ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) จัดว่าเป็น Gaming Notebook ตัวท็อปสุด ในตระกูล ROG Strix ที่เป็นซีรีส์เน้นการเล่นเกมแบบจริงจัง เหมาะกับเกมเมอร์สาย eSport ได้ฟีเจอร์ Gaming จัดเต็ม ไฟ RGB รอบตัว มาพร้อมกับชิปประมวลผลสูงสุด Intel Core i9-12900H ที่แรงกว่า i9 รุ่นก่อนๆ ไปอีก ติดตั้งการ์ดจอแยกรุ่นใหม่เป็น NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti ให้ความแรงเหลือเฟือในการเล่นเกมทุกเกมบนโลกแบบลื่นไหล อีกทั้งได้การระบายความร้อน Liquid Metal อย่าง Thermal Grizzly Kryonaut Extreme ที่ดีเยี่ยมกว่าเดิม โดดเด่นด้วยไฟ RGB รอบตัวเครื่องไม่ซ้ำใคร
ส่วนของแรมมีที่ 16GB DDR5 Bus 4800MHz พร้อมที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 1TB หน้าจอใหญ่สะใจด้วยขนาด 15.6″ Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS ได้ Refresh Rate ที่ 300Hz/3ms ค่า sRGB ใกล้เคียง 100% รองรับ Dolby Vision ทำงานมืออาชีพ เล่นเกมตอบสนองแบบดีเยี่ยมที่สุด ได้มาตรฐานการเชื่อมต่อครบเครื่องด้วย Thunderbolt 4 และ Wi-Fi 6E ที่ดีที่สุด แน่นอนว่าได้ Windows 11 Home ใช้งานได้ทันที กับราคา 84,990 บาท ได้ ASUS Exclusive Care อย่างประกัน 3 ปี On-site Service โดยปีแรกมีประกันอุบัติเหตุด้วย
VDO Review
NBS Verdict
ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) นับได้ว่าเป็น Gaming Notebook ปี 2022 ที่อัดแน่นไปด้วยทุกอย่าง โดดเด่นด้วยสเปกภายในเป็น Core i9-12900H + GeForce RTX 3070Ti ซึ่งได้ความแรงและล้ำหน้าเหนือชั้นกว่าที่เคยมีมา พร้อมการกลับมาของ MUX Switch ทำให้เราเองสามารถเลือกใช้งานการ์ดจอแยกได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องผ่านการ์ดจอออนชิป จึงทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของการ์ดจอแยกให้เฟรมเรทดีขึ้นโดยเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 15% และ 43% ในบางเกมเลยทีเดียว ที่ติดตั้ง Liquid Metal (Thermal Grizzly Kryonaut Extreme) ที่สุดแห่งการระบายความร้อนสำหรับชิปประมวลผล ทำงานร่วมกับ ROG Intelligent Cooling
แน่นอนว่ามีเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่ๆ มากมาย อาทิ แรม DDR5 การเชื่อมต่อไร้สายเป็น Wi-Fi 6E รวมไปถึงยังอัปเกรดพอร์ตเชื่อมต่อเป็น Thunderbolt 4 แล้ว ที่สำคัญได้ฟีเจอร์ไฟ RGB รอบตัว ทั้งคีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG เป็น แบบ Per-key และ Surrounded Light Bar รวมไปถึงขอบหน้าด้านล่าง และ Wallpaper AuraRGB ที่สามารถซิงค์กันได้ ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ Armory Crate ให้ความสีสันฉูดฉานอย่างที่หาใน Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ไม่ได้ ตอบโจทย์กับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คเล่นเกมระดับสูงประจำปี 2022 ที่มีฟีเจอร์ครบถ้วนครบครันที่สุด กับราคา 84,990 บาท
เรื่องของการออกแบบที่ ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) แม้ยังคงแพลตฟอร์ตเดิมๆ แต่ก็มีการอัปเดทหลายๆ ส่วนซึ่งก็นับว่าทำได้ดีมาก ทั้งตัวเครื่องโปร่งใส และโลโก้ ROG ไฟ RGB เพิ่มเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับรุ่นก่อนๆ ที่ทำไว้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ด้วยดีไซน์สไตล์ ROG Strix Series ที่เป็น Gaming Notebook ที่ดูดุดันจริงจัง เหมาะกับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ หรือ eSport แบบ Pro Player ซึ่งส่วนตัวเองก็ยอมรับว่ามีความสวยงามพรีเมียม พร้อมทั้งได้ระบบเสียง Smart Amp + Dolby Atmos คุณภาพดี ที่มาเติมเต็มด้านประสบการณ์เกี่ยวกับความบันเทิง
ส่วนที่แตกต่างสุดๆ จาก Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สุดก็คือ ก็คือ ROG Keystone II กุญแจ NFC ที่ไม่มีใครเคยมีมาก่อน (เวลาใส่ไฟ LED เอฟเฟคเล็กๆ ด้วย) ช่วยเรื่องของโปรไฟล์ตัวเครื่องและการซ่อนไฟล์ Shadow Drive รวมไปถึง ROG Armor Cap ที่เลื่อนเปลี่ยนไปมาได้ตามอารมณ์ รวมถึงมีระบบตัดการทำงานอัตโนมัติของพัดลมเมื่ออุณหภูมิของตัวเครื่องต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้ความเงียบที่สุดระดับ 0 เดซิเบลเลยทีเดียว มีระบบจัดการฝุ่นทำให้ลดฝุ่นสะสมภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขั้นสูงสุดและความเสถียรของระบบในระยะยาว
