เปรียบเทียบ iPhone 11 กับ 12 ปี 2022 แล้วยังน่าซื้อไหม รุ่นเก่าหรือใหม่ รุ่นไหนดี
ปี 2022 แล้ว ก็ต้องเป็น iPhone 13 แถมมีข่าว iPhone 14 ออกมาอยู่เรื่อยๆ แล้ว รุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 11 กับ iPhone 12 ล่ะ ยังน่าซื้ออยู่ไหม? เรามาเปรียบเทียบสเปคของ 2 รุ่นนี้แบบชัดๆ กันอีกครั้ง ถึงความแตกต่างที่ของความห่างเพียง 1 ปี ของทั้งสองรุ่น ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เลือกรุ่นไหนดี มาดูกันเลย
เปรียบเทียบ iPhone 11 กับ 12: ดีไซน์, สีสัน
มาเริ่มต้นกันที่ดีไซน์กับสีสันของตัวเครื่อง iPhone 11 กับ iPhone 12 กันก่อนเลย สำหรับดีไซน์ของทั้งสองรุ่นนี้ ก็ต้องบอกเลยว่า ค่อนข้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยใน iPhone 11 นั้น ดีไซน์ออกมาในรูปแบบของตัวเครื่องขอบมน ด้านหลังเป็นกระจก ดีไซน์กล้องหลังสองตัววางเรียงกันในกรอบที่มุมซ้ายด้านบน มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Purple, Yellow, Green, Black, White และ Product Red ส่วน iPhone 12 นั้นให้ความรู้สึกว่าได้ Back to Basic อีกครั้ง เพราะมีความคล้ายคลึงกับ iPhone 4 เป็นอย่างมาก โดยจะมีขอบค่อนข้างเหลี่ยม ตัวเครื่องเป็นโลหะ แบนราบ ประกบด้วยแผ่นกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีมาให้เลือกด้วยกัน 6 สี ได้แก่ Purple, Blue, Green, White, Black และ Product Red ในส่วนของ Notch หรือรอยบากด้านบนนั้นทั้งสองรุ่นนี้มีขนาดเท่ากัน
iPhone | ขนาด | น้ำหนัก | ดีไซน์ | สี | รอยบาก |
---|---|---|---|---|---|
iPhone 11 | 5.94 x 2.98 นิ้ว หนา 8.3 มม. | 194 กรัม | ตัวเครื่องขอบมน ด้านหลังเป็นกระจก กล้องหลังสองตัววางเรียงกันในกรอบที่มุมซ้ายด้านบน | 6 สี ได้แก่ Purple, Yellow, Green, Black, White และ Product Red | มีขนาดเท่ากัน |
iPhone 12 | 5.78 x 2.82 นิ้ว หนา 7.4 มม. | 164 กรัม | มีขอบค่อนข้างเหลี่ยม ตัวเครื่องเป็นโลหะ แบนราบ ด้านหลังประกบด้วยกระจก กล้องหลังสองตัววางเรียงกันในกรอบที่มุมซ้ายด้านบน | 6 สี ได้แก่ Purple, Blue, Green, Black, White และ Product Red | มีขนาดเท่ากัน |
เปรียบเทียบ iPhone 11 กับ 12: หน้าจอแสดงผล
ในส่วนของหน้าจอ การแสดงผลของ iPhone 11 กับ iPhone 12 นั้น ค่อนข้างมีความแตกต่างกันเลย โดย iPhone 11 ที่เปิดตัวในปี 2019 นั้น มาพร้อมกับ หน้าจอแสดงผลแบบ Liquid Retina HD display ด้วยขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ส่วน iPhone 12 ที่เปิดตัวในปี 2020 นั้น มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Super Retina XDR display ด้วยขนาดจอ 6.1 นิ้ว แต่ถึงแม้ว่าขนาดของหน้าจอจะเท่ากัน แต่ความละเอียดและการแสดงผลนั้น ค่อนข้างมีความแตกต่างกันมากพอสมควรเลย ทั้งนี้ตัวเครื่องของ iphone 12 นั้นก็ยังมีความบางกว่าตัวเครื่องของ iPhone 11 ด้วย
iPhone | ขนาดหน้าจอ | ประเภทหน้าจอ | ความละเอียด | ความสว่าง | ฟีเจอร์ |
---|---|---|---|---|---|
