หูฟัง True Wireless สายสปอร์ตจากแบรนด์ชั้นนำ ตอนนี้มีรุ่นน่าสนใจให้เลือกเพียบ!
หูฟัง True Wireless เรียกว่าเป็นหูฟังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จากการที่ไม่มีสายมารบกวนรุงรังตอนทำกิจกรรมอะไร และมีดีไซน์ทั้งแบบเฮดโฟนที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้ หรือรุ่นที่ราคาไม่แพงมากไม่ต้องจ่ายแพงก็ได้หูฟังไร้สายดีๆ เอาไว้ฟังเพลงแล้ว เรียกว่ามีหลายเรทราคาให้เลือกซื้อกันและมีหลากหลายดีไซน์อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หูฟัง True Wireless ก็จะมีประเภทที่ออกแบบมาเพื่อสายสปอร์ตโดยเฉพาะ มีสเปคและดีไซน์เน้นเรื่องกันน้ำและฝุ่นเป็นพิเศษและหลายๆ รุ่นจะออกแบบให้มีก้านหรือจุกยางเพื่อป้องกันการหลุดตอนขยับออกท่าทางหนักๆ ได้เต็มที่โดยที่หูฟังไม่กระเด็นลงไปกองอยู่กับพื้นจนหูฟังเสียหายอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังกันน้ำและฝุ่นและมี IP Rating กำกับเอาไว้เพื่อบอกว่าหูฟังตัวนี้กันน้ำกันฝุ่นได้ดีระดับไหนได้ด้วย ซึ่งถ้าใครเป็นสายออกกำลังกายตบเท้าเข้ายิมหรือวิ่งสวนสาธารณะบ่อยๆ ก็น่าลงทุนซื้อเอาไว้ใช้ฟังเพลงมากๆ และยังใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
7 หูฟัง True Wireless สายสปอร์ตสุดแจ่มแนะนำให้โดนเอาไว้ฟังเพลงตอนฟิตกล้าม!
สำหรับสายสปอร์ตที่กำลังหาหูฟังไร้สายเอาไว้ฟังเพลงตอนออกกำลังกายและเอาไว้ฟังเพลงเวลานั่งทำงานก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันล่ะก็ ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำให้ลงทุนซื้อของดีแบรนด์ชั้นนำเอาไว้ใช้เลย ถึงจะแพงสักหน่อยแต่ก็ทนทานและใช้งานได้หลายปี และผู้ผลิตเองก็ใส่ฟีเจอร์ดีๆ เอาไว้ให้ใช้อีกเพียบ โดยหูฟัง True Wireless ทั้ง 6 รุ่นที่เลือกมาแนะนำจะมีดังนี้
- Jabra Elite Active 75t (3,990 บาท)
- Skullcandy PUSH ULTRA (4,990 บาท)
- Jaybird Vista (5,590 บาท)
- Sony WF-SP800N (5,990 บาท)
- Bose Sport Earbuds (8,900 บาท)
- Beats Powerbeats Pro (8,900 บาท)
- Klipsch T5 II (8,990 บาท)
1. Jabra Elite Active 75t (3,990 บาท)
Jabra Elite Active 75t เป็นหูฟังไร้สายสำหรับสายสปอร์ตรุ่นแรกที่ทั้งราคาไม่แพงแต่สเปคดีน่าสนใจที่ใส่ฟีเจอร์น่าสนใจเอาไว้ให้หลายอย่าง ไม่ว่าจะระบบตัดเสียงรบกวนภายนอก, กันน้ำและฝุ่นได้ดีระดับ IP57, ติดตั้งไมโครโฟนเอาไว้ 4 ตัวเพื่อให้โทรคุยสายได้ดีฟังชัดเจน ควบคุมและตั้งค่าตัวหูฟังไร้สายของ Jabra ได้ด้วยแอพฯ Jabra Sound+ ส่วนคุณภาพเสียงเรียกว่าทำได้ดี ทั้งเสียงใสเบสกระชับอิมแพ็คหนักแน่น เสียงแหลมดีและสเตจกว้างกำลังน่าฟัง
การเชื่อมต่อของ Jabra Elite Active 75t ใช้ Bluetooth 5.0 รองรับสูงสุด 8 อุปกรณ์ ควบคุมด้วยการกดปุ่มโลโก้ที่หูฟัง รองรับ Google Assistant และ Siri ติดตั้งไดรเวอร์ขนาด 6 มม. รองรับความถี่ 20 Hz – 20 kHz มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) กดสลับให้เสียงจากสภาพแวดล้อมภายนอกลอดเข้ามาได้ มีไมโครโฟน 4 ตัวแบบ MEMS รองรับความถี่ 100 Hz – 10 kHz มีฟีเจอร์ Wind noise protection ลดเสียงลมลอดเข้าไมค์ของหูฟังได้ ใช้งานต่อเนื่องได้ 5.5 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 24 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C และการชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi (ชี่) นับเป็นหูฟัง True Wireless สำหรับคนที่รักการออกกำลังกายและนำไปใช้คุยติดต่องานได้ดีอีกด้วย