ปิดท้ายที่ได้การรับประกันที่ดีเยี่ยมอย่าง ASUS Exclusive Care ระยะเวลา 3 ปี On-site Service และ 3 ปี International Warranty แน่นอนว่ายังการประกันอุบัติเหตใน 1 ปีแรก จัดเป็น Gaming Notebook ระดับบนของปี 2022 ที่สมราคาจริงๆ อย่างไรก็ตามแต่ก็ยังแอบมีข้อสังเกตในส่วนนี้ด้วยก็คือ ไม่มีเว็บแคมในตัว รวมไปถึงพอร์ตเชื่อมต่ออย่าง Card Reader และความร้อนอาจจะดูสูงหน่อย แต่ไม่มีผลต่อการใช้งาน สรุปคือถ้างบไม่ติดอะไร และยอมรับข้อจำกัดได้ ก็ตามจัดได้เลย ที่จัดว่าสเปกต่อราคาคุ้มค่าทีเดียว เมื่อเราเทียบกับประสิทธิภาพความแรงโดยรวมและฟีเจอร์ต่างๆ ที่ได้ พร้อมขายแล้วก่อนใคร
จุดเด่น ASUS ROG Strix Scar 15 (G533)
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์พันธุ์ ROG Strix Scar งานประกอบแน่นวัสดุดีเยี่ยม
- ไฟ RGB รอบตัวทั้ง คีย์บอร์ด + Surrounded Light Bar + โลโก้ ROG + ใต้หน้าจอ + Wallpaper
- ประสิทธิภาพสูง ใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผล Core i9-12900H การ์ดจอแยก RTX 3070 Ti
- ติดตั้งแรมขนาด 16GB DDR4 Bus 4800MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 1TB
- ฟีเจอร์ MUX Switch ทำให้เราเองสามารถเลือกใช้งานการ์ดจอแยกได้ แบบไม่ผ่านออนชิป
- หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง Refresh Rate ที่ 300Hz/3ms รองรับ Dolby Vision
- มี ROG Keystone II กุญแจ NFC ส่วนตัว เป็นลูกเล่นที่ไม่เหมือนใคร
- มีซอฟต์แวร์มากมาย อาทิ Armory Crate / MyASUS ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง
- มาพร้อม Windows 11 Home ใช้งานได้ทันที มีความสดใหม่และสเถียรภาพแล้ว
- มีพอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน อย่าง Thunderbolt 4 เพียงพอต่อการใช้งานแน่นอน
- ลำโพงเสียงดีแบบ 4 ตัว ได้ระบบเสียงรองรับ Smart Amp + Dolby Atmos
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 7 ชั่วโมง พร้อมรองรับการชาร์จไฟผ่าน USB-PD
- มาพร้อม ASUS NumberPad ที่เปลี่ยนทัชแพดธรรมดาเป็นปุ่มกดตัวเลข LED
- ระบบระบายความร้อนดี Thermal Grizzly Kryonaut Extreme เทียบกับสเปกที่แรงขนาดนี้
- ประสบการณ์ใช้งานดีเยี่ยม ประทับใจมาก เมื่อเทียบกับฟีเจอร์ Gaming ต่างๆ ที่ได้
- ASUS Exclusive Care ประกัน 3 ปีแบบทั่วโลก พร้อมบริการ On-site Service และมีประกันอุบัติเหตุ 1 ปี
ข้อสังเกต ASUS ROG Strix Scar 15 (G533)
- ไม่มีกล้องเว็บแคมมาให้ในตัวตามดีไซน์ แต่สามารถใช้มือถือใช้งานผ่าน MyASUS ได้
- ไม่มีช่องเชื่อมต่อกับ SD Card / micro-SD อย่างช่อง Card Reader
- ความร้อนชิปประมวลผลดูสูงไปหน่อย แต่ไม่มีผลกับการใช้งานใดๆ
- น่าจะติดตั้งแรมมาให้เป็นขนาด 32GB (16GB x 2) ทันทีไปเลย
Specification
ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) รุ่นที่ผมได้มารีวิวใช้ชิปประมวลผลตัวท็อปสุดเป็น Intel Core i9-112900H ความเร็ว 2.40 – 5.30 GHz ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด สถาปัตยกรรมแบบใหม่ Hybrid Architecture ทำงาน E-Core และ P-Core ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ที่แรงลื่นและร้อนน้อยสุดๆ อย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070Ti (8GB GDDR6) มีค่า TGP 150W โดยแรงกว่า RTX 3070 รุ่นก่อนหน้า ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Gaming Desktop ตัวไฮเอนด์ท็อปสุดในตลาด Gaming Notebook ปี 2022 แล้วทีเดียว (เป็นรองเพียงรุ่นการ์ดจอแยก RTX 3080 Ti)
มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe PCIe Gen 4 จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ความจุ 1TB (x1) ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แบบ DDR5 Bus 4800 MHz ขนาด 8GB จำนวน 2 แถว พร้อมรองรับ Quad Channel (ใส่ 1 แถวเป็น Dual Channel แล้ว) หน้าจอได้เป็นขนาด 15.6″ แบบผิวด้านขอบจอบาง กับความละเอียด Full HD พาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 300Hz/3ms โดยมีค่าขอบเขตสีใกล้เคียง 100% ได้มาตรฐาน Dolby Vision ให้สีสันการแสดงผลในเกณฑ์ดีน่าประทับใจอย่างที่สุดทั้งเล่นเกมหรือทำงาน
ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง Thunderbolt 4 x 1 รองรับโอนถ่ายข้อมูล 40Gbps / DisplayPort 1.4 ออก 4K, 8K ได้ / ชาร์จไฟผ่านทาง USB PD (power delivery ) / USB 3.2 Type-C x 1 / 2 x USB 3.2 Type-A / HDMI 2.1 / RJ-45 LAN 2.5G / Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6E พร้อมเทคโนโลยี RangeBoost เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นแรกของโลกที่ใช้ตัวรับสัญญาน Wi-Fi แบบ Multi-Antenna บนมาตรฐาน Wave 2 (2×2 + 2×2) ให้ระยะการรับสัญญานที่ไกลขึ้นถึง 30% พร้อมอัตราการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น ถ้าเทียบกับมาตรฐานทั่วไป
สนนราคา ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) อยู่ที่ 84,990 บาท พร้อมระบบปฎิบัติการติดตั้ง Windows 11 Home และซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Armory Crate / MyASUS มาให้ในตัว ได้ ASUS Exclusive Care ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 ปี Local Onsite Service เครื่องมีปัญหา ไปซ่อมถึงที่ 3 ปี International Warranty เครื่องมีปัญหาแต่อยู่ต่างประเทศ ก็ยัง สามารถใช้บริการการรับประกันระหว่างประเทศได้ 1 ปี Perfect Warranty อุบัติเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะทำน้ำหกใส่ ไฟฟ้าลัดวงจร หรือเครื่องตกหล่น โดยทั้งหมดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เมื่อซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ ASUS Exclusive Care
ASUS ROG Strix Scar 15 G543ZW-HF160W ราคา 84,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i9-12900H (14C/20T & 1.8 – 3.8GHz + 2.5 – 5.0 GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe + NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (8GB GDDR6)
-
RAM : 16GB DDR5 Bus 4800 MHz (16GB x 1)
-
DISPLAY: 15.6″ IPS FHD @ 300Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 1TB
-
OS : Windows 11 Home
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
ASUS ROG Strix Scar 15 G543ZX-HF058W ราคา 114,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i9-12900H (14C/20T & 1.8 – 3.8GHz + 2.5 – 5.0 GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe + NVIDIA GeForce RTX 3080 Ti (16GB GDDR6)
-
RAM : 32GB DDR5 Bus 4800 MHz (16GB x 2)
-
DISPLAY: 15.6″ IPS FHD @ 300Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 1TB
-
OS : Windows 11 Home
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
Hardware / Design
ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ที่เป็น Gaming Notebook ที่ดูดุดันจริงจัง เหมาะกับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ หรือ eSport แบบ Pro Player ซึ่งส่วนตัวเองก็ยอมรับว่ามีความสวยงามพรีเมียม หน้าจอขนาด 15.6″ เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางตัวเครื่องมิติเล็กกระชับทั้ง 3 ด้าน คือ บน ซ้ายและขวา พร้อมตัดกล้องเว็บแคมออกไป มีน้ำหนักอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม แม้ว่าโดยรวมแล้วใช้แพลตฟอร์ตเดิมๆ แต่ก็มีการอัปเดทหลายๆ ส่วนซึ่งก็นับว่าทำได้ดีมาก ทั้งตัวเครื่องโปร่งใสและลวดลายใหม่ ได้โลโก้ ROG ไฟ RGB เพิ่มเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับรุ่นก่อนๆ ที่ทำไว้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
