Fossil แบรนด์นาฬิกาหรูเข้ามาเล่นตลาดสมาร์ทวอทช์ได้ไม่นานแต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าของเขามาแรงมาก ล่าสุดกับ Fossil Gen 5 LTE ที่ต้องบอกเลยว่านอกจากจะหรูแล้วยังอัดฟีเจอร์มาแบบจัดเต็ม มาดูริวิวกันว่าจะน่าใช้สมราคาหรือไม่
แม้ว่า Fossil จะส่งผลิตภัณฑ์ในสายสมาร์ทวอทช์ออกมาช้ากว่าแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าสมาร์ทวอทช์ของทาง Fossil นั้นมาแรงแบบจัดเต็มไม่ทิ้งนโยบายของการเป็นแบรนด์นาฬิกาหรูในระดับราคาที่สัมผัสได้จริงๆ ล่าสุดกับ Fossil Gen 5 LTE นั้นเรียกได้ว่ากระแสในโซนยุโรปมาแรงแบบสุดๆ เพราะนอกเหนือไปจากความหรูที่ทาง Fossil จัดมาให้แบบเน้นๆ แล้วนั้น สเปคของ Fossil Gen 5 LTE ก็อัดมาให้เต็มๆ แบบจุดใจในแบบที่รับรองว่าคุ้มค่ากับราคาอย่างแน่นอน ในวันนี้เราขอนำเสนอความรู้สึกการใช้งานของคุณ Inge Schwabe กันดูว่าจะเป็นเช่นไรเพราะแว่วๆ มาว่าจะมีเข้ามาให้สั่งจองในไทยเราด้วยเร็วๆ นี้(แต่ท่านใดอยากได้จริงๆ ก็สามารถสั่งตรงจากทาง Fossil มาก่อนได้เลยเช่นเดียวกัน) ว่าแล้วก็ได้ติดตามกันเลย
- สเปคของ Fossil Gen 5 LTE
- การใช้งาน Wear OS บน Fossil Gen 5 LTE
- การติดตามการออกกำลังกายและสุขภาพ
- ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่
สเปคของ Fossil Gen 5 LTE
Processor | Qualcomm Snapdragon Wear 3100 4 x – 1.2 GHz, ARM Cortex-A7 |
Memory | 1024 MB |
Display | 1.28 inch, 416 x 416 pixel 328 PPI, Full touchscreen, AMOLED, glossy: yes |
Storage | 8 GB SSD |
Connections | Audio Connections: ⊕, NFC, Brightness Sensor, Sensors: accelerometer, gyroscope, barometer, optical heart rate |
Networking | 802.11 b/g/n (b/g/n = Wi-Fi 4), Bluetooth LE, LTE Band I/1, 3, 7, VIII, 20, LTE, GPS |
Size | สูง x กว้าง x ลึก : 13 mm x 45 mm x 45 mm |
Battery | 310 mAh |
Charging | wireless charging, fast charging / Quickcharge |
Operating System | Google WearOS 2 |
Additional features | Speakers: ⊕, Keyboard: 3 buttons, 1 rotating, Fossil Gen 5 LTE, quick start manual, charging dock, documentation, warranty information, Wear OS, 24 Months Warranty, compatibility: Android 6.0+; SAR head: 1.11 W/kg, SAR body: 1.35 W/kg; water resistance: 3 ATM, waterproof |
Weight | 54 g |
อย่างที่ได้บอกไว้ในตอนต้นว่า Fossil Gen 5 LTE นั้นนอกเหนือไปจากจะเน้นเรื่องของดีไซน์ที่หรูหราแล้ว ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับสเปคแบบจัดเต็มแบบเต็มเหนี่ยวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชิปเซ็ท Qualcomm Snapdragon Wear 3100 ที่ถึงแม้ว่าจะเปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 2019 แล้วแต่ทว่าก็ยังคงถือว่ามีความแรงอยู่ในระดับที่ต้องร้องว้าวเลยทีเดียว นอกไปจากนั้นแล้ว Fossil Gen 5 LTE ยังมาพร้อมกับหน่วยความจำภายในถึง 1 GB และแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD อีก 8 GB ซึ่งทำให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ บน WearOS 2 เป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจ
ตัวเครื่องมีดีไซน์หน้าจอแบบวงกลมทำให้ยังคงความเป็นนาฬิกาอยู่ซึ่งเหมาะเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ชื่นชอบหน้าปัดสมาร์ทวอทช์ที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมมากเท่าไรนัก ตัวเรือนใช้วัสดุเป็นสแตนเลสเคลือบสีทองทำให้ดูหรูหรา(ซึ่งจะรวมไปถึงส่วนล๊อคข้อมือด้วย)
สำหรับสายรัดข้อมือนั้นที่แถมมากับชุดวางจำหน่ายจะใช้วัสดุซิลิโคนอย่างดีสามารถกันน้ำได้โดยจะมีขนาดความกว้างของสายรัดอยู่ที่ 22 mm แน่นอนว่าผู้ใช้สามารถที่จะเปลี่ยนสายเป็นแบบอื่นเช่นสายหนัง ฯลฯ ที่มีขนาดความกว้างของสายรัด 22 mm เท่ากับของเดิมมาใช้แทนได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนสายรัดข้อมือนั้นผู้ใช้สามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ อีกด้วยต่างหากงานนี้เรียกได้ว่าเอาใจวัยรุ่นที่เบื่อง่ายจริงๆ
อย่างไรก็ตามแล้วนั้นหากจะพูดถึงเรื่องขนาดของตัวเรือนหน้าปัดของ Fossil Gen 5 LTE นั้น ผู้ใช้ที่เป็นผู้หญิงอาจจะไม่ค่อยชอบมากเท่าไรนักเนื่องจากว่าหน้าจอตัวเรือนนั้นจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 45 mm (แต่ก็มีรุ่นเล็กอย่าง Fossil Gen 5E ที่หน้าจอตัวเรือนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42 mm เป็นตัวเลือกแทน) ด้วยการใช้หน้าจอตัวเรือนเป็นพาเนล AMOLED ทำให้สบายหายห่วงเมื่อใช้งานในที่ที่มีแสงจ้า พร้อมด้วยเซ็นเซอร์รับแสงซึ่งจะช่วยทำให้ Fossil Gen 5 LTE นั้นสามารถปรับแสงหน้าปัดให้เหมาะสมกับสภาพของแสงได้โดยอัตโนมัติได้ด้วย
Fossil Gen 5 LTE นั้นยังมาพร้อมกับลำโพงในตัวทำให้สามารถที่จะเล่นเพลงผ่านตัวเรือนได้เลย(ทว่าเสียงก็ไม่ได้ดีมากเท่าไรนักเพราะจุดประสงค์ของมันถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นลำโพงสำหรับเล่นเสียงแจ้งเตือนต่างๆ มากกว่า) การโต้สั่งการต่างๆ นั้นก็สามารถที่จะสำได้ผ่านการสัมผัสหน้าจอหรือจะใช้ปุ่มควบควมทางด้านข้างของตัวเครื่องที่อยู่ทางด้านขวาของตัวเรือนนาฬิกาก็ได้เช่นเดียวกันโดยปุ่มสำหรับสั่งการทางด้านขวาของตัวเครื่องนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ปุ่มด้วยกัน
อีกหนึ่งจุดเด่นของ Fossil Gen 5 LTE นั้นก็คือการรองรับการเชื่อมต่อแบบ LTE ที่จะใช้งานในรูปแบบของ eSIM และมี GPS ในตัวทำให้คุณสามารถที่จะสวมใส่ Fossil Gen 5 LTE เพื่อที่จะทำการออกกำลังกายและใช้นำทางในระยะไกลได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัวไปให้หนักอีกด้วย งานนี้นั้นเรียกได้ว่าครบถ้วนสมบูรณ์จริงฃ
