หลายคนเลือกผ่อนโน๊ตบุ๊คเพราะไม่อยากลงเงินก้อนไป แต่เราจะทำยังไงได้บ้าง? มาดูกันได้เลย
นอกจากวิธีลงเงินก้อนซื้อโน๊ตบุ๊คสักเครื่องแล้ว ก็มีวิธียอดนิยมอย่างการผ่อนโน๊ตบุ๊คที่ค่อยๆ ผ่อนจ่ายค่าเครื่องไปทีละเดือนจนหมดก็ได้ ซึ่งหลายๆ คนที่ทำงานแล้วมีเงินเดือนเข้าทุกเดือนก็เลือกใช้กัน เพราะแค่เพิ่มค่าใช้จ่ายรายเดือนขึ้นมาอีกเล็กน้อยแต่ก็ได้โน๊ตบุ๊คมาต่อยอดเอาไว้ทำงานได้ทันที ไม่ต้องเสียเงินเก็บที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาเป็นแรมปีไปในรวดเดียวจนหมด ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะใจหายเหมือนกันเมื่อเห็นยอดเงินหลักหมื่นหายไปในรวดเดียว แต่นั่นก็เป็นวิธีการที่ดีเนื่องจากเราไม่ต้องมามีพันธะผูกพันทางการเงินอะไรให้วุ่นวายอีกหลายเดือน จะขยับหรือทำอะไรก็สะดวกขึ้นมาก
นอกจากนี้เมื่อเราใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่มีอยู่ในมือ ทางธนาคารเองก็มีผลตอบแทนกลับมาให้เราในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขยายวงเงินเผื่อจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม, เงินคืน หรือแม้แต่พ้อยท์สำหรับเอาไว้ใช้เป็นส่วนลดหรือแลกสิ่งของต่างๆ ได้ เป็นแรงจูงใจเสริมที่ทำให้หลายๆ คนหันมาใช้บัตรเครดิตกันมากขึ้น แต่กลับกัน ถ้าใครเลือกจะผ่อนแบบเกินกำลังค่าใช้จ่ายของตัวเองก็อาจจะกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้เราไม่มีเงินเก็บหรือเป็นหนี้สินล้นตัวได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม หากใครบริหารการเงินส่วนบุคคลได้ดีแล้ว และโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่มันก็เก่าทำงานไม่เร็วและไม่ตอบโจทย์การทำงานของเราในปัจจุบัน ส่วนตัวผู้เขียนก็แนะนำให้ขายเครื่องเก่าซือเครื่องใหม่มาใช้งานเลยจะดีกว่า เพราะเครื่องรุ่นใหม่สเปคแรงขึ้น ก็ช่วยให้เราทำงานใหญ่ๆ เสร็จเร็วแล้วขยับไปทำงานอื่นต่อได้เร็วขึ้นอีกด้วย
จะเริ่มหาบัตรเครดิตมาผ่อนโน๊ตบุ๊คต้องทำยังไงบ้าง?