สำหรับข้อดีหลักๆ ของหูฟัง Jabra Elite Active 75t ตัวนี้ หลักๆ แล้วคือเรื่องไมโครโฟนเสียงคมชัด เอาไว้โทรติดต่อได้ดี, รองรับการเชื่อมต่อสูงสุด 8 อุปกรณ์ จึงใช้ต่อทั้งมือถือ/แท็บเล็ต/โน๊ตบุ๊คได้พร้อมๆ กัน และมีฟีเจอร์ตัดเสียงได้ด้วย ส่วนข้อสังเกตคือเมื่อเทียบกับหูฟังรุ่นอื่นแล้วยังเป็น IP57 ขณะที่รุ่นอื่นเป็น IP67 หรือ IPX4 แล้ว
สเปคของ Jabra Elite Active 75t
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 สูงสุด 8 อุปกรณ์ ตั้งค่าด้วยแอพฯ Jabra Sound+
- รองรับ Google Assistant และ Siri
- ไดรเวอร์ขนาด 6 มม. รองรับความถี่ 20 Hz – 20 kHz มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation)
- ติดตั้งไมโครโฟนเอาไว้ 4 ตัว แบบ MEMS รองรับความถี่ 100 Hz – 10 kHz มีฟีเจอร์ Wind noise protection
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IP57
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 5.5 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 24 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C และการชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi (ชี่)
- ราคา 3,990 บาท (Munkong Gadget Shopee Mall
ข้อดีและข้อสังเกตของ Jabra Elite Active 75t | |
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. เสียงไมค์คมชัด โทรติดต่องานได้ดี | 1. IP Rating ยังเป็น IP57 เท่านั้น แบรนด์อื่นเป็น IP67 หรือมากกว่านี้แล้ว |
2. รองรับการเชื่อมต่อสูงสุด 8 อุปกรณ์ | |
3. มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน |
2. Skullcandy PUSH ULTRA (4,990 บาท)
Skullcandy PUSH ULTRA เป็นหูฟัง True Wireless แบบมีก้านล็อคด้านหลังใบหู เวลาขยับตัวเร็วๆ ตอนออกกำลังกายก็ไม่หลุดง่ายและยังกันน้ำและฝุ่นระดับ IP67 ตัดปัญหาเรื่องเหงื่อและฝุ่นทำให้หูฟังช็อตและมีปัญหาไปได้เลย นอกจากนี้ยังใช้แอพฯ ของ Skullcandy ควบคุมและตั้งค่าหูฟังได้โดยตรงทั้งใน Play Store และ App Store นอกจากนี้ยังรองรับแอพฯ Tile เอาไว้ตามหาตอนหูฟังข้างใดข้างหนึ่งหล่นหายหรือวางลืมเอาไว้ได้อีกด้วย
สเปคของ Skullcandy PUSH ULTRA จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย Bluetooth 5.0 รองรับความถี่ 20 Hz – 20 kHz ปรับ Equalizer ได้ 3 แบบ มีไมโครโฟนและปุ่มเพิ่มลดเสียงหูฟังติดอยู่ที่ตัวหูฟังทั้งสองด้าน แบตเตอรี่ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 6 ชั่วโมง รวมการชาร์จในเคสแล้วสุทธิ 40 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยสาย USB-C ที่แถมมาในกล่องหรือชาร์จไร้สายก็ได้เช่นกัน นับเป็นหูฟังรุ่นที่น่าสนใจอีกรุ่นสำหรับคนรักการฟังเพลงไปออกกำลังกายไปมาก
