ASUS Vivobook 13 Slate OLED (T3300) ที่นับว่าเป็นโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ OLED 13.3″ หน้าจอสวยงามสดใสและดีกว่าหลายๆ รุ่นที่ราคาใกล้ๆ กัน แน่นอนว่ารองรับการทัชสกรีนได้เต็มรูปแบบ ที่มีความบางเบาพกพาสะดวก ทำงานแบบ 3-in-1 ทรงแท็บเล็ตที่สามารถถอดคีย์บอร์ดและขาตั้งแยกออกมาได้ โดยมาพร้อมชิปประมวลผล Intel Pentium Silver N6000 ซึ่งนอกเหนือจากความบางเบาแล้ว ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยมากมาย รวมไปถึงแข็งแรงทนทานด้วยวัสดุอะลูมิเนียมทั้งตัวเครื่อง กับความบางที่ 7.9 – 8 มิลลิเมตร และเบาเพียง 790 กรัมเท่านั้น
สเปกภายในของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ที่ทีมงานได้รับมารีวิว จะมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Pentium Silver N6000 ทำงานแบบ Fanless ไม่ต้องมีพัดลมระบายความร้อนแบบยุคก่อนๆ ขับเคลื่อนด้วยแรมขนาด 8GB และที่เก็บข้อมูลความเร็วสูง SSD ความจุ 256GB พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ส่วนการประกันให้ถึง 2 ปี ส่งเคลมได้กว่า 57 ประเทศทั่วโลก และในปีแรกมีประกันอุบัติเหตุ เรียกได้ว่าเหมาะไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ในรูปแบบการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง งานเอกสาร หรือวาดรูปจดบันทึกผ่านทาง ASUS Pen 2.0 ที่ล้ำกว่ารุ่นก่อนๆ
VDO Review
NBS Verdict
ประสบการณ์ใช้งานที่ได้จาก ASUS Vivobook 13 Slate OLED เครื่องนี้ทำออกมาได้ประทับใจดี สำหรับการใช้งานพื้นฐาน เช่นงานเอกสาร ดูหนังฟังเพลง จัดการไฟล์ เล่นอินเตอร์เน็ต ดู Facebook, Youtube, Netflix เหมาะที่จะนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการดีไซน์ที่เรียบง่ายใช้งานได้จริงและยังให้สเปกพอเพียง อีกทั้งงานประกอบก็มีความแน่นหนาจากการใช้วัสดุคุณภาพสูงอย่างอะลูมิเนียมเกือบตลอดทั้งตัวเครื่อง โดยมีความบางเพียง 7.9 – 8 มิลลิเมตร และมีความเบาเพียง 790 กรัม และ 1.4 กิโลกรัมเมื่อประกอบทุกอย่างด้วยกัน ในราคาเพียง 2x,xxx บาทเท่านั้น ได้ฟีเจอร์ครบครัน และแน่นอนมี Windows 11 Home มาพร้อมใช้งานด้วย
สเปกก็ถือว่าดีเหมาะกับการใช้งานทั่วไปด้วยชิปประมวลผล Intel Pentium Silver N6000 ทำงานแบบไร้พัดลม ทำให้ร้อนน้อยไม่มีเสียงรบกวน แรมก็เป็นมาตรฐาน LPDDR4x ขนาด 4GB – 8GB การเข้าถึงข้อมูลได้ไวด้วยที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 ความเร็วสูงที่ความจุ 256GB (รุ่น 128GB เป็น eMMC) หน้าจอ 13.3″ ขอบจอบางเฉียบ ความละเอียด Full HD พาเนล OLED ที่สวยงาม รองรับการทัชกรีนได้ดีเยี่ยม รวมถึงยังได้ติดตั้งลำโพง 4 ตัว ระบบเสียง Dolby Atmos คุณภาพดี และมีสแกนลายนิ้วมือ Windows Hello ทำให้สะดวกและปลอดภัย โดยความน่าสนใจก็คือแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานเกือบ 8 ชั่วโมงด้วยกัน
ASUS Vivobook 13 Slate OLED ได้เทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX + Bluetooth 5.2 ทำให้ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ และการเล่นอินเตอร์เน็ต การสตรีมข้อมูล รวมถึงการดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ ทำได้ดี แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ASUS รุ่นนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานหนักๆ ฉะนั้นแล้ว น่าจะเหมาะเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2 ไว้พกพาไปทำงานข้างนอก หรือคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คไว้ใช้งานพื้นฐานเท่านั้น เจาะตลาดนักเรียนนักศึกษา รวมไปถึงคนวัยทำงานที่ยังหนุ่มสาวเป็นหลัก สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คแบบ 3-in-1 รุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ ใช้งานได้หลากหลายโหมด
