ลำโพง Bluetooth ยุคนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทั้งสะดวกและไม่ต้องต่อสายเลย
ลำโพง Bluetooth ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแค่เสียบปลั๊กแล้วก็เชื่อมต่อระหว่างมือถือหรือพีซีเครื่องนั้นได้เลยโดยไม่ต้องพึ่งสาย AUX 3.5 มม. เหมือนลำโพงสมัยก่อนอีกแล้ว และตอนนี้ค่าตัวก็เริ่มต้นแค่หลักร้อยก็หาซื้อได้หรือจะไปให้สุดระดับหลักหมื่นบาทก็มีให้เลือกได้ตามชอบเหมือนกัน และข้อดีอีกอย่างคือตัวลำโพงแค่ต่อสาย USB เส้นเดียวหรือใช้แบตเตอรี่ในตัวก็ยิ่งสะดวก เพราะหยิบไปวางฟังเพลงหรือ Podcast ที่จุดไหนในบ้านก็ได้ ถ้าเอามาตั้งที่โต๊ะคอมก็เก็บสายไฟได้สะดวกสวยงาม
แต่เพราะเป็นลำโพงไร้สายเลยต้องโฟกัสเรื่อง Bluetooth Codec ไม่ต่างกับหูฟังแบบ True Wireless ว่าลำโพงตัวนั้นรองรับ Codec แบบไหนอย่างไร เพราะนั่นเป็นคืออีกใจความสำคัญไม่แพ้กับดอกลำโพงในตัวลำโพงเลย เพราะว่าถ้าดอกลำโพงดีแต่ตัว Codec ให้มาแบบพื้นฐานล่ะก็ เรื่องคุณภาพเสียงก็อาจจะรีดออกมาได้ไม่สุดเท่าเหมือนกับการต่อสายลำโพงก็ได้เช่นกัน
ก่อนซื้อลำโพง Bluetooth มารู้เรื่อง Codec ฉบับง่าย ๆ กันก่อน!
Codec มาจากการย่อรวบคำสองคำเข้าด้วยกันคือ compression/decompression ที่เป็นการบีบอัดข้อมูลเสียงก่อนส่งผ่าน Bluetooth มาให้ตัวรับในลำโพงเปลี่ยนไฟล์เป็นสัญญาณเสียงที่เป็นเสียงเพลงที่เราได้ยินกัน ซึ่งถ้าทั้งเครื่องที่ส่งไฟล์เสียงบีบอัดไฟล์ได้เล็กและตัวรับในลำโพงถอดรหัสไฟล์เสียงที่ส่งมาได้ดีพอ ก็จะทำให้ลำโพงเล่นเพลงได้ดีไม่มีอาการเสียงช่วงต่ำ, กลางหรือสูงหายให้เสียอรรถรสระหว่างฟังเพลงเลย ซึ่ง Codec ยอดนิยมที่มักเอามาใช้ในหูฟัง True Wireless และลำโพง Bluetooth ในปัจจุบันได้แก่
- SBC – Codec มาตรฐานที่มีในเครื่องเสียง Bluetooth ยุคนี้ โดย Data rate หรือการรับส่งข้อมูล (Data rate) อยู่ที่ 345 kbps ส่วนคุณภาพเสียงแทบไม่ต่างกับ AAC หรือ aptX มาตฐาน แต่เรื่องการรับส่งข้อมูลบางครั้งอาจจะไม่ได้เร็วมากจนเกิดอาการดีเลย์จนภาพไม่ตรงกับเสียงได้บ้าง
- AAC – Codec ที่คุณภาพเสียงอัพเกรดจากไฟล์ MP3 ให้ดีขึ้น เมื่อเปิดเพลงฟังผ่าน Bluetooth เทียบคุณภาพเนื้อเสียงตอนฟังเพลงแล้วจะดีกว่า MP3, SBC ส่วน Data rate จะอยู่ที่ 250 kbps
- MP3 – Codec ที่สร้างมาเพื่อใช้งานกับไฟล์เพลงหรือหนังที่ใช้ไฟล์เสียง MP3 โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าใช้ฟังเพลงหรือดูหนังที่ใช้ไฟล MP3 จะได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อเป็นไฟล์เสียงแบบอื่นถือว่าไล่เลี่ยกับ SBC, AAC
