Acer Nitro 5 (AN517-41) เป็น Gaming Notebook ขนาดจอ 17.3″ จัดว่าได้พื้นฐานมาจาก Acer Nitro 5 (AN515-45) ที่เป็นหน้าจอ 15.6″ แบบเต็มๆ ได้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 5000H โดยผสานความแรงร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 30 Series ตัวแรง ตอนนี้พร้อมขายตามหน้าร้านแล้ว ซึ่ง Acer Nitro 5 เป็นหนึ่งใน Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ประสิทธิภาพแรงและแพงที่สุดในรุ่น จากสเปกที่รุ่นท็อปสุด อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่จัดเต็ม ในราคาเพียง 79,990 บาทเท่านั้น (ตอนนี้มีรุ่นเดียว)
สำหรับสเปกขายจริงใช้ชิปประมวลผล Ryzen 9 5900HX ทำงานร่วมกับการ์ดจอแยก GeForce RTX 3080 Max-Q (8GB GDDR6) ค่า TGP 100W ที่แรงลื่นร้อนน้อย ในส่วนของแรมจัดเต็มมาให้เลยที่ 32GB DDR4 Bus 3200 MHz ส่วนที่เก็บข้อมูลให้มามาตรฐาน SSD M.2 NCMe PCIe ความจุ 1TB หน้าจอเป็นพาเนล IPS เกรดสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 360Hz ให้ความลื่นไหลทั้งการเล่นเกมหรือทำงาน แน่นอนว่าได้ Windows 10 Home ใช้งานได้ทันที มาพร้อมประกัน 3 ปี On-site Serive ที่ดีเยี่ยม หรือส่งศูนย์ซ่อมด่วน 3 ชั่วโมง
VDO Review
NBS Verdict
การมาของ Acer Nitro 5 หน้าจอ 17.3″ รุ่นปี 2021 หรือ Acer Nitro 5 AN517-41-R0AH ที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมที่สะใจยิ่งกว่า Refresh Rate ที่ 360Hz ซึ่งเหมาะกันคนที่ต้องการ Gaming Notebook ที่ได้สเปกใหม่ล่าสุด ชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX จับคู่มากับการ์ดจอตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 Max-Q ได้แรมขนาด 32GB พร้อม SSD มาตรฐาน M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB มีระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ใช้งานได้ทันที ให้ความแรงลื่นในการทำงานและเล่นเกม ที่จัดว่าเป็นสเปกที่แรงที่สุดทั้งแต่เคยมี Acer Nitro 5 มา
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Acer Nitro 5 ครบถ้วนเหมือนรุ่นราคาเริ่มต้น 2x,xxx บาท ทั้งไฟคีย์บอร์ด RGB แบบ 4 โซน คล้ายกับที่เคยมีมาในรุ่นพี่อย่าง Predator Series ปรับแต่งได้อิสระประมาณนึง และได้การตอบสนองของปุ่มแบบทันทีด้วยระยะการกด 1.6 มม. เสริมอารมณ์ในการเป็น Gaming Notebook ไปอีกระดับ ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบสเตอริโอ โดยมีระบบเสียง DTS:X Ultra ให้เสียงจะชัดเจนและสามารถจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 3 มิติได้ รวมไปถึงมีเทคโนโลยี Acer CoolBoost และช่องระบายความร้อนแบบจัดเต็ม 4 ช่องทาง ได้ประสิทธิภาพและระบายความร้อนที่ดีเยี่ยมกว่าหลายๆ รุ่น
การทดสอบใช้งานจริงนอกจากประสิทธิภาพในการเล่นเกมขั้นสูงจากสเปกระดับท็อปแล้ว ต้องบอกว่าแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้ประมาณ 5 ชั่วโมงทีเดียว ในส่วนนี้ก็ถือว่าทำได้ดีกว่ามาตรฐานของ Gaming Notebook หน้าจอใหญ่ แม้จะเป็นการใช้แบตเตอรี่ความจุเดิมๆ ก็ตาม อย่างไรก็ตามได้รับการอัพเกรดอินเตอร์เน็ตไร้สายเป็น Wi-Fi 6 AX ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO ที่ดีกว่า และ LAN RJ45 ก็เป็น Killer Ethernet E2600 โดยมีซอฟต์แวร์ Killer Control Center 2.0 ตรงนี้เหนือชั้นกว่ารุ่นอื่นๆ ในช่วงราคา 30,000 – 40,000 บาท แต่รุ่นนี้ราคา 79,990 บาท ฟีเจอร์ที่กล่าวทั้งหมดมานี้ มันควรจะทำได้อยู่แล้ว
เอาเป็นว่าเพื่อนๆ ท่านไหนที่สนใจ Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 17.3″ พาเนล IPS คุณภาพสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 360Hz ได้ดีไซน์ใหม่ที่แม้จะเหมือนๆ กับรุ่นจอ 15.6″ แต่ดู Gaming ลงตัว ให้ความโฉบเฉียว พร้อมแซมสีแดงให้ดูโดดเด่น แน่นอนว่าหนักกว่าที่ 2.7 กิโลกรัม เน้นให้ประสิทธิภาพความแรงที่สดใหม่เป็นหลัก แต่โดยส่วนตัวแล้วถือว่าไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไรนักจากราคาที่สูงถึง 79,990 บาท โดยใช้พื้นฐานเดิมๆ ของ Acer Nitro 5 ทั่วไป ซึ่งไม่ได้มีการอัพเกรดใดๆ หรือฟีเจอร์พิเศษใดๆ นอกจากสเปกแรงเลย และตัวการ์ดจอแยกเองก็มี TGP เพียง 100W จากการที่อดแปเตอร์จ่ายไฟได้ที่ 180W เท่านั้น จัดว่าน้อยกว่าคู่แข่งทุกรุ่นเลย