ทั้งด้วยระบบระบายความร้อนอัจฉริยะ ROG Intelligent Cooling รุ่นใหม่ มีการใช้สารนำความร้อน Thermal Grizzly Kryonaut Extreme ช่วยลดอุณหภูมิ ติดตั้งพัดลม 2 ตัวแบบพิเศษ และยังได้ทั้งความเงียบกรณีที่ความร้อนต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส ที่ทำงานร่วมกับดีไซน์ช่องดูดลมเย็นแบบ 3 มิติ ระบายความร้อนแยกฝั่ง ซ้าย-ขวา, ท่อฮีทไปป์จำนวน 8 ท่อ, Copper plate ที่ครอบทับบริเวณชิ้นส่วนที่จะเกิดความร้อนทั้งหมด, และครีบทองแดงบนฮีทซิ้งค์ที่บางพิเศษเพียง 0.1 มิลลิเมตร รวมไปถึงระบบกำจัดฝุ่น Anti-Dust Cooling ช่วยให้ความร้อนต่ำและใช้งานตัวเครื่องได้ด้วยความเสถียรอย่างต่อเนื่อง
ที่โดดเด่นและไม่เคยมีมาก่อนก็คือ ROG Keystone II กุญแจ NFC ส่วนตัวที่จะทำให้เราสามารถบันทึกโปรไฟล์การตั้งค่าการทำงานต่างๆ ของตัวเครื่องให้เป็นรูปแบบเฉพาะสำหรับเราเท่านั้น และที่สำคัญที่สุดคือฟังก์ชั่น Shadow Drive เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้มากยิ่งขึ้นกับไดรฟ์ที่จะถูกเข้ารหัสและปรากฎขึ้นมาให้เข้าถึงได้ก็ต่อเมื่อเสียบใช้งาน Keystone เท่านั้น ซึ่งในบันเดินจะมาพร้อมพ่วงกุญแกจที่เก็บด้วย เรียกได้ว่าเจ๋งดีจริงๆ กับการใส่ฟีเจอร์นี้เข้ามาใน Gaming Notebook อย่างที่ Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ไม่สามารถทำได้
ที่สำคัญด้วยไฟ RGB รอบตัว อย่าง Surrounded Light Bar รอบตัวเครื่องพร้อมคีย์บอร์ดแบบ Per-key อีกทั้งมีการติดตั้งไฟที่ขอบหน้าจอด้านล่างด้วย ให้เราสามารถปรับแต่งแสงไฟได้ตามสไตล์ของผู้ใช้อย่างอิสระมากถึง 16.7 ล้านสี ผ่านฟีเจอร์ Aura Sync รวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ที่รองรับ โดยยังได้ติดตั้ง NumberPad เข้ามาด้วย โดยทัชแพดเองสามารถเปลี่ยนเป็นแป้นตัวเลขได้ จากการที่ตัด Numpad ด้านขวาออกไป พร้อมขยายปุ่มคีย์บอร์ดให้มีความกว้างขึ้น รวมไปถึง ROG Armor Cap ที่เลื่อนเปลี่ยนไปมาได้ตามอารมณ์ จำนวน 3 ชิ้นด้วยกัน
วัสดุโดยรวมทั้งหมดเป็นอลูมิเนียมผสานด้วยฝาหลังเป็นอะลูมิเนียมดีไซน์เฉียบสีดำ ส่วนด้านในเป็นพลาสติกเกรดดีให้สัมผัสที่ดีพรีเมียม จับติดมือ ไม่ลื่น และรู้สึกดีกว่าพลาสติกแบบธรรมดาทั่วไป ส่วนหน้าจอของ ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) จะเป็นแบบบานพับสองแกนดูแล้วแข็งทนทานกางหน้าจอได้ประมาณ 145 องศา โดดเด่นแปลกใหม่ด้วย Wallpaper ที่สามารถซิ้งค์ให้แสดงแสงสีหน้าจอให้เข้ากับไฟรอบตัวเครื่อง เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ จากทาง ROG พร้อมเว้นขอบเอาไว้โชว์ไฟแสดงไฟ LED การทำงานต่างๆ ที่มีความโปร่งใสให้ความสวยงามจริงๆ
สรุปโดยรวมการออกแบบดีไซน์ภายนอกและวัสดุนั้น ทำได้ดีตามมาตรฐานของ ASUS ROG Strix Scar ที่ทุกคนไว้ใจและมั่นใจจริงๆ ตอบโจทย์ของคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงในดีไซน์ Gaming มีไฟ RGB จัดเต็ม แต่แอบแฝงความแรงและเรียบหรูเอาไว้ กับมาตรฐานใหม่ของ Gaming Notebook ช่วงครึ่งปีแรกของ 2022 ที่ไม่ใช่แค่แรงระดับสูงสุดในตลาด แต่ขอบจอต้องบางเฉียบด้วย ซึ่งต้องยอมที่จะตัดเว็บแคมออกไปเลย ถ้าจะใช้ต้องหามาเองเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า หรือใช้มือถือมาลงแอปพลิเคชั่น MyASUS แล้วใช้เป็นแว็บแคมแทนที่ได้
Keyboard / Touchpad
ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) เป็นคีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG เป็นแบบ Per Key RGB ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ในแต่ละปุ่ม ด้วยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.8 มิลลิเมตร แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปพร้อมจังหวะเด้งสุดๆ พร้อมเทคโนโลยี OverStroke เพื่อการกดรัวที่ดียิ่งขึ้นด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ 20 ล้านครั้ง
มีฟังก์ชั่นเพิ่มลดเสียง เปิดปิดไมค์ และ ปุ่ม Armory Crate ซอฟต์แวร์ Utility ซึ่งตัวปุ่มต่างๆ ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์ ที่สำคัญมีในส่วนของปุ่มลัดทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งาน Turbo Mode ตัวทัชแพดเองขนาดใหญ่แบบปุ่มแยกออกจากกัน ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ปุ่มนุ่มกดง่าย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี โดยรวมแล้วเป็นคีย์บอร์ดและทัชแพดที่ให้ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือชั้นกว่า Gaming Notebook ทั่วไป