- aptX – Codec รับส่งไฟล์เสียงผ่าน Bluetooth ที่ทาง Qualcomm พัฒนาขึ้นมา ทำให้การรับส่งข้อมูลไฟล์เสียงตอนฟังเพลงและเล่นเกมดีขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ aptX พื้นฐานเวลาเปิดเพลงฟังผ่าน Bluetooth จะได้คุณภาพเสียงดีเท่าเปิดจากแผ่น CD ส่วน Data rate อยู่ที่ 352 kbps เสียง 16-bit
- aptX Low Latency – aptX ที่ปรับแต่งให้เกิดความหน่วงตอนส่งให้ต่ำกว่า 40ms ทำให้ดูหนังผ่านทาง Steaming แล้วภาพกับเสียงตรงกันไม่เกิดอาการเสียงไม่ตรงปาก ส่วนความเร็วและคุณภาพเสียงเท่ากับ aptX ตัวมาตรฐาน
- aptX HD – aptX ที่เน้นเรื่องการฟังเพลงโดยเฉพาะ เหมาะกับการฟังเพลงคุณภาพสูง (High-resolution audio) โดย Data rate อยู่ที่ 576 kbps ส่วน Audio format ได้เสียงแบบ 24-bit ซึ่งถ้าใครชอบฟังเพลงหรือดูหนังเป็นหลักก็โฟกัสที่ Codec นี้ได้เลย
- aptX Adaptive – aptX ประสิทธิภาพสูงที่ได้ทั้งเรื่องเสียงคุณภาพระดับ HD และรับส่งไฟล์ได้อย่างรวดเร็ว มีความหน่วงน้อย ปรับการทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อเน้นให้เสียงที่ผู้ฟังได้ยินมีคุณภาพเสียงสูงสุดและลดอาการหน่วงอีกด้วย โดย Data rate อยู่ที่ 276 kbps กับ 420 kbps โดยปรับการทำงานอัตโนมัติขึ้นอยู่กับสถานการณ์และ audio format เป็น 24-bit อีกด้วย
- LDAC – Codec รับส่งไฟล์เสียงระหว่างฟังเพลงคุณภาพสูงที่ Sony เป็นผู้พัฒนาและเป็นเทคโนโลยีลูกผสมระหว่าง aptX กับ AAC, MP3 โดยรีดประสิทธิภาพของ Bluetooth ออกมาอย่างเต็มที่ และแบ่ง Data rate ออกเป็น 3 ระดับคือ 330, 660, 990 kbps โดยจะสลับการทำงานกันได้ระหว่างเน้นเรื่องการเชื่อมต่อที่เสถียรจะรับส่งที่ 330 kbps ส่วนถ้าเน้นเรื่องคุณภาพเสียงจะสลับไปที่ 990 kbps โดยมีให้ใช้ในสมาร์ทโฟน Android หลากหลายรุ่นแล้วแต่ทาง Apple ยังไม่นำไปใช้กับอุปกรณ์ของตัวเอง
- LC3 – ย่อมาจากคำว่า Low Complexity Communications codec ที่เป็น Codec ที่ทำงานกับมาตรฐาน Bluetooth LE Audio ที่เพิ่งเปิดตัวในงาน CES 2020 ที่ผ่านมา โดยทางผู้พัฒนาเคลมว่าคุณภาพเสียงจะดีกว่าหรือใกล้เคียงกับ SBC และใช้พลังงานน้อย แต่คาดว่าอุปกรณ์ที่ใส่ LC3 (LE Audio) อาจจะทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงปี 2021-2022 นี้
8 ลำโพง Bluetooth เสียงดีฟังเพลงเพลิน ควรโดนไว้ติดบ้าน