อีกทั้งยังตอกย้ำความคุ้มค่าด้วยซอฟต์แวร์เอกสารที่ติดตั้งมาให้ทันทีอย่าง Office Home & Student 2021 ทำให้มี Word / Excel / Power Point ใช้งานได้ทันที ไม่ต้องไปหาซื้อแยกแล้ว ส่วนของสังเกตเป็นเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อที่เป็นข้อกำจัดอยู่แล้ว ด้วยสไตล์ของตัวเครื่องที่เน้นความบางความบามากๆ ซึ่งมีเพียง USB 3.2 Type-C จำนวน 2 พอร์ตด้วยกัน ซึ่งเป็นไปได้แนะนำว่าให้ซื้อ USB-C Hub ติดไว้หน่อยก็ดี รวมไปการที่ขาตั้งถอดนั้นต้องระมัดระวังในการกางหรือจับถือจริงๆ เพราะเราอาจจะเผลอไปดันมันหลุดได้ แล้วก็อาจจะตกหล่นเสียหาย ปิดท้ายส่วนตัวก็แนะนำว่าซื้อรุ่นสเปกแรม 8GB และ SSD 256GB จะเป็นตัวมที่จบกว่า
จุดเด่น ASUS Vivobook 13 Slate OLED
- มีดีไซน์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์และมีความหรูหราเกินราคา เบาเพียง 0.790 -1.42 กิโลกรัม
- วัสดุทำจากอลูมิเนียมและขาตั้งเป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรง งานประกอบดูแน่นหนา
- หน้าจอ 13.3″ ขอบจอที่บางเฉียบลง ให้มิติที่เล็กกระชับ จับถือไปมาสะดวก
- ได้หน้าจอพาเนล OLED ให้สีสันสวยงามสมจริงกว่า IPS ในทุกๆ ด้าน
- รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและ ASUS Pen 2.0 ที่ใช้งานได้ดรขึ้น
- น้ำหนักเบาพกพาสะดวกเหมาะสำหรับคนที่ชอบนำไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ
- สเปกโดยรวมให้ประสิทธิภาพการทำงานที่พอเพียงสำหรับทั่วไป
- มีสแกนลายนิ้วมือ ผ่านทาง Windows Hello ด้วย
- ติดตั้งการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต Wi-Fi 6 AX Bluetooth 5.2
- ติดตั้ง USB 3.2 Type-C มาให้ 2 พอร์ต ที่ชาร์จและต่อจอแยกได้
- เมื่อใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ตัวเครื่องไม่ร้อนมารบกวน จากการที่เป็นชิปประหยัดพลังงานพิเศษ
- แบตเตอรี่อยู่ได้นานสามารถใช้งานติดต่อกันได้สูงสุดประมาณ 8 ชั่วโมง
- อแดปเตอร์มีขนาดที่เล็กและเบามากๆ เป็นแบบ USB-C ใช้งานได้หลากหลาย
- ได้ Office Home & Student 2021 ทำให้มี Word / Excel / Power Point ใช้งานได้ทันที
- ประกัน 2 ปี พร้อมประกันอุบัติเหตุใน 1 ปีแรก
- ราคาคุ้มค่าสุดๆ เพียง 2x,xxx บาท
ข้อสังเกต ASUS Vivobook 13 Slate OLED
- พอร์ตการเชื่อมต่อน้อย ควรหา USB-C Hub ติดตัวเอาไว้ด้วย
- เน้นใช้งานทั่วไปเป็นหลัก หรือเป็นเครื่องที่สอง ใช้งานนอกสถานที่
- การที่ขาตั้งแม่เหล็กสามารถถอดได้ ต้องระวังในการหลุดออกจากตัวเครื่องด้วย
Specification
ASUS Vivobook 13 Slate OLED เลือกใช้สเปกฮาร์ดแวร์ภายในเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการประหยัดพลังงานและปลดปล่อยความร้อนออกมาน้อย อย่าง Intel Pentium Silver N6000 สถาปัตยกรรม Jasper Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตร ทำงานแบบ 4 คอร์ 4 เธร์ด ด้วยความเร็วนาฬิกาที่ 1.10 – 3.30 GHz (L3 Cache ขนาด 4 MB) มีค่าที่ TDP อยู่ที่ 4.8 – 6 W เท่านั้น ประสิทธิภาพเทียบเคียงกับ Core i3 เพียงพอต่อการใช้งาน ส่วนการ์ดจอเป็น Intel UHD Graphic 615 ให้กำลังในการประมวลผลกราฟิกที่พอเพียงในการใช้งานทั่วไป แรมให้มาขนาด 4GB LPDDR4x แบบฝังบอร์ด ส่วนที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 256GB ที่ให้ความลื่นไหลในทุกๆ การใช้งาน