ข้อดีของ Skullcandy ตัวนี้คือแบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 40 ชั่วโมงและรองรับ Tile เอาไว้ตามหาหูฟังข้างที่ตกหายได้ง่ายๆ แค่โหลดแอพฯ มาติดตั้งในเครื่องเท่านั้น ส่วนข้อสังเกตคือยังรองรับการชาร์จด้วย USB-C อย่างเดียว ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
สเปคของ Skullcandy PUSH ULTRA
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 สูงสุด 8 อุปกรณ์ ตั้งค่าด้วยแอพฯ Skullcandy
- ไดรเวอร์รองรับความถี่ 20 Hz – 20 kHz ปรับ Equalizer ได้ 3 แบบ
- ติดตั้งไมโครโฟนเอาไว้ใช้โทรคุยงานได้ รวมทั้งปุ่มเพิ่มลดเสียงที่ตัวหูฟัง
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IP67
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 6 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 40 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C และการชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi (ชี่)
- ราคา 4,990 บาท (Mercular)
ข้อดีและข้อสังเกตของ Skullcandy PUSH ULTRA | |
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. แบตเตอรี่ใช้งานได้นานถึง 40 ชั่วโมง | 1. รองรับการชาร์จด้วย USB-C อย่างเดียว ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย |
2. รองรับ Tile เอาไว้ตามหาหูฟังข้างที่ตกหายได้ง่าย | |
3. รองรับการเชื่อมต่อสูงสุด 8 อุปกรณ์ |
3. Jaybird Vista (5,590 บาท)
Jaybird Vista เป็นหูฟัง True Wireless รุ่นที่สื่อต่างประเทศชื่นชมเรื่องดีไซน์การเข้ากับหู, ความแข็งแรงทนทานและกันน้ำกับฝุ่นดีระดับ IPX7 เรียกว่าเป็นหูฟังที่เกิดมาเพื่อสายสปอร์ตมาก ส่วนคุณภาพเสียงเรียกว่าดีหายห่วงเพราะสามารถปรับ Equalizer ได้สะดวกด้วยแอพฯ Jaybird ซึ่งโหลดจาก Play Store และ App Store ได้เลย นอกจากนี้ในแอพฯ ของ Jaybird ยังมีฟีเจอร์ค้นหาหูฟังข้างที่ตกหายได้อีกด้วย
ตัวหูฟัง Jaybird Vista รองรับการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 ได้เลย ติดตั้งไดรเวอร์ขนาด 6 มม. รองรับความถี่ 20 Hz – 20 kHz ให้เสียงระดับ 16-bit ที่คุณภาพเสียงคมชัดยิ่งขึ้น ติดตั้งไมโครโฟนแบบ MEMS แบบ Omni-directional ให้รับเสียงได้หลายทิศทาง แบตเตอรี่ในตัวใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 6 ชั่วโมง รวมชาร์จด้วยเคสของตัวหูฟังสุทธิ 16 ชั่วโมง รองรับการชาร์จไว 5 นาที ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าใครต้องการหูฟังดีๆ เอาไว้ฟังเพลงและเล่นกีฬาได้ด้วย แนะนำดู Jaybird ตัวนี้ไว้ได้เลย
ข้อดีหลักๆ คือหูฟัง Jaybird Vista ติดตั้งไดรเวอร์ที่ให้ระดับเสียง 16-bit มาในตัว ทำให้ฟังเพลงได้อรรถรสยิ่งขึ้น และรองรับการชาร์จไว 5 นาที ฟังได้ 1 ชม. ส่วนข้อสังเกตคือระยะเวลาใช้งานรวมสูงสุดทำได้แค่ 16 ชม. เท่านั้น
สเปคของ Jaybird Vista
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 ตั้งค่าด้วยแอพฯ Jaybird
- ไดรเวอร์รองรับความถี่ 20 Hz – 20 kHz ให้เสียงระดับ 16-bit
- ติดตั้งไมโครโฟนแบบ MEMS แบบ Omni-directional
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IPX7