สำหรับลำโพง Bluetooth ในปัจจุบันมีทั้งแบบที่เอาไว้ต่อกับคอมพิวเตอร์ที่บ้านก็ได้ หรือจะพกไปไหนมาไหนก็สะดวกโดยราคาเริ่มตั้นแต่หลักร้อยไปจนหลักหมื่นเลยทีเดียว โดยรุ่นแนะนำจะมีดังนี้
- Xiaomi Binnifa Play 2D (899 บาท)
- Sony EXTRA BASS XB12 (1,990 บาท)
- Edifier G2000 (2,490 บาท)
- ULTIMATE EARS Wonderboom 2 (2,590 บาท)
- Anker Soundcore Rave Mini (6,590 บาท)
- Bose SoundLink Revolve+ II (12,900 บาท)
- Marshall ACTION II (12,990 บาท)
- JBL Link 500 (13,900 บาท)
1. Xiaomi Binnifa Play 2D (899 บาท)
ถ้าในตระกูลลำโพง Bluetooth ที่เอาไปต่อคอมพิวเตอร์ก็ได้หรือจะถือแยกไปต่อปลั๊กแล้วฟังเพลงก็ดี จะมีลำโพง Xiaomi Binnifa Play 2D ที่ทาง Xiaomi เป็นผู้เข้าไปร่วมลงทุนด้วยเป็นรุ่นแรกที่เลือกมาแนะนำ ซึ่งราคานั้นอยู่ระดับหลักร้อยแต่คุณภาพเสียงน่าประทับใจและผู้เขียนเลือกซื้อมต่อพีซีที่บ้านเป็นลำโพงตัวหลัก ซึ่งเสียงจากลำโพงนั้นถือว่าใช้ฟังเพลงได้หลากหลายแนวไม่ว่าจะป็อป, ร็อค, คลาสสิค, แจ๊ส ก็เก็บเสียงได้ค่อนข้างกว้างและเนื้อเสียงใสฟังได้สนุก มีเบสกำลังดีไม่มากไม่น้อยเกินไป แต่จะไม่หนักระดับลำโพงที่เน้นเบสนัก แต่ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วสำหรับราคาหลักร้อย
ตัวลำโพงเป็นบอดี้อลูมิเนียมและปิดด้วยไม้ด้านบน ดอกลำโพง Full Range กำลังขับรวม 5 วัตต์ (2.5 วัตต์ x 2 ตัว) ช่วงความถี่เสียงที่ 20Hz-20KHz ส่วนการเชื่อมต่อรองรับหลายแบบ ทั้ง Bluetooth 5.0, AUX 3.5 มม. หรือต่อแบบสาย Micro USB to USB-A เส้นเดียวเพื่อจ่ายไฟและรับส่งสัญญาณเสียงกับคอมพิวเตอร์โดยตรงก็ได้ มีลูกบิดด้านหลังตัวลำโพงใช้บิดเพิ่มลดเสียงหรือจะกดค้างเพื่อเปิด, ปิดลำโพง ซึ่งใครที่มองหาลำโพง Bluetooth ราคาไม่แพงแต่คุณภาพดีก็แนะนำให้ลองเล่น Binnifa Play 2D ตัวนี้ดูก่อนเลยก็ได้
สเปคของ Xiaomi Binnifa Play 2D
- ดอกลำโพง Full Range กำลังขับรวม 5 วัตต์
- ความถี่เสียงที่ 20-20,000 Hz
- เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth 5.0, AUX 3.5 มม. หรือสาย Micro USB to USB-A
- ราคา 899 บาท (Thaisuperphone)
2. Sony EXTRA BASS XB12 (1,990 บาท)