ข้อดี Acer Nitro 5
- สเปคประสิทธิภาพสูงจาก AMD Ryzen 5 5900HX + NVIDIA GeForce RTX 3080 Max-Q
- การแกะอัพเกรดทำได้ง่ายกว่าเดิม รองรับ SSD M.2 สองสล็อต และ HDD/SSD 2.5″ อีก 1 ช่อง
- ได้แรมขนาด 32GB DDR4 Bus 3200MHz และ SSD M.2 NVMe ความจุ 1TB มาเลย
- หน้าจอ 17.3″ พาเนล IPS เกรดคุณภาพสูง พร้อมรองรับ Refresh Rate ที่ 360Hz
- มีโปรแกรม Nitrosense ปรับรอบพัดลมติดตั้งมาให้ในเครื่องเลย
- จัดการความร้อนทำได้ดีเยี่ยม เย็นทั้ง CPU / GPU เมื่อใช้งานหนักๆ
- พอร์ตเชื่อมต่อครบครันทั้ง USB 3.2 Type-A, USB 3.2 Type-C, HDMI
- LAN RJ45รองรับ Killer Ethernet E2600 ช่วยลด Ping เวลาเล่นเกมออนไลน์
- Wi-Fi 6 AX มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO ดีกว่าแบบเดิมๆ
- คีย์บอร์ดมีไฟ RGB แบบ 4 โซน สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดประมาณ 5 ชั่วโมง
- มาพร้อมกับการรับประกัน 3 ปี แบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน
- ตัวเครื่องมาพร้อมกับ Windows 10 Home และซอฟต์แวร์ Acer Care Center
ข้อสังเกต Acer Nitro 5
- ราคาสูงเกินตัวเมื่อเทียบกับที่ได้โดยรวม ทั้งสเปก ฟีเจอร์ ดีไซน์
- ประสิทธิภาพโดยรวมน้อยกว่ารุ่นราคาและสเปกที่ใกล้เคียงกัน
- ไม่มีมีการอัพเกรดจาก Acer Nitro 5 รุ่นราคาเริ่มต้นเลย นอกจากขนาดหน้าจอ
- ไม่มี SD(XC/HC) Card reader มาให้ในตัว แม้ว่าตัวเครื่องจะมีพื้นที่เยอะ
- วัสดุตัวเครื่องเป็นรอยนิ้วมือง่ายเหมือนรุ่นหน้าจอ 15.6″
- อแดปเตอร์จ่ายไฟกำลังน้อยที่ 180W ต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่เป็น 280W
- ใช้ชิปประมวลผล Ryzen 9 5900HX ที่รองรับการ OC แต่ไม่มีฟีเจอร์ OC
- การ์ดจอแยกเป็น GeForce RTX 3080 Max-Q ที่มีค่า TGP เพียง 100W
- หน้าจอถ้าได้เป็นความละเอียด QHD ที่ Refresh Rate 165Hz น่าจะเหมาะสมกว่า
Specification
สเปกภายในของ Acer Nitro 5 AN517-41-R0AH มีอยู่เพียงสเปกเดียวในตอนนี้ เลือกใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX ที่ทำงานด้วยความเร็ว 3.30 GHz – 4.60 GHz แบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด การ์ดจอออนชิป Radeon 8 จับคู่มากับการ์ดจอตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 Max-Q (8GB GDDR6) ที่เยี่ยมยอดส่วนแรมได้มาตรฐานเป็นขนาด 32GB DDR4 Bus 3200MHz ทันทีแบบไม่ต้องอัพเกรดกันให้เสียเวลา มีที่เก็บข้อมูลเป็น SSD มาตรฐาน M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB (รองรับการอัพเกรด SSD M.2 / HDD 2.5″ SATA3 ภายหลัง) พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ใช้งานได้ทันที
หน้าจอขนาด 17.3″ แบบ Screen-to-Body เป็น 80% ด้วยขอบจอบางเพียง 7.02 มิลลิเมตร บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) ที่เลือกใช้ พาเนล IPS ให้มุมมองที่คมชัด สีสันสวยสดงดงามสมจริง Refresh Rate ที่ 360Hz แบบ 3ms ให้การแสดงผลได้ลื่นไหลกว่ารุ่น 144Hz โดยพื้นผิวจอเป็นแบบจอด้าน Anti-Glare ช่วยลดแสงสะท้อนเวลาเรานำโน๊ตบุ๊คไปทำงานข้างนอก เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือการเล่นเกม ดูหนังก็ทำได้ย่อมทำได้อย่างน่าประทับใจ ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบสเตอริโอ โดยมีระบบเสียง DTS:X Ultra ที่ปรับแต่งได้
มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.2 Type-A (1 พอร์ตเป็นแบบชาร์จเจอร์ด้วย), 1 x USB 3.2 Type-C, 1, HDMI 2.0, RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2600 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo การเชื่อมต่อไร้สายอย่างรองรับทั้ง Bluetooth 5.1 และอินเตอร์เน็ตไร้สายอย่าง Wi-Fi 6 AX ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดด้วยพอร์ตที่ครบครัน โดยมีซอฟต์แวร์ Killer Control Center 2.0 คอยควบคุมด้วย
