ASUS Vivobook Pro 16X OLED (M7600) รุ่นที่เรานำมาทดสอบนี้เป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องขายจริง ที่ใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 5900HX ตัวท็อปสุดในรุ่น สถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม “Cezanne” สถาปัตยกรรมขนาด 7 นาโนเมตร ที่แรงลื่นทรงพลังยิ่งกว่า จับคู่มากับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti สนับสนุนการทำงานมืออาชีพและความบันเทิงเต็มรูปแบบ ดีไซน์สวยด้วยหน้าจอ 16″ เทคโนโลยี OLED ที่ดีกว่า IPS แบบเดิมๆ พร้อมความละเอียดระดับ Ultra HD+ ที่คมชัดกว่า Full HD หลายเท่า วัสดุเป็นโลหะอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง ให้ความพรีเมียมดูดีกว่า Vivobook ทั่วไป
ตัวเครื่องมีความบางเบาพกพาสะดวก โดยแบตเตอรี่ยังสามารถใช้งานได้ยาวนานทั้งวัน และที่โดดเก้นสุดๆ จะเป็นปุ่ม DialPad รองรับการใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์การทำงานทางด้านกราฟิกให้ผู้ทำงานด้านการตัดต่อไม่ว่าจะเป็นภาพหรือวีดีโอสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ Adobe ต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม สมกับเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ระดับโปร สเปกอื่นๆ ก็จัดเต็มด้วยแรม 16GB – 32GB และ SSD 512GB – 1TB ติดตั้ง Windows 10 Home (อัปเกรดเป็น Windows 11 Home ฟรี) พร้อมมีโปรแกรม Office Home & Student ใช้งานติดเครื่องยาวๆ ส่วนประกันเป็นประกัน 3 ปี On-site + ประกันอุบัติเหตุ 1 ปีตามมาตรฐานของ ASUS
VDO Review
NBS Verdict
สรุปแล้ว ASUS Vivobook Pro 16X OLED ถือว่าน่าซื้อน่าใช้งานมากๆ ซึ่งเป็นโน๊ตบุ๊คที่น่าสนใจรุ่นหนึ่งในสายการทำงาน Content Creator แบบมืออาชีพ ก็ว่าได้ในช่วงราคา 20,000 บาทต้นมากๆ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไป หรือหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ โปรเซสไฟล์ภาพ หรืองาน Art Work ต่างๆ ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือถ้าจะเล่นเกมบ้างก็สามารถทำได้ดีลื่นไหล ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง กับราคาเริ่มต้น 51,990 บาท ตอบโจทย์กับคนที่ต้องการใช้งานโน๊ตบุ๊คที่ได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่ารุ่นทั่วไป แต่จ่ายในราคาที่ถูกกว่าซีรีส์ ProArt StudioBook 16 OLED
โดดเด่นเหมือนกับรุ่นพี่ทั้งในส่วนของหน้าจอ OLED แบบ Ultra HD+ คมชัด ที่ละเอียดเรียบเนียนกว่ามากๆ เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ใช้งานทั่วไป พร้อมรับรองความเที่ยงตรงของสี ให้ช่วงสีค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta-E) น้อยกว่า 2 ซึ่งให้ความแม่นยำของสีที่สูง อีกมาพร้อมนวัตกรรมใหม่ ASUS Dial แต่แตกต่างกันในรูปแบบเพราะเป็นส่วนหนึ่งของทัชแพดซึ่งเป็นแบบเสมือน ออกแบบมาเพื่อให้การทำงาน เพื่อการใช้งานร่วมกับโปรแกรมสร้งสรรค์งานอย่างตระกูล Adobe ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Premiere Pro, Lightroom Classic และ After Effects โดยรวมใช้งานได้สะดวกเพียงใช้นิ้วเลื่อนหมุนไปมา
เน้นเจาะตลาดคนทำงานระดับโปร ที่ต้องการสเปกและหน้าจอที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะเล่นเกมบ้าง หรือไม่เล่นเลยก็ได้ สมกับเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ ใช้งานประมวลผลหนักๆ ได้ด้วย โดยบางงานทำได้ดีกว่า Gaming Notebook อย่างแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง การเชื่อมต่อก็เป็น Wi-Fi 6 AX ที่โดดเด่นสุดๆ เรื่องของคามคุ้มค่าพร้อมใช้งานก็คือ ได้ Windows 10 Home ที่อัปเกรดเป็น Windows 11 Home ได้ฟรี อีกทั้งมีโปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2019 ทำให้ทำงานพวกงานเอกสารผ่านทาง Word / Excel / Power Point ได้ทันทีอีกด้วย
ยอมรับว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีจริงๆ กับการที่เป็น Vivobook รุ่นราคาสูงที่สุด ด้วยวัสดุคุณภาพสูง น้ำหนักเบาเพียง 1.95 กิโลกรัมเท่านั้น และบางสุดๆ เพียง 18.9 มิลลิเมตร ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของมืออาชีพ พร้อมได้ประสิทธิภาพขั้นสูง อย่างลงตัวด้วยสเปกฮาร์ดแวร์ภายในและฟีเจอร์เด็ดๆ ต่างๆ มากมาย อาทิ ระบบระบายความร้อนที่ดี ลำโพงที่ดี จากสิ่งที่ได้ทั้งหมดนับว่าเป็นโน๊ตบุ๊คราคาค่อนข้างสูงแต่ได้สเปกที่แรงจริงและได้ฟีเจอร์อย่างรุ่นอื่นๆ ไม่สามารถให้ได้ จากทาง ASUS ที่ทุกคนต่างในการยอมรับว่าเป็นโน๊ตบุ๊คอีกรุ่นในช่วงปลายปี 2021 – ต้นปี 2022 ที่น่าซื้อไปใช้งานจริงๆ