หน้าจอขนาด 13.3″ ดีไซน์ขอบจอบาง บนความละเอียดมาตรฐาน 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นแบบหน้าจอด้าน พาเนลเป็น OLED คุณภาพโดยรวมดีกว่า IPS แน่นอน ทั้งสีสันความสว่างและค่าสี ซึ่งรองรับการใช้งานแบบทัชกรีนเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนตามสไตล์ของตัวเครื่องสุดบางเบาอย่าง USB 3.2 Type-C, micro-SD Card Reader และ Bluetooth 5.2 ติดตั้ง Windows 11 Home ใช้งานได้ทันที ที่สำคัญยังติดตั้ง Office Home & Student 2021 ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลย สนนราคาเครื่องนี้เพียง 2x,xxx บาท ประกัน 2 ปี ปีแรกจะมีประกันอุบัติเหตุมาให้ด้วย (Perfect Warranty)
ASUS Vivobook 13 Slate OLED ราคา 23,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Pentium Silver N6000 (4C/4T : 1.10 – 3.30GHz)
-
GPU : Intel UHD 615 Graphics
-
RAM : 4GB LPDDR4x 4266 MHz
-
DISPLAY: 13.3″ Full HD OLED + Touch Screen
-
STORAGE : eMMC 128GB
-
OS : Windows 11 Home
- Software : Office Home and Student 2021
-
Warranty : 2 Years Carry-in + 1 Year Perfect Warranty
ASUS Vivobook 13 Slate OLED ราคา 27,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Pentium Silver N6000 (4C/4T : 1.10 – 3.30GHz)
-
GPU : Intel UHD 615 Graphics
-
RAM : 8GB LPDDR4x 4266 MHz
-
DISPLAY: 13.3″ Full HD OLED + Touch Screen
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 256GB
-
OS : Windows 11 Home
- Software : Office Home and Student 2021
- Warranty : 2 Years Carry-in + 1 Year Perfect Warranty
Hardware / Design
ASUS Vivobook 13 Slate OLED มาในรูปลักษณ์ที่มีความบางเบามากกว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป ซึ่งมีความบางของตัวเครื่องอยู่ที่ 7.9 – 8 มิลลิเมตร และเบาไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัมเพียง 0.8 กิโลกรัม รวมถึงมีลักษณะการใช้งานในสไตล์ของ Microsoft Surface ที่ทำเป็นแบบแท็ปเล็ตและมีขาตั้งด้านหลัง พร้อมคีย์บอร์ดมาให้ รวมถึงเพิ่มสไตลัสมาในตัว แต่โดดเด่นกว่าที่ขอตั้งสามารถถอดเก็บได้ พร้อมความหรูหราที่ดูเรียบง่าย โดยผลิตขึ้นมาจากวัสดุอะลูมิเนียมเป็นองค์ประกอบในส่วนของตัวเครื่อง ส่วนฐานตั้งหน้าจอเป็นพลาสติก และชุดคีย์บอร์ดเป็นเคสแบบซอฟต์ทัชในตัว อีกทั้งมีทั้งมีที่เก็บปากกาแบบแม่เหล็กมาด้วย
โดยขาหน้าจอของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED นั้น แม้จะถอดไปมาด้วย ซึ่งเชื่อมต่อผ่านทางแม่เหล็กที่มั่นคงในระดับหนึ่ง ให้ความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานจริงๆ แต่เราเองก็ต้องระมัดระวังด้วยเพราะว่ามันถอดหรือหลุดได้ โดยสามารถที่จะทำการตั้งหน้าจอให้ทำมุมได้มากสุดถึง 170 องศา โดยการตั้งหน้าจอที่มุม 170 องศานี้เหมาะสมเป็นอย่างมากกับการใช้งานด้วยสไตลัส ASUS Pen 2.0 ในการทำงานต่างๆ โดยกรณีใช้เป็นแท็บเล็ตก็ได้ด้วยการถอดขาตั้งออก หรือต่อกับคีย์บอร์ดเป็นโน๊ตบุ๊คก็ดี รวมไปถึงจะถอดคีย์บอร์ดแล้วปรับเป็นแนวตั้งก็สามารถทำได้ อย่างที่รุ่นอื่นๆ ไม่สามารถทำได้มาก่อน
