ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 นับว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงเน้นการทำงานรุ่นใหม่ สเปก Core i Gen 11 Tiger Lake ทั้ง Core i5, i7 ได้เทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance ปรับโหมดความแรงได้ มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 14″ ราคาดีที่สุด กับความละเอียด 2.8K 90Hz sRGB 100%โดดเด่นด้วยความบางเฉียบสุดๆ เพียง 15.9 มม. และเบามากๆ ที่น้ำหนัก 1.4 กก. เท่านั้น ตัวเครื่องเองก็ผ่านการทดสอบเรื่องความทนทานระดับ US MIL-STD 810H ที่เหนือชั้นกว่าหลายๆ รุ่น
โดดเด่นด้วยการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX และ Thunderbolt 4 ที่เป็นพอร์ตที่ดีที่สุด 2 พอร์ต โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 38,990 บาท อีกทั้งนำเสนอนวัตกรรมขอบจอบาง 4 ด้าน ให้อัตราส่วนขนาดจอต่อตัวเครื่องที่ 92% แบบ 16:10 ทัชสกรีนได้พร้อมมี ASUS Active Pen แบตเตอรี่เองก็ใช้ได้ยาวนาน พร้อมสี Pine Grey ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าตอบโจทย์การพกพาแต่รองรับการใช้งานรอบด้าน มาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home (รองรับอัพเกรดเป็น Windows 11 ทันที)
สเปกชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดอย่าง Intel Core i Gen 11 Tiger Lake ซึ่งในรีวิวตัวนี้เป็นสเปก Intel Core i7-1165G7 ที่มี AI ช่วยประมวลผลงานบางอย่าง พร้อมการ์ดจอออนชิปใหม่ Intel Iris Xe Graphics ได้หน่วยความจำแรมสูงสุดที่ 16GB ส่วนที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 512GB ได้โปรแกรม Microsoft Office Home and Student 2019 ทำให้เราใช้งานเอกสาร Word / Excel / Power Point ได้ฟรีๆ ด้วย ได้การรับประกัน 3 ปี On-site Service และประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty ในปีแรกมาให้อีกด้วย แต่
VDO Review
NBS Verdict
ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 เป็นโน๊ตบุ๊คสายบางเบาจอดีจอสวยที่สุดในขนาด 14″ จากการที่เป็นพาเนล OLED ซึ่งดีกว่าพาเนล IPS ที่ปกติใช้กันแน่นอน และลื่นไหลที่ 90Hz ได้สเปก Intel Core i Gen 11 Tiger Lake รุ่นใหม่ล่าสุด อย่าง Core i5-1135G7 / Core i7-1165G7 เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตร SuperFin ซึ่งมาพร้อมความแรงที่มากขึ้นและพลัง AI ช่วยทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ อาทิ Word, Excel, Power Point หรือ Photoshop / Premiere Pro ที่ทำให้งานที่เราทำนั้นลื่นไหลและไวกว่าเดิม
อีกทั้งมีการ์ดจอออนชิป Intel Iris Xe Graphics ที่ประสิทธิภาพใกล้เคียงการ์ดจอแยก ทำงานร่วมกับแรมขนาด 16GB LPDDR4X และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ที่ทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งเพียงพอกับการใช้งาน อีกทั้งยังได้โปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2019 มูลค่ากว่า 4,299 บาท รวมไปถึงได้ประกันเทพๆ อย่าง 3 ปี On-site Service พร้อมประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty 1 ปีแรก กับราคาเพียง 38,990 – 45,990 บาท นับว่ามีความคุ้มค่าน่าซื้อมากๆ
ได้หน้าจอขนาด 14″ ทำให้เล็กกระทัดรักพกพาสะดวก ที่สำคัญเครื่องยังเบาเพียง 1.4 กิโลกรัม และตัวเครื่องบางสุดที่ 15.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ตอบโจทย์การใช้งานนอกสถานที่อย่างออฟฟิศ ร้านกาแฟ หรือ Co Working Space อย่างแท้จริง รวมไปถึงแบตเตอรี่เองก็ใช้งานได้ยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมง ได้ความปลอดภัยด้วยการสแกนลายนิ้วมือใช้งานผ่านทาง Windows Hello ที่สะดวกและง่ายกว่าการกรอกรหัสผ่านแบบเดิมๆ รวมถึงมี Aerodynamic IceBlades พัดลมแบบคู่เพื่อการระบายความร้อนที่ดีกว่าด้วย
โดดเด่นด้วยความทนทานระดับ MIL-STD-810H ทำให้มั่นใจได้เลยว่าพกพาไปใช้งานไปไหนมาไหนเผื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นเครื่องก็ไม่พังง่ายแน่นอน อีกทั้งยังได้ Numper Pad 2.0 แป้นตัวเลขที่ทัชแพดทำให้ใช้งานสะดวก พอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันเท่าที่ตัวเครื่องจะให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A และ Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องรู้ก็คือแรมไม่สามารถอัพเกรดได้ และตัวเครื่องหนาและหนักกว่า ZenBook 14 ในหลายๆ รุ่น ซึ่งถ้ารับได้ ก็ตามไปซื้อหามาใช้งานได้เลย