iPhone 11 | 6.1 นิ้ว | Liquid Retina HD display | ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซลที่ 326 ppi | สูงสุด 625 นิต | – True Tone – Wide color display (P3) – Haptic Touch |
iPhone 12 | 6.1 นิ้ว | Super Retina XDR display | ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi | สูงสุด 1,200 นิต เมื่อใช้งาน HDR | – True Tone – จอภาพ HDR – Wide color display (P3) – Haptic Touch |
เปรียบเทียบ iPhone 11 กับ 12: พอร์ตและการเชื่อมต่อ
เมื่อพูดถึงในด้านพอร์ตและการเชื่อมต่อนั้น สำหรับในส่วนของพอร์ตต่างๆ ทาง Apple ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมเอาไว้ ก็คือ พอร์ต Lightning เหมือนเดิม แต่ในส่วนของเครือข่ายและการเชื่อมต่อนั้น ใน iPhone 11 รองรับการเชื่อมต่อแบบ 4G, Wi-Fi 6 (มาตรฐาน 802.11ax) พร้อม MIMO และการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 ในขณะเดียวกัน iPhone 12 นั้น รองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายมือถือแบบ 5G ทำให้การเชื่อมต่อนั้นมีความรวดเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ในส่วนของการเชื่อมต่อ Wi-Fi กับ Bluetooth นั้น ใน iPhone 12 ก็เป็น Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.0 เช่นเดียวกับ iPhone 11
เปรียบเทียบ iPhone 11 กับ 12: ชิปประมวลผล
การเปิดตัวที่ห่างกัน 1 ปี นั้น ทำให้ชิปประมวลผลที่ทาง Apple ได้พัฒนาขึ้น ก็ถูกพัฒนาเพิ่มเติมและอัพเกรดให้กับอุปกรณ์ที่รุ่นใหม่กว่า อย่าง iPhone 12 โดยใน iPhone 11 นั้น มาพร้อมชิปประมวลผล Apple A13 Bionic ที่มี CPU แบบ 6-core แบ่งเป็นด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และการประหยัดพลังงานอีก 4 คอร์, GPU เป็นแบบ 4-core และ Neural Engine แบบ 8-core ที่มีความแรง และยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม
ในขณะที่ iPhone 12 นั้นมาพร้อมกับชิปประมวลผลที่ใหม่กว่าอย่าง Apple A14 Bionic ที่มี CPU เป็นแบบ 6-core แบ่งเป็นด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และการประหยัดพลังงานอีก 4 คอร์, GPU เป็นแบบ 4-core เช่นกัน แต่ในเรื่องของ Neural Engine นั้น ใน iPhone 12 เป็นแบบ 16-core ส่งผลในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานที่ดียิ่งขึ้นไปอีก
ในส่วนของการกันน้ำและกันฝุ่นนั้น ทั้ง 2 รุ่น อยู่ที่ระดับ IP68 เหมือนกัน แต่ใน iPhone 11 นั้น ทาง Apple ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า เป็น IP68 (ที่ความลึกไม่เกิน 2 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) ตามมาตรฐาน IEC 60529 ส่วนใน iPhone 12 จะเป็น IP68 (ที่ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที) ตามมาตรฐาน IEC 60529 ก็แสดงให้เห็นว่า iPhone 12 นั้นมีความสามารถที่จะกันน้ำในระดับที่ลึกมากกว่านั่นเอง
และในการด้านของแบตเตอรี่นั้น ทั้ง 2 รุ่น ถือว่าแบตอึดพอๆ กันเลย อาจจะมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย คลิปวิดีโอต่อไปนี้เป็นการทดสอบแบตเตอรี่ของ iPhone 11 และ iPhone 12
