ASUS ROG Flow Z13 เป็น 2-in-1 Notebook แบบ Gaming Tablet ที่ถอดคีย์บอร์ดได้ โดยมีความแรงที่สุดในโลก ดีไซน์บางเฉียบ เบาสุด 1.18 กิโลกรัม พกพาสะดวก ที่จัดเต็มไปด้วยสเปกล่าสุดและฟีเจอร์ Gaming อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H ทรงพลังประสิทธิภาพสูง เทคโนโลยีล้ำ จับคู่มากับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti พร้อมฟีเจอร์ MUX Switch ที่เพิ่มความแรง ติดตั้งแรมมาขนาด 16GB LPDDR5 พร้อมด้วย SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB จัดเต็มกันไปเลย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมปี 2022 ที่ทาง ASUS ตั้งใจนำเสนอมาเป็นอย่างดี
เหนือชั้นด้วยหน้าจอระดับมืออาชีพขนาดหน้าจอ 13.4″ Full HD+ สัดส่วน 16:10 รองรับการทัชสกรีนและปากกา ASUS Pen พร้อมดีไซน์ดุดันสไตล์ Gaming ซีรีส์ ROG กับรูปแบบการดีไซน์แบบใหม่ มีไฟ RGB ที่เผยให้เห็นถึงแผงวงจรด้านหลัง กับขาตั้งที่สามารถกางได้ถึง 170 องศา โดยเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ในเครื่องเดียว ได้ Windows 11 Home และมีโปรแกรม Office Home Home & Student 2021 พร้อมใช้งานทันที ส่วนการรับประกันจะเป็นแบบ 3 ปี On-site Serve ซ่อมฟรีถึงบ้าน (ปีแรกมีประกันอุบัติเหตุ) พร้อมกันนั้นยังรองรับ External GPU อย่าง XG Mobile สูงถึง RTX 3080 ทีเดียว (ซื้อแยกต่างหาก)
VDO Review
NBS Verdict
ASUS ROG Flow Z13 (GZ301) นวัตกรรม Gaming Notebook แบบ 2-in-1 ซึ่งถอดคีย์บอร์ดออกแล้วแปลงเป็นแท็บเล็ตได้ กับหน้าจอเล็กกว่า 14″ กับขนาด 13.4″ ความละเอียด Full HD+ 1920 x 1200 สัดส่วน 16:10 Refresh Rate 120Hz พร้อมรองรับการทัชกรีน ที่เน้นบางเบาพกพาสะดวกยุคใหม่ปี 2022 ที่จัดเต็มในทุกๆ มิติ โดยใช้ชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H ที่แรงกว่า i9 รุ่นก่อนๆ ไปอีก สถาปัตยกรรมแบบใหม่ Hybrid Architecture ทำงาน E-Core และ P-Core ประสิทธิภาพไว้ใจได้ ส่วนการ์ดจอแยกเป็น RTX 3050 Ti (TGP 40W) ก็ถือว่าจัดสรรมาได้ดี ให้ประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ดีในระดับหนึ่ง
พร้อมติดตั้ง Liquid Metal (Thermal Grizzly Kryonaut Extreme) ที่สุดแห่งการระบายความร้อนสำหรับชิปประมวลผล ทำงานร่วมกับ ROG Intelligent Cooling ซึ่งความแรงที่ได้มามากกว่า Gaming Notebook เครื่องหนาๆ หนักๆ เสียอีก นับว่าเป็นโน้ตบุ๊คแบบ 2-in-1 ที่แรงและทรงพลังที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เบาสุดกรณีไม่ต่อคีย์บอร์ดแยกจะอยู่ที่ 1.18 กิโลกรัม หรือถ้ารวมกับคีย์บอร์ดแล้วจะอยู่ที่ 1.6 กิโลกรัม อีกทั้งยังได้แรมขนาดใหญ่ถึง 16GB มาตรฐานใหม่ LPDDR5 ที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ ที่ 50%+ และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ซึ่งก็เป็นส่วนช่วยเรื่องของประสิทธิภาพที่สำคัญ
เรียกได้ว่าใครกำลังมอง Gaming Notebook ที่ไม่ซ้ำใคร ได้ดีไซน์เรียบหรูดูดี เบาแค่โลนิดๆ ตัวเครื่อง ซึ่งรวมทุกอย่างแล้วก็ไม่เกิน 2 กิโลกรัม แข็งแรงทนทานจากวัสดุแม็กนีเซียมอัลลอยด์ และได้สเปกที่แรงที่สุดในโน๊ตบุ๊คประเภทพเดียวกัน หรือจะปรับโหมดมาเป็นแท็บเล็ตก็สามารถทำได้ โดยมีบันเดิลปากกามาให้ทันที รวมไปถึงจะเชื่อมต่อกับจอยหรือคีย์บอร์ดเมาส์แยกก็ทำได้เยี่ยม ซึ่งกรณีนั้นก็อาจจะต้องแนะนำให้ซื้อ USB-C Hub มาขยายการเชื่อมต่อ หรือซื้อ XG Mobile ของ ASUS มาใช้งานก็จะครบถ้วนรอบด้านไปเลย เพราะจะได้ความแรงของการ์ดจอแยก RTX 3080 มาด้วย แต่เราเองก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
แต่ถ้าเรื่องงบไม่ได้ปัญหา ก็จัดได้เลย เพราะเมื่อเทียบกับประสบการณ์ใช้งานที่ไม่เคยมีมากก่อน ตอบโจทย์คนที่ต้องการทั้งตัวเครื่องเบาเบา ใช้งานหลากหลาย เพื่องานระดับอาชีพ หรือเล่นเกม AAA ที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด ซึ่งถ้าใครจะเป็นดูเป็น 59,990 บาท สเปก Core i7-12700H + RTX 3050 + RAM 16GB + SSD 512GB ก็ถือว่าน่าสนใจอยู่ แต่ถ้าเพิ่มอีก 10,000 บาท ด้วยราคา 69,990 บาท ก็จะได้เป็นสเปกที่เรานำมารีวิวเลย ส่วนข้อที่ควรรู้ก็คือ พอร์ตการเชื่อมต่อที่เป็น USB-A ยังคงให้เป็น 2.0 อยู่ เป็นอะไรที่น่าแปลกใจมาก รวมไปถึง SSD เป็นแบบ M.2 2230 ขนาดเล็ก ไม่เหมือนกับรุ่นมาตรฐาน 2280
จุดเด่น ASUS ROG Flow Z13
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจตามสไตล์ ROG แบบแนวคิดใหม่ งานประกอบแน่นวัสดุดี