หมายเหตุ – นอกไปจากนั้นแล้ว Fossil Gen 5 LTE ยังมี NFC ด้วยซึ่งมันจะรองรับการใช้งานร่วมกับ Google Pay ทว่าในเมืองไทยเรานั้นอาจจะไม่ค่อยได้เห็นประโยชน์ในเรื่องนี้นักเนื่องจากว่ายังคงหาร้านที่รับชำระเงินผ่านทางระบบดังกล่าวไม่ได้นั่นเอง
อุปกรณ์ในกล่องของ Fossil Gen 5 LTE นั้นจะมีเพียงตัว Fossil Gen 5 LTE, คู่มือการใช้งาน และที่ชาร์จเท่านั้น
การใช้งาน Wear OS บน Fossil Gen 5 LTE
Fossil Gen 5 LTE นั้นรองรับการใช้งานกับสมาร์ทโฟนทั้งที่เป็นระบบปฏิบัติการณ์ Android และ iOS โดยสำหรับผู้ใช้งาน Android นั้นการติดตั้งใช้งานและซิงค์สมาร์ทโฟนกับ Fossil Gen 5 LTE นั้นสามารถที่จะทำได้ง่ายมากๆ ผ่านทางแอปพลิเคชัน Google Wear OS ได้เลย ซึ่งข้อดีสำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการณ์ Android นั้นก็คือสามารถใช้งาน Fossil Gen 5 LTE ได้ครบทุกฟังก์ชัน
แต่สำหรับผู้ใช้ iOS นั้นคุณจำเป็นที่จะต้องมี Google Account และมีการติดตั้งแอปพลิเคชันของทาง Google เพิ่มเติมเช่น Google Assistant ไว้บนเครื่องของคุณ ทว่าหากคุณไม่ต้องการที่สมัคร Google Account แล้วล่ะก็คุณก็ยังคงสามารถใช้งาน Fossil Gen 5 LTE กับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการณ์ iOS ได้อยู่เพียงแค่ว่าจะต้องทำใจว่าคุณจะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์บางประการได้ แถมยิ่งไปกว่านั้นแล้วคุณจะยังไม่สามารถโหลดแอปพลิเคชันลงบนตัว Fossil Gen 5 LTE ผ่านทาง Play Store ของทาง Google ได้อีกดังนั้นหากคุณชอบ Fossil Gen 5 LTE จริงๆ แล้วต้องการที่จะใช้ฟีเจอร์ต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบก็ขอแนะนำให้สมัคร Google Account จะดีกว่า
มาดูกันต่อกับฟีเจอร์ต่างๆ บน Fossil Gen 5 LTE กับฟีเจอร์แรกที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของสมาร์ทวอทช์ Wear OS นั่นก็คือฟีเจอร์การเลือกรูปแบบหน้าปัดแสดงผลที่บน Fossil Gen 5 LTE นั้นสามารถที่จะโหลดมาเก็บไว้ให้เปลี่ยนแก้เบื่อได้ถึง 10 แบบ(โหลดจากสมาร์ทโฟนเข้าตัวเครื่อง โดยบน Store นั้นมีรูปแบบแสดงผลให้เลือกเยอะมากๆ) นอกไปจากนั้นแล้วคุณเองยังสามารถที่จะทำปรับแต่งรูปแบบหน้าจอของตัวเองได้อีกด้วยต่างหากโดยใช้รูปที่คุณถ่ายบนสมาร์ทโฟนแล้วซิงค์ขึ้นไปไว้บน Fossil Gen 5 LTE
นอกเหนือไปจากนั้นแล้วฟีเจอร์หลักๆ อื่นๆ ก็มาครบเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยดิจิทัล, Google Translator ฯลฯ ซึ่งจุดเด่นก็คือด้วยความที่ Fossil Gen 5 LTE รองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบ Wi-Fi และ LTE ทำให้คุณสามารถที่จะใช้งานฟีเจอร์ทั้งหมดเหล่านี้ได้โดยที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนอยู่ตลอดเวลา งานนี้ก็สามารถที่จะช่วยให้คุณวางสมาร์ทโฟนไว้อีกทีแต่ก็ยังมีชีวิตในแบบสมาร์ทได้อยู่ด้วย