ส่วนที่เป็นไฮไลท์ก็คือ มีแผงปุ่มตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในทัชแพด โดยใช้ชื่อเรียกว่า NumberPad ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะไอคอนตรงมุมขวาบนของทัชแพดค้างไว้ 1 วินาที เส้นไฟสำหรับแบ่งพื้นที่ของแต่ละปุ่มก็จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเป็น Numpad ได้ทันที ซึ่งแม้ว่าจะมีปุ่มขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นเวอร์ชั่นแรกทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้ทัชแพดในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้ ส่งผลให้เป็นการเลือกปิดทัชแพดในตัว ซึ่งก็สะดวกดีกรณีที่เราใช้งานแล้วกลับว่ามือเราจะไปโดนทัชแพดแบบไม่ตั้งใจตอนต่อเมาส์ใช้งาน
Screen / Speaker
หน้าจอแสดงผลของ ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) มีขนาด 15.6″ ความละเอียด Full HD พาเนล IPS คุณภาพสูงแบบด้าน Anti-glare สำหรับการเล่นเกมที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ด้วย Refresh Rate สูงสุด 300Hz/3ms รองรับการแสดงค่าสีตามมาตรฐาน sRGB ใกล้เคียง 100% ให้ทุกการเล่นเกมคมชัด สมจริง ไร้อาการภาพเบลอและฉีกขาด และยังแสดงสีได้อย่างแม่นยำสำหรับการทำงานเฉพาะทางอีกด้วย แน่นอนว่ามีดีไซน์หน้าจอขอบจอบางเฉียบทั้งขอบด้านข้างและด้านบน (พร้อมเลือกตัดเว็บแคมออกไปเลย ตามสไตล์ของ ROG Strix) ถือว่าดีตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ปี 2022 นี้แล้ว
และแม้ไม่มีการติดตั้งเว็บแคมและไมโครโฟนแบบ 2 ตัว มีเทคโนโลยี ASUS AI Noise-Canceling Audio ช่วยลดเสียงรบกวนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเล่นเกมกับเพื่อนหรือแม้แต่การใช้งานเพื่อการประชุมที่มีความสำคัญ ให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการสตรีมในการเล่นเกมอีกด้วย การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ROG Strix Scar 15 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง จึงได้ทำการทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 92% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับที่ดีมากๆ ที่ 88% sRGB / 68% AdobeRGB / 68% DCI-P3 ที่ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน รวมไปถึงการทดสอบเกี่ยวกับการคลาดสี Delta-E เฉลี่ยแล้วอย่ที่ 1.19 เท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ (ไม่เกิน 2 ถือว่าดีเยี่ยม)
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องล่างกลางเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่ 300 nit แต่สำหรับช่องกลางแถวบนจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 9% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite ที่เชื่อถือได้
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องข้างๆ ซ้ายขวา แบบ 4 ตัว คุณภาพสูง พร้อม Smart Amp + Dolby Atmos เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ให้ขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะมีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม เรื่องของความดังของเสียงถือว่ามากกว่า ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) นี้จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีพอร์ตมาให้ครบครับใช้ได้เลยทีเดียว ติดตั้งที่ด้านหลังและด้านซ้ายของเครื่อง โดยอัปเกรดจากรุ่นก่อนๆ คือติดตั้ง Thunderbolt 4 x 1 รองรับโอนถ่ายข้อมูล 40Gbps / DisplayPort 1.4 ออก 4K, 8K ได้ / ชาร์จไฟผ่านทาง USB-PD (Power Delivery) รวมไปถึงติด USB 3.2 Type-A จำนวน 2 พอร์ต, และ USB 3.2 Type-C อีกจำนวน 1 พอร์ตมาให้ด้วย ช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตร 1 ช่อง, พอร์ต LAN RJ45 (ความเร็วสูงสุด 2.5Gbps) ตัวเต็ม และ HDMI 2.1 (ต่อหน้าจอแยก 4K @ 120Hz ได้) ปิดท้ายที่ช่องต่ออแดปเตอร์หัวกลม
ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6E พร้อมเทคโนโลยี RangeBoost แบบ Multi-Antenna บนมาตรฐาน Wave 2 (2×2 + 2×2) ให้ระยะการรับสัญญานที่ไกลขึ้นถึง 30% พร้อมอัตราการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น ส่วนการพกพาเองก็ถือว่า ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ไม่หนักไม่เบา มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊ค 15.6″ ตัวอื่นๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมในเรื่องการพกพาไปไหนมาไหน แม้ว่าถ้ารวมอแดปเตอร์ 280 Watt แล้วจะมีน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัมนิดๆ ก็พอที่จะใส่กระเป๋าและเอาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ไม่ยากเย็นอะไร ถือได้ว่าสะดวกสำหรับการเคลื่อนย้ายอยู่ในระดับนึง
Inside / Upgrade
ถ้าใครต้องการจะแกะทั้งฝาล่างทั้งหมดของ ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) เพื่ออัพเกรดหรือทำความสะอาดก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ไขน็อตทั้งหมดประมาณ 10 ตัว พิเศษตรงที่จะมีน็อตตรงมุมสองตัวช่วยดันฝาออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แงะแกะทีละส่วนขึ้นอย่างช้าๆ เพียงเท่านี้ก็จะแกะฝาล่างได้ไม่ยากเย็น ส่วนประกอบภายในอื่นๆ ที่มีงานประกอบเรียบร้อยดี อย่างไรก็ตามมีข้อควรระวังก็คือ Surrounded Light Bar รอบตัวเครื่อง ซึ่งจะมีสายแพรเชื่อมต่อไว้อยู่ ไม่แนะนำให้ถอดโดดเด็ดขาด ฉะนั้นเมื่อแกะฝาแล้วให้ถอดวางไว้ใกล้ๆ กัน และระมัดระวังมากๆ ขณะที่อัพเกรดหรือทำความสะอาด
เมื่อแกะฝาล่างออกมาแล้วเราก็จะพบแรมจำนวน 2 ช่อง ที่ติดตั้งมาแล้ว 2 แถวขนาด 8GB ขนาดรวมเป็น 16GB มาตรฐานใหม่อย่าง DDR5 Bus 4800MHz (ทำงานแบบ Quad Channel) ซึ่งมีอผ่นพลาสติกปิดเอาไว้อยู่ โดยรองรับการอัปเกรดได้สูงสุด 64GB และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความเร็วสูงที่ความจุ 1TB พร้อมใส่ SSD M.2 ได้อีก 1 ช่องทันที (ไม่รองรับการอัพเกรด SSD/HDD แบบ 2.5” SATA) ให้การใช้งานเป็นไปอย่างลื่นไหลไร้คอขวด ที่ต้องบอกว่าสำหรับการใช้งานทั่วไปจนไปถึงเล่นเกมหนักๆ ก็ใช้งานได้แบบไม่จำเป็นต้องอัพเกรดแล้ว
ระบบระบายความร้อนของ ASUS ROG Strix Scar 15 นั้นจัดเต็มด้วย ด้วยระบบระบายความร้อนอัจฉริยะ ROG Intelligent Cooling ที่ทำงานร่วมกับสารโลหะเหลว (Liquid Metal) จาก Thermal Grizzly Kryonaut Extreme พร้อมพัด 2 ตัวขนาดใหญ่ และฮีท์ไปป์ 7 เส้นสีดำ เพื่อเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนให้กับชิปประมวลผล แทนการใช้ซิลิโคนนำความร้อนแบบปกติ รวมไปถึงจากการที่มีระบบกำจัดฝุ่น Anti-Dust Cooling ช่วยไล่ฝุ่นอัตโนมัติ เพื่อการใช้งานที่ยาวนานด้วย
Performance / Software
โดย ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ได้ฮาร์ดแวร์ภายในมาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นยอดนิยมของ Gaming Notebook อย่าง Intel Core i Gen 12H (Alder Lake) เน้นนำไปใช้งานหนักๆ อัปเกรดมาใช้สถาปัตยกรรมไฮบริด คอร์ใหญ่ผสมกับคอร์เล็ก เพื่อรองรับโหลดงานที่หลากหลาย โดยแบ่งเป็น Performance Core (P-core) เน้นงานเธรดเดี่ยว ที่ต้องการประสิทธิภาพในงานประมวลผลขั้นสูงอย่างทำงานที่ซับซ้อนหรือเล่นเกม และ Efficient Core (E-core) ที่ใช้กับงานทั่วไป รวมไปถึงงานที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ติดตั้งมาเป็นรุ่นล่าสุดอย่าง Core i9-12900H
มีความเร็วในการประมวลผล E-Core อยู่ที่ 1.8 – 3.8 GHz ส่วน P-Core อยู่ที่ 2.5 – 5.0 GHz เป็นซีพียูแบบ 14 Core (P6 + E8) / 20 Threads ซึ่งถ้าดูจากคะแนนผลการทดสอบด้านต่างๆ คือเหนือชั้นกว่า Core i9-11900H ขึ้นไปอีก การ์ดจอออนชิปเป็น Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีแบบพื้นฐาน รองรับการทำงานได้ในระดับทั่วไปเป็นหลัก มาพร้อมแรมภายในขนาด 16GB DDR5 Bus 4800MHz แบบ 8GB x 2 แถว ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ที่มีมาให้ในเครื่องขายจริงนี้แบบสบายๆ
. 