- ขนาดตัวเครื่องเล็กกระทักรัด เบาสุดๆ ที่ 1.15 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 12 มิลลิเมตร
- เครื่องด้านหลังโปร่งแสงและชุดคีย์บอร์ดมีไฟ RGB พร้อม Aura Wallpaper ให้ความโดดเด่น
- เป็น 2-in-1 Notebook ที่แรงที่สุดในโลกด้วยชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุด
- รูปแบบ Detachable ถอดคีย์บอร์ดกลายเป็นแท็บเล็ต รองรับการทัชสกรีนมีปากกาสไตลัส
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H ที่แรงล้ำที่สุด ณ ตอนนี้ในตลาด
- การ์ดจอแยกในตัวเป็น NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti (4GB GDDR6) ที่แรงลื่นพอตัว
- ฟีเจอร์ MUX Switch ทำให้เราเองสามารถเลือกใช้งานการ์ดจอแยกได้ แบบไม่ผ่านออนชิป
- แรมขนาดใหญ่ 16GB LPDDR5 Bus 5200 MHz แบบ Quad Channel
- ติดตั้ง SSD M.2 2230 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ความเร็วแรงสูง
- ได้หน้าจอ 16:10 ความละเอียด 1920 x 1200 พาเนล IPS คุณภาพดี sRGB ใกล้เคียง 100%
- ระบบการระบายความร้อน ROG อุณหภูมิในการใช้งานถือว่าจัดการได้ดี ไม่ร้อนจนเกินไป
- พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C รองรับ DisplayPort / และชาร์ไฟด้วย USB PD ได้
- มีซอฟต์แวร์ Armory Crate มาช่วยปรับแต่งการใช้งาน
- มาพร้อม Windows 11 Home ใช้งานได้ทันที มีความสเถียร์ของไดร์เวอร์
- ได้โปรแกรม Office Home & Student 2021 ไปติดเครื่องใช้งานยาวๆ ด้วย
- ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมดีเยี่ยม ประทับใจมาก เมื่อเทียบกับราคา
- ประกัน 3 ปี ส่งศูนย์แบบทั่วโลก พร้อมฝากส่งเคลม 7-11 และมีประกันอุบัติเหตุ 1 ปี
- รองรับการเชื่อมต่อ XG Mobile การ์ดจอแยก RTX 3080 (16GB GDDR6) ที่ทรงพลังที่สุด
ข้อสังเกต ASUS ROG Flow Z13
- SSD เป็น M.2 2230 ขนาดเล็ก
- ราคาค่อนข้างสูง ใช้งานเฉพาะกลุ่ม
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานประมาณ 5:30 ชั่วโมง
Specification
ASUS ROG Flow Z13 (GZ301) รุ่นที่ผมได้มารีวิวใช้ชิปประมวลผลตัวท็อปสุดเป็น Intel Core i9-112900H ความเร็ว 2.40 – 5.30 GHz ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด สถาปัตยกรรมแบบใหม่ Hybrid Architecture ทำงาน E-Core และ P-Core ประสิทธิภาพไว้ใจได้ การ์ดจอออนชิปเป็น Intel Iris Xe Graphics การ์ดจอแยกติดเครื่องจะเป็น NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti (4GB GDDR6) ให้ความแรงลื่นพอตัว กับค่า TGP 40W พร้อมปลดปล่อยความร้อนที่น้อยกว่ารุ่นปกติ เน้นใช้ในรุ่นตัวเครื่องบางๆ อีกสเปกรุ่นรองจะเป็น Core i7-12700H + RTX 3050
ในส่วนของแรมได้มาขนาด 16GB LPDDR5 Bus 5200MHz แบบ Quad Channel (ออนบอร์ด) มาพร้อมกับที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 2230 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB ที่มีความลื่นไหลแบบสุดๆ โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้าคือได้หน้าจอขนาด 13.4″ ความละเอียด Full HD+ ที่ 1920 x 1200 พิกเซล (WUXGA) สัดส่วน 16:10 ให้พื้นที่และความละเอียดที่มากกว่า พาเนล IPS เกรดคุณภาพสูงระดับ sRGB ใกล้เคียง 100% รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและปากกา มีระบบเสียง Dolby Atmos และ Windows Hello ด้วยการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Power
พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อติดตั้งมาให้ประมาณนึง ทั้ง 1 x Thunderbolt 4, 1 x ROG XG Mobile Interface (USB 3.2 Gen 2 Type-C), 1 x USB 2.0 Gen 2 Type-A, 1 x micro-SD Card ระบบการเชื่อมต่อไร้สายเป็นมาตรฐานใหม่อย่าง Wi-Fi 6E (2×2) และ Bluetooth 5.2 พร้อมติดจั้งระบบปฎิบัติการติดตั้ง Windows 11 Home พร้อมโปรแกรม Office Home & Student 2021 ทำให้ใช้งาน Word / Excel / Power Point (มูลค่า 4,299 บาท) ได้ทันที และซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Armory Crate มาให้ในตัว พร้อมบันเดิลกระเป๋าใส่เครื่องสุดเท่ และปากกาสไตลัส
ซึ่งถ้าใครอยากได้ความแรงเรื่องของการเล่นเกมหรือทำงาน สามารถซื้อ XG Mobile มาเพิ่มได้ กับการที่เป็ยกล่องการ์ดจอแยกที่เป็น NVIDIA GeForce RTX 3080 (16GB GDDR6) ซึ่งเป็นรุ่นบนสุดในตลาด Notebok ใช้สถาปัตยกรรม Ampere โดยเป็น RTX เจนที่ 2 โดยเน้นให้มีความร้อนที่น้อยกว่าแต่ทรงพลังในการเล่นเกมที่เต็มประสบการณ์กว่ารุ่นก่อนหน้าในทุกๆ ด้าน ผ่านทางพอร์ตพิเศษ ROG XG Mobile Interface (PCIe 3.0 x8) ที่ทาง ASUS ออกแบบมาอย่างดี และรองรับการชาร์จไฟผ่านทาง USB-C ด้วย
