iPhone 13 ถือว่าเป็นการเปิดตัว iPhone ในปีที่ 15 แล้ว กับการมาของ iPhone รุ่นใหม่จำนวน 4 รุ่น ราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท ซึ่งแม้ว่าตัวเลขนี่จะไม่เป็นมงคลกับบางความเชื่อเท่าไร แต่สุดท้ายแล้ว Apple ก็เลือกใช้ชื่อนี้ ส่วนตัวผมเองก็ใช้ iPhone มาหลายรุ่นตลอดมา เรียกว่าไม่เคยใช้ Android เลยดีกว่า ก็ตั้งแต่ iPhone 4, 4s, 5, 5s, 6, 6s, 7, Xs, 11 Pro, 12 Pro Max
บทความนี้ก็อยากจะมาเล่าให้ฟัง ในส่วนของการสรุป 5 สิ่งใหม่ใน iPhone 13 เหมือนเดิมตรงไหนบ้าง เอาปากกามาวง (ฮา) ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกัน ไว้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อต่อๆ ไป เพราะจะว่าไปสมาร์ทโฟนเดี๋ยวนี้ ก็เป็นคอมพิวเตอร์หรือกล้องดีๆ ในการทำงานแล้วล่ะ จะมีอะไรบ้าง ว้าวได้แค่ไหน หรือว่าผิดหวังเรื่องอะไร ไปดูกันเลย
ราคา iPhone 13 รุ่นต่างๆ
13 mini เริ่ม 25,900 บาท กับความจุ 128GB – 512GB
- 128GB : 25,900 บาท
- 256GB : 29,900 บาท
- 512GB : 37,900 บาท
13 เริ่ม 29,900 บาท กับความจุ 128GB – 512GB
- 128GB : 29,900 บาท
- 256GB : 33,900 บาท
- 512GB : 41,900 บาท
13 Pro เริ่ม 38,900 บาท กับความจุ 128GB – 1TB
- 128GB : 38,900 บาท
- 256GB : 42,900 บาท
- 512GB : 50,900 บาท
- 1TB : 58,900 บาท
13 Pro Max เริ่ม 42,900 บาท กับความจุ 128GB – 1TB
- 128GB : 42,900 บาท
- 256GB : 46,900 บาท
- 512GB : 54,900 บาท
- 1TB : 62,900 บาท
1. เปิดตัว 4 รุ่น ได้หน้าจอ OLED 120Hz สำหรับรุ่น Pro
ทั้งหน้าจอของ iPhone 13 รุ่นใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยี Super Retina XDR จากการปรับแต่งจอ OLED มีความสว่างที่มากขึ้น สูงสุด 1,000 – 1,200 nit ใช้งานกลางแจ้งชัดเจนกว่าเดิม ได้ขอบเขตสีมืออาชีพมาตรฐาน P3 สนับสนุนการแสดงผล HDR 10 ใน Content ที่รองรับ ตอบโจทย์ในทุกๆ การใช้งานที่ดีอยู่แล้วก็ดีขึ้นไปอีก กับขนาดต่างๆ ตามรุ่น
โดย 13 mini หน้าจอ 5.4″ / 13 หน้าจอ 6.1″ / 13 Pro หน้าจอ 6.1″ / 13 Pro Max หน้าจอ 6.7″ เหมือนเดิม ซึ่งรุ่น Pro จะได้เป็นหน้าจอที่ Refresh Rate 120Hz สูงสุด ซึ่งลื่นไหลกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกันนั้นยังมีฟีเจอร์ ProMotion อย่าง Adaptive Refresh Rate ปรับ 10 – 120Hz ตามการใช้งาน เพื่อใช้พลังงานให้ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด
2.iPhone 13 ดีไซน์คล้ายเดิม มีสีใหม่ หนาและหนักขึ้นเล็กน้อย
โดยรวมมีความคล้ายกับ iPhone 13 ในทุกๆ มิติ โดยมีสีสันใหม่และเดิม อย่างรุ่น 13 mini, 13 จะมีสี สตาร์ไลท์, มิดไนท์, น้ำเงิน, ชมพู ดีไซน์ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ด้านหลังแบบกระจก และขอบตัวเครื่องอะลูมิเนียม รุ่น 13 Pro, 13 Pro Max จะมีสี กราไฟต์, ทอง, เงิน, เซียร์ร่าบลู ดีไซน์ด้านหน้าแบบ Ceramic Shield ด้านหลังแบบกระจกผิวด้าน และขอบตัวเครื่องสแตนเลสสตีล