Acer Nitro 5 AN517-41-R0AH ราคา 79,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
- CPU : AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T & 3.30 – 4.60GHz)
- GPU : Radeon 8 + GeForce RTX 3080 (8GB GDDR6)
- RAM : 32GB DDR4 Bus 3200MHz
- DISPLAY: 17.3″ IPS Full HD @360Hz
- STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 1TB
- OS : Windows 10 Home
- Warranty : 3 Years On-site
ในส่วนของอุปกรณ์บันเดิลติดมากับ Acer Nitro 5 AN517-41 ก็จะมีในส่วนของชุดอัพเกรดใส่ HDD / SSD 2.5 SATA 3 และ สติ๊กเกอร์ตกแต่ง Planet9 จากทาง Acer ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มชุมชนออนไลน์ของผู้ที่สนใจใน eSports ที่ช่วยให้ผู้เล่นสร้างทีมของตัวเอง ลับฝีมือการเล่นของตัวเองให้เก่งขึ้น และร่วมแข่งขันกับผู้เล่นอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเน้นไปที่ผู้เล่นทั่วไปที่อยากสัมผัสบรรยากาศการแข่งขันและพัฒนาฝีมือของตัวเอง
Hardware / Design
การดีไซน์ออกแบบ Acer Nitro 5 หน้าจอ 17.3″ หรือ Acer Nitro 5 AN517-41 มีทรงตัวเครื่องที่ถอดแบบมาจาก Acer Nitro 5 AN515-45 ที่เป็นรุ่นหน้า 15.6″ ทั้งหมด วัสดุของตัวเครื่องทั้งหมดจะเป็นพลาสติกเกรดดี สีสันเป็นดำมัน Shale Black ซึ่งให้ความสวยงามตามสไตล์ของ Acer ถ้าเทียบกับ Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ รุ่นก่อนๆ ของ Acer เอง ใช้พาเนลจอเป็น IPS เกรดสูง ขอบจอบางเพียง 7.02 มิลลิเมตร พื้นที่สัดส่วนกว่า 80% ทำให้มีขนาดเครื่องกระทัดรัด รวมไปถึงการพกพาก็สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นหน้าจอ 17.3″ ยุคก่อนๆ
ซึ่งมีน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 2.7 กิโลกรัม จัดว่าเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook ขนาดหน้านี้ โดยได้เป็นหน้าจอ Refresh Rate ที่ 360Hz / 3ms ทั้งสีสันและลื่นไหลจัดว่าดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือการเล่นเกม ดูหนังก็ทำได้ย่อมทำได้อย่างน่าประทับใจไม่มีปัญหา เรียกได้ว่าใหญ่สะใจกว่ารุ่น 15.6″ แน่นอน ให้ความสบายในการใช้งานมากกว่าแบบชัดเจน เมื่อแลกกับขนาดและน้ำหนักถือว่ายอมรับได้ ซึ่งด้วยพื้นผิววัสดุตัวเครื่องแล้วก็เป็นรอยนิ้วมือง่ายไม่ต่างกัน แต่ก็เช็ดออกได้ง่ายนะ
สีสันก็ยังคงเอกลักษณ์สีดำแซมด้วยสีแดง แต่เพิ่มความโดดเด่นและสวยงาม ที่ต้องว่า Acer Nitro 5 ฝาหลังจะมีลักษณะลวดลายผิวไม่เรียบลักษณะคล้ายโลหะบลัชปัดเสี้ยนบริเวณด้านข้างซ้ายและขวา ฝาบนจะโลโก้คำว่า Acer สีดำคมเข้มไม่ธรรมดา ผิวฝาบนพื้นผิวเป็นพลาสติกมีสีดำด้านให้สัมผัสดีมีคุณภาพสูง พร้อมขอบตัวเครื่องหลังเป็นสีแดงแทนที่สีดำเหมือนรุ่นก่อนๆ รวมไปถึงขอบตัวเครื่องบริเวณฝาพับ Acer Nitro 5 จะเป็นสีดำพร้อมกับมีคำว่า Nitro สีแดงติดตั้งเอาไว้ โดยสามารถกางหน้าจอได้กว่า 145 องศาทีเดียว
ตัวเครื่องด้านในของ Acer Nitro 5 หน้าจอ 17.3″ ได้ดีไซน์ไม่ต่างจาก Acer Nitro 5 รุ่นหน้าจอ 15.6″ ปี 2021 แต่อย่างใด โดยมีพื้นที่ว่างที่มากขึ้น โดยมีการติดตั้งปุ่ม Power ไว้มุมขวาบนสุดของชุดคีย์บอร์ด รวมไปถึงยังมีการติดตั้งปุ่ม NitroSense ไว้เหนือแป้นตัวเลขด้วย กดใช้งานได้สะดวกดี แต่ก็โดดเด่นกว่าด้วยที่คีย์บอร์ดนั้นเป็นไฟ RGB แบบแบ่งเป็น 4 โซน พร้อมกับใช้ขอบของปุ่มคีย์บอร์ดเป็นสีขาวทั้งหมดแทนที่สีแดงแบบเดิมๆ
สำหรับเทคโนโลยี Acer CoolBoost และช่องระบายความร้อนแบบจัดเต็ม 4 ช่องทาง แบ่งเป็นทางด้านหลัง 2 ช่อง และซ้ายขวาอย่างละ 1 ช่อง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ เมื่อมีการใช้งานที่หนักหน่วง CoolBoost จะเพิ่มความเร็วพัดลมมากขึ้น 10% และการระบายความร้อน CPU/GPU มากขึ้น 9% เมื่อเทียบกับโหมดอัตโนมัติ (ตามที่ Acer เคลมไว้) พร้อมจัดการระบบของเราแบบเรียลไทม์ด้วยซอฟต์แวร์ NitroSense ซึ่งครอบคลุมถึงอุณหภูมิ ความเร็วพัดลมและอีกมากมาย ในส่วนนี้ก็ถือว่ามีอัพเดทจากรุ่นเดิมเช่นกัน