แต่ก็มีข้อที่เราต้องรู้คือ ใครอยากขยับงบขึ้นมาเป็น 58,990 บาท ก็ได้สเปกที่แรมและ SSD ที่มากกว่าเท่าตัว ส่วนตัวถึงว่าถ้างบถึงก็ซื้อเผื่อได้เลย เพราะเราไม่สามารถที่อัพเกรดแรมภายหลังได้เพราะเดิมๆ มาเป็นออนบอร์ดเท่านั้น และน่ายังเสียดายยังมีการติดตั้งพอร์ต USB 2.0 Type-A มาให้ 2 ช่อง ทั้งที่เป็นรุ่นราคา 5x,xxx บาทแล้ว รวมถึง USB 3.2 Type-C ไม่รองรับการชาร์จไฟมาตรฐาน PD, ต่อจอแยกไม่ได้ ควรติดตั้งมาเป็น SD Card Reader ไม่ใช่ micro-SD Care Reader ซึ่งก็ต้องบอกตามตรงว่าถ้ารับส่วนนี้ได้ ก็ซื้อได้ แต่ถ้ายังดูขัดใจจริงๆ ก็อาจจะต้องข้ามไปรุ่นใหญ่อย่าง ASUS ProArt StudioBook 16 OLED เลย
จุดเด่น ASUS Vivobook Pro 16X OLED
- เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 16″ แต่มีขนาดตัวเครื่องเล็กเทียบเท่ารุ่นหน้าจอ 15.6″ พกพาใช้งานสะดวก
- น้ำหนักเบาเพียง 1.95 กิโลกรัม ตัวเครื่องบาง 1.89 มิลลิเมตร วัสดุโลหะดีเยี่ยมทั้งตัวเครื่อง
- หน้าจอมีความละเอียดสูงระดับ Ultra HD+ พร้อมพาเนล OLED ที่ดีกว่า IPS ทุกๆ ด้าน
- ขอบจอบางเฉียบด้วย เทคโนโลยี Nano Edge บางพิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
- ใช้งานจริงลื่นไหลด้วยชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX รุ่นใหม่ล่าสุดที่ดีกว่าทุกด้าน
- ได้การ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti (รองรับ NVIDIA Studio Driver)
- สเปกอื่นๆ มีความแรงลื่นพร้อมใช้งานด้วยแรม 16GB – 32GB + SSD 512GB – 1TB
- อุณหภูมิในการใช้งานถือว่าเย็น ไม่ร้อนจนเกินไป แม้ทำงานหนัก และเสียงพัดลมเสียงเบา
- ประสิทธิภาพดีขึ้นทั้งการทำงานสาย Creator หรือเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล จากผลการทดสอบ
- ASUS Dial บนทัชแพด เป็นนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมรองรับในหลายโปรแกรม
- ลำโพง Harman Kardon แบบ 2 x 2W เสียงคุณภาพดีกว่าทั่วไปแบบรู้สึกได้
- มีฝาปิดเว็บแคมได้ความปลอดภัย ไมโครโฟรตัดเสียงด้วย AI ให้การสื่อสารคมชัด
- มีปุ่ม Power เป็นฟีเจอร์ Fingerprint แสกนลายนิ้วมือในตัว เพื่อเข้าใช้งาน Windows
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานสูงสุดเกือบๆ 12 ชั่วโมง
- มี Windows 10 Home มาให้พร้อมใช้งานทันที และอัปเกรดเป็น Windows 11 Home ได้
- ติดตั้ง Office Home and Student 2019 พร้อมใช้งานตลอดอายุเครื่อง ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
- ประกัน 3 ปีแบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน พร้อมประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก
ข้อสังเกต ASUS Vivobook Pro 16X OLED
- หน่วยความจำแรมเป็นแบบออนบอร์ดทั้งรุ่นสเปก 16GB / 32GB อัปเกรดไม่ได้
- ยังมีพอร์ต USB 2.0 Type-A มาให้ 2 ช่อง ทั้งที่เป็นรุ่นราคา 5x,xxx บาทแล้ว
- USB 3.2 Type-C ไม่รองรับการชาร์จไฟมาตรฐาน PD, ต่อจอแยกไม่ได้
- ควรติดตั้งมาเป็น SD Card Reader ไม่ใช่ micro-SD Care Reader
Specification
ASUS Vivobook Pro 16X OLED แบ่งออกเป็น 2 รุ่นในราคาที่เหมาะสม ได้สเปกเป็น AMD Ryzen 9 5900HX ที่เป็นชิปประมวลผลตัวท็อป ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด สถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ที่ยอดเยี่ยมดีจริงๆ การ์ดจอเป็นออนชิป Radeon 8 พร้อมด้วยการ์ดจอแยกจะเป็น NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti โดยเน้นให้มีความร้อนที่น้อยกว่าและประหยัดพลังงานเข้ากับตัวเครื่องที่บางเบา ซึ่งทั้ง 2 รุ่น 2 สเปก จะได้ชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกที่เหมือนกัน
ความแตกต่างจะเป็นในส่วนของหน่วยความจำแรมกับขนาด 16GB / 32GB แบบฝังบอร์ดมาเลย มาตรฐาน DDR4 Bus 3200MHz เราไม่วสามารถอัปเกรดได้ด้วยตนเองภายหลัง และที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ที่ความจุ 512GB / 1TB ที่ไม่ได้รองรับการอัปเกรดเพิ่ม แต่ถ้าจะเปลี่ยน SSD M.2 จำเป็นต้องถอดของเดิมออกก่อนเท่านั้น ฉะนั้นในการเลือกซื้อรุ่นราคา 51,990 บาท และ 58,990 บาท อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความจำเป็นของงาน ว่าสเปกไหนจะตอบโจทย์มากกว่า
หน้าจอขนาด 16″ พาเนลคุณภาพสูง OLED ที่เหนือชั้นกว่า IPS แบบเดิมๆ ในทุกๆ ด้าน เน้นการทำงานมืออาชีพที่มากกว่า กับละเอียด 4K Ultra HD + ที่ 3840 x 2400) ให้ความเรียบเนียน ซึ่งมีความละเอียดมากกว่า Full HD + และ Quad HD + แบบชัดเจนมากๆ พร้อมจอภาพได้รับการรับรองความเที่ยงตรงของสีจาก Pantone validated / Calman verified และค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta-E) น้อยกว่า 2 ซึ่งให้ความแม่นยำของสีที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังรองรับการแสดงภาพ HDR ด้วย (High Dynamic Range)
พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Wi-Fi 6 (802.11ax) และ Bluetooth 5.0 (Dual band) 2*2 แน่นอนว่าได้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ใช้งานได้ทันทีและโปรแกรม Office Home and Student 2019 ฟรีๆ ติดเครื่อง สนนราคาอยู่ที่ 50,000 บาทขึ้นไป การรับประกัน On-site Serice ซ่อมฟรีถึงบ้าน ระยะ 3 ปี ที่สำคัญเป็นแบบทั่วโลกอย่าง ASUS Premium Care อีกทั้งมีประกันอุบัติเหตุในปีแรกด้วย Perfect Warranty เหมือนกับซีรีส์ ZenBook หรือ ROG
ASUS Vivobook Pro 16X M7600QE-L2902TS ราคา 51,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
- CPU : AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T, 3.30 – 4.60GHz)
- GPU : AMD Radeon 8 + GeForce RTX 3050 Ti
- RAM : 16GB DDR4 Bus 3200MHz
- DISPLAY: 16″ OLED Ultra HD+ @ 60Hz
- STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 512GB
- OS : Windows 10 Home
- Software : Office Home & Student 2019
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
ASUS Vivobook Pro 16X M7600QE-L2901TS ราคา 58,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
- CPU : AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T, 3.30 – 4.60GHz)
- GPU : AMD Radeon 8 + GeForce RTX 3050 Ti
- RAM : 32GB DDR4 Bus 3200MHz
- DISPLAY: 16″ OLED Ultra HD+ @ 60Hz
- STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 1TB
- OS : Windows 10 Home
- Software : Office Home & Student 2019
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
Hardware / Design
ASUS Vivobook Pro 16X OLED เป็นการต่อยอดมาจาก Vivobook รุ่นปกติ พร้อมผสมผสานกับ StudioBook อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของ TUF Gaming และ ZenBook โดดเด่นด้วยสีสันสดใสรวมถึงการออกแบบทำมาได้สวยมาก ทั้งหมดนี้อยู่ในน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.95 กิโลกรัม พร้อมความบางเพียง 18.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ดีตามมาตรฐานสำหรับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 16″ ปี 2021 – 2022 ที่ได้ความบางเบาที่มากกว่า แต่ได้ฮาร์ดแวร์แบบมืออาชีพสาย Content Creator
ส่งผลให้การพกพาโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปใช้งานนอกสถานที่ก็ทำได้คล่องตัว แต่ประสิทธิภาพมีความทรงพลังกว่ารุ่นทั่วไปในทุกๆ ด้าน ได้ตัวเครื่องฝาหลังและตัวเครื่องด้านในจะเป็นอลูมิเนียมที่ให้ความพรีเมียมและแข็งแรงทนทาน ซึ่งพิเศษตรงที่ ASUS รุ่นนี้ จะมีแผ่นโลหะ ASUS Vivobook ตามสไตล์ของ VivoBook Pro ที่มีความสวยงามrพรีเมียมตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างความแตกต่าง ซึ่งสมกับเป็นโน๊ตบุ๊คระดับไฮเอนด์
ตัวเครื่อง ASUS Vivobook Pro 16X OLED นั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง มีขอบหน้าจอบางเฉียบ NanoEdge วัสดุเป็นพลาสติกสีดำที่ดูแล้วลงตัวกับงานประกอบอื่นๆ ขนาดตัวเครื่องที่กะทัดรัดกว่า ด้วยน้ำหนักเบาตัวเครื่องที่บาง สามารถใส่ในกระเป๋า หรือกระเป๋าเป้สะพายหลังได้ง่าย เรียกได้ว่ามีความโค้งเว้าที่ลงตัว ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว ได้ระบบระบายความร้อน ASUS IceCool Cooling System พัดลม 2 ตัว เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้ดีขึ้น และทำงานได้เงียบ แม้อยู่ในโหมดการใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำงานได้อย่างเสถียร เครื่องไม่ร้อน แม้จะใช้งานเป็นระยะเวลานาน
นอกจากนั้นแล้วยังโดดเด่นด้วยซึ่งปุ่ม Enter ลายคำเตือนเป็นศูนย์กลาง ปุ่ม ESC บล็อกมีสีส้มเตือนภัยซึ่งต่อยอดงานดีไซน์สไตล์อุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นทัศนคติแห่งความเป็นผู้นำในโลกใหม่ คีย์บอร์ดที่ออกแบบใหม่ชวนให้นึกถึงคีย์บอร์ดกลไก ที่อยู่บนเครื่องสตูดิโอมืออาชีพ เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดที่แตกต่างจากโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน เป็นการให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ที่มากมาย นับได้ว่าเป็นดีไซน์ที่ไม่ซ้ำใครมาก่อน ซึ่งให้ความพิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทุกๆ รุ่น สำหรับระบบ Windows Hello นั้น รองรับทั้งการสแกนนิ้วที่ปุ่ม Power แบบพิเศษกว่าปุ่มอื่นๆ ที่มุมขวาบนของคีย์บอร์ด