จุดเด่น ASUS ZenBook 14X OLED
- เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ OLED ขนาด 14″ จัดว่าเป็น รุ่นที่จอดีจอสวยที่สุดในรุ่นที่ใกล้เคียงกัน
- น้ำหนักเบากแค่ 1.4 กิโลกรัม บางสุด 15.9 มิลลิเมตร วัสดุเครื่องคุณภาพสูงทั้งตัว
- ดีไซน์พิเศษบานพับ ErgoLift Hinge ช่วยให้ใช้งานดีขึ้น ในหลายๆ ส่วน กางได้ 180 องศา
- หน้าจอมีความละเอียดสูง 2.8K พาเนล OLED ขอบเขตสี 100% sRGB จริงๆ ลื่นไหลที่ 90Hz
- ขอบจอบางเฉียบด้วย เทคโนโลยี Nano Edge บางพิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
- ใช้งานจริงลื่นไหลด้วย Intel Core i Gen 11 Tiger Lake การ์ดจอ Iris Xe Graphics
- ได้แรมขนาด 16GB และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความเร็วสูง ความจุ 512GB
- เทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance ปรับโหมดความแรงได้สะดวก
- ใช้งานทั่วไปลื่นไหลสบายมาก เล่นเกม 3 มิติ หรือตัดต่อวีดีโอได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ
- ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ทนทานต่อการใช้งาน
- ลำโพง Harman/ Kardon ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง
- มาพร้อมสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ใช้งานผ่านทาง Windows Hello
- มาพร้อม ASUS NumberPad 2.0 ที่เปลี่ยนทัชแพดธรรมดาเป็นปุ่มกดตัวเลข LED
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง
- อแดปเตอร์เป็นมาตรฐาน USB-C แล้ว ใช้สะดวกพกพาง่าย
- มี Windows 10 Home มาให้ใช้งาน พร้อมอัพเดทเป็น Windows 11 ทันที
- ประกัน 3 ปี On-site Service พร้อมประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty 1 ปีแรก
- มีอุปกรณ์เสริมอย่างซองเคสใส่เครื่องและสายแปลง USB to LAN ให้ทันที
- ราคาคุ้มค่า ประสิทธิภาพดี เมื่อเทียบรุ่นก่อนๆ
ข้อสังเกต ASUS ZenBook 14X OLED
- หน่วยความจำแรม 16GB LPDDR4x เป็นแบบฝังบอร์ดมา ไม่รองรับการอัพเกรดเพิ่ม
- มีความหนาและหนักมากกว่า ASUS ZenBook 14 รุ่นปกติ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยังพกพาได้สะดวก
- ความร้อนชิปประมวลผลมีความร้อนระดับ 95 องศาเซลเซียส แต่ไม่มีผลต่อการใช้งาน
Specification
ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 มีอยู่ 2 สเปกในตอนนี้ คือ Intel Core i5-1135G7 ราคา 38,990 บาท และ Core i7-1165G7 ราคา 45,990 บาท เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 สถาปัตยกรรม Tiger Lake มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 11 nm SuperFin ที่แรงขึ้นมากพร้อมด้วย AI ช่วยทำงานบางอย่างในตัว เพิ่มเติมด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน การ์ดจอเป็นออนชิปรุ่นใหม่ที่ดีขึ้นมากอย่าง Intel Iris Xe Graphic ได้แรม 16GB LPDDR4X Bus 4266 MHz แบบฝังบอร์ด และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความจุ 512GB
หน้าจอขนาด 14 เป็นพาเนล OLED ความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล สัดส่วน 16:10 ให้พื้นที่มากกว่า แบบจอกระจกรองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและปากกา พร้อมได้มุมมองที่กว้างและสีสันสดใส มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว รองรับการใช้งาน VDO Call ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ไว้สแกนใบหน้าเพื่อเข้าใช้งาน ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home หรือยากจะอัพเกรดเป็น Windows 11 ก็ทำได้ทันที ที่สำคัญคือได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานฟรีๆ ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลย คุ้มค่าสุดๆ ไปเลยตรงจุดนี้
มีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ครบทั้ง Thunderbolt 4 (USB 3.2 Type-C) จำนวน 2 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อทุกๆ อย่าง นอกจากนี้ยังมี USB 3.2 Type-A และ HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Wi-Fi 6 AX ที่ดีกว่ารุ่นก่อน 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด การรับประกัน 3 ปี On-site Service รวมถึงถ้าลงทะเบียนในเว็บไซต์ ปีแรกจะมีประกันอุบัติเหตุมาให้ด้วย (Perfect Warranty) หน้าสเปกเต็มๆ ของ ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ได้ตามนี้เลย