นอกจากนั้นก็เป็นสติกเกอร์ต่างๆ ติดเอาไว้ไม่ว่าจะเป็น ชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX รวมไปถึงมีการบอกถึงบริการซ่อมด่วนใน 3 ชั่วโมงตามสไตล์ของ Acer อีกด้วย อีกทั้งยังมีการแจกแจงถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่น่าสนใจ อาทิเช่น Dual SSD M.2 + One HDD Slot / NitroSense + CoolBoost / Network Optimize / Dual Fan / ระบบเสียง DTS:X / HDMI Port เป็นต้น ซึ่งก็เรียกได้ว่าไม่ได้จากรุ่นราคา 2x,xxx บาททีเดียว
ฝาล่างของตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นพลาสติกเกรดดี พื้นผิวเป็นแบบสากๆ ทำให้หยิบจำแล้วไม่ลื่นไหล พร้อมยางรองตัวเครื่องขนาดใหญ่ 4 จุดด้วยกัน ซึ่งมีความมั่นคงดี ซึ่งเมื่อมองไปที่ช่องด้านล่างก็จะพบกับช่องดูดลมเย็นขนาดใหญ่หลายตำแหน่งพร้อมกับพัดลม 2 ตัว ที่กรณีที่เราเปิดเครื่องก็จะเห็นไฟสี RGB จากคีย์บอร์ดติดอยู่ด้วย ดูแล้วก็สวยงามไปอีกแบบ ซึ่งในการแกะงัดอัพเกรดก็ยังได้ไม่ยากด้วย ส่วนสติ๊กเกอร์ที่แปะเอาไว้ตรงรูน๊อตสามารถเจาะทะลุได้เลย ขอแค่แกะฝาแล้วไม่เสียหาย ประกันไม่ขาดแน่นอน
เหมาะกับเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจ Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 17.3″ ที่ราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็นได้สเปกแรงๆ อย่าง Ryzen 9 5900HX + GeForce RTX 3080 + RAM 32GB + SSD 1TB พร้อมได้ดีไซน์แบบเดิมๆ และฟีเจอร์ก็ไม่ได้อัพเกรดใดๆ โดยเน้นให้ประสิทธิภาพความแรงที่สุดล่ะก็ Acer Nitro 5 รุ่นนี้จอ 17.3″ น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดรุ่นหนึ่งทีเดียว แต่โดยส่วนตัวแล้ว Gaming Notebook ช่วงราคา 80,000 บาทนั้น น่าจะทำได้ดีไกว่านี้ในส่วนของดีไซน์หรือฟีเจอร์ต่างๆ แต่นี่ยกมาจากรุ่นปกติเฉยๆ เลย
Keyboard / Touchpad
Acer Nitro 5 AN517-41 ติดตั้งคีย์บอร์ดเหมือนรุ่นทั่วไป ไม่ได้พิเศษอะไรเพิ่มเติมเลย ซึ่งเป็นแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ พร้อมกับการตอบสนองของปุ่มแบบทันทีด้วยระยะการกด 1.6 มม. ติดตั้งปุ่มแป้นคีย์ตัวเลข (Numpad) โดยตัวปุ่มจะเป็นสีดำ มีฟอนต์เป็นสีขาว รวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง รวมถึงปุ่ม NitroSense จะมีขอบเป็นไฮไลน์เด่นออกมา นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ RGB แบบ 4 โซน ดูแล้วเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ
อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความติดมือ ดีกว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน จะเอาไปเล่นเกมหรือทำงานก็ตอบสนองได้ดีเยี่ยม ในส่วนทัชแพดนั้นจะมีขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ดีไซน์มีลักษณะขอบแดงรอบๆ ออกแบบปุ่มมาเป็นแบบชิ้นเดียวซ่อนปุ่มตามสมัยนิยมทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา มีขอบเป็นสีแดง ให้ความลื่นไหลในการใช้งานเป็นอย่างดี ซึ่งตัวทัชแพดจะวางตัวไปทางด้านซ้ายของเครื่องเล็กน้อยไม่ได้อยู่ตรงกลางหน้าจอเป๊ะๆ โดยรวมก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ปัญหาแต่อย่างใด
Screen / Speaker
Acer Nitro 5 AN517-41 มาพร้อมหน้าจอขนาด 17.3″ แบบ Screen-to-Body เป็น 80% ด้วยขอบจอบางเพียง 7.02 มิลลิเมตร บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) ที่เลือกใช้ พาเนล IPS เกรดสูง ให้มุมมองที่คมชัด สีสันสวยสดงดงามสมจริง ซึ่งเป็น Refresh Rate ที่ 360Hz แบบ 3ms ให้แสดงผลได้ลื่นไหลกว่า โดยพื้นผิวจอเป็นแบบจอด้าน Anti-Glare ช่วยลดแสงสะท้อนเวลาเรานำโน๊ตบุ๊คไปทำงานข้างนอก ซึ่งดูรวมๆ แล้วทั้งสีสันและความคมชัดจัดว่าใช้ได้เลยทีเดียว เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือการเล่นเกม ดูหนังก็ทำได้ย่อมทำได้อย่างน่าประทับใจไม่มีปัญหา พร้อมติดตั้ง Webcam และไมโครโฟนได้ปกติ