โดยสีใหม่ที่เปิดตัวมาคือสีสตาร์ไลท์ และสีเซียร์ร่าบลู นั่นเอง โดยสีสตาร์ไลท์ของ 13 mini, 13 จะเป็นสีแนวชมพูอ่อนที่มีความสวยงาม ส่วนสีเชียร์ร่าบลูของ 13 Pro, 13 Pro Max นั้นจะเป็นสีฟ้าอ่อนที่ช่วยให้ตัวเครื่องดูมีความเรียบหรูขึ้นกว่าสีเดิมๆ เสียอีก
แต่ก็มีรายละเอียดบางจุดที่เปลี่ยนไปชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรอยบากของหน้าจอที่เล็กลงหรือจะเรียกว่าติ่งของหน้าจอที่ยื่นออกมาตั้งแต่รุ่น iPhone X จะมีขนาดที่เล็กลงแล้ว จากการที่กล้อง TrueDepth จะตื้นขึ้นไปอีก และได้ลดขนาดความกว้างลง ซึ่งมีผลทำให้การใช้งาน Face ID นั้นดียิ่งขึ้น พร้อมกับช่องลำโพงที่อาจจะย้ายขึ้นไปติดขอบบนเลย และโมดูลกล้องด้านหลังจะมีความหน้าขึ้นชัดเจนในรุ่น Pro จากการที่ใช้ชุดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น รวมไปถึงปรับช่องใส่ซิมในตำแหน่งที่ขยับลงไปเล็กน้อย
อีกทั้งตัวเครื่องเองก็จะมีความหนาและหนักกว่ารุ่นก่อนนิดหน่อย จากการที่ฮาร์ดแวร์ภายในมีการอัพเกรดชุดใหญ่ในหลายๆ ส่วน พร้อมกับใส่แบตเตอรี่ความจุใหญ่ขึ้นเพื่อให้แบตใช้งานได้ยาวนานขึ้น (แต่ตาเรามองไม่เห็นไง) แน่นอนว่าเคสของ iPhone รุ่นก่อนก็อาจจะใส่ไม่ได้แล้ว
พร้อมทั้งมีการปรับปรุงเรื่องกล้องหลังให้ใหญ่กว่าเดิมอีก เพื่อรองรับการใช้งานเซ็นเซอร์กันสั่นใส่มาให้ทุกรุ่นเลย โดยรุ่น 13 mini และ 13 เราได้เห็นการวางตำแหน่งกล้องใหม่เป็นแนวทแยงแทน แต่ยังคงมีสองกล้องกับเลนส์ไวลด์ และเลนส์อัลตร้าไวลด์เหมือนเดิม เพื่อรองรับการใช้งานที่จะเพิ่มมากขึ้น
3. ชิปประมวลผล Apple A15 Bionic แรงขึ้นดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ความจุสูงสุด 1TB
ชิปประมวลผล Apple A15 Bionic จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำที่สุด 5 นาโนเมตร พร้อม Neural Engine ซึ่งเป็นระบบ AI ช่วยในการทำงานที่ลื่นไหล จัดว่าเป็นว่าที่ชิปประมวลผลในสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในโลก (อีกแล้ว) รองรับการประมวลผลได้สูงสุด 15.8 ล้านล้านรายการต่อวินาที
ทำงานแบบ 6 Core แบ่งเป็น 2 เน้นทำงานหนัก + 4 แบบทำงานทั่วไปหรือประหยัดพลังงาน โดยรวมแล้วเร็วขึ้น 50% ส่วนชิปกราฟิก 4 – 5 Core ทำงานดีขึ้น 30% – 50% แน่นอนว่าเล่นเกมก็ดีขึ้น และ Neural Engine มี 16 Core ช่วยในการทำงาน ทุกอย่างนี้เพื่อการประมวลผลที่ซับซ้อน
รองรับการทำงานขั้นสูงที่หลากหลาย และพร้อมๆ กัน เน้นสำหรับการทำงานกับกล้องเพื่องานระดับมืออาชีพ ได้การเชื่อมต่อไร้สาย 5G ได้ดีขึ้น สเถียรขึ้นประหยัดพลังงานมากขึ้น พร้อมมีความจุ ROM ภายในสูงสุดที่ 1TB ทีเดียว สำหรับรุ่น Pro ให้เราเลือกซื้อได้ เริ่มต้นที่ 128GB / 256GB / 512GB
4. กล้องอัพเกรดสเปก รองรับมือโปร