สำหรับที่ชาร์จของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED นั้นจะมีขนาดเล็กพอเหมาะเนื่องจากว่าสเปกภายในไม่ค่อนกินพลังงานเท่าไหร่ จะเห็นได้ว่าพอร์ทที่ใช้สำหรับการชาร์จนั้นจะเป็น USB-C ซึ่งจัดว่าเป็นพอร์ตที่เหมาะสมเรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตที่ตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานอย่างครบครัน เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพในแบบโน๊ตบุ๊คและความสะดวกสบายอีกขั้นในแบบแท็บเล็ตที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานหรือนักศึกษาที่ต้องการความคล่องตัว เก่งทั้งเรื่องงานและความบันเทิงในเครื่องๆ เดียว อย่างที่ทั่วไป Notebook ทั่วไปไม่สามารถทำได้
สำหรับโลโก้บนตัวเครื่องของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ติดตั้งอยู่มุมด้านหลังของตัวเครื่อง ที่เป็นแบบยิงเลเซอร์ลงไปให้ความสวยงามและพรีเมียมดูดีเกินราคา รวมไปถึงด้านหลังยังมีการติดตั้งสติ๊กเกอร์ต่างๆ อาทิ Intel Pentium Silver / Office Home and Student / Perfect Warranty นอกเหนือจากนี้ยังติดตั้งกล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล ดีไซน์ตรงนั้นเป็นเสาอากาศที่สวยงามลงตัว และบริเวณตัวเครื่องขอบบนยังมีปุ่ม Power + Fingerprint เพื่อรองรับการใช้งาน Windows กับการ Login เข้าใช้งาน เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่าการพิมพ์รหัสแบบเดิมๆ ส่วนปุ่มความดัง + – จะติดอยู่ที่ขอบตัวเครื่องด้านข้างทางซ้ายมือ
หลังจากที่ ASUS Vivobook ในหลายๆ รุ่นได้รับการตอบรับอย่าง การมาของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ก็มาตอบย้ำ ล่าสุดนี้กับการเป็นโน๊ตบุ๊คแบบ Detachable 3-in-1 สำหรับใช้งานทั่วไปที่เหนือชั้นกว่าที่เคยมีมาในหลายๆ ด้าน โดยสเปคนั้นเรียกได้ว่าต้องถูกใจผู้ใช้งานในระดับทั่วไปพื้นฐานอย่างแน่นอน ที่สำคัญตัวเครื่องมาพร้อมกับดีไซน์ยุคใหม่มีความบางและเบา ที่สำคัญตัวชุดคีย์บอร์ดเป็นแม่เหล็กสามารถถอดไปมาได้สะดวก ให้ทนทานและทำความสะอาดได้ง่าย ดีไซน์ก็สวยงาม โดยรวมแล้วตอบโจทย์ของคนยุคใหม่ ที่ปรับรูปแบบการทำงานได้หลากหลาย
Keyboard / Touchpad
ความโดดเด่นสุดๆ ของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED แม้รูปทรงดูเป็นแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows 11 มากกว่าการเป็นโน๊ตบุ๊คปกติ ซึ่งมีความคล่องตัวที่สูง ไม่ว่าเพื่อความบันเทิงหรือการทำงานก็ตอบสนองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งถ้าเชื่อมต่อผ่านชุดคีย์บอร์ดที่ดีเยี่ยม ก็เป็นรูปแบบการทำงานโน๊ตบุ๊ค ได้ไม่แพ้ที่เป็นส่วนของโน๊ตบุ๊คจริงๆ เลย เรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตที่แปลงร่างเป็นโน๊ตบุ๊คที่สมบูรณ์รุ่นนึงในตลาดทีเดียว ทั้งจากความแน่หนาจากการประกอบกับเครื่อง ตัวปุ่มคีย์บอร์ดเองก็เด้งรับกับนิ้วเป็นอย่างดี โดยมีระยะกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ซึ่งให้สัมผัสที่ดีกว่าพวก Detachable Notebook ทั่วไปหลายๆ รุ่น
ส่วนประสบการณ์ใช้งานชุดคีย์บอร์ดก็มีความน่าสนใจกว่าเดิม ด้วยวัสดุภายนอกที่เป็นหนังเทียมทำให้ทนทานและทำความสะอาดได้ง่ายกว่ารุ่นก่อน ส่วนความรู้สึกในการพิมพ์ค่อนข้างดีจากแป้นคีย์บอร์ดที่มีความนุ่มนวลแต่ตอบสนองได้อย่างถูกใจ เรียกได้ว่าดีกว่าแป้นคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คปกติทั่วไป รวมไปถึงในส่วนของทัชแพดมีขนาดใหญ่กว่า พร้อมให้สัมผัสได้ถึงการควบคุมที่แม่นยำทันใจ แม้ว่าอาจจะยังไม่สุดยอดซักทีเดียว แต่ก็เหนือกว่าทัชแพดของโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่นแล้ว จากการที่ดีไซน์การออกแบบที่คิดและปรับปรุงตลอดมาของทาง ASUS นั่นเอง
Screen / Speaker
