แนะนำซีรี่ย์ประวัติศาสตร์ Netflix ดูเพลิน แถมได้ความรู้ รับรองห้ามพลาด
ไม่ว่าจะเทศกาลไหน ฤดูใด การดูหนัง ดูซี่รี่ย์ก็ยังคงเป็นรูปแบบหนึ่งของความบันเทิง ที่ใครหลายๆ คนเลือกให้เป็นวิธีผ่อนคลายหรือพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาว่าง หรือช่วงเวลาพักผ่อนหย่อนใจ แต่คงจะดีไม่น้อยdเลย ถ้าเราได้ทั้งความสนุก เพลิดเพลิน และได้ความรู้ไปในตัว วันนี้เราจะมาพูดถึง ซีรี่ย์ประวัติศาสตร์ Netflix ที่จะมอบทั้งความสนุก เพลิดเพลินในเนื้อเรื่อง แถมยังได้ความรู้ เกร็ดประวัติศาสตร์ผ่านซี่รี่ย์ด้วย
ซีรี่ย์ที่เราจะมาแนะนำกันนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นซีรี่ย์ยอดฮิตอย่างซีรี่ย์เกาหลี และซีรี่ย์จากฝั่งยุโรป อเมริกา สำหรับซีรี่ย์สะท้อนประวัติศาสตร์จะมีอะไรกันบ้าง เรามาเริ่มกันเลย
1. Downton Abbey
เริ่มต้นกันด้วย Downton Abbey ซีรี่ย์แนวย้อนยุคจากประเทศอังกฤษ กล่าวถึงครอบครัว Crowley ที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ชื่อว่า Downton Abbey เรื่องราวเริ่มต้นในช่วงประมาณศตวรรษที่ 20 โดยหัวหน้าครอบครัวคือ Earl of Grantham กับภรรยาซึ่งเป็นลูกสาวของเศรษฐีอเมริกัน ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 3 คน ทั้งนี้ ตามกฏหมายของอังกฤษในสมัยนั้น ทั้งตำแหน่งและสมบัติต่างๆ จะต้องตกทอดให้แก่ทายาทที่เป็นผู้ชายเท่านั้น เรื่องนี้เป็นผลให้สมบัติไปตกแก่ญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว ผู้เป็นทยายความหนุ่ม ที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบชนชั้นกลาง ทั้งนี้ ภรรยาและแม่ของ Earl of Grantham ต้องพยายามทำทุกอย่าง เพื่อที่จะปกป้องสมบัติของครอบครัวเอาไว้
สำหรับซีรี่ย์เรื่องนี้ ก็ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวย้อนยุค ปกป้องสมบัติเพียงเท่านั้น แต่ข้อมูลจากทั้งจากวิกิพีเดีย และเว็บไซต์อื่นๆ นั้น ก็ได้ให้ข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วยว่า เรื่องนี้นั้นสะท้อนประวัติศาสตร์สังคมในช่วงสมัยนั้นแบบสุดๆ เพราะไม่ใช่ประวัติศาสตร์ในแง่มุมเดียว แต่ยังมีประวัติศาสตร์ที่สะท้อนผ่านซีรี่ย์อยู่หลายเรื่องเลยทีเดียว ทั้ง คฤหาสน์อย่าง Downton Abbey นั้น แม้ว่าจะเป็นคฤหาสน์ที่สมมุติขึ้นมา แต่ก็มีที่ตั้งอยู่ในเทศมณฑล Yorkshire ซึ่งแสดงให้เห็นถึงชีวิตของครอบครัวชนชั้งสูงได้เป็นอย่างดี ในส่วนของคนรับใช้นั้นก็มีบทบาทไม่แพ้กัน เราจะไก้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะมีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา รวมไปถึงสังคมของชนชั้นสูงในอังกฤษด้วย นอกจากนี้ ไทม์ไลน์ในเรื่องทั้งหมดนั้น ก็ล้วนมีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์การจมของเรือไททานิก, การเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง, การเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ ที่ระบาดในปี ค.ศ.1918, เรื่องอื้อฉาวของ Marconi, การเกิดสมัยระหว่างสงคราม และการก่อตัวของเสรีรัฐไอริช, การเลือกตั้งของสหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 1923, การสังหารหมู่ที่อมฤตสาร์ และเกิดการกบฏโรงเบียร์ เป็นต้น
2. Vikings