การ์ดจออนชิปเป็น Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K โดยมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (8GB GDDR6) กับค่า TGP 150W ที่ต้องบอกว่าแรงกว่า RTX 30 Series อย่าง RTX 3070 ที่สำคัญคือยังปลดปล่อยความร้อนออกมาน้อยด้วย ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้ลื่นไหลแน่นอน
แน่นอนว่ามี Ray-Tracing รุ่นใหม่ ซึ่งก็คือเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลการให้แสงสำหรับเกมแบบ real-time จากที่ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาเกมจะต้องใช้วิธีการสร้าง Geometries แบบสับซ้อนซึ่งทำให้การประมวลผลแสงในเกมให้เหมือนจริงที่ใช้กำลังของ GPU ค่อนข้างหนัก Ray-Tracing นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ GPU นั้นทำงานน้อยลงและสามารถที่จะประมวลผลในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าการที่จะทำได้นั้นตัวเกมเองก็ต้องใช้เอนจิ้นที่รองรับเทคโนโลยี Ray-Tracing นี้ด้วย
. 
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / CINEBENCH 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล Intel Core i9-12900H คะแนนก็อยู่ในระดับสูงมากๆ อย่างน่าประทับใจสมกับเป็นรุ่นระดับบน เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryze / Intel Core รุ่นก่อนๆ ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอแยก RTX 3070Ti เองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบนสุด ที่เน้นการทำงาน 3D เป็นหลัก
. 
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องแน่นอนว่าเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ที่กลายเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook รุ่นใหม่ๆ ไปแล้ว ซึ่งทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB (พร้อมรองรับการอัปเกรด 1 ช่อง และเลือกโหมด Raid 0 / Raid 1 ด้วย) ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับ SSD M.2 SATA 3 แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 6568 MB/s และเขียนที่ 4751 MB/s ที่เร็วกว่ารุ่นก่อนๆ แต่ก็ถือว่าดีกว่ามาตรฐาน Gen 3 แบบเดิมๆ แล้ว
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 7732 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมชิปประมวลผล Core i9-12900H มีการ์ดจอแยกอย่าง GeForce RTX 3070Ti แต่ถ้าเทียบจริงๆ จะเห็นถึงคะแนนที่สูงกว่า Gaming Notebook ในสเปกที่เป็น Core i Gen 12H ปกตินั่นเอง แต่จริงๆ แล้วคะแนนน่าจะไปได้ไกลกว่านี้อีกหน่อยถ้าอัปเกรดแรมเป็น 32GB
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 11459 เน้นเรื่อง DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขากับ DirectX 12 ได้ดีขนาดไหน ซึ่งถ้าเทียบกับ Gaming Notebook ปีก่อน ต้องยอมรับว่าคะแนนโดยรวมนั้นดีขึ้นไปได้อีก
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 150 – 200 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ประกอบไปด้วย Resident Evil 8 / GTA V / Far Cry 6 ที่เป็นเกมออฟไลน์ที่กินทรัพยกร รวมไปถึงเกมออนไลน์ยอดนิยมอย่าง PUBG / DOTA 2 / SCUM บนความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (ตาม Native ของหน้าจอ) โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ที่ต้องบอกว่าเฟรมเรทที่ออกมานั้นมีความลื่นไหลสุดๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุด
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบที่สนับสนุนการแสดงผล Refresh Rate ที่ 300Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ โดยไม่มีอาการฉีกขาด เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 300Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 144Hz ขึ้นไป ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมาต่ำๆ หน่อย ซึ่งทุกการทดสอบนี้เราเปิดฟีเจอร์ MUX Switch บังคับเลือกใช้งานการ์ดจอแยกแบบไม่ผ่านออนชิป เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
นอกเหนือจากนี้ยังมี Armory Crate ซอฟต์แวร์ Utility เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ได้หน้าจอที่สวยงามและดูง่ายกว่าเดิม ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบร อาทิ ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้หลายโปรไฟล์ ซึ่งการตั้งค่าต่างๆ จะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate รวมไปถึงการตั้งค่สาอื่นๆ ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น AuraRGB ตามจุดต่างๆ รอบตัวเครื่อง รวมไปถึง Wallpaper และฟีเจอร์ ROG Keystone II ด้วย
ปิดท้ายกับอีกหนึ่งซอฟต์แวร์ ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS (เปิดเครื่องมาเจอเลยใน ASUS Notebook ทุกรุ่น) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS ที่ทำให้ใช้งานร่วมกับ Notebook เช่นสะท้อนจอ ส่งข้อมูล รวมไปถึงใช้มือถือเป็นเว็บแคม