ระบบกล้องระดับโปร ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รับแสงได้มากขึ้น แบ่งเป็น กล้องเทเลโฟโต้ / ไวด์ และอัลตร้าไวด์ สำหรับเทเลโฟโต้: รูรับแสงขนาด ƒ/2.8 / ไวด์: รูรับแสงขนาด ƒ/1.5 / อัลตร้าไวด์: รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 และมุมมองภาพ 120° มีชุดเลนส์
พร้อมมีโหมด Macro Photo กำลังขยายสูง ถ่ายใกล้ได้สุด 2 เซนติเมตรมี กันสั่นทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ถ่ายได้สวยขึ้นง่ายขึ้น และมีฟีเจอร์ Photo Style เป็นการโปรเซสไฟล์แบบเรียมไทม์ ไม่ต้องโพสโปรเซสอีกต่อไป เลือกการปรับค่าได้ทั้งหมดทันทีก่อนกดชัดเตอร์ถ่าย
ถ่ายวีดีโอแบบโปรด้วย Cinematic Mode ระดับภาพยนตร์ เลือกสุดโฟกัสเบลดชัดได้ตามใจ เวอร์วังสุดๆ ตอบโจทย์มือาชีพในเครื่องเดียว เลนส์ครบระยะในการถ่ายทำ ฟีเจอร์ PrORes VDO จะมาทีหลัง โพสโปรเซสดีกว่า อารมณ์ไฟล์ RAW ที่เป็น VDO โดย Cinematic Mode สำหรับการบันทึกวิดีโอที่มีมิติความชัดตื้น (1080p ที่ 30 fps) / บันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 4K ที่ 60 fps / บันทึก
5.แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ดีที่สุดของ iPhone เท่าที่เคยมีมา
จากดีไซน์ตัวเครื่องที่หนาและหนักขึ้นเล็กน้อยในทุกๆ รุ่น เพื่อเพิ่มความจุของแบตเตอรี่ภายใน อีกทั้งยังได้สเปกภายในที่ดีขึ้นแรงขึ้น ฟีเจอร์ที่ฉลาดมากขึ้น อาทิ Pro Motion การเชื่อมต่อ 5G แต่ก็สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ iPhone 13 ทุกๆ รุ่นสามารถใช้งานได้นานยิ่งขึ้น นับว่าเป็น iPhone รุ่นที่สามารถใช้งานได้ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา
โดย iPhone 13 เมื่อเทียบกับ iPhone 12 แต่ละรุ่นสามารถแบตเตอรี่ใช้งานได้นาน เริ่มจาก 13 แบตใช้ได้นานขึ้นสูงสุด 2.5 ชั่วโมง และ mini นานขึ้นสูงสุด 1.5 ชั่วโมง ส่วน 13 Pro Max จะนานขึ้นสูงสุดที่ 2.5 ชั่วโมง และ 13 Pro นานขึ้นสูงสุดที่ 1.5 ชั่วโมง ด้วยการทดสอบฟังเพลงสตรีมมิ่งเชื่อมต่อหูฟัง AirPods แน่นอนว่าในส่วนของการใช้งานต่างๆ ที่หลากหลายก็จะมีความแปรผันกันไป
ฟีเจอร์เดิมๆ ที่ยังมีใน iPhone 13
ที่เหมือนเดิม ก็คือ พอร์ตการใช้งานยังเป็น Lightnight ไม่เป็น USB-C อย่างที่อยากให้เป็น ซึ่งจากข่าวข่าวที่บอกว่าจะเปลี่ยนเป็น USB-C ก็ยังคงไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าช่องเสียบแบบ USB-C นั้นกันน้ำได้น้อยว่าแบบ Lightning แต่ก็ไม่แน่ว่าถ้าหาก MagSafe เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ในอนาคตเราก็อาจจะเห็น iPhone ที่ไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อเลยก็ได้ อีกยังไม่รองรับ Touch ID สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอตามที่ลือ สแกนใบหน้าผ่านแมสลำบากเหมือนเดิม / รองรับชาร์จไฟไร้สาย MacSafe ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เดิมของ iPhone 12 Pro ได้ ก็ถือว่าเป็นข้อดี
นอกจาก iPhone 13 มีอะไรอีก ?