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ที่ต้องบอกว่ามีความสวยงามสมจริงแบบสุดๆ ด้วย Corning Gorilla Glass กระจกที่แข็งแรงทนทาน ทนรอยขีดขวน บนขนาดหน้าจอ 13.3″ ซึ่งจัดว่ามีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ทำให้มีความเรียบเนียนตากว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คทั่วไป กับสัดส่วนมาตรฐานที่ 16:9 โดยเหมาะกับการทำงานและความบันเทิงแน่นอนที่สุด ได้ขอบจอที่บางเฉียบตามสไตล์ NanoEdge Display อีกทั้งหน้าจอทัชกรีนก็รองรับ 10 จุดพร้อมกัน ทำให้เราใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมไปถึงยังรองรับปากกาสไตลัส ASUS Pen 2.0 ด้วย
หน้าจอยังได้รับรองตามมาตรฐาน PANTONE Validated สำหรับความเป็นที่สุดในเรื่องความแม่นยำของสี รวมไปถึงแสดงสีดำได้ลึกตามาตรฐาน Display HDR True Black 500 ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจมาก เรียกได้ว่าเป็นหน้าจอ 2-in-1 Notebook ที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง อีกทั้งแม้ขอบหน้าจอจะบางแต่ก็ยังติดตั้ง Webcam ที่ความละเอียดสูงที่ 5 ล้านพิกเซล และไมโครโฟนแบบคู่มาปกติที่ขอบด้านบน ได้เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนขั้นสูง (AI Noise Cancelation) สำหรับการทำงานระยะไกลและการประชุมวีดีโอ โดยแยกเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกจากเสียงพูดซึ่งสามารถกรองและแยกเสียงรบกวนรอบข้าง ดีที่สุด
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอ OLED ด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ Spyder 5 Elite ให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 89% / Adobe RGB 69% / DCI-P3 ที่ 69% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันได้ดีน่าประทับใจ ภาพนี้จะแสดงเป็นตารางที่จะบ่งบอกถึงค่าความสว่างต่อคอนทราสต์ที่ได้ อย่างแรกที่เห็นก็คือความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ 550nti ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์สูงกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ ตอบสนองการใช้งานในทุกสภาวะแสง ซึ่งถ้าเทียบกับหน้าจอ IPS หรือ TN แบบเดิมๆ ก็ได้ทั้งค่าสีที่กว้างกว่าและความสว่างที่มากกว่า 2 เท่า
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องมุมซ้ายบนเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 550 nit แต่สำหรับช่องหลายช่องจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 1 – 3 % ที่ถือว่าน้อยมาก ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ และค่า Delta-E อยู่ที่ 3 ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว สามารถทำได้ดีระดับสตูดิโอ หรือว่าถ้าเป็นการใช้งานพื้นฐานก็เหลือเฟือมากๆ
ตัวลำโพงเป็นแบบสเตอริโอเลือกแบบ 4 ตัวให้เสียงที่ดีกว่ารุ่นบางเบาทั่วไปในระดับหนึ่ง ด้วย Smart Amp Technology พร้อมด้วยระบบเสียง Dolby Atmos ที่ถึงแม้จะมีความบางความเบาของตัวเครื่องอย่างที่สุด แต่ก็ได้คุณภาพทั้งเสียงเบสที่มีน้ำหนัก ไม่ใช่ใส่แต่เสียงกลาง เสียงแหลมออกมาอย่างเดียว โดยตัวลำโพงจะอยู่บริเวณด้านข้างตัวเครื่องซ้ายและขวา ทำให้เสียงโดยรวมดังชัดเจน แยกรายละเอียดได้ซ้ายขวาได้ดี โดยรวมถือในส่วนของลำโพงถือว่าทำออกได้ดีทั้งในคุณภาพเสียงที่ได้และเสียงดังฟังชัดเพียงพอจะออกไปในนอกสถานที่ได้แบบสบายๆ
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ASUS Vivobook 13 Slate OLED นี้จัดว่าเป็นแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ที่มีข้อจำกัดตามสไตล์ของ Detachable Notebook แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว ด้วยพอร์ต USB 3.2 Type-C จำนวน 2 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ทั้งโอนถ่ายข้อมูลความเร็ว 10Gbps / ต่อหน้าจอแยกผ่านมาตรฐาน DisplayPort / ชาร์จไฟผ่าน USB-PD (Power Delivery) า
พอร์ตเชื่อมต่ออื่นๆ ก็จะมาพร้อมช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และมี micro SD Card Reader เป็นมาตรฐานไว้อ่านข้อมูล ผ่านการ์ดจากมือถือ หรือเพิ่มความจุของตัวเครื่องก็สามารถทำได้ ซึ่งถ้าเราต้องการขยายการเชื่อมต่อของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED แนะนำว่าให้ซื้อ USB-C Hub มาเพิ่มเติม เพื่อรองรับการพอร์ตทั้ง USB-C, USB-A, HDMI และ LAN ส่วนถ้าเราจะเชื่อมต่อกับเมาส์ จริงๆ แนะนำให้ใช้เป็นแบบไร้สาย Bluetooth จะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีสารระโยงระยางไปมาด้วย
ขนาดของตัวเครื่องจัดว่าเบามากๆ ส่วนสายชาร์จขนาด 65W แบบ USB-C เมื่อเทียบกับขนาดของทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 790 กรัมเท่านั้น และเมื่อรวมกับตัวคีย์บอร์ดแบบแยกพร้อม ASUS Pen 2.0 เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักราวๆ 1.42 กิโลกรัมเท่านั้น และถ้ารวมกระเป๋าและอแดปเตอร์ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่มีความเบาอยู่ ที่ 1.76 กิโลกรัม แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ สมกับเป็น 3-in-1 Notebook รูปทรง Detachable Noteboook ได้น่าพอใจ
ASUS Pen 2.0
ปากกาสไตลัสรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีชื่อว่า ASUS Pen 2.0 ของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED โดยตัวสไตลัสจะมีความสามารถคล้ายๆ กับปากกาสไตลัสรุ่นอื่นๆ ที่ใช้กับอุปกรณ์ 2-in-1 Notebook หรือแท็บเล็ต Windows โดยจะมาพร้อมกับความสามารถในการใช้งานที่รองรับแรงกด 4,096 ระดับ หรือ 3 – 350 กรัม ทำให้ในการใช้งาน เสมือนว่าใช้ปากกาหรือดินสดในการจดหรือวาดจริงๆ โดยมีปุ่มบนตัวสไตลัสจำนวน 2 ปุ่มทางด้านข้าง (Mouse right-click + Erase button) และทางด้านบนก็เป็นปุ่มกด Function button ที่เราสามารถใช้เลื่อนสไลด์ในการใช้งาน Power Point ได้ทันที
และที่สำคัญสไตลัสนี้ยังรองรับการเปลี่ยนขนาดหัวเพื่อความเหมาะสมตามการใช้งานจริง อย่าง 2H, H, HB, B ไม่ว่าจะเป็นใช้จดงานเขียนหนังสือ วาดการ์ตูนก็สามารถทำได้สบายๆ ส่วนการชาร์จไฟก็สามารถทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ เพราะมีแบตเตอรี่ในตัว ด้วยการชาร์จผ่านทางพอร์ต USB-C ที่ตัวปากกา วิธีการก็ง่ายๆ ด้วยการดึงด้ามออกมา เราก็จะเห็นพอร์ต USB-C แล้ว ซึ่งเราจะชาร์จด้วยอแดปเตอร์ตัวเครื่องเลยหรือ Power Bank อื่นๆ ก็สามารถทำได้ ซึ่งการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่เพียง 30 นาที สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 140 ชั่วโมงทีเดียว
Performance / Software
ASUS Vivobook 13 Slate OLED เครื่องรีวิวนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลจาก Intel Pentium Silver N6000 ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.10 – 3.30 GHz เพื่อประหยัดพลังงาน เป็นซีพียูแบบ 4 Core 4 Threads สถาปัตยกรรม Jasper Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP 4.8 – 6 Watt ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป มาพร้อมแรมขนาด 8GB LPDDR4x Bus 4266MHz แบบฝังบอร์ดมาเลย ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 615 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่ก็รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูง Full HD ได้แบบไม่มีปัญหา เว้นแต่เอาไปเล่นเกม 3 มิติให้ยุคปัจจุบัน อันนี้ไม่แนะนำ
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจตามมาตรฐานของ Intel Pentium Silver N6000 เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล Intel Core i3 ก็ทำได้ดีเทียบเคียงกัน ในส่วนของตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ในส่วนของงานทั่วไปเท่านั้น
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้เป็น SSD แบบ M.2 NVMe ที่เป็นความเร็ว ให้ความจุ 256GB ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจ กับความเร็วระดับ Read: 2381 MB/s – Write: 965 MB/s ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนปกติ HDD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเกณฑ์ความเร็วที่ทำได้อยู่ในระดับกลางๆ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 2720 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ ส่วนถ้าเอาไปใช้งานหนักๆ เช่นงานประมวลผล ตัดต่อวีดีโอ โปรเซสไฟล์ภาพความละเอียดสูง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติ อันนี้ไม่แนะนำ เพราะสเปกไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้งานแบบนั้นแต่อย่างใด แต่ถ้าใช้งานทั่วไป ลื่นๆ สบายๆ ไม่ต้องกังวลเลย
ASUS Vivobook 13 Slate OLED เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด (เปิดเครื่องมาเจอเลย) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถปรับโหมดพัดลม ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน รวมไปถึงโหมดพัดลมและโปรไฟล์สีการแสดงผลอีกด้วย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น สามารถทำงานต่อเนื่องยาวนานได้เกือบๆ 8 ชั่วโมง ต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต เชื่อมต่อ Wi-Fi ตลอดเวลา) และคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ตัวแปร แต่ก็ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานพอที่จะนำไปใช้งานตามร้านกาแฟ นอกสถานที่ ออฟฟิศ มหาวิทยาลัยได้ทั้งวันแล้ว มีฟีเจอร์ Fast Changing ทำให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จในระดับ 50% ในเวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 30 – 40 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าเครื่องจะร้อนที่สุดเพียง 80 องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่าระบบระบายความร้อนของเครื่องนี้ทำออกมาได้ดี โดยสามารถจัดการระบบระบายความร้อนออกมาอย่างน่าประทับใจ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนจาก ASUS ที่ดี และชิปประมวลผล Intel รุ่นพิเศษแบบ Fanless ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ดีเยี่ยม ยังไงตรงนี้ก็เป็นเรื่องของระบบการประหยัดพลังงานของชิปประมวลผลด้วย
Conclusion / Award
ASUS Vivobook 13 Slate OLED เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คซักเครื่อง รองรับการใช้งานพื้นฐานที่หลากหลาย สเปกไม่แรงมาก อย่างนักเรียนนักศึกษาหรือคนทำงานพนักงานออฟฟิศ ที่เน้นใช้งานทั่วไปให้ประสิทธิภาพพอตัว แต่พกพาไปที่นู้นที่นั่นบ่อยๆ ซึ่งรองรับการทำงานได้ยาวนานกว่าโน๊ตบุ๊คปกติ ทำให้เราสามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสบายๆ จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่เน้นการพกพาไว้ใช้งานตามร้านกาแฟเสียมากกว่า ส่วนถ้าใครอยากได้ประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นก็อาจจะมองดูเป็น ASUS VivoBook 14 / 15 สเปก Core i ไว้น่าจะเหมาะกว่า หรือแบบพับหน้าจอได้ก็ดูเป็น ASUS VivoBook Filp ไปเลย ส่วนถ้าเล่นเกมก็ดูเป็น TUF Gaming ดีกว่า
สรุปปิดท้ายว่ากันตรงๆ สำหรับ ASUS Vivobook 13 Slate OLED เป็นโน๊ตบุ๊ตที่ค่อนข้างครบเครื่องในงบประมาณสองหมื่นบาท โดยมี Windows 11 Home พร้อมมีโปรแกรม Office Home & Student 2021 ใช้งานติดเครื่องยาวๆ ส่วนประกันเป็นประกัน 2 ปี + ประกันอุบัติเหตุ 1 ปีตามมาตรฐานของ ASUS ทั้งทำงานและความบันเทิงดีขึ้น โดยแบตเตอรี่ยังสามารถใช้งานได้ยาวนาน ดีไซน์สวยด้วยหน้าจอ OLED ซึ่งน่าจะเป็น Detachable Notebook หรือ 2-in-1 Notebook ในกลุ่มเดียวกัน ได้หน้าจอที่ดีที่สุดแล้ว อีกทั้งวัสดุตัวเครื่องโดยรวมเป็นโลหะอลูมิเนียมและพลาสติกเกรดดี ให้ความพรีเมียมดูดีเกินราคา และเด่นที่สุดก็คือการ ถอดขาตั้งไปมาได้ หรือปรับเป็นแนวตั้งก็ได้
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของ 2-in-1 Notebook ขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS Vivobook 13 Slate OLED ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ ASUS Vivobook 13 Slate OLED ในเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ด้วยการที่ตัวเครื่องมีความบางและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ที่เชื่อได้เลยว่าทาง ASUS ได้ใส่ใจในส่วนของรายละเอียดนี้เป็นอย่างมาก ประกอบกับวัสดุหลักในการผลิตยังใช้เป็นอะลูมิเนียมที่ให้ในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน และยังบ่องบอกได้ถึงความสวยงามหรูหราอีกด้วย รวมไปถึงหน้าจอยังเป็น OLED ที่แสดงภาพได้พรีเมียม และโดดเด่นด้วยการปรับการใช้งานที่หลากหลายจากขาตั้งที่ถอดเก็บได้ ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design ก็ถือว่าเหมาะสม
Best Value
ถึงแม้รุ่นนี้จะไม่ใช่โน๊ตบุ๊คที่มีสเปคแรง แต่ถือว่าเป็น 2-in-1 Notebook (หรือ 3-in-1) ที่คุ้มค่าที่สุดรุ่นหนึ่ง ด้วยราคาขาย xx,xxx บาท ที่มาพร้อมสเปคอย่าง Intel Pentium Silver N6000 รวมถึงมีแรม 4GB – 8GB LPDDR4x ที่เพียงพอต่อการใช้งาน และที่เก็บข้อมูลสูงสุดเป็นแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB พร้อมได่ Windows 11 Home และโปรแกรม Office ใช้งานทันที พร้อมดีไซน์แบบฉบับโน๊ตบุ๊คปรับโหมดเป็นแท็บเล็ตได้ มีปากกา เหมาะกับการใช้งานทั่วไปเน้นพกพาแบบสุดๆ เรียกได้ว่าหาได้ยากสำหรับโน๊ตบุ๊คแบบนี้ ที่สำคัญประกันยังมีระยะถึง 2 ปี และประกันอุบัติเหตุในปีแรก เราจึงมอบรางวัล Best Value ไปให้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย
Best Mobility
สำหรับตัวเครื่อง ASUS Vivobook 13 Slate OLED ที่มีความบางเพียง 0.8 มิลลิเมตร และมีความหนักเพียง 790 กรัม หรือถ้าประกอบเป็น Detachable Notebook ใส่คีย์บอร์ดก็เบาเพียง 1.42 กิโลกรัมเท่านั้น จัดได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ปรับโหมดได้ที่มีน้ำหนักเบามากๆ แน่นอนว่าจะไม่เป็นภาระในการนำออกไปใช้งานนอกสถานที่ และความบางของตัวเครื่องก็ยังมีความบางเฉียบ เหนือกว่าโน๊ตบุ๊คในกลุ่มขนาดหน้าจอ 13.3″ ด้วยกันในหลายๆ ตัว และสำหรับระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่ก็ถือได้ว่ามีความน่าประทับใจที่สูงสุดเกือบๆ 8 ชั่วโมง การชาร์จก็เป็น USB-C ที่สะดวกสบาย จึงได้รางวัลในส่วนนี้ไปไม่ยากนัก