ถ้าเป็นสายพกลำโพงไปฟังเพลงได้ทุกที่ มีแบตเตอรี่ในตัวฟังเพลงได้นาน 16 ชั่วโมงยาว ๆ แนะนำให้เลือกเป็น Sony EXTRA BASS XB12 ที่นอกจากไม่แพงแล้วยังพกพาง่ายได้เสียงเบสแบบแน่น ๆ ให้คนรักเสียงเบสได้ฟังกันอย่างจุใจได้เลย โดยจุดเด่นเน้น ๆ คือความพกพาง่ายมีสายคล้องให้สอดเข้ากับกระเป๋า, กันน้ำและฝุ่นระดับ IP67 ส่วนฟีเจอร์พิเศษคือถ้ามี XB12 อยู่อีกตัวก็ต่อลำโพงทั้งสองตัวให้เล่นเพลงพร้อมกันแบบสเตอริโอได้เลย ซึ่งจากรีวิวของสื่อต่างประเทศนั้นจัดว่าลำโพงของ XB12 ฟังเพลงได้สนุกและเบสแน่นมาก แต่บางครั้งอาจจะมีปัญหาเรื่องเบสเกิดอาการ Distort บ้างเล็กน้อย
ตัวดอกลำโพงเป็นแบบ Full range ขนาด 46 มม. รองรับ Codec ทั้ง SBC, AAC ช่วงความถี่เสียงที่ 20 Hz – 20,000 Hz เชื่อมต่อได้แต่แบบไร้สายด้วย Bluetooth 4.2 หรือต่อผ่าน AUX 3.5 มม. ก็ได้และมีไมโครโฟนในตัว ใช้คุยโทรศัพท์ได้ด้วย ซึ่งถ้าใครชอบต่อลำโพงเข้ากับมือถือแล้วเอาไปฟังเพลงตามที่ต่าง ๆ ล่ะก็ แนะนำให้ดูลำโพงตัวนี้ของ Sony เอาไว้ได้เลย
สเปคของ Sony EXTRA BASS XB12
- ดอกลำโพงขนาด 46 มม. รองรับ Codec SBC, AAC
- ความถี่เสียงที่ 20-20,000 Hz
- เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth 4.2 หรือ AUX 3.5 มม.
- มีไมโครโฟนในตัว, ฟังเพลงได้นาน 16 ชั่วโมง, กันน้ำ IP67, ต่อ XB12 สองตัวคู่กันแล้วเล่นเพลงแบบสเตอริโอได้
- ราคา 1,990 บาท (Sony Thailand)
3. Edifier G2000 (2,490 บาท)
ถ้าอยากได้ลำโพงคอมมีไฟ RGB และต่อ Bluetooth ได้และมี USB-DAC ในตัว กำลังขับดีล่ะก็ Edifier G2000 เองก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว เพราะโทนเสียงที่ได้จะเก็บรายละเอียดทั้งกลางและแหลมได้ดี รวมทั้งแรงส่งของเบสก็ทำได้ไม่แพ้รุ่นมี Subwoofer ในตัว เหมาะกับคนชอบดูหนังฟังเพลง, เล่นเกมแบบเปิดลำโพงก็จะได้อรรถรสดีอย่างแน่นอน
ตัวลำโพงเป็นดอกลำโพงขนาด 2.75 นิ้ว กำลังขับรวม 16-32 วัตต์ RMS เสียงแบบ 2.0 ช่วงความถี่เสียงที่ 98-20,000 Hz และเชื่อมต่อได้ทั้ง AUX 3.5 มม., USB หรือ Bluetooth 4.2 ก็ได้ เลือกกดเปลี่ยนโหมดเสียงได้ 3 แบบ ทั้ง Game, Movie, Music ให้เข้ากับสื่อนั้น ๆ ได้เลย รวมทั้งเปลี่ยนไฟ RGB ได้อีก 12 แบบอีกด้วย เรียกว่าถ้าใครอยากได้ลำโพงต่อคอมล้ำ ๆ สักตัวล่ะก็ Edifier รุ่นนี้น่าสนใจทีเดียว
สเปคของ Edifier G2000
- ดอกลำโพงขนาด 2.75 นิ้ว เป็น USB-DAC ในตัว กำลังขับ 16-32 วัตต์ RMS
- ความถี่เสียงที่ 98-20,000 Hz
- เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth 4.2, AUX 3.5 มม., USB
- มีไฟ RGB 12 แบบ, เปลี่ยนโหมดเสียงได้ทั้ง Game, Movie, Music
- ราคา 2,490 บาท (Mercular)
4. ULTIMATE EARS Wonderboom 2 (2,590 บาท)