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ Acer Nitro 5 รุ่นนี้ เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS เกรดดีกว่ารุ่น 144Hz ทางทีมงานเลยถือโอกาสทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์ที่เราได้คาลิเบรทเอาไว้ ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เพราะพื้นฐานหน้าจอเกรดดีอยู่แล้ว
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 93% / Adobe RGB ที่ 73%/ DCI-P3 ที่ 73% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอ เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่าเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ซึ่งมีความเที่ยงตรงของสีไปในระดับที่ดี ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 250 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าค่อนข้างสว่างเพียงๆ ต่อทุกๆ การทำงาน ทำให้เมื่อคาลิเบตหน้าจอแล้วสามารถไปทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นความเที่ยงตรงได้โอเคเลยทีเดียว
และมีค่าความสว่างตลอดทั้งหน้าจอค่อนข้างดีมาก ส่วนค่าคลาดสี Delta-E ก็ตกเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 1.38 เท่านั้น สรุปสุดท้ายด้วยคะแนนรวมทั้งหมดก็ได้คะแนนไป 4.5 คะแนน ส่วนคะแนนรวมของทุกๆ ด้านก็ได้มากกว่าด้วย แน่นอนว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปหรือมืออาชีพก็ตอบสนองได้ดี ซึ่งเมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว เทียบกับ Acer Nitro 5 รุ่น 15.6″ สเปก AMD Ryzen 5000H ก็ถือว่าดีกว่าเล็กน้อย ให้ค่าขอบเขตสีที่เพียงพอต่อการใช้งานแบบทั่วไปหรือมืออาชีพได้แน่นอน
ส่วนทางด้านลำโพงของ Acer Nitro 5 AN517-41 นั้นจะมีด้วยกัน 2 ตัวทำงานแบบสเตอริโอ โดยจะอยู่ทางด้านล่างมุมซ้ายและขวาของเครื่องอย่างละตัว ลำโพงนั้นจะมีการวางตำแหน่งในลักษณะเฉียงลงไปยังพื้นเพื่อที่จะให้เสียงได้สัมผัสกับพื้นแล้วสะท้อนขึ้นมาก ซึ่งคุณภาพเสียงการใช้งานต่างๆ นอกจากนี้ยังได้รับบเสียงเป็น DTS:X Ultra เพิ่มประสิทธิภาพเสียงในทุกย่านเสียง พร้อมจำลองเสียง 3 มิติได้ เพื่อรองรับความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลง ก็สามารถทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งแต่ถ้าเทียบกับราคานี้ถือว่าน่าผิดหวัง
Connector / Thin And Weight
Acer Nitro 5 AN517-41 จัดว่าเป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 17.3″ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.2 Type-A (1 พอร์ตเป็นแบบชาร์จเจอร์ด้วย), 1 x USB 3.2 Type-C, 1, HDMI 2.0, RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2600 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล โดยมีซอฟต์แวร์ Killer Control Center 2.0 คอยควบคุมด้วย และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo เรียกได้ว่าพอเพียงกับการใช้งานทั่วไปอย่างแน่นอน แต่ก็น่าเสียดานที่มีพื้นที่วางขนาดนี้ราคาขนาดนี้ น่าจะใส่ SD Card Reader มาให้เลย
ส่วนพอร์ตชาร์จไฟอแดปเตอร์ถูกย้ายจากด้านข้างไปไว้ด้านหลังแล้ว การเชื่อมต่อไร้สายอย่างรองรับทั้ง Bluetooth 5.1 และอินเตอร์เน็ตไร้สายอย่าง Wi-Fi 6 AX ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดด้วยพอร์ตที่ครบครัน ทางด้านการพกพา Acer Nitro 5 ทำได้น่าพอใจในระดับที่ใกล้เคียงกับรุ่นเดิม จากการที่มีน้ำหนักตัวเครื่องที่ 2.7 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับอแดปเตอร์สายชาร์จเข้าไปด้วยแล้วก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 3.5 กิโลกรัม นับได้ว่าพอพกพาสะดวกอยู่เวลาใช้งานนอกสถานที่ได้บ้าง
Inside / Upgrade