หลังจากเลือกโน๊ตบุ๊คเครื่องที่ต้องการได้แล้วและจะเริ่มผ่อนชำระโน๊ตบุ๊คเป็นงวดๆ นั้น จุดแรกก็คือ เราต้องมีบัตรเครดิตมาให้ได้เสียก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้เขียนเชื่อว่าใครหลายๆ คนอาจจะมีธนาคารในดวงใจอยู่แล้ว ว่าจะเปิดใช้บริการบัตรเครดิตกับธนาคารไหน โดยเงื่อนไขการอนุมัติบัตรเครดิตสักใบนั้น จะมีเงื่อนไขที่ทางธนาคารจะอนุมัติบัตรให้เราอยู่หลายอย่างด้วยกัน ได้แก่
- อายุของผู้ขอบัตร – เงื่อนไขแรกของการมีบัตรเครดิตสักใบหนึ่ง คืออายุของผู้ขอบัตรเครดิตจำเป็นต้องเกิน 20 ปีบริบูรณ์ ทางธนาคารถึงจะอนุมัติทำบัตรเครดิตให้เราได้ แต่นอกจากการตรงเข้าธนาคารไปขอบัตรเครดิตใหม่มาสักใบในนามของเราเองแล้ว ถ้าผู้ปกครองของใครมีบัตรเครดิตหลักอยู่แล้ว เราอาจจะอยากข้ามขั้นตอนโดยไปตกลงกันในครอบครัวแล้วเปิดบัตรเสริม ให้วงเงินพอซื้อโน๊ตบุ๊คไปเลยก็จะทำให้ทุกอย่างสะดวกยิ่งขึ้น โดยข้อดีของการมีบัตรเสริมก็คือ
- บัตรเสริมใช้เครดิตของผู้ถือบัตรหลักในการยืนยันแล้วเพื่อเปิดบัตรได้เลย แต่วงเงินของบัตรเสริมจะแปรผันตามบัตรหลัก คือถ้าบัตรหลักมีเงิน 100,000 บาท แล้วรูดซื้อสินค้าไปเหลือ 20,000 บาท บัตรเสริมก็จะปรับวงเงินเหลือ 80,000 บาทโดยอัตโนมัติ
- พ่วงวงเงินกับบัตรหลัก ในขั้นตอนนี้เจ้าของบัตรหลักสามารถตั้งวงเงินให้กับบัตรเสริมได้ว่าต้องการให้บัตรเสริมมีวงเงินเท่าไหร่โดยไม่เกินวงเงินบัตรหลัก อธิบายคือถ้าบัตรหลักมีวงเงิน 100,000 บาท ก็ตั้งวงเงินบัตรเสริม 100,000 บาทได้เช่นกัน หรือจำกัดเอาไว้สัก 30,000 บาท ให้พอซื้อโน๊ตบุ๊คก็ได้
- ค่าธรรมเนียมบัตรเสริมจะคิดกับบัตรหลักเท่านั้น ผู้ถือบัตรเสริมไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้
- คะแนนสะสมระหว่างบัตรเสริมและบัตรหลักจะเก็บแยกกัน แต่ผู้ถือบัตรเสริมสามารถโอนคะแนนกลับไปยังบัตรหลักได้ในกรณีต้องใช้แต้ม แต่บัตรหลักโอนกลับบัตรเสริมไม่ได้ ในส่วนนี้ถ้าใครต้องการเร่งแต้มในบัตรของตัวเองก็ทำบัตรเสริมเอาไว้ให้คนใกล้ตัวใช้งานแล้วโอนคะแนนกลับบัตรหลักก็ได้เช่นกัน
- ประวัติการมีบัตรเครดิต – ก่อนจะขอบัตรเครดิตสักใบนั้น ทางธนาคารจะเช็คประวัติการมีและใช้บัตรเครดิตของเราย้อนหลังด้วย ว่าเราเคยทำบัตรเครดิตมาก่อนหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มีก็จะข้ามในส่วนนี้ไป แต่ถ้ามีบัตรมาแล้วก็จะถูกเช็คประวัติว่ามีการใช้บัตรหรือเปล่าหรือทำบัตรเอาไว้หลายใบพร้อมกัน ก็มีผลกับการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตได้ด้วย
- ประวัติการจ่ายหนี้ – เพราะบัตรเครดิตคือการเปิดวงเงินเอาไว้ให้เรานำเงินไปใช้ได้ก่อนแล้วมาชำระเงินในภายหลัง ซึ่งถ้าประวัติการชำระหนี้ของเราไม่ดีหรือมีหนี้คงค้างอยู่มากเกินไปจนจ่ายหนี้ไม่ไหว ทางธนาคารก็อาจจะพิจารณาไม่ออกบัตรให้ได้เช่นกัน