ASUS Vivobook Pro 16X OLED อยู่บนพื้นฐานการออกแบบโน๊ตบุ๊คที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ ดีไซน์และสเปกแรงล้ำกว่าด้วยการรองรับซอฟต์แวร์ NVIDIA Studio Driver ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่สำหรับผู้ที่ทำงานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะ จากการที่ใช้การ์ดจอแยก Gaming ในการติดตั้ง แต่ได้มีการปรับแต่งให้ทำงานด้าน Creator ได้ดีขึ้นในทุกๆ มิติ ซึ่งมีความตั้งใจเป็นอย่างดีที่ดูได้จากปุ่ม ASUS Dial แบบเสมือน เพื่อปรับแต่งผ่านโปรแกรมต่างๆ ตอกย้ำว่า ASUS ใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียดจริงๆ
Keyboard / Touchpad / DialPad
ในส่วนของคีย์บอร์ดของตัวเครื่อง ASUS Vivobook Pro 16X OLED พัฒนาและออกแบบมาให้ ASUS โดยเฉพาะ พร้อมไฟ LED ช่วยให้ความสว่างในที่มืดหรือแสงน้อย ซึ่งนับว่ากลายเป็นมาตรฐานที่ควรจะเป็นของโน๊คบุ๊คยุคนี้แล้ว ในส่วนการสัมผัสให้การสัมผัสที่นุ่มกำลังดี การตอบสนองทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วกันและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกดเข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ
โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.35 มิลลิเมตร มีความทนทานสูงในการใช้งานต่างๆ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในการติดตั้งแป้มตัวเลขที่ไม่คับแคบจนเกินไปจากการที่เป็นรุ่นหน้าจอ 16″ ปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมบนขวากลืนไปกับคีย์บอร์ด ส่วนปุ่ม Fn ที่เป็นทางลัดต่างๆ ติดตั้งอยู่ชุดคีย์บอร์ดแถวบนเป็นมาตรฐาน ใช้งานได้สะดวก พร้อมแป้นตัวเลข Numpad ก็มีให้ใช้งานปกติ แต่ในส่วนของปุ่มทิศทางส่วนตัวคิดว่ามันดูเล็กเกินไปหน่อย อาจจะใช้งานลำบากได้
ตัวทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง มีขนาดใหญ่ขึ้น 44% และด้วยฟิล์มเคลือบ PET ที่ช่วยให้สัมผัสนุ่มนวลสุดยอด สำหรับการควบคุมและการใช้ฟีเจอร์ของ DialPad ดีไซน์ออกมาแบบไม่มีปุ่มแยกเป็นชิ้นเดียวทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา ซึ่งขอบรอบๆ มีการเล่นสีสันเป็นสีมันวาวสะดุดตา พร้อมตัวทัชแพดเองจะมีสีเข้มกว่าตัวเครื่องด้วย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ที่ให้มาสามารถควบคุมจัดการได้ดี ใช้งานแบบมัลติทัชร่วมกับ Windows 10 Home / 11 Home ได้ลื่นไหลพอสมควร
นวัตกรรมเฉพาะในรุ่นนี้ ก็คือ DialPad ซึ่งเป็นปุ่มควบคุมเสริมสำหรับ Content Creator ใช้งานร่วมกับโปรแกรม Adobe ให้การทำงานสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น Adobe Photoshop, Premiere Pro, Lightroom Classic และ After Effects เหมาะกับคนที่ต้องการโน้ตบุ๊กในการทำงานสายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นงาน 3D, แอนิเมชัน, วิศวกร, สถาปัตยกรรม หรือการทำงานหนักหน่วง อาศัยกราฟิกสูงๆ ในการเรนเดอร์งาน การใช้งานได้ง่ายๆ เพียงลากนิ้วที่มุมขวาบนของทัชแพดลงมา ก็จะเป็นการเปิดการใช้งาน DialPad แล้ว โดยแสดงเป็นไฟ LED วงกลมที่มุมซ้ายของทัชแพด
Screen / Speaker
ASUS Vivobook Pro 16X OLED มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบทั้งขอบด้านข้างและด้านบนพร้อมติดตั้งกล้องเว็บแคมและไมโครโฟน 4 ตัว พร้อมระบบตัดเสียงแบบ AI มาพร้อมขนาด 16″ ที่สัดส่วนที่มากกว่าอย่าง 16:10 ความละเอียด 4K Ultra HD + (3840 x 2400 พิกเซล) พาเนลเป็น OLED เครื่องแรกของโลกกับขนาด 16″ ได้ความสว่างสูงสุด 550 nits คุณภาพดีที่สุด มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบกระจดสีสันสดใส ได้ VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 รวมๆ แล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม รวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง ASUS Vivobook รุ่นนี้นั้นใส่ใจในเทคโนโลยีด้านการแสดงผลจริงๆ
ที่ได้การรับรองคุณภาพโดย Pantone Validated ซึ่งเป็นระบบสีที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลก เป็นมาตรฐานที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้งด้านงานออกแบบ, สถาปัตยกรรมและอีกมากมาย ได้ความสบายตา หลับสบาย ด้วยจอถนอมสายตา ที่ช่วยตัดแสงสีฟ้าถึง 70% จอ OLED ผ่านการรับรองคุณสมบัติเพื่อการถนอมสายตา จากสถาบันชั้นนำ TÜV Rheinland-certified
แน่นอนว่าแม้จะขอบจอบาง พร้อมติดตั้งเว็บแคม 720pพร้อมไมโครโฟนไว้ตำแหน่งด้านบนตามมาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีฝาปิดเว็บแคม ซึ่งจะเลื่อนปิดเว็บแคมเพื่อความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยในทันที อีกทั้งตัวไม่โครโฟนเองก็ได้เทคโนโลยี ASUS AI Noise-Canceling เพื่อให้ได้ประสบการณ์ในการสื่อสารที่ดีที่สุด
ทดสอบหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งผลการทดสอบให้ขอบเขตความกว้างของสีสัน Gamut เทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB 100%, AdobeRGB 99%, P3 93% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับที่ดีเยี่ยมเหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คทั้งหมดในตลาด โดยให้ความแม่นยำและเที่ยงตรง ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 500 nit ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ สู้แสงกลางแจ้งได้แบบเหนือชั้น รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพ
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องมุมซ้ายบนเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 500 nit แต่สำหรับช่องหลายช่องจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 1 – 3 % ที่ถือว่าน้อยมาก ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ และค่า Delta-E อยู่ที่ 0.79 เท่านั้น ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว สามารถทำได้ดีระดับสตูดิโอ
ตัวลำโพง ASUS Vivobook Pro 16X OLED เป็นแบบสเตอริโอ 2W x 2 เลือกใช้แบรนด์ Harman Kardon ให้เสียงที่ดีกว่าลำโพงทั่วไป มีทั้งเสียงเบสที่มีน้ำหนักบางๆ ไม่ใช่ใส่แต่เสียงกลาง เสียงแหลมออกมาอย่างเดียว โดยตัวลำโพงจะอยู่บริเวณใต้ตัวเครื่องซ้ายและขวาลักษณะยิงลงพื้นด้านหน้า ทำให้เสียงที่ค่อนข้างดังพอสมควร แยกรายละเอียดได้ซ้ายขวาได้ดี ทั้งในคุณภาพเสียงที่ได้และเสียงดังฟังชัดเพียงพอจะออกไปในนอกสถานที่ได้ ส่วนใครจะเอาไปต่อกับหูฟังหรือลำโพงเพิ่ม ก็สามารถทำได้หากว่าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
Connector / Thin And Weight
ASUS Vivobook Pro 16X OLED ในเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อก็ถือว่ามีความครบครันประมาณนึง ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB 3.2 Type-A จำนวนหนึ่งพอร์ต ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าจะให้มาสักสองพอร์ตก็จะดีมากๆ โดยไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็ว แต่ที่ไม่พูดไม่ได้ก็คือ พอร์ต USB 2.0 Type-A อีกสองพอร์ตที่ไว้เชื่อมต่อกับเมาส์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ตรงนี้นับว่าไม่ได้รับการอัพเกรดไปจากรุ่นก่อนหน้าเลย กับโน๊ตบุ๊คราคา 5x,xxx บาท นับว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้เป็น 3.2
และมีพอร์ต USB 3.2 Type-C มาให้อีกหนึ่งพอร์ต ที่จากข้อมูลไม่ได้รองรับการใช้งานด้านอื่นๆ นอกจากการโอนถ่ายข้อมูล และทางด้านพอร์ทการเชื่อมต่อหน้าจอก็จะมีพอร์ต HDMI มาให้ รูเชื่อมต่อหูฟังเป็นแบบ Combo ไมค์และหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ส่วนช่องอ่าน microSD Card จะอยู่ด้านขวามือตัวเครื่อง ที่ในการใช้งานจริงของ Content Creator แล้ว ถ้าให้มาเป็น SD Card Reader น่าจะเหมาะสมกว่า
ขนาดของโน๊ตบุ๊คตัวนี้ถือว่ามีมิติที่ค่อนข้างเล็กและบางเบา น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1.95 กิโลกรัม และตัวอแดปเตอร์ที่ชาร์จเองก็มีขนาดเล็กขนาด 120W กะทัดรัดซึ่งเมื่อรวมเข้าไปด้วยกันแล้วมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 2 กิโลกรัมกลางๆ ถือว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลยทีเดียว เพราะปกติแล้วโน๊ตบุ๊ค 15.6″ ทั่วไป แค่ตัวเครื่องก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 2 กิโลกรัมขึ้นไปแน่นอน
Inside / Upgrade
แกะทั้งฝาล่างทั้งหมดของ ASUS Vivobook Pro 16X OLED เครื่องนี้เพื่ออัพเกรดหรือทำความสะอาดก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ไขน็อตทั้งหมด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แงะแกะทีละส่วนขึ้นอย่างช้าๆ เพียงเท่านี้ก็จะแกะฝาล่างได้ไม่ยากเย็น ส่วนประกอบภายในอื่นๆ ที่มีงานประกอบเรียบร้อยดี ระบบระบายความร้อนเป็นพัดลม 2 ตัว ฮีตไปป์ 2 เส้น พร้อมช่องระบายความร้อน 2 ช่อง ซึ่งดูแล้วอาจจะธรรมดาถ้าเทียบกับสเปกที่ให้มา แต่คาดว่าน่าจะเป็นเพราะชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX เทคโนโลยีการผลิต 7 นาโนเมตร ที่ร้อนน้อยแต่แรงลื่นอยู่แล้ว รวมไปถึงการ์ดจอแยกเองก็ค่อนข้างควบคุมความร้อนได้ดี
ที่สำคัญในรุ่นที่เราได้รีวิว จะเห็นถึงการติดตั้งแรมฝังบอร์ดมาแล้วขนาด 32GB มาตรฐาน DDR4 Bus 3200MHz ที่ไม่รองรับการอัปเกรดเพิ่มแต่อย่างใด รวมไปถึงเราเห็น SSD แบบ M.2 NVMe Gen 3 ความจุ 1TB (ถ้าเป็นอีกสเปกจะเป็นแรมออนบอร์ดมา 16GB และ SSD ความจุ 512GB) กรณีที่ต้องการความจุเพิ่มเพื่อเก็บข้อมูลในอนาคตต้องถอด SSD เดิมออกก่อนเท่านั้น แต่ด้วยสเปกนี้ก็ให้การใช้งานเป็นไปอย่างลื่นไหลไร้คอขวด ปิดท้ายด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่มีความจุ 6200mAh แน่นอนว่าเป็นส่วนให้ใช้แบตเตอรี่ได้ต่อเนื่องยาวนานด้วย