ASUS ZenBook 14X OLED UX5401EA-KN511TS ราคา 38,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i5-1135G7 (4C/8T : 2.40 – 4.20 GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics
-
RAM : 16GB LPDDR4X 4266 MHz
-
DISPLAY: 14″ 2.8K (2880 x 1800) OLED 90Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
ASUS ZenBook 14X OLED UX5401EA-KN711TS ราคา 45,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-1165G7 (4C/8T : 2.80 – 4.70 GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics
-
RAM : 16GB LPDDR4X 4266 MHz
-
DISPLAY: 14″ 2.8K (2880 x 1800) OLED 90Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
สำหรับอุปกรณ์ที่บันเดิลมาในกล่องของ ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ก็จะประกอบไปด้วย ซองหนังอย่างดีซึ่งได้เป็นลวดลายแบบใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาในรุ่นก่อนๆ พร้อมภายในสามารถใส่ ASUS Active Pen ได้อีกด้วย แน่อนน่าก็ต้องประกอบไปด้วย ASUS Active Pen ไว้รองรับการขีดเขียนจดบันทึก โดยมีแรงกดถึง 4096 ระดับ เทียบเคียงดินสอปากกาจริงๆ ได้เลย นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นอแดปเตอร์สายแปลง USB-A to LAN RJ45 ไว้เชื่อมต่อเครือข่ายแบบต่อสายนั่นเอง ปิดท้ายด้วยอแดปเตอร์ขนาด 100W ที่จ่ายไฟได้มากกว่า
Hardware / Design
ด้วยการออกแบบตัวเครื่อง ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ที่เน้นเป็นสุดยอดโน๊ตบุ๊คที่หรูหราบางเบา จอดีที่สุดในตลาดด้วยพาเนล OLED ขนาด 14″ แต่ก็ยังมาพร้อมความคุ้มค่าสมราคาทำให้ มีความบางเพียง 15.9 มิลลิเมตร และน้ำหนักแค่ 1.4 กิโลกรัม สามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสบายๆ โดยเหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คระดับสูง หรือคนทำงานพนักงานออฟฟิศที่เน้นใช้งานทั่วไปให้ประสิทธิภาพพอตัว
ตัวเครื่องได้มาตรฐานผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810H ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีการทดสอบในหลากหลายด้าน เช่น ทดสอบการตกหล่น ทดสอบการสั่นสะเทือน ทดสอบการทำงานในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถใช้งานตัวเครื่องนี้ได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน ตอบโจทย์การพกพาไปที่นู้นที่นั่นบ่อยๆ ที่สำคัญคือ ZenBook Series ได้ภาพลักษณ์ด้วย พร้อมฟีเจอร์ที่ครบครันมากกว่าแบรนด์อื่นๆ อย่างชัดเจน
วัสดุหลักเป็นอลูมิเมียมเกรดสูงแบบ Unibody ที่ไร้รอยต่อ ผสานกับลวดลายการออกแบบอันเป็นแบบฉบับของ ZenBook ด้วยสีสันอย่างสีเทา อย่าง Pine Grey เหมือนกับ ASUS ZenBook Series ในช่วง 1 -2 ปีนี้ พร้อมรายละเอียดรอบนอกเครื่องแบบโค้งมน รวมไปถึงด้านในอย่างตัวอักษรคีย์บอร์ด มีความโดดเด่นขึ้นมาอีกขั้น กับราคาก็ไม่แพงจนเกินไป ด้วยจากการที่สเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i5 / i7 Gen 11 และ Iris Xe Graphics ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนๆ
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมให้การทำงานเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็คือ บานพับ ErgoLift Hinge นั้นเวลาที่กางออกมาใช้งานในรูปแบบโน๊ตบุ๊คจะทำให้คีย์บอร์ดทำมุม 2.5 องศากับฐานตั้ง พร้อมกางจอได้สูงสุดที่ 180 องศา ซึ่งเรียกได้ว่ากางได้มากกว่า ZenBook หลายๆ รุ่น (ไม่นับรุ่น 2-in-1) เพื่อการใช้งานขีดเขียนหรือทัชสกรีน และจากการที่มีบานพับแบบพิเศษช่วยยกตัวเครื่องสูงขึ้นจากพื้น โดยขอบตัวเครื่องด้านหลังจะมียางรองพร้อมทำหน้าที่เป็นฐานรองด้านหลัง
ซึ่งการที่ตัวเครื่องสูงขึ้นจะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คนั้นสามารถที่จะพิมพ์ได้อย่างสบาย แถมเวลาที่กางบานพับออกมานั้นมันจะทำให้ส่วนของฐานคีย์บอร์ดมีระยะห่างกับฐานตั้งซึ่งทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นในส่วนของตัวเครื่องนั้นมีการดูดลมเย็นเข้าไปช่วย พร้อมกันนั้นยังให้เสียงที่ดีขึ้นด้วย เรียกได้ว่าด้วยฟีเจอร์บานพับเดียวนี้ ทำให้การใช้งานดีขึ้นทั้ง 3 ด้านเลย ซึ่งในส่วนของฟีเจอร์จัดว่าเป็น DNA ที่มีอยู่ใน ZenBook ทุกๆ รุ่นก็ว่าได้