ASUS ROG Flow Z13 GZ301ZC-LD052WS ราคา 59,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-12700H (14C/20T & 1.7 – 3.5GHz + 2.3 – 4.7 GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe + NVIDIA GeForce RTX 3050 (4GB GDDR6)
-
RAM : 16GB LPDDR5 Bus 5200 MHz (Onboard)
-
DISPLAY: 13.4 IPS Full HD+ ที่ 1920 x 1200 16:10 @ 120Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 512GB
-
OS : Windows 11 Home
- Software : Office Home & Student 2021
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
ASUS ROG Flow Z13 GZ301ZE-LD035WS ราคา 69,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i9-12900H (14C/20T & 1.8 – 3.8GHz + 2.5 – 5.0 GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe + NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti (4GB GDDR6)
-
RAM : 16GB LPDDR5 Bus 5200 MHz (Onboard)
-
DISPLAY: 13.4 IPS Full HD+ ที่ 1920 x 1200 16:10 @ 120Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 1TB
-
OS : Windows 11 Home
-
Software : Office Home & Student 2021
-
Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
Hardware / Design
ASUS ROG Flow Z13 เป็นหนึ่งในซีรีส์ ROG รุ่นใหม่ ปี 2021 จากการที่นำดีไซน์ที่เน้นความบางเบาเล็กกระชับมากกว่า ASUS ROG ที่เคยมีมาแล้ว โดยเป็นรุ่นย่อยของ ROG Flow Series ที่เป็น Gaming Notebook 2-in-1 ที่พับหน้าจอได้ 360 องศารุ่นปีก่อน โดย ASUS ROG Flow Z13 เป็น Gaming Tablet หรือ Detachable Gaming Notebook มีความบางสุดที่ 12 มิลลิเมตร มาพร้อมน้ำหนักเบาที่ 1.18 กิโลกรัมเท่านั้น กับขนาดหน้าจอขอบบางเฉียบ ทำให้มิติโดยรวมมีความกระทัดรัดพกพาสะดวก พร้อมได้สเปกภายในที่ทรงประสิทธิภาพมาก มากกว่า 2-in-1 Notebook จอ 13 – 14″ ทั่วไปมาก
การออกแบบหลักๆ เน้นความดุดันแต่ก็มีความเรียบง่าย พร้อมแข็งแกร่งสไตล์ ROG ด้วยวัสดุเป็นโลหะฝาหลังเป็นแม็กนีเซียมอัลลอยด์พร้อมลวดลายที่ได้แนวคิดมาจากยานอวกาศ แรงบันดาลใจจาก Space Odyssey ด้านหลังตัวเครื่องมีช่องโปร่งแสงพร้อมไฟ RGB เผยให้เห็นรายละเอียดแผง PCB ด้านในตัวเครื่องเปรียบเสมือนช่องหน้าต่างของยานอวกาศ ทนทานด้วยวัสดุตัวเครื่องแบบ CNC อลูมิเนียม นับว่าเป็น DNA ของโน้ตบุ๊คเล่นเกมของ ASUS ROG ปี 2022 เรียกได้ว่าดูเป็น Gamer สายจริงจังขั้นกว่า ที่นำไปพกพาทำงานก็ลงตัวสุดๆ ดูแล้วไม่ได้มีความเป็น Gaming เกินไปนัก อีกทั้งแกนบานพับยังทำหน้าที่ยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้นด้วยเวลากางหน้าจอ
ตัวเครื่องในทุกมิติเน้นความเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่ามีความสมมาตรลงตัว ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดี มาพร้อมเกมมิ่งคีย์บอร์ดขนาดฟูลไซส์พร้อมแสงไฟ RGB เพื่อความสะดวกในการใช้งาน โดยขาตั้งโลหะ Kick Stand สามารถที่จะทำการตั้งหน้าจอให้ทำมุมได้มากสุดถึง 170 องศา โดยการตั้งหน้าจอที่มุม 170 องศานี้เหมาะสมเป็นอย่างมากกับการใช้งานด้วยสไตลัส ASUS Pen ในการทำงานต่างๆ โดยกรณีใช้เป็นแท็บเล็ตก็ได้ด้วยการพับขาตั้งเก็บ หรือต่อกับคีย์บอร์ดเป็นโน๊ตบุ๊คก็ดี ส่วนด้านบนขอบเครื่องทางขวาจะเห็นถึงช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ 2 ช่อง 2 สองพัดลมขนาดใหญ่
ทำงานร่วมกับระบบ ASUS Intelligent Cooling ที่ก้าวล้ำในหลายๆ ส่วน ประกอบไปด้วย สารนำความร้อน Liquid Metal (Thermal Grizzly Conductonaut) ที่สามารถนำความร้อนได้ดีกว่าสารนำความร้อนทั่วไป (ซิลิโคน) สูงสุดถึง 14 เท่า และลดอุณหภูมิให้ CPU ได้ถึง 15 องศาเซลเซียส ส่งต่อความร้อนมายัง Vapor chamber ที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้ง CPU, GPU VRAM และวงจรภาคจ่ายไฟ รวมแล้วครอบคุมทั้งหมด 44% ของพื้นที่ในตัวเครื่องเพื่อการระบายความร้อนที่ดีที่สุด และยังมีฟีเจอร์ 0dB Ambient cooling สำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบในการทำงานโดยพัดลมจะหยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิ CPU ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียสสำหรับการทำงานทั่วไป
สำหรับชุดคีย์บอร์ดที่เราสามรถถอดแยกออกมาได้นั้นมีความพิเศษมากๆ เพราะได้การเชื่อมต่อที่สะดวกสบายผ่านเทคโนโลยีแม่เหล็ก ที่ยึดติดแน่นหนาและสามารถถอดไปมาได้ง่าย สำหรับตัววัสดุเองก็ให้ความพรีเมียมไม่แพ้กับตัวเครื่อง ซึ่งเลือกใช้เป็นผ้าสักหลาดสีเทาทั้งด้านนอกที่ทำหน้าที่เป็นเคสปิดหน้าจอในตัว รวมไปถึงที่วางข้อมือก็จะเป็นวัสดุผ้าสักหลาดทั้งหมด แน่นนอว่าให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก Gaming Notebook ทั่วไปมาก พร้อมกันนั้นยังมีการทำลวดลาย ROG ที่สวยงามลงตัวกับตัวเครื่องโดยรวม อีกทั้งตัวคีย์บอร์ดเองก็สามารถเปิดไฟ RGB ที่ปุ่มได้ เป็นแบบ All Zone ที่ใช้งานได้ดีเยี่ยมไม่ต่างจาก ROG รุ่นปกติเลย
ASUS ROG Flow Z13 อยู่บนพื้นฐานการออกแบบของตระกูล ROG ที่เน้นสายเกมเมอร์เป็นหลักด้วยสเปกภายในที่ทรงประสิทธิภาพทั้งชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกในตัว พร้อมรองรับสำหรับคนที่นำไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ ได้เต็มรูปแบบ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ และสเปกแรงล้ำกว่ารุ่นก่อนๆ รวมไปถึงหน้าจอก็ใหญ่ที่ 13.4″ สัดส่วน 16:10 ก็ตอบโจทย์คนที่ทำงานได้ เพราะมีพื้นที่ด้านบนล่างที่มากกว่า อีกทั้งปุ่ม Power ได้ถูกย้ายไปขอบด้านข้างตัวเครื่องทางขวา ที่เป็น Fingerprint ในตัว นอกจากนี้ก็จะมีปุ่มปรับเสียงด้วย
สรุปแล้วสำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของ ASUS ROG Flow Z13 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook บางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งพอกลับมาบ้านก็ต่อกล่องการ์ดจอแยกเพื่อความแรงระดับ Gaming Desktop หรือจะใช้งาน Multi-Mode พร้อมขีดเขียนด้วยปากกา และต่อหน้าจอแยกได้เลยซึ่งตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่ล้ำหน้ากว่า ในราคาที่จัดว่าเฉพาะกลุ่มพอตัว
Keyboard / Touchpad
ASUS ROG Flow Z13 เป็นคีย์บอร์ดมีไฟ RGB แบบ All Zone แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.7 มิลลิเมตร อีกทั้งปุ่มรุ่นใหม่นี้ยังช่วยให้การพิมพ์มีเสียงรบกวนต่ำกว่า 30 เดซิเบลด้วยกัน พร้อมเทคโนโลยี OverStroke เพื่อการกดรัวที่ดียิ่งขึ้นด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ 20 ล้านครั้ง รวมถึงสามารถมีฟังก์ชั่น Hot Key เพิ่มลดเสียง เปิดปิดไมค์ และเรียกซอฟต์แวร์ Armory Crate ขึ้นมา ซึ่งตัวปุ่มต่างๆ ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์หรือคนทำงานอย่างแท้จริง
ทัชแพดเองขนาดใหญ่แบบซ่อนปุ่มคลิกซ้ายคลิกขวา ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ปุ่มนุ่มกดง่าย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี ฟีเจอร์ Multi-touch หรือ Smart Gesture ที่สามารถใช้งานควบคู่กับ Windows 11 Home ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมีในส่วนของปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Turbo สำหรับประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับสูงสุดนั่นเอง สรุปโดยรวมแล้วเป็น Detachable Gaming Notebook ที่ได้ชุดคีย์บอร์ดต่อแยกที่ดีมากๆ รุ่นหนึ่ง
Screen / Speaker
ASUS ROG Flow Z13 ได้ขอบจอบางเฉียบทั้งขอบด้านข้างและด้านบนพร้อมติดตั้งเว็บแคมและไมโครโฟน กับขนาด 13.4″ ความละเอียด Full HD+ ที่ 1920 x 1800 พิกเซล (WUXGA) สัดส่วน 16:10 ได้พื้นที่ทำงานที่มากกว่า 16:9 ทั่วไปที่ 10% พาเนลเป็น IPS คุณภาพสูง มุมมองกว้างกว่า 178 องศา รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานระดับมืออาชีพ หรือการเล่นเกมจริงจังก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ ในส่วนของ Refresh Rate จะอยู่ที่ 120Hz ที่ลื่นไหลสบายตา กับทุกๆ การใช้งานทั้งงานและความบันเทิง ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Adaptive Sync ทำให้ภาพฉีกขาด
อีกทั้งได้การรับรองความแม่นยำในการแสดงสีบนหน้าจอ Pantone Validated ทำให้สีเที่ยงตรงจากโรงงาน สนับสนุนมาตรฐาน Doldy Vision ในการชม Content ต่างๆ พร้อมรองรับการทัชสกรีน และทนทานต่อรอยขีดข่วนด้วยกระจกหน้าจอจาก Corning Gorilla Glass ทดสอบหน้าจอที่แม้จะเป็นพาเนล IPS แต่ก็มีหลายเกณฑ์ โดยการดูประสิทธิภาพต่างๆ แต่ละด้าน ติดตั้ง Webcam และไมโครโฟนแบบ 3 ตัว มีระบบตัดเสียงรบกวน เทคโนโลยี ASUS AI Noise-Canceling Audio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการประชุมแบบวิดีโอเหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
ทดสอบหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสัน Gamut เทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB 92% / AdobeRGB 71% / DCI-P3 72%เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับสูงมากๆ แน่นอนว่าเทียบกับ Gaming Notebook ทั่วไปนั้นดีกว่ามาก ถือว่าเป็นระดับที่ดีเยี่ยมจริง ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ 400 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไปพอสมควร สู้แสงกลางแจ้งได้สบายๆ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพแบบมืออาชีพได้สบายๆ
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องล่างกลางเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่ 400 nit แต่สำหรับช่องอื่นๆ มีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 5 – 8% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ รวมไปถึงการทดสอบเกี่ยวกับการคลาดสี Delta-E เฉลี่ยแล้วอย่ที่ 1.43 เท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ (ไม่เกิน 2 ถือว่าดีเยี่ยม) ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว โดยรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องข้างๆ ซ้ายขวา ขนาด 2 x 1W คุณภาพสูง ได้ Smart Amp Technology พร้อมระบบ Dolby Atmos ให้ระดับเสียงที่ดังและสมจริง เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะไม่มีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม นอกจากนั้นแล้วยังทำงานร่วมกับชิพเสียงระดับพรีเมี่ยมให้เอาท์พุตเสียงระดับ Hi-Res Audio กรณีที่เชื่อมต่อกับหูฟังที่รองรับ
Connector / Thin And Weight
ด้านพอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ASUS ROG Flow Z13 จัดว่าเป็น 2-in-1 Gaming Notebook รูปแบบ Detachable ที่เป็นทั้งหน้าจอและตัวเครื่องที่มีฮาร์ดแวร์ทั้งหมด โดยที่มีพอร์ตเชื่อมต่อมาให้เพียงพอกับการใช้งานในระดับหนึ่ง โดยตัวพอร์ตจะอยู่ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่อง โดยมีทั้ง Thunderbolt 4 x 1 รองรับโอนถ่ายข้อมูล 40Gbps / DisplayPort 1.4 ออก 4K, 8K ได้ / ชาร์จไฟผ่านทาง USB-PD (Power Delivery) พร้อมด้วย USB 3.2 Type-C จำนวน 1 พอร์ต ได้มาตรฐาน DisplayPort 1.4 และ USB PD (Power Delivery) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ROG XG Mobile Interface ที่จะมีแผ่นยางปิดเอาไว้อยู่
นอกจากนี้ยังมี USB 2.0 Type-A จำนวน 1 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เช่นเมาส์เป็นหลัก ซึ่งก๋น่าเสียดาย ควรจะให้เป็น USB 3.2 มาเลยก็จะดีกว่า รวมไปถึงยังมีการติดตั้ง Care Reader ที่รองรับ micro-SD Card ไว้ด้านหลังของตัวเครื่องโดยอยู่หลังขาตั้งอีกด้วย ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6E (2×2) ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้มีความสเถียรมากยิ่งขึ้นกว่ามาตรฐาน Gaming Notebook ปีก่อนๆ
ส่วนขนาดของตัวเครื่อง 302 x 204 x 12 ~ 12 มิลลิเมตร น้ำหนักเบาที่ 1.18 กิโลกรัม ถือว่าค่อนข้างเบาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ หรือ 2-in-1 Notebook ในขนาดหน้าจอที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อรวมคีย์บอร์ดไปแล้วก็จะอยู่ที่ 1.6 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบ USB-C ขนาด 100W เข้าไปด้วยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 2 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้ถือมือเดียวก็สบายๆ หยิบจับไปไหนก็สะดวกทีเดียว อีกทั้งยังได้เรื่อของความแข็งแรงทนทานอีกด้วย
XG Mobile (ซื้อแยก)
XG Mobile อุปกรณ์สำคัญที่จะเปลี่ยน 2-in1 Notebook ที่เป็นโน้ตบุ๊กขนาดเล็กหน้าจอ 13.4″ ให้กลายเป็น Gaming Notebook ที่ทรงพลังที่สุด ด้วยการ์ดจอแยก Nvidia GeForce RTX 3080 (16GB GDDR6) แบบต่อแยก ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิกที่สูงที่สุดของปี 2021 เชื่อมต่อง่ายดายด้วยช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงแบบ PCIe Gen3 x8 บริเวณด้านซ้ายของตัวเครื่อง ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ ASUS ROG Flow Z13 เพื่อการเล่นเกมระดับ AAA ที่การตั้งค่าระดับสูงสุดได้ทันที ผ่านทางหน้าจอตัวเครื่องหรือต่อจอแยกได้ยอดเยี่ยม
XG Mobile มีคอนเซปท์การออกแบบ แบบเดียวกับตัวเครื่อง ASUS ROG Flow Z13 มีขนาดความบางเพียง 3 ซม. และน้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งดีไซน์ออกแบบมีขาตั้งในตัว ภายในติดตั้งอแดปเตอร์จ่ายไฟขนาด 280W เพื่อให้การ์ดจอที่ทรงพลังที่สุดสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และยังมาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น USB Type A จำนวน 4 พอร์ต, HDMI 1 พอร์ต, Display Port 1 พอร์ต, และ RJ-45 LAN อีก 1 พอร์ต เพื่อการรองรับแบบมืออาชีพหรือเกมเมอร์ตัวจริง