- ความมั่นคงของรายได้ – ถ้าใครเป็นพนักงานประจำที่มีแหล่งที่มาของรายได้แน่นอน มีเงินเข้าเป็นรายเดือนอยู่แล้วก็จะผ่านได้ง่ายรวมทั้งเจ้าของกิจการที่มีรายได้ต่อเนื่องมากพอ ก็นำบัญชีธนาคารที่มีอายุการใช้งาน 6 เดือนขึ้นไปแล้วนำเอกสารเงินหมุนเวียนย้อนหลัง 6 เดือนไปยื่นกับทางธนาคารเพื่อตรวจสอบแล้วออกบัตรได้ ซึ่งถ้าธนาคารเห็นว่าที่มาของรายได้ของเรามั่นคงและต่อเนื่อง ก็จะอนุมัติบัตรได้ง่ายเช่นกัน
- ประวัติการฉ้อโกงต่างๆ – ไม่ว่าใครก็ไม่อยากถูกโกงเงินอย่างแน่นอน ในส่วนนี้ทางธนาคารก็จะมีการสอบประวัติการฉ้อโกงของเราย้อนหลังด้วย ซึ่งถ้ามีประวัติเสียในส่วนนี้ บัตรก็จะอนุมัติผ่านได้ยากหรือไม่ผ่านก็ได้
จะเห็นว่าเงื่อนไขเรื่องการทำบัตรเครดิตสักใบหนึ่งนั้น จะมีขั้นตอนต่างๆ หลายปัจจัยที่ทางธนาคารต้องพิจารณา ซึ่งอาจจะใช้เวลาราว 1-2 สัปดาห์ถึงรู้ผลและได้รับบัตรเครดิตมาใช้งาน แต่ข้อดีของการมีบัตรเครดิตก็คือ บัตรแต่ละใบก็จะมีสิทธิพิเศษต่างๆ ให้กับเจ้าของผู้ถือบัตรได้ใช้บริการกัน ทั้งการแลกสินค้าที่ทางบัตรร่วมรายการเอาไว้ด้วยแต้มที่มีในบัตรได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายเงิน หรือจะเอาไปแลกตั๋วเครื่องบิน, ตั๋วส่วนลดร้านค้าต่างๆ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ บางบัตรจะมีระบบการเปลี่ยนยอดใหญ่ที่รูดชำระเต็มจำนวนหรือการรูดสดที่ยอดขั้นต่ำเกินที่กำหนดให้เป็นยอดผ่อนชำระรายเดือนได้ด้วยแต่จะมีดอกเบี้ยค่าบริการอยู่เล็กน้อย ซึ่งเราสามารถจัดการในแอพฯ ของทางธนาคารได้เลย ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนแนะนำว่าให้ทำกับการซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศที่ต้องสั่งจ่ายเต็มจำนวนจะดีกว่า เพราะว่าสะดวกและไม่ต้องจ่ายเงินเป็นก้อนรวดเดียวก็ได้
นอกจากนี้ แอพฯ ขายสินค้าออนไลน์เจ้าต่างๆ เช่น Shopee เองก็มีระบบการเงินภายในตัวแอพฯ เองเช่นกัน เช่น SPayLater ที่เป็นระบบผ่อนชำระภายในแอพฯ Shopee เองที่จะคิดค่าใช้จ่ายตามวงเงินการซื้อของภายในแอพฯ แล้วนำมากำหนดเป็นวงเงินให้เราใช้จ่ายซื้อสินค้าภายในแอพฯ ได้ ซึ่งถ้าวงเงินมากพอ ก็ใช้ผ่อนซื้อโน๊ตบุ๊ครุ่นที่ต้องการได้เลยเช่นกัน ข้อดีคือการอนุมัติวงเงินด้วยระบบของแอพฯ นั้นทำได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเราสามารถจัดการตามขั้นตอนภายในแอพฯ ได้เลย ซึ่งขั้นตอนนี้ผู้เขียนเห็นว่าถ้าเราซื้อของภายในแอพฯ นี้เป็นประจำจะใช้บริการก็ดีและไม่ต้องหาบัตรเครดิตให้วุ่นวายก็ได้เช่นกัน
ซื้อออนไลน์หรือหน้าร้านแล้วผ่อนโน๊ตบุ๊คได้ไหม?