มาต่อกันด้วยซีรี่ย์ แรวย้อนยุคที่ย้อนไปถึงยุคของชาวไวกิ้ง สำหรับซีรี่ย์เรื่องนี้นั้นเป็นซีรี่ย์สัญชาติแคนาดา ที่นำเสนอเรื่องราวความกล้าหาญของชาวไวกิ้งอย่าง Ragnar Lothbrok ไวกิ้งหนุ่มผู้มีความทะเยอทะยานที่จะเดินทางไปยังแผ่นดินตะวันตก แผ่นดินอีกฝั่งฟากของมหาสมุทร เขามีความคิดว่า หากได้ออกไปเสาะแสวงหาดินแดนอื่นๆ เขาก็จะสามารถช่วยอาณาจักรเอาไว้ได้ แถมยังสามารถเอาชนะใจคนในเผ่าและยังช่วงชิงอำนาจมาได้อีกด้วย อำนาจที่ว่านี้ก็คือจากอังกฤษและฝรั่งเศสนั่นเอง
หลายคนคงคุ้นเคยกับ ชนเผ่าอย่าง Vikings ว่าเป็นชนเผ่าหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความแข็งแกร่ง เติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นนักรบ มักมีรูปร่างที่ใหญ่โตแข็งแรง ทั้งยังเชี่ยวชาญในด้านการเดินทะเลด้วย ชาวไวกิ้งถนัดในเรื่องของการใช้ขวานและโล่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คำว่า ไวกิ้ง นั้น แท้จริงแล้วเป็นคำที่ใช้เรียกรวมๆ ถึงกลุ่มนักรบ นักเดินทาง หรือพ่อค้า ที่เดินทางมาจากทางกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เช่น เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน เป็นต้น
ในส่วนของซีรี่ย์นั้น ก็ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอำนาจ การปกครอง การแก่งแย่งชิงดินแดนระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้น ก็สามารถติดตามในซีรี่ย์อย่าง Vikings ได้เลย
3. Kingdom
มาในส่วนของซีรี่ย์ประวัติศาสตร์ Netflix ฝั่งเอเชียกันบ้าง กับเรื่อง Kingdoms ที่เป็นซีรี่ย์แนวแอคชั่น ระทึกขวัญ ต้องเอาชีวิตรอดจากซอมบี้ยุคโบราณ ตัวเนื้อเรื่องยังสะท้อนเกร็ดประวัติศาสตร์ ให้ผู้ชมอย่างเราๆ ได้รับชมกันด้วย โดยเนื้อเรื่องนั้นกล่าวถึง อาณาจักรโชซอนที่ได้มีปัญหาขัดแย้งกับแคว้นที่อยู่โดยรอบ หนึ่งในนั้นที่ทำให้สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด ก็คือแคว้นจากทางเหนือ จากนั้นก็มีเรื่องเล่าของสิ่งที่เป็นสมุนไพรคืนชีพ เรื่องราวความวุ่นวายก็ได้เกิดขึ้นเมื่อมีใครบางคนได้นำสมุนไพรนี้ ไปใช้ในการคืนชีพคนตาย ทำให้เกิดเป็นซอมบี้ขึ้น เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดก็ได้เริ่มขึ้น
ซีรี่ย์ Kingdoms นั้น ถูกสร้างขึ้นมาจากการ์ตูนคอมมิคที่ชื่อว่า The Kingdom of the Gods เขียนโดยคิมอึนฮีและวาดภาพโดยยางคยองอิล โดยในซีซั่นแรกที่ได้เปิดตัวไปใน เดือนมกราคม 2019 นั้น สร้างความประทับใจให้กับแฟนซีรี่ย์เป็นอย่างมาก ทำให้ต้องมีภาคต่อออกมาปี 2020 และคาดว่าจะมีต่อๆ ไปด้วย
และถึงแม้ว่าตัวซีรี่ย์แม้องค์ประกอบส่วนใหญ่ จะเป็นการเขียนขึ้นจากจินตนาการ แต่ข้อมูลจากบทความจาก ศิลปวัฒนธรรม หรือ Silpa-Mag ได้กล่าวว่า ตัวเรื่อง ซึ่งอิงกับสมัยของราชวงศ์โชซอน มีองค์ประกอบส่วนหนึ่ง ที่อ้างอิงมาจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ โดยตัวเรื่องนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามครั้งใหญ่ในเกาหลีที่ตั้งรับการรุกรานของญี่ปุ่น ตั้งแต่ในราวปี ค.ศ. 1592 (พ.ศ. 2135) ไปจนถึงปี ค.ศ. 1598 (พ.ศ. 2141) นั่นเอง
4. Peaky Blinders