จุดเด่นหลักของ Fossil Gen 5 LTE ที่ไม่พูดไม่ได้เลยนั้นก็คือการรองรับเครือข่ายแบบ LTE ในรูปแบบของการใช้งาน eSIM หรือ embedded SIM ซึ่งจะเป็นแบบเดียวกับที่สมาร์ทโฟนรุ่นท๊อปๆ ใหม่ๆ ใช้กัน ด้วยความสามารถดังกล่าวนี้เองนั้นนอกเหนือไปจากที่จะทำให้ Fossil Gen 5 LTE สามารถที่จะทำงานเสมือนเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องหนึ่งเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายแล้วคุณยังสามารถที่จะใช้งานในการโทรออกและรับสายได้ด้วยอีกต่างหาก(แต่ต้องเชื่อมต่อกับชุดหูฟัง Bluetooth นะ)
หมายเหตุ – ในเมืองไทยเรานั้นจะต้องรอดูว่าทางผู้ให้บริการเครือข่ายใดที่จะอนุญาตให้สามารถใช้เบอร์โทรร่วมกับ eSIM บน Fossil Gen 5 LTE ได้ก่อนถึงจะสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ยังคงไม่มีข้อมูลออกมาแต่อย่างใด
การติดตามการออกกำลังกายและสุขภาพ
แน่นอนว่าจะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับสมาร์ทวอทช์กับฟีเจอร์สำหรับติดตามค่าต่างๆ ทางด้านการออกกำลังกายและค่าทางสุขภาพ แน่นอนว่า Fossil Gen 5 LTE นั้นด้วยความที่เป็น Wear OS ของทาง Google ดังนั้นจึงใช้ Google Fit ในการบันทึกและคำนวณผลค่าต่างๆ ออกมา ซึ่งต้องยอมรับว่า Google Fit นั้นเก็บค่าต่างๆ และคำนวณออกมาให้เราได้เห็นกันละเอียดมากๆ
จะพึ่งแต่แอปพลิเคชันอย่างเดียวนั้นก็คงไม่ได้ Fossil Gen 5 LTE นั้นมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ PPG ที่เอาไว้ใช้ในการวันอัตรการเต้นของหัวใจโดยเฉพาะ ซึงต่างบอกว่าสามารถที่จะทำออกมาได้เป็นอย่างดีทีเดียว ทว่าจุดที่น่าเสียดายมากที่สุดเลยนั้นก็คือ Fossil Gen 5 LTE นั้นไม่ได้มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ SpO2 สำหรับวัดปริมาณอ๊อกซิเจนในกระแสเลือดซึ่งถือว่าผิดไปจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการระบาดของโรคโควิทฯ เป็นอย่างมาก(แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถวัดได้อยู่นะแต่ไม่ค่อยแม่นยำเท่าไร)
ฟีเจอร์ติดตามการนอนหลับก็ไม่พลาดที่จะมีมาด้วยเช่นเดียวกัน โดยบนตัว Fossil Gen 5 LTE เองนั้นสามารถที่จะแสดงผลเป็นกราฟในการหลับของแต่ละวันของเราออกมาให้เห็นบนตัว Fossil Gen 5 LTE ได้เลย แต่ถ้าหากต้องการดูแบบละเอียดแล้วล่ะก็สามารถที่จะเข้าไปดูบนแอป Google Fit บนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อเอาไว้ก็ได้เช่นเดียวกัน
ยังไม่หมดแค่เพียงเท่านั้น Fossil Gen 5 LTE ยังสามารถที่จะบันทึกการออกกำลังกายต่างๆ เอาไว้ได้อีกซึ่งรายละเอียดที่แสดงผลออกมานั้นค่อนข้างที่จะเยอะมากหากเทียบกับสมาร์ทวอทช์ทั่วไป