ฝาหลังเป็นลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ให้ผิวสัมผัสที่ดีมีความพรีเมียม พร้อมโลโก้ ASUS ตามมาตรฐานที่มีรัศมี Zen ที่เป็น DNA สำหรับขอบตัวเครื่องมีความสวยงามเรียบง่ายแต่ดูแพง ส่วนด้านในก็จะเป็นอลูมิเนียมแบบด้านที่ดูหรูหราไม่แพ้ด้านนอกทีเดียว อีกทั้งมีระบบระบายความร้อน Aerodynamic IceBlades จากพัดลมแบบพิเศษ 2 ตัว และช่องเป่าลมร้อนขนาดใหญ่ ช่วยให้เครื่องมีความสเถียรตลอดทุกๆ การทำงาน จัดการความร้อนภายในได้เป็นอย่างดี
อย่างที่บอกไปแล้วในส่วนของชุดบันเดิลที่มีทั้งในส่วนของซอฟต์เคสที่ดูดีลงตัวกับเครื่อง อีกทั้งได้ตัวแปลง USB-A to LAN RJ45 มาให้ใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนที่ต้องการหรือจำเป็นใช้งานเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแบบสาย LAN อยู่เช่นตามที่ทำงานรวมไปถึงองค์กรต่างๆ โดดเด่นด้วยอแดปเตอร์ชาร์จไฟ ที่เป็นมาตรฐาน USB-C แบบ USB PD ทำให้ในการใช้งานร่วมกับตัวเครื่องได้สะดวกสบาย เพราะเราสามารถนำอแดปเตอร์นี้ไปชาร์จมือถือรุ่นใหม่ๆ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้แทบทั้งหมด อาทิ กล้องดิจิตอล หรือ Power Bank
นับได้ว่า ASUS ZenBook 14X OLED UX5401E เป็นการมาของ Intel Notebook หน้าจอ 14″ ที่เป็นหน้าจอ OLED ที่ราคาดีมากๆ เน้นสำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คทำงานสายบางเบาที่ครบเครื่อง มีดีที่สเปกแรงลื่น ประสิทธิภาพสูง ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นก่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ยืนยันได้เลยว่า ASUS ใส่ใจในการออกแบบ รายละเอียด เพื่อการรองรับใช้งานจริงของคนรุ่นใหม่จริงๆ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะดูหนาและหนักกว่า ZenBook 14 รุ่นอื่นๆ แต่ส่วนตัวแล้วถือว่ายอมรับได้
Keyboard / Touchpad
ปุ่มคีย์บอร์ดของ ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 มีขนาดใหญ่เป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง จัดว่าอยู่ในขนาดพอตัวเมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอ 14″ ทำให้พอมีพื้นที่เว้นว่างบ้าง โดยมีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ซึ่งให้สัมผัสในการกด การเด้งของปุ่มที่ดี การตอบสนองทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วกันและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด พร้อมไฟส่องสว่างสีขาวทำให้เราใช้งานในที่แสงน้อยหรือมืดๆ ซึ่งสามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับ ส่วนปุ่ม Fn ที่เป็นทางลัดต่างๆ ติดตั้งอยู่ชุดคีย์บอร์ดแถวบนเป็นมาตรฐาน ใช้งานได้สะดวก
ตัวทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ มาก เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่องโดยรวมที่มีเล็กกระทัดรัดถือว่าจัดเต็มเรื่องของการใช้งานจริง ดีไซน์ออกมาแบบไม่มีปุ่มแยกโดยเป็นชิ้นเดียวทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา ซึ่งขอบรอบๆ มีการเล่นสีสันเป็นสีมันวาวสะดุดตา การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ที่ให้มาสามารถควบคุมจัดการได้ดี ใช้งานแบบมัลติทัชร่วมกับ Windows 10 ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีเมาส์มาต่อเพิ่มเลยก็ว่าได้
ส่วนที่เป็นไฮไลท์ก็คือ มีแผงปุ่มตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในทัชแพดครับ โดยใช้ชื่อเรียกว่า NumberPad 2.0 ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะไอคอนตรงมุมขวาบนของทัชแพดค้างไว้ 1 วินาที เส้นไฟสำหรับแบ่งพื้นที่ของแต่ละปุ่มก็จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเป็น Numpad ได้ทันที ซึ่งแม้ว่าจะมีปุ่มขึ้นมาแล้ว ผู้ใช้ก็ยังสามารถใช้ทัชแพดในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้อยู่ แต่หากมีการจิ้มลงบนพื้นที่ของแต่ละปุ่มเพื่อคลิกซ้าย ก็จะเปรียบเสมือนการกดปุ่มตัวเลขด้วย
Screen / Speaker