นอกจาก Sony XB12 แล้ว ใครที่อยากได้ลำโพง Bluetooth เสียงดีเบสแน่นน่าใช้อีกรุ่นไปใช้งานแนะนำเป็น ULTIMATE EARS Wonderboom 2 ที่กันน้ำและมีแบตเตอรี่ในตัวเหมือนกัน และเชื่อมต่อลำโพง Wonderboom 2 สองตัวเข้าหากันแล้วฟังเพลงแบบสเตอริโอก็ได้ และสามารถกันน้ำได้ระดับ IP67 ถ้าเปื้อนหรือตกน้ำก็ทำความสะอาดได้ง่าย ๆ แน่นอน
ตัวลำโพงเป็นดอกลำโพง 40 มม. ให้เสียงดังและแน่น คลื่นความถี่เสียง 75-20,000 Hz เชื่อมต่อด้วย Bluetooth และถ้ามีลำโพงสองตัวก็ต่อเป็นแบบสเตอริโอได้เลย มีระบบ Outdoor Mode ให้สายปาร์ตี้ฟังเพลงนอกบ้านได้เพลิน ๆ มีแบตเตอรี่ในตัวใช้ฟังเพลงได้นานสุด 13 ชั่วโมง เรียกว่าเหมาะกับสาย Outdoor มากรุ่นหนึ่งเลย
สเปคของ ULTIMATE EARS Wonderboom 2
- ดอกลำโพงขนาด 40 มม. มี Outdoor Mode สำหรับฟังเพลงนอกห้อง
- ความถี่เสียงที่ 75Hz-20,000 Hz
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth
- ต่อ Wonderboom 2 สองตัวเข้าหากันเพื่อเล่นเพลงแบบเสตอริโอได้ ฟังเพลงได้นาน 13 ชั่วโมงและกันน้ำ IP67
- ราคา 2,590 บาท (Power Buy)
5. Anker Soundcore Rave Mini (6,590 บาท)
นอกจากเรื่องปลั๊กและสายชาร์จแล้ว Anker ก็มีตระกูล Soundcore ที่เป็นสายเครื่องเสียงให้เลือกซื้อและฟีเจอร์ก็เด็ดไม่แพ้แบรนด์อื่นด้วย โดย Soundcore Rave Mini เองเป็นลำโพง Bluetooth รุ่นที่กำลังขับสะใจ มีทั้ง Subwoofer, Tweeter ในตัว คุมผ่านแอพฯ ได้พร้อมทั้งกันน้ำ IPX7 และเปิดเพลงฟังได้นาน 18 ชั่วโมงอีกด้วย เรียกว่าสายปาร์ตี้ห้ามพลาด
ในตัว Rave Mini มีลำโพง Woofer ขนาด 5.25 นิ้ว, Tweeter ขนาด 2 นิ้วและ Radiator ขนาด 5.25 นิ้ว รวม 3 ตัว ทำให้ได้กำลังขับเสียง 80 วัตต์ ระดับเปิดในปาร์ตี้ได้สบาย ๆ ฟังเพลินทั้งงาน มี BassUpTM ที่เป็นฟีเจอร์เน้นเรื่องเบสโดยเฉพาะ ทำให้เสียงเบสออกมาจัดเต็มยิ่งขึ้น สามารถคุมเปิดไฟ RGB ที่ตัวลำโพงได้ 6 โหมด รวมทั้งคุมการทำงานได้ผ่านทาง Soundcore App ที่ปรับ EQ รวมทั้งเปลี่ยนโหมดฟังเพลงทั้งในบ้านหรือนอกบ้านได้ตามชอบ นอกจากนี้ในแอพฯ ยังเปิดเกมหลักที่เล่นในงานปาร์ตี้ได้ 3 เกมอีกด้วย จัดว่า Soundcore Rave Mini เป็นลำโพง Bluetooth ที่เหมาะกับงานปาร์ตี้สุด ๆ รุ่นหนึ่ง
สเปคของ Anker Soundcore Rave Mini
- ลำโพง Woofer ขนาด 5.25 นิ้ว, Tweeter ขนาด 2 นิ้วและ Radiator ขนาด 5.25 นิ้ว รวม 3 ตัว ทำให้ได้กำลังขับเสียง 80 วัตต์
- คุมการทำงานผ่านทางแอพฯ Soundcore App