Performance / Software
ASUS Vivobook Pro 16X OLED (M7600) มาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวท็อปในตลาดของ Gaming Notebook บางเบา ของ AMD อย่าง Ryzen 9 5900HS เน้นนำไปใช้งานหนักๆ แต่ก็ควบคุมความร้อนได้ดี ด้วยสถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ความเร็ว 3.3 – 4.6 GHz แบบ 8 Core/ 16 Thread ร้อนน้อยกว่า ได้ L3 Cache ที่ 16MB มีค่าอัตราการใช้พลังงานสูงสุด (TDP) ที่ 45W สร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่า รองรับได้อย่างสบายๆ และดีที่สุดแน่นอน เรียกได้ว่าแรงกว่าชิปประมวลผลอย่าง Ryzen รุ่นก่อนๆ
สำหรับ AMD Ryzen 9 5900HX แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่าชิปประมวลผลที่เป็น AMD Ryzen 7 5800H พอตัวแล้ว ส่วนแรมได้ขนาด 32GB แบบออนบอร์ด แบ่งออกเป็น 16GB x 2 แถว มาตรฐาน Bus 3200 MHz สนับสนุนการอัพเกรดได้สูงสุดที่ 64GB จากการที่เราเพิ่ม 32GB ไปอีก 2 ตัวนั่นเอง (ถอด 16GB x 2 เดิมออก) พร้อมให้ SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 1TB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง AMD Radeon 8 มีความเร็วในการทำงานที่ 2100MHz มาตรฐานแรม DDR4 ขนาด 512MB ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน ซึ่งโดดเด่นจริงๆ จะเป็นเรื่องของการประหยัดพลังงานเมื่อใช้งานเบาๆ ทำให้แบตเตอรี่อยู่ได้ยาวนานกว่า 11 – 12 ชั่วโมง แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้ชิปประมวลผลตัวแรงก็ตามที
อีกทั้งยังมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti ที่ต้องบอกว่าแรงกว่า GeForce GTX 1660 Ti จากที่สเปกภายในได้รับการอัพเกรดขึ้น ได้แรมการ์ดจอจะเป็น 4GB GDDR6 เน้นใช้งานกับ Gaming Notebook ที่ปลดปล่อยความร้อนน้อยลงแต่ก็แรงกว่าเดิม เพราะทาง ASUS เค้า Overclock มาให้จากโรงงานแล้ว จากเทคโนโลยี Dynamic Boost ให้ GPU Clock แรงเหนือชั้นยิ่งกว่า จากค่า TGP เดิมๆ 60W เป็น 75W เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจสมกับเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 4900H หรือ Ryzen 7 5800HS ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอแยกเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้เป็น SSD M2 NVMe PCIe Gen 3 ความเร็วสูงที่ความจุ 1TB ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจในระดับกลางๆ กับความเร็วในการอ่านและเขียนที่ Read: 3597 MB/s – Write: 3034 MB/s ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดไดร์ฟแบบจานหมุน HDD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด การใช้งานโดยรวมก็ลื่นไหลน่าประทับใจมากๆ ทั้งการใช้งานทั่วไป และการใช้งานหนักๆ รวมไปถึงการเล่นเกมต่างๆ อย่างไรก็ตามถือว่าให้ SSD สเปกความเร็วเหมาะสมกับราคาแล้ว
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 6,169 คะแนน (เทียบเท่ากับ Gaming Notebook สบายๆ) ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ ส่วนถ้าเอาไปใช้งานหนักๆ เช่นงานประมวลผล ตัดต่อวีดีโอ โปรเซสไฟล์ภาพความละเอียดสูง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติ ซึ่งก็พอได้ ตอบสนองได้เทียบเท่าพวก Gaming Notebook หรือโน๊ตบุ๊คแรงๆ ที่ใช้ Ryzen ซีรีส์ H และการ์ดจอ GTX / RTX ได้แล้ว แต่เน้นในการทำงานที่มากกว่า เล่นเกมเป็นรอง
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 5,186 เน้นเรื่อง DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขาได้ดีขนาดไหน ซึ่งนับว่าคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีของการเป็นสเปกเดียวกับ Gaming Notebook ระดับบนจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามคะแนนในการทดสอบครั้งนี้ยังไม่สมบูรณ์
ลองนำมาเล่นเกมกันบ้าง ให้เห็นถึงคะแนนและเฟรมเรททำออกมาน่าสนใจ ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด (ปิด V-Sync) แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็ไม่มีอาการช้าหรือหน่วงเลย ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ อยู่ ทั้ง 4 เกมที่เราได้ทำการทดสอบไป จะเห็นว่ามีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นในระดับที่น่าประทับใจต่อสเปกภายใน ที่จัดว่าเป็นโน้ตบุ๊คตัวแรง อย่างไรก็ตามในการทดสอบนี้เราใช้การปรับความละเอียดในเกมเป็น Full HD + เพราะให้ภาพที่ละเอียดเพียงพอแล้วในการเล่นเกมจริงๆ และยังช่วยให้ลื่นไหลกว่า Ultra HD + ด้วย