หน้าจอของ ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 เป็นจอกระจกที่สดใสแต่ก็ไม่ค่อยสะท้อนแสงมากนัก แบบขอบบางทั้ง 4 ด้าน ให้ความละเอียด Full HD พาเนล OLED ที่ดีกว่า IPS ในทุกๆ ด้าน ที่สำคัญคือมี Refresh Rate ที่ 90Hz ลื่นไหลกว่า 60Hz เดิมๆ พร้อมให้ภาพคมชัดด้วยอัตราการตอบสนองที่เร็วถึง 0.2 ms เมื่อประกอบกับขอบจอที่บางเฉียบ ตามสไตล์ NanoEdge Display มาพร้อมกับ TÜV Rheinland certified eye care ช่วยถนอมสายตา และป้องกันแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา นอกจากนี้ยังได้รับการตรวจสอบความถูกต้องของสีจาก PANTONE Validated
ทำให้ไม่ว่าจะการใช้งานทั่วไป การเปิดหน้าเว็บ การชมภาพยนตร์ ซีรีส์ รวมถึงการเล่นเกมดูเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น โดยสามารถกางหน้าจอได้สูงสุดที่ 180 องศา ส่งผลให้สามารถทำให้การแบ่งปันข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น ทำให้การทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมโต๊ะทำได้ดีขึ้น และอย่างที่เราได้บอกไปแล้วคือการรองรับการทัชสกรีนทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย ส่วนขอบจอด้านบนจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า รวมถึงยังมีหลอดไฟ LED สำหรับแสดงสถานะว่ากล้องทำงานอยู่ เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง
อีกทั้งแม้ขอบหน้าจอจะบางแต่ก็ยังติดตั้ง Webcam และไมโครโฟนแบบคู่มาปกติที่ขอบด้านบน ได้เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนขั้นสูง (AI Noise Cancelation) สำหรับการทำงานระยะไกลและการประชุมวีดีโอ โดยแยกเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกจากเสียงพูดซึ่งสามารถกรองและแยกเสียงรบกวนรอบข้าง ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีการที่ใส่ยางขอบจอแบบติดเนียนตามตลอดแนวขอบจอเลย ทำให้ช่วยซับแรงกระแทกได้ดีกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ที่มักจะติดตั้งมาเป็นจุดๆ ในบางตำแหน่งเท่านั้น ฉะนั้นมั่นใจเรื่องความแข็งแรงทนทานได้เลย
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 100% / AdobeRGB ที่ 99% / DCP-P3 ที่ 92% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ แบบชัดเจนมากๆ ซึ่งมีความเที่ยงตรงของสีที่สูง รองรับการทำงานที่เน้นกราฟิก หรืองานด้านการถ่ายได้ระดับมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแต่ละช่องนั้นมีความต่างกันที่ 0% – 2% เท่านั้นเอง เรียกว่ามีค่าความสว่างสม่ำเสมอตลอดทั้งหน้าจอจริงๆ เหมาะมากกว่ากับการใช้งานโปรดซสภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ส่วน Delta-E ซึ่งเป็นค่าคลาดสีอยู่ที่ 5.96 ซึ่งส่วนตัวนั่นคิดว่าคะแนนไม่ปกติ อาจจะเป็นเพราะ Spyder5Elite ไม่รองรับจอ OLED อย่างเต็มที่ก็เป็นไปได้
ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 400 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่ามีความสว่างในระดับสูง ตอบโจทย์การใช้งานนอกสถานที่ได้มากกว่า ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในที่ต่างๆ ได้แบบสบายๆ ด้วย ทำให้เมื่อคาลิเบตหน้าจอแล้วสามารถไปทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นความเที่ยงตรงได้มาตรฐานระดับมืออาชีพเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามจากค่า Delta-E ที่ไม่ปกติ ส่งผลให้มีคะแนนรวมอยูท่ี 3.5 คะแนน ถือว่ามีความแปลก มีโอกาสจะทดสอบใน Spyder รุ่นอื่นๆ อีกครั้ง
ตัวลำโพง ASUS ZenBook 14X OLED UX5401E เป็นแบบสเตอริโอเลือกใช้ลำโพง 2 ตัว 2W x 2 ระบบเสียง Harman/Kardon ให้ที่เสียงที่ดีมากทั้งความดังและคุณภาพ ผ่านตัวซอฟต์แวร์ ASUS SonicMaster ทั้งในเรื่องของเสียงเบสที่มีน้ำหนัก เสียงกลางที่สมดุล และเสียงแหลมที่ออกมาใสๆ
พร้อมทั้งความดังและกังวาลที่มากกว่า เมื่อกางบานพับจอแบบ ErgoLift ออกมา ฐานเครื่องก็จะยกขึ้นเพื่อให้เสียงจากลำโพงสะท้อนกับพื้นเพิ่มมิติของทิศทางเสียง ซึ่งตัวลำโพงจะอยู่บริเวณใต้ตัวเครื่องซ้ายและขวาลักษณะยิงลงพื้น 2 ตัว ทำให้เสียงที่ออกมามีเสียงดังฟังชัด
Connector / Thin And Weight
ในเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อ ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ถือว่ามีความครบครันตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คบางเบา ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB 3.2 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็ว โดดเด่นด้วยการติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 มาให้ 2 พอร์ต แน่นอนว่ารองรับการชาร์ไฟเข้าเครื่องทั้ง 2 พอร์ต ทั้งอแดปเตอร์อื่นๆ ที่เป็น PD หรือ Power Bank รวมถึงต่อหน้าจอแยก 4K / 8K อีกด้วย โดยโอนไฟล์ได้สูงสุด 40Gbps ตามาตรฐานที่ดีที่สุดอีกด้วย