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0
- ฟังเพลงได้นาน 18 ชั่วโมงและกันน้ำ IPX7
- ราคา 6,590 บาท (Mercular)
6. Bose SoundLink Revolve+ II (12,900 บาท)
ถ้ามีงบประมาณแล้วอยากได้ลำโพง Bluetooth คุณภาพดี เสียง 360 องศาเอาไว้ฟังเพลงในบ้านและดูดีเหมือนเฟอร์นิเจอร์สักชิ้น อาจจะขยับมาเป็น Bose SoundLink Revolve+ II รุ่นที่อัพเกรดเรื่องเสียงมาดีกว่ารุ่น Revolve II รวมทั้งใส่ Bumper ยางเอาไว้ป้องกันการกระแทกและกันน้ำระดับ IP55 นอกจากนี้ถ้าต่อกับมือถือก็สั่ง Siri หรือ Google Assistant ผ่านทางลำโพงนี้ได้และมีแอพฯ Bose Connect เอาไว้ใช้คุมลำโพงนี้ได้อีกด้วย
ตัวลำโพงทำจากอลูมิเนียมมีตัวกันกระแทกเป็นยางซิลิโคนบุเอาไว้ด้านบนและล่างของตัวลำโพงพร้อมสายเชือกไนลอนเอาไว้หิ้วไปวางตามจุดต่าง ๆ ได้สะดวก ลำโพงให้เสียง 360 องศา เป็นลำโพงแบบ Passive Radiator 2 ตัวกับ Transducer และ Acoustic deflector ให้มิติเสียงออกมาดีกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน ทิศทางเสียงเครื่องดนตรีและเบสออกมาได้ครบเครื่องรวมทั้งได้เรื่องไดนามิคเสียงด้วย ส่วนการเชื่อมต่อเป็น Bluetooth 4.1 และ AUX 3.5 มม. และใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 17 ชั่วโมง ซึ่งถ้าใครหาลำโพงคุณภาพสูงเอาไว้ฟังเพลงสักตัว แนะนำให้ดูตัวนี้เอาไว้ได้เลย
สเปคของ Bose SoundLink Revolve+ II
- ลำโพงแบบ Passive Radiator 2 ตัวกับ Transducer และ Acoustic deflector
- คุมการทำงานผ่านทางแอพฯ Bose Connect
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 4.1 และ AUX 3.5 มม.
- ฟังเพลงได้นาน 17 ชั่วโมงและกันน้ำ IP55
- ราคา 12,900 บาท (Mercular)
7. Marshall ACTION II (12,990 บาท)
ถ้าใครเป็นสายฟังเพลงแบบจริงจัง ก็แนะนำให้ดูลำโพงจาก Marshall ผู้ผลิตลำโพงสำหรับนักดนตรีชั้นนำของโลกเอาไว้ด้วย โดยเป้นรุ่น Marshall ACTION II ที่ให้ฟีเจอร์มาแบบล้ำ ๆ อีกรุ่นหนึ่ง ทั้งรองรับการเชื่อมต่อแบบ Multi-Room, Spotify Connect และเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ รองรับการสั่งงานด้วยเสียง ยิ่งถ้าใครเป็นสายฟังเพลงที่ชอบปรับเสียงเอง จะมีลูกบิดสำหรับปรับเสียงแหลมและเบสติดตั้งเอาไว้ด้านหลังลำโพงไว้ปรับเสียงได้ตามชอบด้วย