นอกเหนือจากนี้ ยังมี ProArt Creator Hub ซอฟต์แวร์ Utility ที่พิเศษกว่า Vivobook รุ่นปกติ (ใช้ตัวเดียวกับ ASUS ProArt StudioBook 16 OLED) ซึ่งรวบรวมเอาการควบคุมที่สำคัญต่างๆ มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบ อาทิ การดูสถานะการทำงานของเครื่อง โปรไฟล์ของสีหน้าจอที่เราใช้ การจัดกลุ่มโปรแกรมในการทำงาน แน่นอนว่ามีการปรับแต่ง ASUS Dial ในส่วนนี้ด้วย พร้อมเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในการควบคุมได้ ซึ่งจากการใช้งานปรับแต่งจริงๆ นับว่ามีความยืดหยุ่นสูงมาก
ปิดท้ายด้วยซอฟต์แวร์ Utility อีกตัวอย่า MyASUS ที่เป็นศูนย์รวมการปรับแต่งอื่นๆ ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Link to MyASUS สำหรับการเชื่อมต่อไปยังสมาร์ทโฟน Android หรือ iOS ได้ เพื่อการใข้งานเป็นหน่ึงเดียว ที่ต้องบอกเลยว่าสามารถใช้งานจริงได้ดีมากๆ รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์คอยตรวจระยะเวลากรับประกันและอัพเดทไดร์เวอร์ได้ครบๆ พร้อมรองรับการตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติมอีก อย่างที่หาไม่ได้ในโน๊ตบุ๊คทั่วไปแน่นอน
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ ASUS Vivobook Pro 16X OLED เครื่องนี้เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น ที่ความจุ 6200 mAh โดยสามารถทำงานต่อเนื่องยาวนานได้กว่า 11:38 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในการปรับเป็น Power Saver Mode ใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตดู Youtube ผ่านโปรแกรม Microsoft Edge ซึ่งจากผลการทดสอบนับได้ว่าทำได้ดีมากๆ เพราะไม่ใช่แค่แรง แต่ประหยัดพลังงานด้วย อย่างไรก็ตามปัจจัยในการใช้งานจริงอาจจะขึ้นอยู่กับหลายๆ กรณี อย่างเช่นสภาพแวดล้อมหรือลักษณะการใช้งานด้วย และการใช้งานของแต่ละคน โดยอาจจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ตัวแปร
ทางด้านอุณหภูมิปกติของเครื่อง ASUS Vivobook Pro 16X OLED จะอยู่ที่ 40 – 60 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่ด้วยการเล่นเกมยาวๆ และประมวลผลงานต่อเนื่อง จะเห็นว่า CPU จะร้อนที่สุดที่ระดับ 93 องศาเซลเซียส ส่วน GPU อยู่ที่ 75 องศาเซลเซียส นับว่าเรื่องระบบระบายความร้อนเครื่องนี้ทำออกมาได้ดีน่าพอใจ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนจาก ASUS ที่ออกแบบมาดี รวมไปถึงชิปประมวลผลจาก AMD Ryzen + NVIDIA GeForce ก็ควบคุมความร้อนได้ดีไม่ให้ความร้อนมีอุณหภูมิสูงจนเกินไป ทำให้การใช้งานจริงยาวนานต่อเนื่องแทบไม่ได้สัมผัสถึงความร้อนเลย
Conclusion / Award
เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจจริงๆ สำหรับโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งรุ่นที่ทุกๆ คนให้ความสนใจอย่าง ASUS Vivobook Pro 16X OLED ที่ต่อยอดความสำเร็จตระกูล VivoBook รุ่นปีก่อนๆ ที่เป็นสเปก AMD Ryzen 9 5900HX + NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti (TGP75W) + RAM 32GB + SSD M.2 1TB เหนือชั้นด้วยหน้าจอ 16″ OLED Ultra HD+ ได้ขอบเขตสีกว้าง เรียกได้ว่าใครต้องการโน๊ตบุ๊คหน้าจอดีที่สุดในตลาดช่วงราคา 5x,xxx บาท ต้องรุ่นนี้เลย และเจ๋งสุดๆ ด้วย ASUS DialPad ปุ่มควบคุมเสมือนเสริมสำหรับสายครีเอเตอร์
ออกแบบมาเพื่อ Notebook ในรุ่นบางเบา ซึ่งตอบสนองอย่างยิ่งกับการสร้างคอนเทนต์แบบมือโปร พร้อมความสามารถในการประมวลผลให้ประสบการณ์ใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากการที่ทดสอบใช้งานจริงนับได้ว่าเรื่องของประสิทธิภาพโดยรวมมีความประทับใจมากๆ สำคัญคือควบคุมความร้อนได้แบบมีเสถียรภาพผ่านชุดระบายความร้อนที่ดีอย่าง ASUS IceCool Cooling system ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสมเกิดขึ้น การทำงานโดยรวมสเถียรภาพสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่าฟีเจอร์การใช้งานบางอย่างนั้น จุดไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้าเลย
ด้วยฟีเจอร์ทั้งหมดที่มีทำให้แม้สเปกจะจัดเต็มเหมือน Gaming Notebook เครื่องหนาๆ หนักๆ ก็สามารถจัดการควบคุมอุณหภูมิได้เป็นอย่างดี พร้อมใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าประทับใจ ที่ยาวนานกว่า 11 – 12 ชั่วโมงในการใช้งานทั่วไป เรียกได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมทั้งการทำงานหรือเล่นเกมก็ยังได้ อีกทั้งตัวเครื่องยังมีความพรีเมียมสวยงาม ทั้งภายนอกและภายใน ดีไซน์ก็ให้ความพรีเมียมเป็นมืออาชีพสุดๆ ลงตัวกับคนทำงานสาย Conten Creator ที่ต้องการโน๊ตบุ๊คทำงานจริงๆ ไม่ใช่แค่ Gaming Notebook สเปกแรง