ทางด้านพอร์ตการเชื่อมต่อหน้าจอก็จะมี HDMI มาให้ไว้เชื่อมต่อกับทีวีหรือโปรเจคเตอร์ ส่วนช่องอ่าน micro-SD Card จะอยู่ด้านขวามือตัวเครื่อง แน่นอนว่ายังมีช่องหูฟังและไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตรตามปกติ ส่วนอุปกรณ์ที่บันเดิลมาให้เป็นสายแปลง USB-A to LAN RJ45 ก็นับได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และได้ใช้งานอย่างแน่นอน สำหรับคนที่สะดวกเชื่อมต่อเครือข่ายแบบมีสาย อย่างไรก็ตามเป็นได้ต้องหาซื้อ USB-C Hub มาเพิ่มเติมอีกซักอันก็จะดีมากๆ
ขนาดของตัวนี้ถือว่ามีมิติที่ค่อนข้างเล็กและบางเบา น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1.4 กิโลกรัม และตัวอแดปเตอร์ที่ชาร์จเองก็มีขนาดเล็ก กะทัดรัดซึ่งเมื่อรวมเข้าไปด้วยกันแล้วน่าจะมีหนักราวๆ 1.7 กิโลกรัม ถือว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลยทีเดียว เพราะปกติแล้วโน๊ตบุ๊ค 14″ รุ่นก่อนๆ แค่ตัวเครื่องก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.5 กิโลกรัมขึ้นไปแน่นอน ซึ่ง ASUS ZenBook 14X OLED UX5401E ตอบสนองในเรื่องของการพกพาใส่กระเป๋าไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ แม้ว่าถ้าเทียบกับ ZenBook หน้าจอ 14″ หลายรุ่นจะมีน้ำหนักมกกว่าก็ตาม (รุ่นอื่นๆ หนักประมาณ 1 – 1.1 กิโลกรัม)
Performance / Software
ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง สเปก Core i Gen 11 เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลยครับ โดยเลือกใช้ชิป Intel Core i7-1165G7 ที่มี 4 คอร์ 8 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วที่ 2.40 – 4.70 GHz มีค่า TDP ในการปลดปล่อยความร้อนสูงสุดแค่ 12W – 28W เท่านั้น ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 10 นาโนเมตร อย่าง Tiger Lake เทคโนโลยีสุดล้ำ SuperFin อีกทั้งมี AI ช่วยทำงานในตัว
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 16GB แบบฝังบอร์ด เป็นมาตรฐาน LPDDR4x Bus 4266 MHz ตามเทคโนโลยีของ Intel Core i Gen 11 ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหนือชั้น พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe Gen 4 ความเร็วสูงที่ 512GB สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K ได้แบบไม่มีปัญหา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มพลังการสร้างสรรค์คอนเทนต์ มองหาความบันเทิง หรือการเล่นเกมเปี่ยมอรรถรส ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอที่อัพเกรดใหม่ที่เน้นการทำงาน 3 มิติที่ดียิ่งขึ้น
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำผลทดสอบเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe PCIe Gen 4 ระดับสูง แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป รวมไปถึง SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ที่รุ่นทั่วไปใช้งานกัน ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 6837 MB/s และเขียนที่ 4529 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5157 คะแนน (เทียบเคียง Gaming Notebook ยิ่งขึ้นไปอีกในแง่ของพลังการประมวลผล) ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ ส่วนถ้าเอาไปใช้งานหนักๆ เช่นงานประมวลผล ตัดต่อวีดีโอ โปรเซสไฟล์ภาพความละเอียดสูง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติ ซึ่งก็พอได้ แต่คงตอบสนองได้ไม่เท่าพวก Gaming Notebook หรือโน๊ตบุ๊คแรงๆ ที่ใช้ Core i ตระกูล H และการ์ดจอ GTX
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 1838 เน้นเรื่องในส่วนของฟีเจอร์ DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขากับ DirectX 12 ได้ดีขนาดไหน จากคะแนนก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดีของการ์ดจอออนบอร์ดแล้ว
ทดสอบเกมได้เฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 2 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว ที่ความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Core i7-1165G7 ที่ทำงานร่วมกับการ์ดจอ ออนชิปอย่าง Iris Xe Graphics ได้ดีเยี่ยม ประกอบกับใช้แรม 16GB LPDDR4x4266 MHz รวมไปถึง SSD ความเร็วสูงก็ส่งผลช่วยด้วย
สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 73 แต่ฉากตะลุมบอนกันก็เฟรมเรทลดลงไปที่ 40 (อยากลื่นกว่านี้ก็ปรับกลางๆ ได้) และในส่วนของเกม PUBG ที่ปรับ Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 39 ซึ่งต่ำสุดอยู่ที่ 26 เฟรมเรทก็ทำออกมาได้ลื่นไหลกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามในการทดสอบทั้งหมดเราใช้ Performace Mode ด้วยการกดปุ่ม Fn + F
ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 รุ่นนี้เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS (โดยเปิดเครื่องมาเจอเลยพร้อมมี Hotkey ให้กดใช้งาน) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน รวมไปถึงโหมดพัดลมและโปรไฟล์สีการแสดงผลอีกด้วย และอีกต่างๆ อีกมากมาย เช่นการเชื่อมต่อกับมือถือ
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ตัวเครื่องเป็นแบบฝังไว้ในเครื่อง ตัวแบตเตอรี่มีขนาดประมาณ 5000 mAh ทำงานต่อเนื่องยาวนานได้ราวๆ 9:30 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ ด้วยการทดสอบปรับเป็น Power Saver Mode แล้วดู Youtube ยาวๆ พร้อมกับลดแสงและเสียงเหลือ 10% ซึ่งคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน อีกทั้งมีฟังก์ชั่นชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จไฟกลับคืนให้กับแบตเตอรี่ 0 ไปจนถึง 60% ในเวลาเพียง 49 นาที ทำให้เครื่องกลับมาพร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็วด้วย
อุณหภูมิภายในของชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 ล่าสุดได้ทดสอบดูผ่านทางโปรแกรม Hardware Monitor โดยมีความร้อนสูงสุดคือ 95 – 97 องศาเซลเซียส จากการเล่นเกมและประมวลผลงานต่อเนื่อง ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 30 – 50 องศาเซลเซียสโดยประมาณ ด้วยการทดสอบให้ห้องแอร์ปรับอากาศที่ 25 – 27 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าระบบระบายความร้อนของ ASUS โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีอุณหภูมิที่ไม่ถึงกับเย็นมาก เพราะจากการที่ตัวเครื่องบางเบา อย่างไรก็ตามไม่ได้ส่งผลให้ตัวเครื่องเสียหายหรือมีปัญหาหน่วงหรือกระตุกแต่อย่างใด
ประสบการณ์ใช้งานจริงๆ ตัวเครื่องมีความรู้สึกว่าร้อนอยู่บ้างเวลาใช้งานหนักๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลมากนัก เพราะเวลาใช้งานจริงๆ เราคงไม่ได้เอาไปเล่นเกมหรือประมวลผลงานหนักๆ ต่อเนท่องยาวนานอยู่แล้ว จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คพกพาบางเบา ไม่ใช่ Gaming Notebook แต่เราเองก็สามารถเลือกปรับโหมดการทำงานได้ให้เป็น Whisper Mode เน้นตัวเครื่องให้เย็นและประหยัดแบต แต่ก็แลกมากับการที่ชิปประมวลผลทำงานไม่เต็มที่ หรือจะปรับเป็น Balance Mode ก็สามารถทำได้ กรณีเน้นใช้งานทั่วไป
Conclusion / Award
จัดว่าโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งรุ่นที่ทุกๆ คนให้ความสนใจอย่าง ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ที่ต่อยอดความสำเร็จตระกูล ZenBook ได้เป็นอย่างดีมาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าจอ OLED ที่ดีที่สุด และราคาดีที่สุดในตลาด เริ่มต้นที่ 38,990 บาทเท่านั้น พร้อมดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ ความทนทานที่ยอดเยี่ยมเหนือชั้นมากกว่า มาตรฐาน MIL-STD-810H ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีความทนทานมากกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน ช่วยมากเรื่องของการพกพา
รวมไปถึงสเปคประสิทธิภาพจากการใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 Tiger Lake โดยมี Intel Iris Xe Graphics ที่ทั้งแรงขึ้นพร้อมมี AI ช่วยทำงานส่งเสริมประสบการณ์ใช้งานโปรแกรมต่างๆ ที่สนับสนุน พร้อมทั้งยังมีเทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance ปรับโหมดความแรงได้ สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาระดับสูงของทาง ASUS ที่ทุกคนต่างในการยอมรับ กับค่าตัว ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ถือว่าเป็นที่สุดของความคุ้มค่า เหมาะกับคนที่อยากได้โน๊ตบุ๊คหน้าจอที่ดีที่สุด