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 6 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 16 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C ชาร์จไว 5 นาที ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมง
- ราคา 4,990 บาท (Mercular Shopee Mall)
ข้อดีและข้อสังเกตของ Jaybird Vista | |
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. ติดตั้งไดรเวอร์ที่ให้ระดับเสียง 16-bit ให้คุณภาพเสียงดี | 1. ระยะเวลาใช้งานรวมสูงสุดเพียง 16 ชม. เท่านั้น |
2. รองรับการชาร์จไว 5 นาที ฟังได้ 1 ชม. |
4. Sony WF-SP800N (5,990 บาท)
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมผู้เขียนถึงเลือก Sony WF-SP800N มาแนะนำแทน Sony WF-1000XM4 ที่ได้เรื่องการฟังเพลงแบบเน้นๆ มากกว่า นั่นเพราะ Sony WF-SP800N ออกแบบมาเพื่อคนชอบออกกำลังกายมากกว่า มี IP55 ว่าทนน้ำและฝุ่นได้แน่นอน, มีฟีเจอร์ Google Fast Pair และฟีเจอร์เสียงอย่าง EXTRA BASS ให้เสียงเบสแน่นสะใจยิ่งขึ้น, Adaptive Sound Control ปรับเสียงในหูฟังให้เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติและ 360 Reality Audio จำลองเสียงตอนฟังเพลงให้มีมิติและสมจริง สามารถตั้งค่าหูฟังได้ด้วยแอพฯ Sony Headphones Connect ได้เลยทั้ง Android, iOS
สเปคของ Sony WF-SP800N ตัวนี้จะเชื่อมต่อผ่านทาง Bluetooth 5.0 ใช้ไดรเวอร์ขนาด 6 มม. มี Digital Noise Cancelling ตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ รองรับ Google Assistant, Siri, Alexa ติดตั้งไมค์สำหรับโทรศัพท์มาให้ในตัว ส่วนแบตเตอรี่ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานสุด 9 ชั่วโมง ถ้าเปิดตัดเสียงรบกวน ส่วนปิดเสียงรบกวนอยู่ได้ 13 ชั่วโมง เมื่อนำกลับไปชาร์จในเคสแล้วใช้งานได้นานสุดรวม 26 ชั่วโมงทีเดียว แต่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่คืนด้วย USB-C เท่านั้น ซึ่งถ้าใครชื่นชอบการฟังเพลงและออกกำลังกายทั้งคู่ หูฟัง True Wireless ของ Sony รุ่นนี้จัดว่าน่าสนใจมาก
ข้อดีของหูฟัง Sony WF-SP800N ตัวนี้ จะเด่นเรื่องตัดเสียงรบกวนและใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 9 ชั่วโมง และมีฟีเจอร์เสริมคุณภาพเสียงของตัวหูฟังเป็นพิเศษ แต่จุดสังเกตหลักๆ คือเรื่องการชาร์จแบตเตอรี่ยังรับแต่ USB-C เท่านั้น
สเปคของ Sony WF-SP800N
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 ตั้งค่าด้วยแอพฯ Sony Headphones Connect
- รองรับ Google Assistant, Siri และ Alexa
- ไดรเวอร์ขนาด 6 มม. มี Digital Noise Cancelling ตัดเสียงรบกวนภายนอกได้
- ติดตั้งไมโครโฟนสำหรับโทรศัพท์ได้ด้วย
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IP55
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 9-13 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 26 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C
- ราคา 5,990 บาท (Sony Thailand)
ข้อดีและข้อสังเกตของ Sony WF-SP800N | |
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. ฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 9-13 ชั่วโมง ถือว่านานมาก | 1. การชาร์จแบตเตอรี่ยังรับแต่ USB-C เท่านั้น |