มาต่อกันด้วยซีรี่ย์สัญชาติอังกฤษอย่าง Peaky Blinders บอกเล่าเนื้อเรื่องในช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Tom หรือ Thomas Shelby และครอบครัว ได้แก่ Arthur พี่ชายคนโต, John น้องชาย และ Polly ผู้เป็นอา เป็นแกนนำธุรกิจเกี่ยวกับการพนันม้า รวมถึงเป็นอันธพาลที่มีอิทธิพลในเมือง ทำให้ผู้คนต่างก็เกรงกลัวและสาปส่ง Tom ที่กลับมาจากสงครามนั้น กลายเป็นคนที่ไม่กลัวความตายและมีความทะเยอทะยาน เขาอยากที่จะขยายธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการปะทะกับผู้มีอิทธิพลอื่นๆ Tom จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อข้ามผ่านทุกอย่างไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การอาศัยอำนาจของตำรวจ ฯลฯ นอกจากนี้ Tom ยังต้องเจอกับปัญหาครอบครัวที่เข้ามารุมเร้า เส้นทางอำนาจของเขามีทั้งความเจ็บปวดและการสูญเสีย รวมถึงต้องเข้าไปพัวพันกับการเมืองระดับประเทศอีกด้วย เรื่องราวดราม่าอาชญากรรมนี้จะจบลงเช่นไร สามารถติดตามได้ใน Peaky Blinders
Peaky Blinders สะท้อนประเด็นด้านประวัติศาสตร์โดยเฉพาะเรื่องราวของยุคมาเฟียในช่วง ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงหลังจากยุที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟู ประชาชนเริ่มกลับมาสู่ภาวะยากไร้อีกครั้ง การเข้ามาของเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ผู้คนเริ่มตกงาน ขาดแคลนเงินในการดำรงชีพ ปัญหาได้ลุกลามไปถึงขั้นเกิดหัวขโมยจำนวนมาก มีการปล้นจี้ตามท้องถนนมากมาย และกลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้รวมตัวกันและตั้งตัวเป็นกลุ่มอันธพาลในที่สุด นอกจากการปล้น ชิงทรัพย์ วิ่งราวต่างๆ แล้ว ก็มีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอันธพาลด้วยกันด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อช่วงชิงความเป็นที่หนึ่งและผลประโยชน์ในพื้นที่ Phillip Gooderson ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Gangs of Birmingham ได้กล่าวว่า ในช่วงนี้ได้มีอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่นำโดย John Adrian ซึ่งเป็นแก๊งที่เหี้ยมโหดมาก แต่ท้ายที่สุด Adrian ได้ถูกจับกุม ซึ่งจุดนี้เองก็เป็นการเปิดโอกาสให้ Peaky Blinders ได้มีชื่อปรากฏอยู่ในเรื่องราวของเมือง Birmingham
5. Outlander
ซีรีย์ประวัติศาสตร์ Netflix อย่าง Outlander เป็นซีรีย์จากอังกฤษที่ได้ดัดแปลงมาจาก นวนิยายแฟนตาซีชื่อเดียวกัน ผลงานของ Diana Gabaldon (Diana J. Gabaldon) กล่าวถึงเรื่องงราวดราม่าและการผจญภัยของคู่รักต่างภพ ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลก แคลร์ แรนดอลล์ พยาบาลสาวที่ได้บังเอิญไปได้ข้ามเวลาไปยังช่วงศตวรรษที่ 18 เป็นเวลาที่สกอตแลนด์กำลังวางแผนที่จะให้ ราชวงศ์สจ๊วตขึ้นเป็นกษัตริย์ ทั้งนี้ก็ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นด้วย เมื่อย้อนเวลา แคลร์ก็ได้พบกับ เจมี่ เฟรเซอร์ และมีเหตุจำเป็นที่ต้องทำให้แต่งงานกัน เรื่องราวก็ยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก เมื่อแคลร์นั้น ในโลกปัจจุบันเธอก็ได้มีสามีอยู่แล้ว รหว่างความซื่อสัตย์และความปราถนานั้น แคลร์จะสามารถเลือกสิ่งที่ต้องการได้หรือเปล่า ติดตามได้ใน Outlander
สำหรับซีรีย์เรื่องนี้นั้น นอกจากที่จะเป็นเรื่องราวดราม่าโรแมนติกแล้ว ยังสะท้อนสภาพสังคมและประวัติศาสตร์ ของสกอตแลนด์ไว้ในเรื่องอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาพบ้านเมือง ผู้คน วิวทิวทัศน์ ใครที่ชอบหนังหรือซีรีย์แนวนี้ต้องไม่พลาดเลย Outlander นั้น เริ่มต้นฉายซีซันแรกในปี 2014 และรับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้มีซีซันใหม่ออกมาเรื่อยๆ จนถึงปี 2022 นี้ก็มีมาแล้วว่า 6 ซีซัน และอาจจะมีการถ่ายทำซีซันถัดไปอีกด้วย