ในตอนนี้ที่สถานการณ์ COVID-19 ยังอยู่กับเราและแม้หน้าร้านบางร้านจะเปิดก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าหลายคนก็ยังอยากซื้อโน๊ตบุ๊คผ่านทางออนไลน์กัน เพราะนอกจากสะดวกและนั่งรอก็ได้ของแล้ว บางคนก็ไม่สะดวกออกไปห้างบ่อยๆ อย่างแน่นอน ซึ่งผู้เขียนเองก็มีวิธีการดูแบบง่ายๆ มาฝากกันว่าถ้าเราจะซื้อโน๊ตบุ๊คสักทีแล้วอยากผ่อน 0% ได้ จะต้องดูส่วนไหนกันบ้าง
เริ่มต้นที่หน้าเว็บไซต์ร้านค้าชั้นนำอย่าง JIB, BaNANA โน๊ตบุ๊คทุกรุ่นสามารถผ่อน 0% ได้ แต่ต้องสังเกตที่แถบด้านข้างตรงคำว่า Installment ที่รวมโลโก้บัตรเครดิตเอาไว้ ว่าบัตรไหนสามารถผ่อน 0% ได้บ้าง และได้นานกี่เดือน อย่างเช่น JIB ที่แถบด้านข้างจะเห็นว่าทางร้านจะรับบัตรเครดิตอยู่ 3 เจ้าหลักๆ คือ Kbank, KTC และกรุงศรี จะสามารถผ่อน 0% ได้ แต่รับแค่ 6 เดือนเท่านั้น พร้อมคำนวนค่างวดเอาไว้ให้เราเสร็จสรรพ ส่วนคนที่อยากผ่อนยาวขึ้นมาเป็น 10 เดือน จะเสียดอกเบี้ย โดยแยกตามบัตรว่าบัตรไหนจะเสียดอกเบี้ยเท่าไหร่บ้าง ซึ่งเมื่อกดซื้อเครื่องแล้วมาถึงหน้าชำระเงิน ระบบจะมีให้เรากดเลือกว่าเราต้องการผ่อนกี่งวด
ในส่วนของการคำนวนค่างวดแบบเสียดอกเบี้ย ถ้าใครอยากรู้ว่าเราจะต้องจ่ายมากกว่าผ่อน 0% กี่บาท สามารถนำยอดจ่ายรายเดือนคูณด้วย 10 แล้วลบกับราคาเต็มของเครื่องได้เลย เช่น ถ้าผ่อนกับบัตรธนาคารกสิกรไทย 10 เดือน ตกเดือนละ 2,590.92 x 10 = 25,909 บาท จากนั้นลบด้วย 23,990 บาท ที่เป็นราคาตั้งต้น เท่ากับเราจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารไป 1,919 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละประมาณ 191.9 บาท คิดเป็น 7.9% ของราคาตัวเครื่อง ซึ่งถ้ารับเรทนี้ได้จะผ่อนก็ดีเหมือนกัน
ด้านของ BaNANA จะเห็นว่าที่หน้าเว็บไซต์นั้นจะมีให้ผ่อน 0% ได้เลย และเมื่อคลิกเข้าไปตรงโลโก้ผ่อน 0% สีดำแล้ว หน้าเว็บไซต์จะแสดงรายละเอียดให้เห็นว่าบัตรไหนสามารถผ่อน 0% ได้บ้าง และได้กี่เดือน ซึ่งปกติแล้วจะมีให้เลือก 2 เรทด้วยกันคือ 6 หรือ 10 เดือน ซึ่งในภาพจะมีธนาคาร UOB, Citibank, Kasikorn ให้เลือก แต่ Krungsri First Choice จะถูกตัดเหลือ 0% x 3 เดือนเท่านั้น
ซึ่งการซื้อที่หน้าเว็บไซต์แม้จะสะดวกก็จริง แต่จุดที่แตกต่างกับการซื้อหน้าร้าน คือ ถ้าซื้อแล้วผ่อนโน๊ตบุ๊คมักจะมีโปรโมชั่นต่างๆ ให้ลูกค้าหลายอย่าง เช่น การกด Code เพื่อรับ Cash back เป็นเงินคืนกลับไปในวงเงินของบัตรเครดิตและบางรุ่นอาจจะมีของแถมพิเศษจากทางเซลส์และทางร้านแถมให้เพิ่มเติม และถ้าเครื่องมีตำหนิและปัญหาใดๆ ก็สามารถแจ้งเปลี่ยนเครื่องที่หน้าร้านได้ทันที ไม่ต้องรอทำเรื่องเคลมสินค้ากันให้ลำบากเลย