2. ใส่ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนและฟีเจอร์เสริมคุณภาพเสียงมาให้หลายอย่าง |
5. Bose Sport Earbuds (8,900 บาท)
ถ้าเรื่องฟังเพลงด้วยออกกำลังกายด้วย Bose ก็มีหูฟัง True Wireless รุ่น Bose Sport Earbuds มาเอาใจคอสปอร์ต ตั้งค่าหูฟังได้ง่ายๆ ด้วยแอพฯ Bose Music app โหลดได้จาก Google Play Store หรือ App Store ก็ได้ รองรับ Touch control แตะตัวหูฟังเพื่อสั่งการได้, กันน้ำและเหงื่อระดับ IPX4, มีฟีเจอร์ Spotify Tab แตะแล้วเรียกแอพฯ Spotify ขึ้นมาเล่นเพลงได้ทันที และรองรับการเชื่อมต่อมากสุด 7 อุปกรณ์ทีเดียว
Bose Sport Earbuds รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.1 มีฟีเจอร์ Volume-optimized และ Active EQ ให้คุณภาพเสียงตอนฟังเพลงดียิ่งขึ้นกับไมโครโฟนแบบ Beam-forming ใช้โทรและรับสาย ให้เสียงคมชัดทั้งสองฝั่ง มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนและฟังเพลงต่อเนื่องได้นานสุด 5 ชั่วโมง รวมชาร์จในเคสด้วยจะฟังเพลงได้นานสุด 10 ชั่วโมง มีฟีเจอร์ชาร์จเร็ว 15 นาทีฟังเพลงได้ 2 ชั่วโมงอีกด้วย ชาร์จแบตเตอรี่ผ่านพอร์ต USB-C ได้เลย ซึ่งถ้าใครหาหูฟัง True Wireless เน้นเรื่องคุณภาพเสียงเป็นหลักล่ะก็ แนะนำให้ดู Bose ตัวนี้เอาไว้ได้เลย
ข้อดีของ Bose Sport Earbuds จัดว่าเน้นเรื่องการฟังเพลงระหว่างออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี มีฟีเจอร์ Spotify Tab, รองรับการเชื่อมต่อสูงสุด 7 อุปกรณ์, ชาร์จไว 15 นาทีฟังเพลงได้อีก 2 ชั่วโมง และไมค์แบบ Beam-forming แต่ข้อสังเกตคือระยะเวลาใช้งานรวมนานสุด 10 ชั่วโมงเท่านั้น
สเปคของ Bose Sport Earbuds
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.1 รองรับสูงสุด 7 อุปกรณ์ ตั้งค่าด้วยแอพฯ Bose Music app
- ไดรเวอร์มีฟีเจอร์ Volume-optimized และ Active EQ ให้คุณภาพเสียงตอนฟังเพลงดียิ่งขึ้น
- ติดตั้งไมโครโฟนสำหรับโทรศัพท์ได้ด้วย
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IPX4
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 10 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C
- ราคา 8,900 บาท (Mercular)
ข้อดีและข้อสังเกตของ Bose Sport Earbuds | |
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. ฟีเจอร์ Spotify Tab เรียกแอพฯ Spotify ขึ้นมาฟังเพลงได้ไม่ต้องกดมือถือ | 1. ระยะเวลาใช้งานรวมนานสุด 10 ชั่วโมงเท่านั้น |
2. รองรับการเชื่อมต่อสูงสุด 7 อุปกรณ์ | |
3. ชาร์จไว 15 นาทีฟังเพลงได้อีก 2 ชั่วโมง |
6. Beats Powerbeats Pro (8,900 บาท)
Beats Powerbeats Pro นับเป็นหูฟัง True Wireless สายสปอร์ตแบบเน้นๆ สำหรับเจ้าของ iPhone นั่นเพราะนอกจากจับคู่กับ iPhone ได้ง่ายและเร็วด้วยชิป Apple H1 แล้ว ยังได้คุณภาพเสียงที่ดีและใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ร่วมกับ iPhone ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย หรือถ้าใครจะเอาไปใช้กับ Android ก็ได้ ส่วนจุดเด่นหลักๆ ของหูฟัง True Wireless ตัวนี้ คือฟีเจอร์ Find My ของระบบ Apple Ecosystem ที่ถ้าหูฟังหายหรือหาไม่เจอสักข้างหนึ่งก็กดตามหาได้ง่ายๆ กันน้ำและเหงื่อระดับ IPX4 และดีไซน์แบบมีก้านล็อคใบหู ทำให้ตอนออกกำลังกายออกท่าทางเยอะก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
การเชื่อมต่อของหูฟังตัวนี้จะใช้ Bluetooth Class 1 ส่วนไดรเวอร์จะเป็นแบบไดนามิคพร้อมีระบบตัดเสียง (noise isolation) ติดตั้งไมโครโฟนแบบ beam-forming และมีเซนเซอร์จับท่าทางการขยับและพูดของผู้ใช้ให้คุณภาพเสียงดีและตัดเสียงรบกวนได้ รองรับ Siri และ Voice assistant อื่นๆ อีกด้วย สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 9 ชั่วโมง รวมชาร์จในเคสได้นานสุด 24 ชั่วโมง มีฟีเจอร์ Fast Fuel ชาร์จ 5 นาทีฟังเพลงต่อได้อีก 1.5 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่จะชาร์จผ่านสาย Lightning to USB-A เข้าที่ตัวเคส ซึ่งส่วนตัวถ้าใครใช้มือถือเป็น iPhone แล้วรักการออกกำลังกาย แนะนำให้ดู Beats ตัวนี้เป็นหลักมากกว่า AirPods Pro มาก
ข้อดีแบบเน้นๆ ของ Beats Powerbeats Pro จะโดดเด่นมากเมื่อใช้งานกับ iPhone คือการจับคู่ที่รวดเร็ว ตามหาหูฟังข้างที่หายด้วยแอพฯ Find my ได้เลย ไมค์แบบ Beam-forming พร้อมเซนเซอร์จับการขยับของร่างกายและชาร์จเร็ว 5 นาทีฟังได้ 1.5 ชั่วโมง แต่ข้อสังเกตคือใช้สายชาร์จเฉพาะอย่าง Lightning to USB-A และราคาค่อนข้างสูงถึงสูงมาก
สเปคของ Beats Powerbeats Pro
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth Class 1 รองรับการทำงานกับ Apple Ecosystem จับคู่ด้วย Apple H1
- ไดรเวอร์แบบไดนามิค มีระบบตัดเสียง (noise isolation)
- ติดตั้งไมโครโฟนแบบ beam-forming และมีเซนเซอร์จับท่าทางการขยับและพูดของผู้ใช้
- รองรับ Siri และ Voice assistant อื่นๆ ใช้งานกับสมาร์ทโฟน Android ได้ด้วย
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IPX4
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 9 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 24 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย Lightning to USB-A มีฟีเจอร์ Fast Fuel ชาร์จ 5 นาทีฟังเพลงต่อได้อีก 1.5 ชั่วโมง
- ราคา 8,900 บาท (Apple Thailand)
ข้อดีและข้อสังเกตของ Beats Powerbeats Pro | |
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. ถ้าใช้งานกับ iPhone ใช้แอพฯ Find my ตามหาหูฟังข้างที่หายได้ | 1. ใช้สายชาร์จเฉพาะอย่าง Lightning to USB-A |
2. ไมค์แบบ Beam-forming พร้อมเซนเซอร์จับการขยับของร่างกาย | 2. ราคาค่อนข้างสูงถึงสูงมาก |
3. ชาร์จเร็ว 5 นาทีฟังได้ 1.5 ชม. |
7. Klipsch T5 II (8,990 บาท)
Klipsch T5 II ดูหน้าตาแล้วถึงจะเหมือนกับหูฟังสายฟังเพลงเป็นหลัก แต่สื่อต่างประเทศหลายเจ้าที่ทดสอบหูฟังตัวนี้แล้วก็แนะนำหูฟัง True Wireless ตัวนี้ให้สายสปอร์ตเอาไว้ฟังเพลงตอนออกกำลังกายเช่นกัน เนื่องจากใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง, ให้คุณภาพเสียงที่ดีถึงดีมากยังกันน้ำและฝุ่นระดับ IP67, มี Transparency mode ให้เสียงจากสภาพแวดล้อมเข้าหูฟังได้ รองรับ Google Assistant และ Siri ทั้งคู่ และควบคุมตั้งค่าหูฟังผ่านทางแอพฯ Klipsch Connect จะโหลดผ่าน Play Store หรือ App Store ได้ทั้งหมด นอกจากนี้เคสหูฟังยังเป็นอลูมิเนียมทั้งตัว สวยงามดูดีมาก