อุปกรณ์อื่นๆ ที่เปิดตัวด้วย iPad ใหม่รุ่นที่ 9 เน้นใช้งานเพื่อการศึกษาที่ดีขึ้น ฟีเจอร์หลายๆ อย่างก็ดีขึ้น ราคาจับต้องง่าย ราคาเริ่ม 11,900 บาท / iPad mini รุ่นที่ 6 จอ 8.3″ ดีไซน์คล้าย iPad Air แต่จับถือถนัดพกพาสะดวก สเปกดีน่าซื้อน่าใช้ รองรับ 5G รองรับ Apple Pencil ราคาเริ่ม 17,900 บาท
ปิดท้ายด้วย Apple Watch รุ่นที่ 7 ดีไซน์เดิมแต่ขอบจอบางลง 40% ส่วนโค้งแสดงผลได้เรียบเนียน สว่างขึ้น 70% ทนทานมากขึ้น ชาร์จเร็วขึ้น 33% รองรับสาย Apple Watch รุ่นก่อนๆ ราคาเริ่ม $399 หรือประมาณ 13,400 ถ้าเทียบกับรุ่นที่ 6 พร้อมขายในปีนี้
สรุป iPhone 13 น่าซื้อไหม ?
สรุปง่ายๆ iPhone 13 ก็เป็นของดีตามคาดจากทาง Apple และมีหลายอย่างๆ ที่ต้องเอาปากกามาวงว่าเหมือนเดิม โดยภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก มีการขยับนิดๆ หน่อย แต่สเปกภายในและฟีเจอร์บางอย่างก็อัพเกรดไปเยอะเหมือนกัน แน่นอนใครงบการเงินไม่ใช่ปัญหาอยากเปลี่ยน iPhone ใหม่ อยากได้อะไรใหม่ๆ ที่ดีกว่าก็จัดไปตามงบ ตามความพึงพอใจได้เลย
ซึ่งจะพร้อมขาย 24 กันยายน ในกลุ่มประเทศแรก สำหรับประเทศไทยจะเป็นวันที่ 1 ตุลาคมที่เปิดจอง พร้อมขายจริง 8 ตุลาคม ซึ่งถ้าใครที่อยากลองจับเครื่องก่อนสามารถเข้าไปลองได้เลยที่ Apple Store ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Apple Store, iStudio, Studio7 หรืออื่นๆ แต่ก็ต้องหลังวันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ถึงจะพอมีเครื่องให้ลองจับกัน ส่วนใครที่อยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมก็เข้าไปดูได้ที่ apple.co.th
ปิดท้ายก่อนจะซื้อหรือไม่ซื้อดี กรณีถ้าใครใช้ iPhone 11, 12 อยู่แล้ว และก็ไม่ว้าวกับ iPhone 13 เท่าไร ก็คิดว่าเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า (เว้นแต่ซื้อแล้วสามารถเอาไปต่อยอดหารายได้ได้ต่อนะ) อย่างซื้อ Gaming Notebook หรือการ์ดจอนะครับ ฮาๆ แต่ก็น่าจะหาซื้อยากกว่า iPhone 13 ด้วยแหละ
iPhone ที่ผ่านมามีรุ่นอะไรบ้าง
ทิ้งท้ายกันหน่อยตามที่บอกไปข้างต้น ถ้าเรียงจาก Timeline ในแต่ละปีที่มี iPhone เปิดตัวจากทาง Apple ออกมาก็นับว่าเป็นเวลายาวนานกว่า 14 ปีแล้ว ซึ่งเราสามารถเรียบลำดับได้ตามนี้เลย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจ
ปี | รุ่นที่เปิดตัว |
2007 | iPhone (รุ่นแรก) |
2008 | iPhone 3G |
2009 | iPhone 3GS |
2010 | iPhone 4 |
2011 | iPhone 4s |
2012 | iPhone 5 |
2013 | iPhone 5s และ iPhone 5c |
2014 | iPhone 6 และ iPhone 6 Plus |
2015 | iPhone 6s และ iPhone 6s Plus |
2016 | iPhone 7 และ iPhone 7 Plus |
2017 | iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X |
2018 | iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max |
2019 | iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max |
2020 | iPhone 12 mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max |