รูปภาพประกอบจาก ASUS ROG Flow X13 รุ่นปีก่อน
Performance / Software
ASUS ROG Flow Z13 ได้ฮาร์ดแวร์ภายในมาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นยอดนิยมของ Gaming Notebook อย่าง Intel Core i Gen 12H (Alder Lake) เน้นนำไปใช้งานหนักๆ อัปเกรดมาใช้สถาปัตยกรรมไฮบริด คอร์ใหญ่ผสมกับคอร์เล็ก เพื่อรองรับโหลดงานที่หลากหลาย โดยแบ่งเป็น Performance Core (P-core) เน้นงานเธรดเดี่ยว ที่ต้องการประสิทธิภาพในงานประมวลผลขั้นสูงอย่างทำงานที่ซับซ้อนหรือเล่นเกม และ Efficient Core (E-core) ที่ใช้กับงานทั่วไป รวมไปถึงงานที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ติดตั้งมาเป็นรุ่นล่าสุดอย่าง Core i9-12900H
มีความเร็วในการประมวลผล E-Core อยู่ที่ 1.8 – 3.8 GHz ส่วน P-Core อยู่ที่ 2.5 – 5.0 GHz เป็นซีพียูแบบ 14 Core (P6 + E8) / 20 Threads ซึ่งถ้าดูจากคะแนนผลการทดสอบด้านต่างๆ คือเหนือชั้นกว่า Core i9-11900H ขึ้นไปอีก การ์ดจอออนชิปเป็น Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีแบบพื้นฐาน รองรับการทำงานได้ในระดับทั่วไปเป็นหลัก มาพร้อมแรมภายในขนาด 16GB LPDDR5 Bus 5200MHz แบบ Quad Channel ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ที่มีมาให้ในเครื่องขายจริงนี้แบบสบายๆ
การ์ดจออนชิปเป็น Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับพอใจ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือรโปรแกรมที่สนับสนุน รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K โดยมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti (4GB GDDR6) กับค่า TGP 40W ที่ต้องบอกว่าแรงพอตัวเมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ที่สำคัญคือยังปลดปล่อยความร้อนออกมาน้อยด้วย ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
แน่นอนว่ามี Ray-Tracing รุ่นใหม่ ซึ่งก็คือเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลการให้แสงสำหรับเกมแบบ real-time จากที่ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาเกมจะต้องใช้วิธีการสร้าง Geometries แบบสับซ้อนซึ่งทำให้การประมวลผลแสงในเกมให้เหมือนจริงที่ใช้กำลังของ GPU ค่อนข้างหนัก Ray-Tracing นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ GPU นั้นทำงานน้อยลงและสามารถที่จะประมวลผลในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าการที่จะทำได้นั้นตัวเกมเองก็ต้องใช้เอนจิ้นที่รองรับเทคโนโลยี Ray-Tracing นี้ด้วย
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / CINEBENCH 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H คะแนนก็อยู่ในระดับสูงมากๆ อย่างน่าประทับใจสมกับเป็นรุ่นระดับบน เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryze / Intel Core รุ่นก่อนๆ ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอแยก RTX 3050 Ti เองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบนสุด ที่เน้นการทำงาน 3D เป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องแน่นอนว่าเป็น SSD M.2 2230 NVMe PCIe Gen 4 (ขนาดสั้นกว่าปกติอย่าง M.2 2280) ที่ Gen 4 นั้นกลายเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook รุ่นใหม่ๆ ไปแล้ว ซึ่งทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับ SSD M.2 SATA 3 แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3356 MB/s และเขียนที่ 2924 MB/s ที่เร็วกว่ารุ่นก่อนๆ แต่ก็ถือว่าดีกว่ามาตรฐาน Gen 3 แบบเดิมๆ แล้ว
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 7084 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมชิปประมวลผล Core i9-12900H มีการ์ดจอแยกอย่าง GeForce RTX 3050 Ti แต่ถ้าเทียบจริงๆ จะเห็นถึงคะแนนที่สูงกว่า Gaming Notebook ในสเปกที่เป็น Core i Gen 12H ปกตินั่นเอง แต่จริงๆ แล้วคะแนนน่าจะไปได้ไกลกว่านี้อีกหน่อยถ้ามีรุ่นที่เป็นแรมขนาด 32GB
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 4807 เน้นเรื่อง DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขากับ DirectX 12 ได้ดีขนาดไหน ซึ่งถ้าเทียบกับ Gaming Notebook ปีก่อน ต้องยอมรับว่าคะแนนโดยรวมนั้นดีขึ้นไปได้อีก ซึ่งถ้าอยากให้แรงกว่านี้คงต้องเชื่อมต่อกับ XG Mobile