สเปคของหูฟังตัวนี้เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 กับเสาสัญญาณ Signal-boost ทำให้เชื่อมต่อสัญญาณเสียงผ่าน Bluetooth ได้ดีขึ้น ติดตั้งไดรเวอร์แบบไดนามิคขนาด 5 มม. กับไดอะแฟรมคุณภาพสูงมาให้พร้อมไมค์แบบ beam-forming 4 ตัว ทำให้เวลาโทรคุยกับคู่สนทนาจะได้ยินเสียงชัดเจน มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนตอนใช้งาน cVc 8.0 รองรับการแตะควบคุมที่ตัวหูฟัง ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 8 ชั่วโมงและรวมกับการชาร์จในเคสจะใช้งานได้นานสุด 24 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่กลับให้หูฟังด้วย USB-C เท่านั้น ซึ่งถ้าใครชอบออกกำลังกายแต่เรื่องเสียงเพลงก็ต้องดีไม่แพ้กัน แนะนำให้ดู Klipsch T5 II ไว้เลย
จุดเด่นของ Klipsch T5 II ตัวนี้ คือมีเสาสัญญาณ Signal-boost ทำให้สัญญาณ Bluetooth ดีขึ้น, มีไมค์ Beam-forming 4 ตัว พร้อมฟีเจอร์ตัดเสียง cVc 8.0 และใช้งานรวมได้นานสุด 24 ชั่วโมง แต่ข้อสังเกตคือยังรองรับการชาร์จเฉพาะสาย USB-C เท่านั้น
สเปคของ Klipsch T5 II
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0 มีเสาสัญญาณ Signal-boost ตั้งค่าด้วยแอพฯ Klipsch Connect
- รองรับ Google Assistant และ Siri
- ไดรเวอร์แบบไดนามิคขนาด 5 มม. กับไดอะแฟรมคุณภาพสูง
- ติดตั้งไมโครโฟนแบบ beam-forming 4 ตัว มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน cVc 8.0
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IP67
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 8 ชั่วโมง รวมเวลาชาร์จในเคสแล้วจะใช้ได้สูงสุด 24 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C
- ราคา 8,990 บาท (425 Degree)
ข้อดีและข้อสังเกตของ Klipsh T5 II | |
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. มีเสาสัญญาณ Signal-boost ทำให้สัญญาณ Bluetooth ดีขึ้น | 1. รองรับการชาร์จเฉพาะสาย USB-C เท่านั้น |
2. มีไมค์ Beam-forming 4 ตัว พร้อมฟีเจอร์ตัดเสียง cVc 8.0 | |
3. ใช้งานรวมได้นานสุด 24 ชั่วโมง |
สรุปสเปค 7 หูฟัง True Wireless สายสปอร์ตน่าโดน
จะเห็นว่าหูฟัง True Wireless สำหรับสายสปอร์ตนั้น แม้จะราคาสูงก็ตาม แต่ข้อดีและฟีเจอร์เด่นก็อัพเกรดขึ้นมาให้อีกหลายอย่าง และบางรุ่นก็ให้เสียงคุณภาพดีทีเดียว ซึ่งถ้าสรุปสเปคแล้วจะเป็นดังนี้
สเปคหูฟัง True Wireless | การเชื่อมต่อและแอพฯ | ไดรเวอร์และไมโครโฟน | การกันน้ำและฝุ่น | ระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ | Voice Assistant | ราคา |
Jabra Elite Active 75t | Bluetooth 5.0 Jabra Sound+ |
ไดรเวอร์ 6 มม. มี ANC ไมค์ 4 ตัว แบบ MEMS มีตัดเสียงลมแทรกไมค์ |
IP57 | 5.5 ชม. ชาร์จในเคสใช้ได้นานสุด 24 ชม. ชาร์จแบตให้เคสด้วย USB-C หรือไร้สาย |
Google Assistant Siri |
3,990 บาท |
Skullcandy PUSH ULTRA | Bluetooth 5.0 แอพฯ Skullcandy |