อย่างไรก็ตามถ้าคิดว่า ASUS Vivobook Pro 16X OLED ราคาสูงไป จะดูเป็นรุ่นรองอย่าง ASUS Vivobook Pro 15 OLED ก็ได้ มีความโดดเด่นในเรื่องของหน้าจอ OLED ที่ล้ำกว่าพาเนล IPS ในทุกๆ ด้าน ที่ได้หน้าจอคุณภาพสูงที่สุดในงบ 3x,xxx บาท ที่ใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 5600H / Ryzen 7 5800H + การ์ดจอแยก RTX 3050 ได้แรมขนาด 16GB และ SSD 512GB จอ 15.6″ Full HD การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX + Bluetooth 5.0 และพอร์ตการเชื่อมก็ครบครันไม่แพ้กัน
มี Windows 10 Home พร้อมมีโปรแกรม Office Home & Student 2019 ใช้งานติดเครื่องยาวๆ ส่วนประกันเป็นประกัน 2 ปี + ประกันอุบัติเหตุ 1 ปีตามมาตรฐานของ ASUS ทั้งทำงานและความบันเทิงดีขึ้น โดยแบตเตอรี่ยังสามารถใช้งานได้ยาวนาน ดีไซน์สวยด้วยหน้าจอ 15.6″ มีความบางและเบาเพียง 1.65 กิโลกรัม วัสดุตัวเครื่องโดยรวมเป็นโลหะอลูมิเนียมและพลาสติกเกรดดี ให้ความพรีเมียมดูดีเกินราคา เจาะตลาดนักเรียนนักศึกษา รวมไปถึงคนวัยทำงานที่ยังหนุ่มสาวเป็นหลัก สมกับเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์
ASUS Vivobook Pro 15 OLED D3500QA-L1701TS ราคา 32,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 7 5800H (8C/16T : 3.20 – 4.40 GHz)
-
GPU : AMD Radeon 8
-
RAM : 16GB DDR4 Bus 3200MHz
-
DISPLAY: 15.6″ OLED Full HD @ 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Home
-
Warranty : 2 Years + 1 Year Perfect Warranty
ASUS Vivobook Pro 15 OLED D3500QC-L1501TS ราคา 35,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 5 5600H (6C/12T : 3.30 – 4.20 GHz)
-
GPU : AMD Radeon 7 + NVIDIA GeForce RTX 3050
-
RAM : 16GB DDR4 Bus 3200MHz
-
DISPLAY: 15.6″ OLED Full HD @ 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Home
-
Warranty : 2 Years + 1 Year Perfect Warranty
ASUS Vivobook Pro 15 OLED D513UA-L0701TS ราคา 38,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 7 5800H (8C/16T : 3.20 – 4.40 GHz)
-
GPU : AMD Radeon 8 + NVIDIA GeForce RTX 3050
-
RAM : 16GB DDR4 Bus 3200MHz
-
DISPLAY: 15.6″ OLED Full HD @ 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Home
-
Warranty : 2 Years + 1 Year Perfect Warranty
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 16″ ด้วยกัน ซึ่ง ASUS Vivobook Pro 16X OLED ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
ชิปประมวลผล ASUS Vivobook Pro 16X OLED เป็น AMD Ryzen 9 5900HX ประสิทธิภาพแรงเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไป ได้ทั้งตวามแรงที่มากขึ้น ความร้อนที่น้อย การ์ดจอแยกก็แรงด้วย RTX 3050 Ti พร้อมแรม 32GB + SSD 1TB ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลสำหรับเกมออนไลน์ที่กินทรัพยากรไม่มาก หรือว่าที่เกมที่เก่าหน่อย ที่สำคัญนอกจากได้ Windows 10 Home พร้อมใช้งานแล้ว ยังได้โปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2019 ที่ประกอบไปด้วย Word / Excel / Power Point
Best Mobility
การพกพาของ ASUS Vivobook Pro 16X OLED เครื่องนี้อยู่ในระดับที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน พร้อมได้หน้าจอขนาดใหญ่กว่าที่ 16″ ขอบหน้าจอก็บางเฉียบ ทั้งในความบางและน้ำหนักเบาเพียง 1.95 กิโลกรัม บางที่ 18.9 มิลลิเมตร ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมอแดปเตอร์ก็เบาและเล็กกว่าปกติมากๆ โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวกให้มิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ขอบจอบางเฉียบ แบตเตอรี่ก็ยาวนานกว่าเกือบ 12 ชั่วโมงทีเดียว ซึ่งในการนำไปใช้งานนอกสถานที่อย่างจริงจัง เชื่อได้ว่าหลายๆ คนส่วนมากต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
Best Graphics
อีกหนึ่งรุ่นจากทาง ASUS สำหรับหน้าจอแสดงผลของ ASUS Vivobook Pro 16X OLED รุ่นนี้เป็นหน้าจอ OLED ขนาด 16″ บนความละเอียด 4K Ultra HD + ระดับสูง sRGB 100% รองรับ HDR พร้อมรับรองความเที่ยงตรงของสี ให้ช่วงสีค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta-E) น้อยกว่า 2 ซึ่งใช้งานหน้าจอของเราสมบูรณ์แบบด้วยความเรียบเนียนไม่เห็นรอยหยัก ที่สำคัญทำให้เราเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานโน๊ตบุ๊คแบบเดิมๆ ไปตลอดกาล กับฟีเจอร์ปุ่มเสมือน ASUS DialPad เป็นนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมรองรับในหลายโปรแกรม Adobe ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีคู่แข่งด้วย