาตรฐานใหม่ด้วยขนาด 32GB DDR5 Bus 4800 MHz แน่นอนว่าที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจมากๆ ที่ระดับความเร็ว 6,000 MB/s กับความแรงในมิติดีไซน์ที่เล็กกระทัดรัดสุดๆ ในตัวเครื่อง 15.6″ เท่านั้น พร้อมการออกแบบที่พรีเมียมสวยงามตามมาตรฐาน ROG เรียกได้ว่าเทียบกับ ASUS TUF Gaminf F15 จะให้ความหรูหราและดูดีมากกว่า พร้อมความเบากว่าเล็กน้อย แน่นอนว่ามีการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6E และพอร์ต Thunderbolt 4 ล้ำๆ ด้วย จากการที่ใช้เทคโนโลยีจากทาง Intel นั่นเอง
จากการทดสอบใช้งานจริงเล่นเกมจริงๆ เห็นได้ชัดถึงความทรงพลังของชิปประมวลผลและการ์ดจอรุ่นใหม่ ซึ่งแรงกว่าจากเดิมๆ แล้ว อีกทั้งมี ROG Intelligent Cooling ที่จัด Heatpipe มาให้ถึง 6 เส้น, พัดลมดีไซน์ใหม่ที่ช่วยลดเสียงรบกวนพร้อมทำความสะอาดตัวเองได้ และใช้ Liquid metal Thermal Grizzly Conductonaut ที่ช่วยลดอุณหภูมิได้มากกว่า ที่สำคัญหน้าจอเป็นพาเนล IPS เกรดสูงที่รองรับ Dolby Asmos พร้อม Refresh Rate ที่ 165Hz พร้อมความละเอียด QHD+ ที่คมชัดและเหมาะสม รวมไปถึงยังได้ลำโพงจัดเต็มถึง 6 ตัวระบบเสียง Dolby Atmos ที่เป็นที่สุดของความบันเทิงจริงๆ
ในตอนนี้ถ้าใครต้องการ Gaming Notebook ที่สมบูรณ์แบบ ได้สเปกใหม่และแรงสุดๆ ในค่าตัว 92,990 บาท กับสเปกเดียวราคาเดียวของ ASUS ROG ZEPHYRUS M16 ซึ่งตอบโจทย์รอบด้านได้การรับประกัน 3 ปีแบบทั่วโลก พร้อมบริการ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน และที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS อีกด้วย อุ่นใจจัดเต็มกว่ารุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่า Gaming Notebook หลายๆ รุ่นในตลาดจริงๆ ทั้งตัวเครื่องและบริการหลังการชายด้วย เอาว่าใครงบถึง ก็แนะนำว่าจัดกันได้เลย
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 16 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG ZEPHYRUS M16 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
หนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ROG โน๊ตบุ๊คสายพรีเมียม โดยเบาเพียง 2 กิโลกรัม บาง 19.9. มิลลิเมตรเท่านั้น มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ทำงานก็ได้เล่นเกมก็ดี ที่สำคัญวัสดุคุณภาพดีงานประกอบก็เยี่ยมทั้งอลูมิเนียมอัลลอยด์ เอาไปทำงานหรือเล่นเกมได้หมดรอบด้าน ฝาหลังเป็นโลหะผ่านกระบวนการขึ้นรูปเจาะ CNC ที่เรียบเนียนสวยงาม จำนวน 8,279 รู พร้อมแซมด้วยเส้นแสงปริซึม มีสีสัน Off Black โดดเด่น ตัวเครื่องมีผิวสัมผัส Soft-touch ในบริเวณที่รองข้อมือ ที่ยังช่วยลดโอกาสเกิดรอยนิ้วมือที่ไม่น่าดู ด้วยเคลือบผิวที่บาง ทำให้ยังคงได้ผิวสัมผัสที่ดี
Best Performance
ASUS ROG เครื่องที่เรานำมาทดสอบสเปคเป็นชิปประมวลผล การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3060 Max-P ได้แรม 32GB และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ซึ่งทดสอบการใช้งานเล่นเกมจริงแล้วแรงจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ค่าคะแนนต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ส่วนการใช้งานทั่วไปหรืองานแบบมือาชีพนั้นก็ลื่นไหลสุดๆ หรือเล่นเกมก็ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญได้ความพรีเมียม บางเบา เรียกได้ว่าทรงพลังจริงๆ สำหรับ Gaming Notebook หน้าจอ 16″ หรือในแง่ของการประหยัดพลังงานก็ทำได้ดี กับการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวยานสูงสุดเกือบ 10 ชั่วโมง
Best Gaming
รวมไปถึงลำโพงก็จัดเต็มถึง 6 ตัว ระบบ Dolby Atmos ที่ให้เสียงกระหึมในทุกๆ ความบันเทิง รวมไปถึงเล่นเกมจริงจัง พร้อมรายละเอียดเสียงที่จัดเต็ม และที่สำคัญคือระบบระบายความร้อนที่ดีมากๆ จากทาง ROG Intelligent Cooling เป่าออกใต้หน้าจอ 2 ช่อง และด้านขวาซ้ายอีกอย่างละ 1 ช่อง พัดลม 2 ตัว แบบ 84 ใบ พร้อมฮีทไปป์ 6 เส้นขนาดใหญ่พร้อมทำความสะอาดตัวเองได้ และ Liquid Metal Thermal Grizzly Conductonaut ดึงความร้อนออกจาก CPU / GPU ได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่สเปกแรงลื่นขนาดนี้ แต่ใช้งานจริงได้ไม่ร้อนเลย ส่วนคีย์บอร์ดไฟ RGB เองก็ยังทำได้เยี่ยมยอดตามมาตรฐาน ROG รวมถึงมีความล้ำๆ ด้วย Aura Wallpaper
Best Graphic
จากการที่เป็น Gaming Notebook หน้าจอ 16″ ที่ให้ประสบการณ์การเล่นเกมหรือทำงานสาย Creator ที่เหนือชั้นกว่ารุ่นทั่วไป จากหน้าจอความละเอียดสูงกว่า Full HD ด้วยมาตรฐาน Quad HD+ ที่ 2560 x 1600 พิกเซล สัดส่วน 16:10 ซึ่งพาเนลเป็น IPS เกรดสูงมากระดับ sRGB 100% ในการทดสอบจริง รองรับ Dolby Asmos ในความบันเทิง อีกทั้งได้ Refresh Rate ที่ 165Hz ส่งผลให้เล่นเกมได้สนุกสนานกว่าที่เคยมีมา หากต้องการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ตัวเครื่องก็ยังมีพอร์ตที่ครบครันสำหรับการใช้งานทั่วไปด้วยเช่นกัน ที่สำคัญจากการที่มีพอร์ต Thunderbolt 4 เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ต่อจอแยก 4K / 8K ได้ทันที