ไดรเวอร์แบปรับ EQ ได้ 3 แบบ มีไมค์พร้อมใช้งาน |
IP67 | 6 ชม. ชาร์จในเคสใช้ได้นานสุด 40 ชม. ชาร์จแบตให้เคสด้วย USB-C หรือไร้สาย |
– | 4,990 บาท |
Jaybird Vista | Bluetooth 5.0 แอพฯ Jaybird |
ไดรเวอร์รองรับเสียงระดับ 16-bit ไมค์แบบ MEMS แบบ Omni-directional |
IPX7 | 6 ชม. ชาร์จในเคสใช้ได้นานสุด 16 ชม. ชาร์จไว 5 นาที ฟังเพลงได้ 1 ชม. ชาร์จแบตให้เคสด้วย USB-C |
– | 4,990 บาท |
Sony WF-SP800N |
Bluetooth 5.0 Sony Headphones Connect |
6 มม. มี Digital Noise Cancelling มีไมค์พร้อมใช้งาน |
IP55 | 9-13 ชม. ชาร์จในเคสใช้ได้นานสุด 26 ชม. ชาร์จแบตให้เคสด้วย USB-C |
Google Assistant Siri Alexa |
5,990 บาท |
Bose Sport Earbuds | Bluetooth 5.1 Bose Music app |
ไดรเวอร์มี Volume-optimized และ Active EQ มีไมค์พร้อมใช้งาน |
IPX4 | 5 ชม. ชาร์จในเคสใช้ได้นานสุด 10 ชม. ชาร์จแบตให้เคสด้วย USB-C |
– | 8,900 บาท |
Beats Powerbeats Pro | Bluetooth Class 1 รองรับการทำงานกับ Apple Ecosystem |
ไดรเวอร์ไดนามิคพร้อมระบบตัดเสียง (Noise Isolation) ไมโครโฟนแบบ beam-forming และมีเซนเซอร์จับท่าทางการขยับ |
IPX4 | 9 ชม. ชาร์จในเคสใช้ได้นานสุด 24 ชม. ชาร์จไว 5 นาที ฟังได้ 1.5 ชม. ชาร์จแบตให้เคสด้วย Lightning to USB-A |
Siri Voice assistant อื่นๆ |
8,900 บาท |
Klipsch T5 II | Bluetooth 5.0 มีเสาสัญญาณ Signal-boost แอพฯ Klipsch Connect |
ไดรเวอร์ไดนามิค 5 มม. กับไดอะแฟรมคุณภาพสูง ไมโครโฟนแบบ beam-forming 4 ตัว มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน cVc 8.0 |
IP67 | 8 ชม. ชาร์จในเคสใช้ได้นานสุด 24 ชม. ชาร์จแบตให้เคสด้วย USB-C |
Google Assistant Siri |
8,990 บาท |
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลายๆ คนที่เห็นราคาหูฟัง True Wireless สายสปอร์ตแล้วอาจจะรู้สึกว่าราคาแพงไปหารุ่นที่ราคาถูกกว่านี้มาใช้ดีกว่า แต่ส่วนตัวผู้เขียนเองอยากเชียร์ให้ลงทุนซื้อหูฟังดีๆ เอาไว้ใช้งานไปเลยจะดีที่สุด เนื่องจากหูฟังสักตัวหนึ่งจะอยู่กับเราไปอย่างน้อยก็ 2-3 ปี เป็นอย่างต่ำๆ ซึ่งถ้าฟังแล้วเสียงของหูฟังแบรนด์นั้นถูกใจ ทำให้เรามีความสุขระหว่างออกกำลังกายและช่วยให้เราโฟกัสกับการออกกำลังกายหรือเอาไปฟังระหว่างทำงานต่อเนื่องได้นานขึ้นก็จัดว่าคุ้มแน่นอน และปัจจุบันนี้ก็ยังมีระบบผ่อนชำระผ่านทางบัตรเครดิตหรือเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์เจ้าต่างๆ ได้อีก จึงไม่ต้องทุ่มเงินทั้งก้อนเพื่อซื้อของชิ้นเดียวอีกต่อไป ค่อยๆ จ่ายไปเดือนละนิดละหน่อยจนเสร็จแล้วได้ใช้หูฟังดีๆ ผู้เขียนก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
อย่างไรก็ตาม หูฟังและเสียงเพลงก็เป็นสิ่งของที่เกี่ยวกับรสนิยมของแต่ละคนเสมอ ดังนั้นก่อนจะซื้อก็แนะนำให้ลองหาหูฟังรุ่นนั้นๆ มาฟังเพลงที่เราชอบดูก่อน ว่าไดรเวอร์และบุคลิคเสียงของหูฟังรุ่นนั้นๆ ถูกจริตการฟังเพลงของเราหรือเปล่า ถ้าถูกใจก็ไม่มีปัญหาแต่ถ้าไม่ก็ไม่ต้องรีบมาก ค่อยๆ หาตัวที่ถูกใจแล้วค่อยจ่ายเงินซื้อทีเดียวเลยจะดีที่สุด และไม่ต้องเสียเงินหลายๆ รอบอีกด้วย