ส่วนการซื้อโน๊ตบุ๊คผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์นั้น จะมีร้านค้าหลากหลายแบบให้เราเลือกซื้อ ซึ่งผู้เขียนเคยกล่าวถึงไปในบทความ “ซื้อคอมที่ไหนดีในปี 2021 นี้ให้ได้โปรเด็ด เซฟตี้ปลอดภัยไม่เสี่ยงโรค นั่งรอที่บ้านก็ได้ของ” แล้ว ว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัย ได้สินค้าแน่นอนและลดโอกาสการโดนโกงเงินจากการซื้อกับคนต่อคนได้มาก เพราะว่าเป็นการทำผ่านระบบออนไลน์ที่มีระบบสนับสนุนผู้ซื้อด้วย จึงการันตีความปลอดภัยได้มากระดับหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับวิธีการเช็คว่าร้านไหนสามารถผ่อนโน๊ตบุ๊คได้บ้าง จะมีวิธีดูทั้งหมด 2 แบบ คือถ้าเราคลิกเข้าไปดูโน๊ตบุ๊ครุ่นที่เราอยากได้แล้ว ให้สังเกตตรงฝั่งขวามือว่าทางร้านเปิดให้เราผ่อนเครื่องได้หรือเปล่า โดยจะมีให้ดู 2 แบบด้วยกัน คือ ถ้าเป็น Shopee จะมีบรรทัดของตัวระบบเขียนว่า “การผ่อนชำระ” ติดอยู่ แล้วก็ขึ้นยอดชำระให้เราเห็นเสร็จสรรพ ดูธนาคารที่ผ่อนชำระและงวดผ่อนได้ละเอียดทีเดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดสรรปันส่วนเงินได้สะดวกขึ้นมาก
ด้านของ Lazada จะมีหลากหลายแบบด้วยกัน คือทั้งแบบที่มีบรรทัดการผ่อนชำระเลย, ตัวเลือกว่าต้องการซื้อแบบเงินสดหรือผ่อนชำระโดยแยกเป็นสองตัวเลือก ซึ่งบางครั้งราคาแบบผ่อนชำระได้อาจจะแพงกว่าแบบจ่ายสดเล็กน้อยและคุ้มกว่าการไปเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ถ้าเราซื้อผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์อย่าง Shopee, Lazada หรือ JD Central ให้สังเกตที่ภาพโปรโมตภาพแรกที่ผู้ขายมักจะทำเป็นอาร์ตเวิร์คแบบสินค้ารวมของแถมเอาไว้ในภาพเดียว ให้ลูกค้าเห็นว่าเมื่อสั่งซื้อโน๊ตบุ๊ครุ่นดังกล่าว นอกจากผ่อนโน๊ตบุ๊คได้แล้วยังมีของแถมใส่กล่องส่งถึงบ้านให้อีกหลายอย่างทีเดียว รวมทั้งบางร้านก็จะมีการร่วมโปรโมชั่นกับทางเว็บไซต์ด้วย เช่น โน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ถ้าซื้อในวันคู่ เช่น 9.9 นี้ จะได้เงินคืนในรูปแบบ Coins เอาไว้ใช้จ่ายในระบบของเว็บไซต์ในอนาคตได้เป็นต้น ซึ่งถ้าใครเลือกหาดีๆ ก็จะได้โน๊ตบุ๊ครุ่นที่ต้องการรวมทั้งโปรโมชั่นที่คุ้มไม่แพ้กับการไปเดินซื้อเครื่องในงาน COMMART เลยทีเดียว
จะเห็นว่าวิธีการได้โน๊ตบุ๊คด้วยการผ่อนนั้น ปัจจุบันนี้ทำได้ไม่ยากและยิ่งเว็บไซต์ขายของออนไลน์หลายที่ก็ทำระบบการเงินภายในเว็บเอาไว้ให้ใช้บริการผ่อนชำระกับทางเว็บไซต์ได้อีก ช่วยอำนวยความสะดวกให้คนที่อยากได้โน๊ตบุ๊คไว้ทำงานแต่ไม่มีบัตรเครดิตได้เป็นอย่างดีทีเดียว จัดว่าเป็นทางออกที่น่าสนใจเช่นกัน แต่ก็อย่าลืมเรื่องขอบเขตการใช้เงินของตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เงินเกินตัวจนเกิดหนี้ก้อนใหญ่แล้วกลายเป็นประวัติเสียของตัวเองในภายหลัง