6. La Revolution (La Révolution)
สำหรับซีรีย์เรื่องนี้ จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมลฑลมองตาจี ประเทศฝรั่งเศ ค.ศ. 1789 ซึ่งปีเดียวกันที่มีการปฏิวัติฝรั่งเศสตามประวัติศาสตร์จริง ในส่วนของซีรีย์เรื่องนี้นั้น เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ เฮเบค หญิงสาวชาวนาเกิดเสียชีวิต ทำให้ โอก้า ชายผิวสีที่ได้รับฉายาว่ามนุษย์กินคนถูกจับกุม ทั้งนี้ก็ได้มี โจเซฟ แพทย์ที่คอยรักษาผู้คนในคุก ได้พยายามพิสูจน์ความจริงให้กับโอก้า ด้วยการสืบหาหลักฐานต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่าโอก้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ โจเซฟจึงได้ค้นพบโรคประหลาดที่มากับเลือดของฆาตกรตัวจริง โรคที่ว่านั้นก็คือ โรคประหลาดจากเลือดสีน้ำเงินที่ทำให้คนตายไปแล้วฟื้น กลายเป็นอมตะ แต่ก็จะกระหายอยากกินเลือดเนื้อคน เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ใน La Revolution
ในส่วนของการสะท้อนประวัติศาสตร์นั้น ซีรีย์เรื่องนี้ถือว่ามีการใช้สัญญะ รวมไปถึงประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่เรียกว่าจัดเต็มออกมาพอสมควรเลย เริ่มจากโรคเลือกีน้ำเงิน ที่เป็นตัวหลักของเรื่องนั้น ก็ได้สะท้อนถึง อำนาจและการสืบทอดของอำนาจ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เราจะได้เห็นการกดขี่ทางชนชั้น สงครามและความเท่าเทียม ปรากฏอยู่ในเรื่องมากมาย ใครที่ชอบแนวนี้ต้องไม่พลาดเลย
7. The Crown
ซีรีย์ดราม่าย้อนยุคสุดเข้มข้นที่อิงประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เรื่องราวในสถาบันกษัตริย์อย่างราชวงศ์วินด์เซอร์ โดยซีรีย์ The Crown จะพาให้เราย้อนไปในช่วงที่ Queen Elizabeth นั้น ยังเป็นเพียงเจ้าหญิง และต้องแต่งงานกับเจ้าชาย Philip ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องในวังแล้ว เรายังจะได้เห็น Queen Elizabeth ในบทบาทที่ต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง การครองราชย์ ตัวเรื่องยังมีการสะท้อนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การไว้อาลัยต่อการจากไปของนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล, เรื่องราวของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แห่งราชวงวินด์เซอร์ และเจ้าหญิงไดอาน่า แห่งเวลส์, ความรักที่แสนจะอื้อฉาวของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ที่นำไปสู่ความร้าวฉานกับเจ้าหญิงไดอาน่า ฯลฯ สามารถติดตามได้ใน The Crown ได้เลย
และทั้งหมดนี้ ก็คือซีรี่ย์ประวัติศาสตร์ Netflix ที่เราได้นำมาแนะนำกัน โดยซีรี่ย์แต่ละเรื่องนั้นก็จะมีเนื้อหา พล็อตเรื่อง ที่แตกต่างกันไป มีความสนุกในตัวเอง แถมยังมีโปรดักชันที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีมากเลยทีเดียว แต่ไม่เพียงความสนุกเท่านั้น ยังสะท้อนประวัติศาสตร์ออกมาในรูปแบบต่างๆ ด้วย บ้างอิงเนื้อเรื่องจากประวัติศาสตร์บางส่วน บ้างก็ดำเนินเรื่องขนานไปกับไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครที่อยากรับชมความเพลิดเพลิน พร้อมๆ ไปกับได้รับความรู้ ก็ต้องไม่พลาดซีรี่ย์ Netflix ที่ทีมงาน ได้นำมาแนะนำกันในวันนี้เลย