ในส่วนของ GPS บน Fossil Gen 5 LTE นั้นเรียกได้ว่าสามารถที่จะบอกตำแหน่งได้ค่อนข้างแม่นยำเป็นอย่างมาก โดยความผิดพลาดในการบอกระยะนั้นจะอยู่ที่ราวๆ 30 – 100 m ขึ้นอยู่กับว่าเป็นพื้นที่เปิดหรือปิด งานนี้ต้องบอกว่าดีจริงๆ เพราะว่าการที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัวไปออกกำลังกายไกลๆ ด้วยนั้นทำให้เราสบายขึ้นเป็นอย่างมาก
ประสิทธิภาพและอายุการใช้งานแบตเตอรี่
ประสิทธิภาพของ Fossil Gen 5 LTE นั้นหากเทียบกับสมาร์ทวอทช์ในปี 2021 ด้วยกันคงต้องบอกว่าอยู่ในระดับกลางๆ เนื่องจาก Fossil Gen 5 LTE นั้นใช้ชิปเซ็ทรุ่นเก่าของปี 2019 แล้วนั่นเอง ทว่าเพียงแค่นั้นก็ถือว่าดีเอามากๆ แล้ว
ปิดกันด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ Fossil Gen 5 LTE นั้นมากับแบตเตอรี่ 310 mAh ซึ่งสามารถใช้งานแบบหนักหน่วงได้ประมาณ 24 ชั่วโมง(แบบหนักหน่วยในที่นี้คือใช้งานข้อมูลผ่านเครือข่าย LTE และเปิด GPS เพื่อติดตามการเดินทางตลอดเวลา) งานนี้ดูเหมือนจะน้อยไปหน่อยแต่ก็ต้องไม่ลืมว่า Fossil Gen 5 LTE นั้นมาพร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม นอกไปจากนั้นแล้ว Fossil Gen 5 LTE ยังรองรับการชาร์จเร็วอีกด้วยต่างหากโดยจากการทดสอบนั้นพบว่า Fossil Gen 5 LTE จะใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0 ไป 100 ประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีด้วยกัน
สรุป
จุดเด่น
- รองรับเครือข่าย LTE
- มี GPS ในตัว
- สามารถลงแอปพลิเคชันเพิ่มเติมได้
- รองรับชาร์จเร็ว
- ใช้วัสดุขั้นเยี่ยม
- ใช้งานง่าย
จุดด้อย
- ในเมืองไทยยังคงไม่มีเครือข่ายไหนรองรับ eSIM สำหรับ Fossil Gen 5 LTE
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ค่อนข้างน้อย
- ตัว Fossil Gen 5 LTE เองยังจำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟนเพื่อทำการวิเคราะห์ผลทางด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่เต็มรูปแบบ
- ไม่สามารถวัดค่า SpO2 ได้
Fossil Gen 5 LTE นั้นถือว่าเป็นสมาร์ทสวอทช์หรูที่มาพร้อมจริงๆ แม้จะมีบางอย่างหายไปบ้างแต่ก็ได้บางอย่างกลับมาแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการให้ผู้ใช้สามารถที่จะเปลี่ยนรายรัดข้อมือได้เองนั้นส่วนใหญ่แล้วสมาร์ทวอทช์แบรนด์หรูจะไม่ค่อยปล่อยให้ผู้ใช้ทำได้เองเท่าไร ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ๆ ของ Fossil Gen 5 LTE นั้นคงหนีไม่พ้นการที่มันไม่รองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการ iOS อย่างเต็มรูปแบบซึ่งทำให้ผู้ใช้อุปกรณ์ iOS นั้นจำเป็นที่จะต้องสมัครและลงแอปพลิเคชันหลายๆ อย่างเพิ่มเติมในอุปกรณ์ของตัวเอง
สำหรับราคาจำหน่ายของ Fossil Gen 5 LTE นั้นจะอยู่ที่ $349 หรือประมาณ 11,400 บาท ซึ่งในเมืองไทยเรานั้นคงต้องลุ้นกัน 2 อย่างว่าจะเข้ามาจำหน่ายเมื่อไรและผู้ให้บริการเครือข่ายรายไหนจะเป็นผู้รองรับ eSIM บน Fossil Gen 5 LTE
ที่มา : notebookcheck