ตัวลำโพงมีกำลังขับสูงสุด 60 วัตต์ ตอบสนองความถี่ 50-20,000 Hz และได้เสียงแบบสเตอริโอ มีตัวปรับเสียงเบสและเสียงแหลมบนตัว เชื่อมต่อได้ด้วย AUX 3.5 มม., Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi ก็ได้ รองรับการสั่งงานผ่านทางแอพฯ Marshall Bluetooth ที่ใช้ตั้งค่าเสียงและคุมการทำงานของลำโพงได้ทั้งหมด ติดตั้งไมโครโฟนเอาไว้รับการสั่งการด้วยเสียงจากระยะไกลได้ โดยโทนเสียงจะเด่นเรื่องเบสเป็นหลักและลึก มวลเสียงแน่นรวมทั้งเสียงนักร้องนำก็ชัดเจนไม่มีอาการเสียงบาดหูพร่าแตกด้วย
สเปคของ Marshall ACTION II
- ลำโพงกำลังขับ 60 วัตต์ ตอบสนองความถี่ 50-20,000 Hz เสียงสเตอริโอ
- คุมการทำงานผ่านทางแอพฯ Marshall Bluetooth
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.0, AUX 3.5 มม. และ Wi-Fi
- รองรับการเชื่อมต่อ Multi-Room, Spotify Connect และสั่งงานได้ด้วยเสียง
- ราคา 12,990 บาท (Mercular)
8. JBL Link 500 (13,900 บาท)
ปิดท้ายด้วยลำโพงแบรนด์ชั้นนำของโลกอย่าง JBL รุ่น JBL Link 500 ที่ใส่ฟีเจอร์เอื้อกับฝั่ง Android อย่างเต็มที่ ทั้งต่อ Wi-Fi, Bluetooth ได้, มี Chromecast ฝังเอาไว้ในตัว จึงสั่ง Cast ทั้งเพลงหรือ Podcast เข้าไปเล่นในลำโพงได้ทันทีและสั่ง Google Assistant ให้หาเพลงกับ Podcast ตอนใหม่ ๆ ให้เราได้ด้วย รองรับการเซ็ตอัพแบบ Multi-room โดยสั่งสตรีมเพลงหรือ Podcast ที่ต้องการไปยังห้องที่เซ็ตเอาไว้ในบ้านได้สบาย ๆ รวมทั้งเสียงยังเป็นแบบ 24-bit ที่เก็บรายละเอียดเสียงได้ดีมาก
ตัวลำโพงมี Woofer ขนาด 89 มม. กับ Tweeter ขนาด 20 มม. อย่างละ 2 ตัว ติดตั้งเอาไว้ กำลังขับตัวละ 15 วัตต์ คลื่นความถี่เสียงที่ 55-22,000 Hz รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 5 GHz, Bluetooth 4.2 ได้ มี Chromecast ติดตั้งมาให้ในตัวพร้อม Google Assistant เอาไว้สั่งการด้วยเสียงได้เลย ซึ่งถ้าใครอยากทำบ้านแบบ Smart Home อยู่แล้วและต้องการลำโพงสั่งการตัวหลักดี ๆ สักตัว แนะนำ JBL Link 500 ตัวนี้ไว้ใช้เลย
สเปคของ JBL Link 500
- ลำโพงมี Woofer ขนาด 89 มม. กับ Tweeter ขนาด 20 มม. อย่างละ 2 ตัว กำลังขับตัวละ 15 วัตต์
- ความถี่คลื่นเสียง 55-22,000 Hz คุณภาพเสียงระดับ 24-bit
- ฝัง Google Chromecast เอาไว้ในตัว มี Google Assistant สั่งการด้วยเสียงได้
- เชื่อมต่อด้วย Bluetooth 4.2 และ Wi-Fi 5GHz
- รองรับการเชื่อมต่อ Multi-Room และสั่ง Cast เพลงหรือ Podcast จากมือถือไปตัวลำโพง JBL ได้
- ราคา 13,900 บาท (Mercular)
สรุปสเปคลำโพง Bluetooth น่าใช้ทั้ง 8 รุ่น ตัวไหนเด็ดน่าโดนเอาไว้ในบ้านบ้าง?