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยลื่นไหลแทบทุกเกม ซึ่งทุกการทดสอบนี้เราเปิดฟีเจอร์ MUX Switch บังคับเลือกใช้งานการ์ดจอแยกแบบไม่ผ่านออนชิป เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ประกอบไปด้วย Resident Evil 8 / GTA V / Far Cry 6 ที่เป็นเกมออฟไลน์ที่กินทรัพยกร รวมไปถึงเกมออนไลน์ยอดนิยมอย่าง PUBG / DOTA 2 / SCUM บนความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล (ตาม Native ของหน้าจอ) โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ที่ต้องบอกว่าเฟรมเรทที่ออกมานั้นมีความลื่นไหลสุดๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุด
ที่สำคัญด้วยหน้าจอพาเนล IPS แบบที่สนับสนุนการแสดงผล Refresh Rate ที่ 120Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ โดยไม่มีอาการฉีกขาด เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 120Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 120Hz ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมาต่ำๆ หน่อย ซึ่งบางเกมก็อาจจะปรับระดับ Mid หรือ Low เพื่อให้เล่นได้ลื่นไหลเหมาะกับการเล่นจริงๆ
นอกเหนือจากนี้ยังมี Armory Crate ซอฟต์แวร์ Utility เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ได้หน้าจอที่สวยงามและดูง่ายกว่าเดิม ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบ อาทิ ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆ ตามความชอบเป็นรูปแบบได้หลายโปรไฟล์ ซึ่งการตั้งค่าต่างๆ จะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate รวมไปถึงการตั้งค่าอื่นๆ ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น Aura RGB ตามตัวเครื่องและคีย์บอร์ด รวมไปถึง Aura Wallpaper
ปิดท้ายกับอีกหนึ่งซอฟต์แวร์ ASUS ROG Flow Z13 ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS (เปิดเครื่องมาเจอเลยใน ASUS Notebook ทุกรุ่น) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS ที่ทำให้ใช้งานร่วมกับ Notebook เช่นสะท้อนจอ ส่งข้อมูล รวมไปถึงใช้มือถือเป็นเว็บแคม
Battery / Heat / Noise
ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่ ASUS ROG Flow Z13 โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับ 10% แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 5:30 ชั่วโมงทีเดียว อีกทั้งเราสามารถชาร์จไฟได้ผ่านทางพอร์ต USB-C ด้วยเทคโนโลยี USB PD (USB Power Delivery) กับอแดปเตอร์หรือ Power Bank ที่รองรับด้วย (แต่ก็ชาร์จไฟเข้าช้ากว่าอแดปเตอร์มาตรฐาน) ที่สำคัญยังรองรับเทคโนโลยี Fast Charging โดยแบตเตอรี่จาก 0% ใช้เวลาชาร์จที่ 30 นาที ก็ได้กลับมา 50% แล้ว
สำหรับอุณหภูมิเมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 50 – 60 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 30 องศาเซลเซียส แน่นอนว่าในการใช้งานทั่วไปด้วยการใช้โหมด Windows แทบจะไม่รู้ว่าพัดลมหมุนเลย เพราะร้อนไม่เกิน 60 องศา จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ซึ่งทั้งหมดนี้ดูผ่านทางซอฟต์แวร์ Hardware Monitor เพื่อดูว่าชิปประมวลผล CPU / GPU ว่าจะร้อนที่สุดเย็นที่สุดเท่าไรในการใช้งานจริงๆ
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องสำหรับชิปประมวลผล CPU ส่วนของ P-Core อยู่ที่ไม่เกิน 98 องศาเซลเซียส ที่ต้องบอกว่าค่อนข้างสูงแต่ก็ไม่มีผลต่อการใช้งาน ถ้าเทียบความแรงที่ได้ ส่วนที่เป็นการ์ดจอแยกจะอยู่ที่ 76.6 องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่ามีความเย็นพอตัว ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่เปิดฟีเจอร์ Turbo พร้อมเพิ่มรอบพัดลมและแรงดันไฟฟ้าผ่าน ROG Boots จากการที่มีพัดลม 2 ตัว แต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกมอยู่แล้ว โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง แม้ความร้อนจะดูสูง
Conclusion / Award
ASUS ROG Flow Z13 เป็นอีกหนึ่ง Gaming Notebook บางเบารุ่นแรกๆ พร้อมพับได้ 360 องศา เพื่อใช้งาน Multi-Mode ที่ใช้ Intel Core i Gen 12H รุ่นใหม่สุดๆ อย่าง Core i7-12700H / Core i9-12900H ที่รุ่นที่เราได้มารีวิวเป็นตัวท็อปเน้นปลดปล่อยความร้อนที่ควบคุมได้ดี เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ต้องบอกว่าแรงกว่ารุ่นก่อนมากๆ สมกับการที่ทาง ASUS ROG ได้พัฒนาร่วมมือกับทาง Intel มาโดยตลอด ทำงานร่วมกับการ์ดจอแยกภายใน NVIDIA GeForce RTX 3050 / RTX 3050 ti และยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพ กล่องการ์ดจอแยกตัวแรงล้ำสุดอย่าง XG Mobile ที่ติดตั้ง RTX 3080