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว พร้อมปิดฟีเจอร์ MUX Switch และเลือก Power Saver Mode + Windows โดยดูผ่านทางโปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 7 ชั่วโมงทีเดียว เรียกได้ว่าแบตเตอรี่ใช้งานได้ระยะเวลาที่น่าพึงพอใจ ซึ่งจากการทดสอบล่าสุดพบว่าแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวกว่า Gaming Notebook ทั่วไปจริงๆ ในสเปกนี้ นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกชาร์จไฟกลับผ่านทาง USB-PD ด้วย
สำหรับอุณหภูมิเมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 50 – 60 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 30 องศาเซลเซียส แน่นอนว่าในการใช้งานทั่วไปด้วยการใช้โหมด Windows แทบจะไม่รู้ว่าพัดลมหมุนเลย เพราะร้อนไม่เกิน 60 องศา จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ซึ่งทั้งหมดนี้ดูผ่านทางซอฟต์แวร์ Hardware Monitor เพื่อดูว่าชิปประมวลผล CPU / GPU ว่าจะร้อนที่สุดเย็นที่สุดเท่าไรในการใช้งานจริงๆ
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องสำหรับชิปประมวลผล CPU ส่วนของ P-Core อยู่ที่ไม่เกิน 98 องศาเซลเซียส ที่ต้องบอกว่าค่อนข้างสูงแต่ก็ไม่มีผลต่อการใช้งาน ถ้าเทียบความแรงที่ได้ ส่วนที่เป็นการ์ดจอแยกจะอยู่ที่ 87 องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่ามีความเย็นพอตัว ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่เปิดฟีเจอร์ Turbo พร้อมเพิ่มรอบพัดลมและแรงดันไฟฟ้าผ่าน ROG Boots จากการที่มีพัดลม 2 ตัว แต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกมอยู่แล้ว โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง แม้ความร้อนจะดูสูง แต่ก็อย่าลืมว่าสเปกเป็นระดับท็อปสุดจริงๆ
Conclusion / Award
จากประสบการณ์และใช้งานจริงๆ ของ ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ทั้งการเล่นเกมหลากหลายเกมแบบปรับสุด รวมไปถึงทำงานและความบันเทิงดูหนังฟังเพลง บอกได้อย่างเต็มปากเลยว่า ASUS ทำออกมาได้ดีกว่า ASUS ROG Strix ทั้งหมดในตลาด จากการที่สเปกใหม่ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็น Core i Gen 12 + GeForce RTX 30 Series และแรม DDR5 ทั้งในเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ล้ำหน้า เน้นฟีเจอร์และความพรีเมียม งานประกอบและวัสดุที่เยี่ยมยอด เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่า Gaming Notebook ช่วงราคาเดียวกัน สเปคประสิทธิภาพสูง ที่สำคัญคือได้หน้าจอพาเนล IPS เกรดสูงที่ 300Hz และมี Windows 11 Home มาให้พร้อมใช้งานด้วย
ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงทั้งด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดที่แรงเพียงพอกับทุกเกมในตลาด ซึ่งเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดของ Gaming Notebook ในตลาดที่ความละเอียด Full HD ที่สำคัญฟีเจอร์อื่นๆ ยัดมาให้อย่างแน่นหนา อาทิ ระบบ RGB ไม่แค่นั้นเรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดี ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา 84,990 บาท เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน แต่ถ้าใครต้องการรุ่นถูกกว่านั้นที่เป็น ROG Strix 15 ที่ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 12H ในราคาเริ่มต้นที่จับต้องได้ง่ายกว่าก็ได้
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
ด้วยสเปกชิปประมวลผลตัวท็อป Intel Core i9-112900H ตัวล่าสุด และการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 Ti (8GB GDDR6) ได้ฟีเจอร์ MUX Switch เร่งประสิทธิภาพขึ้นไปอีก ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB แบบ DDR4 รวมไปถึง SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความเร็วสูงที่ 1TB ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Best Gaming
ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) เป็น Gaming Notebook ที่มีความสดใหม่และเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย อาทิเช่น หน้าจอ 300Hz พาเนล IPS ขอบจอบางเฉียบ ตัวเครื่องเป็น ROG Intelligent Cooling ระบบระบายความร้อนดีเยี่ยมในการเล่นเกม Surrounded Light Bar ไฟ RGB AURA รอบตัวและหลายๆ ส่วน อีกทั้งมี Keystone 2 กุญแจ NFC ส่วนตัว รวมไปถึงซอฟต์แวร์ Armory Crate ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง และอื่นๆ อีกมากมาย สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสำหรับคนงบเยอะ ถือได้ว่าเป็นผู้นำในตลาด Gaming Notebook ยิ่งเทียบในระดับเดียวกันยิ่งหาตัวจับยาก
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ASUS ROG โน๊ตบุ๊คสายคุ้มค่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน ASUS ROG Strix Scar 15 (G533) ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วหรูหราตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม แม้ยังคงแพลตฟอร์ตเดิมๆ แต่ก็มีการอัปเดทหลายๆ ส่วนซึ่งก็นับว่าทำได้ดีมาก ทั้งตัวเครื่องโปร่งใส และโลโก้ ROG ไฟ RGB เพิ่มเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับรุ่นก่อนๆ ที่ทำไว้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว เหมาะกับเกมเมอร์สายฮาร์ดคอร์ หรือ eSport แบบ Pro Player ตัวจริง