ซึ่งเหนือกว่าในเรื่องฟีเจอร์ที่ครบเครื่องมากกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในกลุ่มที่ใกล้เคียงกัน ทั้ง NumberPad 2.0 และ Fingerprint ใช้งานผ่านทาง Windows Hello เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงานโดยรวม อีกทั้งด้วยการที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กเทียบและมีหน้าจอขนาด 14″ แต่มิติรูปทรง น้ำหนัก มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊ค 14″ ทั่วไป ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 1.4 กิโลกรัมและบางเพียง 15.9 มิลลิเมตรเท่านั้น พร้อมชูนวัตกรรม ErgoLift แบบใหม่กางได้ 180 ที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงหน้าจอเองยังทัชสกรีนได้ทั้งนิ้วและ ASUS Active Pen อีกด้วย
เอาเป็นว่าสมแล้วที่จะเป็นสุดยอดโน๊ตบุ๊คบางเบาได้หน้าจอ OLED ในงบ 3x,xxx – 4x,xxx บาท แต่ก็จัดเต็มทุกๆ อย่าง ที่โดดเด่นเลยก็คือ มาตรฐาน Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ตที่ดีที่สุด จากการที่สเปกเป็น Intel Core i Gen 11 Tiger Lake สเปกอื่นๆ ก็พร้อมใช้งานทั้งแรม 16GB และ SSD M.2 ความเร็วสูงความจุ 512GB พร้อมระบายความร้อนดีขึ้น ระบบเสียงดีขึ้น และโปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานฟรีๆ ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลย ส่วนข้อสังเกตอาจมีบ้างอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้อยู่ มองข้ามไปได้สบายๆ
สรุปรีวิว ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไป หรือหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือถ้าจะเล่นเกมบ้างก็สามารถทำได้ดีลื่นไหล ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา การรับประกันก็ตามมาตรฐานของ ASUS ที่อัพเกรดเป็นมาตรฐานประกันแบบ 3 ปี On-site Service ซ้อมฟรีถึงบ้าน รวมไปถึงในปีแรกแค่เราลงทะเบียนก็จะได้ประกันอุบัติเหตุในปีแรก อย่าง Perfect Warranty แล้วด้วย
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
จัดเป็นโน๊ตบุ๊คสายบางเบาพกพาสะดวก จอ OLED ที่ 2.8K ที่เหนือชั้นกว่าจอทั่วไป และมี Refresh Rate ที่ 90Hz ในราคาที่คุ้มค่ามากๆ ด้วยราคาขาย 38,990 บาท ที่มาพร้อมสเปคอย่าง Intel Core i Gen 11 รวมถึงมีแรม 16GB LPDDR4x 4266 MHz และที่เก็บข้อมูลมาตรฐานแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB อีกทั้งมีสแกนลายนิ้วมือ และฟีเจอร์อื่นๆ จัดเต็ม อย่างเทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance ปรับโหมดความแรงได้ เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาเหมาะกับการใช้งานแบบมืออาชีพ ดีไซน์ก็พรีเมียม นอกจากนั้นยังได้ Microsoft Office พร้อมใช้งานสุดๆ
Best Mobility
ปัจจัยสำคัญของด้านของพกพา ก็คือขนาดที่กะทัดรัด เบาแค่ 1.4 กิโลกรัมเท่านั้น ตอบโจทย์การใช้งานสาย Mobility ได้อย่างครบถ้วนครับ กับตัวเครื่องบางเฉียบ ทำให้เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และนอกจากความบางเบา ยังมีความแข็งแกร่งอีกด้วย จากการที่ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานระดับกองทัพ ดังนั้นจึงหายห่วงเรื่องความทนทานได้เลย ส่วนแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานกว่า 9 ชั่วโมงกว่าอีกด้วย เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องพกอแดปเตอร์ไปด้วยเลย หรือจะพกไปก็เล็กมากๆ ที่สำคัญประกันยังมีระยะถึง 3 ปี On-site + Perfect Warranty ในปีแรกด้วย
Best Design
ฟีเจอร์โดยรวมของ ASUS ZenBook 14X OLED UX5401 เป็นโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ มีความโดดเด่นในทุกๆ มิติ อีกทั้งได้เป็น OLED คุณภาพสูงให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด ภายในตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้จอขนาดเดียวกัน ให้มิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ไปจนถึงบานพับ ErgoLift 180 องศา ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานได้เป็นอย่างดี รายละเอียดรอบนอกเครื่องดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ วัสดุหลักเป็นอลูมิเมียมเกรดสูงแบบ Unibody ที่ไร้รอยต่อ ผสานกับลวดลายการออกแบบอันเป็นแบบฉบับของ ZenBook ด้วยสีสันอย่างสีเทา (Pine Grey) ที่หรูหราพรีเมียม