รวมไปถึงในส่วนของแรมยังได้เป็นมาตรฐานใหม่ด้วยขนาด 16GB LPDDR5 Bus 5200 MHz แน่นอนว่าที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูงสุดด้วย ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจมากๆ กับความแรงและความล้ำหน้าเกินใครในสุดๆ ช่วงต้นปี 2022 นี้ จากการทดสอบใช้งานจริงเล่นเกมจริงๆ เห็นได้ชัดถึงความทรงพลังของชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมเหนือชั้น ซึ่งนอกจากสเปกภายในที่แรงมากๆ แล้ว ดีไซน์ภายนอกก็มีความสวยงามบางเบา และให้ความพรีเมียมดุดัน โดยรองรับทั้งการเล่นเกม 3 มิติ AAA ใหม่ๆ หรือจะนำไปทำงานในเครื่องเดียวกันก็เยี่ยมยอด
สำหรับ ASUS ROG Flow Z13 รุ่นล่าสุด ถูกวางในเป็นรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนของ ROG Series ซึ่งมีราคา 49,990 – 99,900 บาท ได้สเปกระดับไฮเอนด์สุดๆ กับการที่ตัวเครื่องเน้นความเบาที่มากกว่า ASUS ROG ที่เป็น Gaming Notebook อีกทั้งได้หน้าจอทัชสกรีนแบบ QHD ที่สัดส่วน 16:10 เน้นพื้นที่การทำงานที่มากกว่า ความละเอียดที่เหนือชั้นกว่า รองรับงานมืออาขีพได้มากกว่าที่เคยมีมา ป็นการตอกย้ำถึงแบรนด์ ASUS ที่เป็นนวัตกรรมหาทำ Gaming Notebook ปี 2022 อีกครั้ง ทำให้กลายเป็น 2-in-1 Notebook ที่แรงที่สุดในโลกแบบไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังได้โปรแกรม Office Home & Student 2021 ไปติดเครื่องใช้งานยาวๆ ด้วย
เรียกได้ว่าการมาของ ASUS ROG Flow Z13 ในครั้งนี้ ถ้างบใครไม่ใช่ปัญหาก็ตามจัดกันได้ ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าราคาสูงกว่า ROG รุ่นอื่นๆ ในสเปกที่ใกล้เคียงกันจริงๆ พร้อมได้การรับประกัน 3 ปี On-site Service และแบบทั่วโลก และที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS อีกด้วย (คุ้มครอง 80% ของค่าอะไหล่ 1 ครั้งใน 1 ปีแรกในกรณีเกิดอุบัติเหตุ) อุ่นใจจัดเต็ม ตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ที่เป็น ASUS ROG กับบริการหลังการขายที่ดีที่สุดในตลาด ใครสนใจก็สอบถามไปตามร้านค้าไอทีต่างๆ ที่เป็นตัวแทน ASUS ได้เลย
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG Flow Z13 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ROG โน๊ตบุ๊คสายคุ้มค่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน ASUS ROG Flow Z13 รุ่นนี้ ที่เป็น Detachable Gaming Notebook ซึ่งมีการนำเสนอใหม่ของ ROG ทำให้มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม ที่สำคัญคือขอบจอบาง น้ำหนักเบาแค่ 1.18 กิโลกรัม และบางเพียง 12 มิลลิเมตรเท่านั้น วัสดุคุณภาพดีงานประกอบก็เยี่ยมทั้งอลูมิเนียมอัลลอยด์ผ่านกระบวนการ CNC ขั้นสูง มีความทนทาน เอาไปทำงานหรือเล่นเกมได้หมดรอบด้าน
Best Performance
ASUS ROG Flow Z13 รุ่นนี้สเปคเป็น Intel Core i7 12700H / Core i9-12900H + NVIDIA GeForce RTX 3050 / RTX 3050 Ti + RAM 16GB + SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 512GB / 1TB + มี Windows 11 Home ซึ่งทดสอบการใช้งานเล่นเกมจริงแล้วแรงจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ค่าคะแนนต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดี ส่วนการใช้งานทั่วไปนั้นก็ลื่นไหลสุดๆ หรือเล่นเกมก็ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญได้ความพรีเมียม บางเบา เรียกได้ว่าคุ้มค่าจนหาตัวจับได้ยากทีเดียว สำหรับ Gaming Notebook หน้าจอ 13.4″ แบบนี้ ซึ่งถ้าอยากแรงกว่านี้ก็ต้องต่อ XG Mobile อีกที
Best Gaming
สุดทางจริงๆ สำหรับฟีเจอร์ต่างๆ ของ ASUS ROG Flow Z13 ที่เป็น Notebook หรือ Tablet ได้ ใช้งาน Gaming ได้หลากหลายโหมด พาเนล IPS ขนาด 13.4″ บนความละเอียด Full HD+ ที่ 120Hz สัดส่วน 16:10 ให้ค่าขอบเขตสี sRGB ใกล้เคียง 100% และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่หาไม่ได้ในโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและ ASUS Pen ซึ่งใช้งานหน้าจอของเราสมบูรณ์แบบด้วยความเรียบเนียน สนับสนุนการทำงานหลากหลายโปรแกรม ส่งผลให้เราเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งาน Gaming Notebook แบบเดิมๆ ไปตลอดกาล กับความเชื่อที่ว่า Gaming Notebook บางๆ เบาๆ จะแรงไม่ได้