สำหรับลำโพง Bluetooth ทั้ง 8 รุ่นที่เลือกมาแนะนำในบทความจะสรุปสเปคได้ดังนี้
สเปคของลำโพง Bluetooth | กำลังขับความถี่เสียง | การเชื่อมต่อ | ฟีเจอร์พิเศษ | ราคา |
Xiaomi Binnifa Play 2D | Full Range 5W ความถี่เสียง 20-20,000 Hz |
Bluetooth 5.0 AUX 3.5 มม. Micro USB to USB-A |
– | 899 บาท |
Sony EXTRA BASS XB12 | ดอกลำโพง 46 มม. ความถี่เสียง 20-20,000 Hz |
Bluetooth 4.2 AUX 3.5 มม. |
ไมโครโฟนในตัว ฟังเพลงต่อเนื่องได้ 16 ชั่วโมง กันน้ำ IP67 ต่อ XB12 สองตัวคู่กันแล้วเล่นเพลงแบบสเตอริโอได้ |
1,990 บาท |
Edifier G2000 | ดอกลำโพง 2.75″ ความถี่เสียง 98-20,000 Hz |
Bluetooth 4.2 AUX 3.5 มม. USB |
เป็น USB-DAC ในตัว ไฟ RGB 12 แบบ เปลี่ยนโหมดเสียงได้ 3 แบบ เป็น Game, Movie, Music |
2,490 บาท |
ULTIMATE EARS Wonderboom 2 | ดอกลำโพง 40 มม. ความถี่เสียง 75Hz-20,000 Hz |
Bluetooth | ฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 13 ชั่วโมง ต่อ Wonderboom 2 สองตัวคู่กันแล้วเล่นเพลงแบบสเตอริโอได้ |
2,590 บาท |
Anker Soundcore Rave Mini |
Woofer ขนาด 5.25 นิ้ว, Tweeter ขนาด 2 นิ้วและ Radiator ขนาด 5.25 นิ้ว กำลังขับ 80W |
Bluetooth 5.0 | ฟังเพลงได้นาน 18 ชั่วโมง กันน้ำ IPX7 คุมการทำงานผ่านแอพฯ Soundcore App |
6,590 บาท |
BOSE SoundLink Revolve+ II | Passive Radiator 2 ตัวกับ Transducer และ Acoustic deflector | Bluetooth 4.1 AUX 3.5 มม. |
ฟังเพลงได้นาน 17 ชั่วโมง กันน้ำ IP55 คุมการทำงานผ่านแอพฯ Bose Connect |
12,900 บาท |
Marshall ACTION II | ลำโพงกำลังขับ 60W ความถี่เสียง 50Hz-20,000 Hz |
Bluetooth 5.0 AUX 3.5 มม. Wi-Fi |
เชื่อมต่อแบบ Multi-Room Spotify Connect สั่งงานได้ด้วยเสียง |
12,990 บาท |
JBL Link 500 | Woofer ขนาด 89 มม. กับ Tweeter ขนาด 20 มม. อย่างละ 2 ตัว กำลังขับตัวละ 15W ความถี่คลื่นเสียง 55-22,000 Hz คุณภาพเสียงระดับ 24-bit |
Bluetooth 4.2 Wi-Fi 5GHz |
มี Google Chromecast ในตัว มี Google Assistant รองรับการสั่งงานด้วยเสียง |
13,900 บาท |
สุดท้าย ลำโพง Bluetooth แต่ละตัวนั้นจะมีจุดเด่นแตกต่างกันโดยหลัก ๆ แล้วนอกจากเรื่อง Codec ที่มีเป็นมาตรฐานเพื่อให้คุณภาพเสียงและอาการดีเลย์ต่ำลงแล้ว ยังมีเรื่องฟีเจอร์เฉพาะของแต่ละตัวทั้งการสั่งงานผ่านแอพฯ และกำลังขับที่แตกต่างกัน ดังนั้นถ้าใครเลือกได้แล้วว่าลำโพง Bluetooth ตัวไหนที่เหมาะกับรูปแบบการใช้งานของเราก็เลือกซื้อมาใช้งานได้ตามชอบได้เลย และอย่างไรก็ตามผู้เขียนแนะนำว่าถ้าสนใจตัวไหน ก็จัดการเซฟรุ่นที่ชอบเอาไว้ในลิสท์สั่งซื้อก่อนแล้วรอช่วงที่เว็บไซต์ขายสินค้าเจ้านั้น ๆ มีโปรโมชั่นพิเศษ เช่นการลดราคาหรือมีของแถมเพิ่มเติมค่อยซื้อก็ได้เพื่อความคุ้มค่าที่สุด