การแกะเครื่องเพื่ออัพเกรด Acer Nitro 5 AN517นั้นสามารถทำได้ง่ายไม่ต่างจากรุ่นจอ 15.6″ โดยเฉพาะในส่วนของแรมและ SSD M.2 / HDD เพียงแค่ไขน็อตทุกตัวรอบฝาล่างออก จะมีน็อตแค่ตัวเดียวที่มีสติกเกอร์แปะอยู่ เราสามารถเจาะทะลุไปได้เลย จากนั้นใช้บัตรแข็งค่อยๆ รูดถอดออกที่ละส่วน จากด้านหลังมาด้านหน้าทีละข้าง โดยควรทำอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ แงะฝาขึ้นมาอีกที งานประกอบการจัดวางตำแหน่งคล้ายกับรุ่นเดิมมีฮีท์ไปป์ 3 เส้นพร้อมลักษณะชิ้นโลหะขนาดใหญ่พาดผ่าน CPU และ GPU โดยมีพัดลมสองแยกอิสระจากกัน ช่องระบายความร้อนแบบ 4 ทิศทาง ที่จะเห็นว่าตัวเครื่องมีพื้นที่ว่างเยอะกว่าตัว 15.6″
เห็นได้ถึงแรมสามารถติดตั้งได้ 2 แถว โดยติดตั้ง 16GB DDR4 Bus 3200MHz มาแล้ว 2 แถว โดยรองรับสูงสุดที่ 32GB ส่วน SSD M.2 NVMe Gen 3 รองรับการติดตั้ง 2 สล็อตด้วยกัน โดยใส่มาแล้ว 1 ตัวที่ 1TB พร้อมมีการติดตั้งซิลิโคนที่แผงฝาล่างให้ด้วย แน่นอนว่ารองรับการใส่ SSD M.2 เป็น 2 ตัวพร้อมๆ กัน แล้วตั้งเป็น Raid ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ ส่วนอื่นๆ ก็จะเป็นช่องใส่ HDD หรือ SSD แบบ 2.5″ ที่สามารถอัพเกรดได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการแกะฝาล่างนั้นไม่ทำให้หลุดประกัน แต่บริษัทจะไม่รับผิดชอบหากแกะเองแล้วเกิดความเสียหาย
Performance / Software
Acer Nitro 5 มาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวแรงระดับบนสุดในตลาดของ Gaming Notebook ของ AMD อย่าง Ryzen 9 5900HX เน้นนำไปใช้งานหนักๆ มากกว่า Ryzen 4000H รุ่นก่อนหน้า ด้วยสถาปัตยกรรม Zen 3 ที่พัฒนาไปในหลายๆ ส่วน โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ความเร็ว 3.30 – 4.60 GHz แบบ 8 Core/ 16 Thread ร้อนน้อยกว่า ได้ L3 Cache ที่ 16MB มีค่าอัตราการใช้พลังงานสูงสุด (TDP) ที่ 45W + จนไปถึง 54W ทีเดียว
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังรวมไปถึงเล่นเกมเป็นหลัก ก็รองรับได้อย่างสบายๆ และดีที่สุดแน่นอน เรียกได้ว่าแรงกว่าชิปประมวลผลที่เป็น AMD Ryzen 5000H อย่าง Ryzen 9 4900H แน่นอน พร้อมได้แรมขนาด 32GB DDR4 Bus 3200MHz (16GB x 2) ใช้งานได้ทันที จัดเต็มอย่างที่เราไม่จำเป็นต้องอัปเกรดภายหลังเลย
ผสานกับการ์ดจอออนบอร์ดรุ่นใหม่อย่าง AMD Radeon 8 มีความเร็วในการทำงานที่ 2100MHz มาตรฐานแรม DDR4 ขนาด 512MB ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเป็นหลัก กับหน้าจอความละเอียดสูงให้ความลื่นไหลเป็นอย่างดี ซึ่งโดดเด่นจริงๆ จะเป็นเรื่องของการประหยัดพลังงานเมื่อใช้งานเบาๆ
อีกทั้งยังมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 (8GB GDDR6) แบบ Max-Q สถาปัตยกรรม Ampere โดยเป็น RTX เจนที่ 2 พร้อมค่า TGP 100W ที่ต้องบอกว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าที่เทียบเคียงอย่าง GeForce RTX 2080 ได้ดีกว่า ซึ่งไม่ใช่แค่แรงแต่ยังร้อนน้อยกว่า เน้นใช้งานกับ Gaming Notebook ทุกประเภท ทั้งตัวหนาหนักและบางเบา รองรับ Ray Tracing ช่วยเพิ่มคุณภาพการแสดงแสงเงาให้แม้แต่เกมระดับ AAA ก็ยังสามารถปรับกราฟิกได้ถึง Ultra ให้ภาพสวยงาม ไหลลื่น รองรับ Refresh Rate 360Hz แน่นอน
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ เป็นที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าพอตัว รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก สมกับเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX แต่เอาเข้าจริงถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน ช่วงราคาเดียวกัน คือได้น้อยกว่า
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB แบบ M.2 NVMe PCIe Gen 3 ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3590MB/s และเขียนที่ 2944MB/s เรียกได้ว่าเป็นรุ่นระดับสูง ซึ่งถ้าใครอยากเพิ่มความจุของที่เก็บข้อมูลก็สามารถอัพเกรดใส่ SSD M.2 / ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5″ ได้อีกตัวด้วย