เปรียบเทียบ iPhone 11 กับ 12: กล้อง
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก็คงไม่พูดถึงเรื่องกล้องไม่ได้ เพราะถ้าเอาเข้าจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นกล้อง 2 ตัวเหมือนกัน ความละเอียดเท่ากัน แต่การใช้งานจริงนั้น กลับมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด สำหรับใน iPhone 11 นั้น มาพร้อมกล้องหลังคู่ ความละเอียด 12MP โดยจะเป็นเลนส์ Wild ที่มาพร้อมรูรับแสงขนาด ƒ/1.8 และเลนส์ Ultra-Wild ที่มีรูรับแสงขนาด ƒ/2.4 พร้อมความสามารถในการถ่ายรูปโหมดกลางคืนด้วย Deep Fusion และความสามารถในการกันสั่นแบบ Optical
ในส่วนของ iPhone 12 นั้น ก็มาพร้อมกล้องคู่ ความละเอียด 12MP ซึ่งเป็นเลนส์ Wild ที่มีรูรับแสงขนาด ƒ/1.6 และเลนส์ Ultra-Wild ที่มีรูรับแสงขนาด ƒ/2.4 พร้อมความสมารถในการถ่ายโหมดกลางคืนด้วย Deep Fusion มีการกันสั่นแบบ Optical และการถ่ายรูปด้วย HDR อัจฉริยะ 3 และซูมออปติคัลได้ 2 เท่า ดิจิตอลได้ 5 เท่า ในส่วนของการถ่ายวิดีโอนั้นก็สามารถที่จะถ่ายได้ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 30 fps
เปรียบเทียบ iPhone 11 กับ 12: ความจุและราคา
ในส่วนของการเปรียบเทียบในเรื่องของราคาและความจุนั้น จะเทียบเอาจากราคา ณ ปัจจุบันที่ทางเว็บไซต์ Apple ได้วางจำหน่าย
ความจุ | iPhone 11 | iPhone 12 |
---|---|---|
64GB | 19,500 บาท | 25,900 บาท |
128GB | 21,500 บาท | 27,900 บาท |
256GB | 28,100 บาท* | 31,900 บาท |
* สำหรับ iPhone 11 ในความจุแบบ 256GB นั้น ไม่ได้มีการนำมาวางขายแล้ว ราคาจะเป็นราคาเดิมก่อนปลดลงจากหน้าเว็บ ทั้งนี้หากใครต้องการเครื่องแบบ 256GB ก็อาจจะต้องมองหาจากร้านค้าหรือ Shop อื่นๆ ที่อาจมีสินค้า
สรุป
กล่าวโดยสรุปแล้วนั้น iPhone 11 และ iPhone 12 ยังคงเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมและเป็นรุ่นที่ใครหลายคนยังคงมองหาอยู่ในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ ถ้าหากให้เลือกระหว่าง 2 รุ่นนี้ ในความคิดเห็นส่วนตัวของทีมงาน ก็คงจะเทใจไปทาง iPhone 12 มากกว่า ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นรุ่นที่ใหม่กว่า แต่ยังได้รับการพัฒนาทั้งด้านดีไซน์ น้ำหนัก และความสามารถ ทั้งในเรื่องของหน้าจอ กล้อง แบตเตอรี่ รวมไปถึงการรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G ด้วย ที่ปัจจุบันนี้เครือข่ายผู้ให้บริการต่างก็มีโปรโมชั่นสำหรับอินเทอร์เน็ต 5G ออกมาให้บริการกันอย่างเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับต่อการสื่อสารในอนาคตนั่นเอง แต่สำหรับใครที่ยังคิดว่าไม่จำเป็น ต้องการเพียงสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ราคาไม่แรงจนเกินไป iPhone 11 ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากทีเดียว ด้วยเพราะราคาในปัจจุบันที่เริ่มต้นไม่ได้สูงมากจนเกินไป แต่แลกมากับประสิทธิภาพการทำงานที่ยังอยู่กับเราไปได้อีก 3-4 ปี ก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เลย