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 7074 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX มีการ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 แต่ถ้าเทียบจริงๆ จะเห็นถึงคะแนนที่สูงกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ แต่ถ้าเทียบกับรุ่นช่วงราคาใกล้ๆ กัน ก็น้อยกว่าในประมาณนึง
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 9853 ที่นับว่าเป็นเกณฑ์ที่สูงมากจริงๆ ซึ่งเน้นเรื่อง DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขากับ DirectX 12 ได้ดีขนาดไหน จัดว่าได้คะแนนที่น้อยกว่าหลายๆ รุ่นเช่นกัน
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (Frame Rate per Second = fps) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 120 FPS ขึ้นไปในทุกๆ เกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce RTX 3080 ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 32GB DDR4 Bus 3200MHz รวมไปถึง SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Resident Evil 8 / GTA V / Battlefield V / SCUM ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว แม้การทดสอบจะไม่ได้เปิด DLSS / Ray Tracing ที่ RTX Series รองรับ ก็ให้ภาพสวยงามไม่แพ้กัน แถมไม่กินทรัพยากรเครื่องเพิ่มเติมด้วย ส่งผลให้ค่าเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 90 ขึ้นไป
เกมที่กินสเปกน้อยลงมาอย่าง DOTA 2 / APEX รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 140 – 180 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แบบไร้กังวล
และด้วยพาเนล IPS ได้มาตรฐาน Refresh Rate ที่ 360Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 360Hz ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมาต่ำๆ กลางๆ หน่อย
Acer Nitro 5 มาพร้อมกับซอฟแวร์ยูทิลิตี้ NitroSense ที่ทำให้เราสามารถปรับค่าต่างๆ ในตัวเครื่องได้อย่างง่ายดายไม่ว่า CoolBoots เร่งรอบพัดลมให้สุดที่ 5,000 – 6,000 รอบทั้ง 2 ตัว ที่ใช้ระบายความร้อน CPU/GPU เมื่อต้องใช้งานหนักๆ รวมไปถึงการปรับโหมดการใช้งาน เช่นประหยัดพลังงานใช้แบตเตอรี่ก็ต้องเป็น Power Saver และสุดท้ายกับการดูสถานะการทำงานของตัวเครื่องก็มีทั้ง อุณหภูมิ รอบพัดลม กันแบบเวลาจริงเลยล่ะ เรียกได้ว่า Acer ใส่ใจใน NitroSense เพื่อให้เราใช้งานได้งานและใช้งานได้จริงทีเดียว
และจากการที่ Acer Nitro 5 รุ่นนี้มาพร้อมคีย์บอร์ดไฟ RGB แบบ 4 โซน ซึ่งดูแล้วเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ แน่นอนว่าเราสามารถเลือกที่จะปรับแต่งได้ด้วย ผ่านทาง NitroSense ได้เลย โดยเราสามารถเลือกได้ทั้งสีไฟสีเดียว หรือแบ่งแยกตามโซนแบบ Static รวมไปถึงจะเลือกใช้งาน Preset ต่างๆ แบบ Dynamic ที่มีอยู่แล้ว ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เรียกได้ว่าให้อารมณ์คล้ายกับ Predator รุ่นต่างๆ ที่เป็น Gaming Notebook รุ่นพี่เลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง Acer Care Center (เปิดเครื่องมาเจอเลย) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน ที่สำคัญถ้าใครต้องการ Backup หรือ Recovery ข้อมูลภายในก็จัดการได้เลย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน Acer Nitro 5 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับต่ำ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราว 5:00 ชั่วโมงเท่านั้นโดยประมาณ ดังนั้นเวลาใช้งานจริงโดยปรับความสว่างหน้าจอและเสียงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้แบตเตอรี่มีระยะเวลาใช้งานยาวนานน้อยหรือมากกว่านี้ ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้น้อยกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ก็คาดว่าเพราะเป็นจอ 17.3″ ที่กินพลังงานมากกว่าด้วย
สำหรับอุณหภูมิเมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลและการ์ดจอจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 50 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 30 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ซึ่งทั้งหมดนี้ดูผ่านทางซอฟต์แวร์ Hardware Monitor เพื่อดูว่าชิปประมวลผล CPU ว่าจะร้อนที่สุดเย็นที่สุดเท่าไรในการใช้งานจริงๆ
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องสำหรับซีพียู อยู่ที่ไม่เกิน 90 – 92 องศาเซลเซียส ที่ต้องบอกว่าค่อนข้างเย็นทีเดียว ถ้าเทียบความแรงที่ได้ ส่วนที่เป็นการ์ดจอแยกจะอยู่ที่ 76 องศาเซลเซียสเท่านั้น โดยดูผ่านทาง Hardware Monitor นับว่ามีความเย็นพอตัว ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่เปิดฟีเจอร์ CoolBoots พร้อมเพิ่มรอบพัดลมเป็น 6,000 รอบต่อวินาที จากการที่มีพัดลม 2 ตัว แต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกมอยู่แล้ว โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง
Conclusion / Award
ประทับใจมากๆ สำหรับการมาของ Gaming Notebook ปี 2021 รุ่นใหม่ได้หน้าจอ 17.3″ ที่ใหญ่สะใจกว่า อย่าง Acer Nitro 5 ที่นอกจากได้ขนาดการแสดงผลที่ใหญ่และลื่นไหลที่ 360Hz ในกลิ่นอายเดิมแล้ว คือได้สเปกชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX ที่รองรับการ Overclock (แต่รุ่นนี้ OC ไม่ได้) และการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 3080 Max-Q ค่า TGP 100W ด้วยสเปกที่แรงลื่นกว่าเดิม พร้อมแรมขนาด 32GB DDR4 และ SSD M.2 NVMe PCIe 1TB ส่งผลให้ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมลื่นไหลกว่า Nitro 5 ในทุกรุ่นเพราะสเปกแรงสุด พร้อมด้วย DNA ที่อยู่ในทุกๆ รุ่นอยู่แล้ว
โดดเด่นด้วยการรองรับอัพเกรดใส่ SSD M.2 NVMe อีกจำนวน 1 ช่อง (ใส่ไปแล้ว 1TB 1 ช่อง) และ HDD/SSD 2.5″ SATA 3 จำนวน 1 ช่อง เพิ่มได้ภายหลัง พร้อมกับ LAN เป็น Killer Ethernet E2600 ทำให้เมื่อต่อสาย RJ45 ก็จะช่วยการเล่นเกมที่ลื่นไหลได้ ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายก็เป็นมาตรฐาน Wi-Fi 6 AX ที่ดีกว่า มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เหนือชั้นกว่า Gaming Notebook ทั่วไปที่ไม่มีตรงนี้ อย่างที่ Gaming Notebook รุ่นราคาใกล้เคียงกันทำไม่ได้ ในเรื่องของการเชื่อมต่อก็ครบครันกว่าเดิมด้วย USB 3.2 Type-C จำนวน 3 ช่อง พร้อมงานประกอบก็แน่นอนไว้ใจได้ การถอดอัพเกรดก็ง่ายเหมือนเดิม เชื่อได้ว่าเพื่อนๆ น่าจะถูกใจกันไม่น้อย
สำหรับการระบายความร้อนก็นับว่าทำได้ดีกว่ารุ่นๆ คือ ชิปประมวลผลไม่ร้อนเกิน 92 องศาเซลเซียส และการ์ดจอ 76 องศาเซลเซียสเลย จากการที่ทาง Acer ออกแบบมาได้ดี และ AMD + NVIDIA ก็ร้อนน้อยกว่าเดิม ฉะนั้นถ้าดูจากผลทดสอบอุณหภูมิก็นับว่าทำได้ดีตามเกณฑ์มากๆ แล้ว คือให้ความแรงที่พอตัวแต่ก็ไม่ได้แรงสุดทางอย่างที่ควรจะเป็น จากการที่ได้การ์ดจอ TGP 100W และอแดปเตอร์ 180W ซึ่งรองรับการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด แต่ก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้ถ้า Acer เลือกที่จะปรับปรุงไม่ใช่แค่ยัดสเปกแรงๆ มาไว้เฉยๆ เทียบกับค่าตัวแล้วอยู่ในช่วงราคา 80,000 บาท ก็ถือว่าแพงแบบไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไร
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 17.3″ ด้วยกัน ซึ่ง Acer Nitro 5 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
Acer Nitro 5 สเปกชิปประมวลผลเป็น AMD Ryzen 9 5900HX ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด ประสิทธิภาพสูง พร้อมกการ์ดจอแยกตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3060 ที่แรงลื่นรองรับทุกๆ การทำงานหรือเล่นเกม มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe และรองรับฮาร์ดดิสก์ 2.5″ มาตรฐาน SATA 3 อีก 1 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ DDR4 Bus 3200 MHz (16GB x 2) ได้หน้าจอ IPS 360Hz แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล