HUAWEI MateBook D15 หัวใจใหม่ในบอดี้เดิม เพิ่มเติมคือตอบโจทย์คนทำงานยิ่งขึ้น!
HUAWEI MateBook D 15 แม้จะเป็นโมเดลเริ่มต้นของไลน์อัพ HUAWEI MateBook โดยมีทั้งรุ่นที่ติดตั้ง AMD Ryzen และ Intel รุ่นที่ 10 มาให้เลือกถึง 2 รุ่นก็ตาม แต่ในปีนี้ HUAWEI อัพเกรด MateBook D 15 ซีพียู Intel ให้ประสิทธิภาพดีขึ้น โดยเปลี่ยนจาก Intel Core i5-10210U รุ่นที่ 10 สถาปัตยกรรม Comet Lake มาใช้ Intel Core i5-1135G7 รุ่นที่ 11 สถาปัตยกรรม Tiger Lake ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม สามารถทำงานพื้นฐานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าใครใช้สมาร์ทโฟนของ HUAWEI แล้ว ยิ่งใช้ประโยชน์จากโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้มากขึ้น เพราะใช้ฟีเจอร์ HUAWEI Share ที่นำหน้าจอสมาร์ทโฟน HUAWEI ขึ้นมาใช้บนหน้าจอ, รับส่งข้อมูลจากมือถือเข้าออกคอมพิวเตอร์, บันทึกหน้าจอและสั่ง Video Call ติดต่องานได้สะดวกขึ้นอีกด้วย
ในบทความนี้จะเป็นการพกโน๊ตบุ๊ค HUAWEI MateBook D 15 ใส่กระเป๋าไปใช้ทำงานเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องหลัก 1 วัน โดยไม่อิงประสิทธิภาพจากโปรแกรม Benchmark เลย ส่วนการใช้งานจะเปิดความสว่างหน้าจอ 50% และปิดเสียงลำโพงระหว่างอยู่นอกบ้านเพื่อไม่ให้รบกวนผู้อื่นที่ใช้สถานที่ร่วมกัน เพื่อดูว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีจุดเด่นและฟีเจอร์อะไรที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้สะดวกขึ้นบ้าง
สเปคของ HUAWEI MateBook D 15 ปี 2021
สเปคของ HUAWEI MateBook D 15 รุ่นใหม่นี้จะใช้บอดี้กับสเปคตัวเครื่องเหมือนกับ MateBook D 15 รุ่นก่อนที่ติดตั้งซีพียู Intel รุ่นที่ 10 มาแทบทั้งหมด แต่เปลี่ยนซีพียูเป็น Intel Core i5-1135G7 แบบ 4 คอร์ 8 เธรด ความเร็ว 2.4-4.2 GHz กับการ์ดจอออนบอร์ดรุ่น Intel Iris Xe Graphics เพื่อประมวลผลกราฟฟิคและเข้ารหัสวิดีโอความละเอียดสูงได้ดียิ่งขึ้น
ฮาร์ดดิสก์เป็น SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB ติดตั้ง Windows 10 Home (64-bit) มีแรม 16GB DDR4 บัส 3200 MHz แบบฝังลงบอร์ด ส่วนหน้าจอมีขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วย Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.1 น้ำหนักตัวเครื่อง 1.49 กิโลกรัม จัดว่าไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คขนาด 14 นิ้วหลาย ๆ รุ่นในปัจจุบัน แต่ถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊ค 15.6 นิ้วด้วยกันถือว่า HUAWEI MateBook D 15 น้ำหนักค่อนข้างเบาทีเดียว
ตัวเครื่อง HUAWEI MateBook D 15 สามารถเปลี่ยน SSD แบบ M.2 NVMe ที่ติดมากับเครื่องให้มีความจุและความเร็วสูงขึ้นได้อย่างเดียวเท่านั้น โดยไขน็อตหัวแฉกดาว 6 แฉกแล้วใช้การ์ดแข็งรูดตามขอบเพื่อเปิดฝาได้เลย แต่จากการลองใช้งานจริง ผู้เขียนเห็นว่า M.2 NVMe ความจุ 512GB ในเครื่องก็สามารถเปิดเครื่องและเรียกโปรแกรมต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว ดังนั้นผู้เขียนเสนอว่าแทนที่จะอัพเกรด SSD ภายในเครื่อง อาจจะซื้อ External SSD มาคอยแบ็คอัพไฟล์งานแทนดีกว่า
เมื่อทดลองชั่งด้วยเครื่องชั่งน้ำหนักแล้ว ตัวเครื่องจริงจะหนัก 1.549 กิโลกรัม ส่วนปลั๊กกับสายหนัก 193 กรัม รวมกับตัวเครื่องแล้วจะหนัก 1.74 กิโลกรัมด้วยกัน ซึ่งถึงจะหนักกว่าในสเปคเล็กน้อย แต่จากการพกพาเครื่องไปใช้งานจริง กลายเป็นว่าตัวเครื่องก็บาลานซ์น้ำหนักตัวเครื่องได้ดี เมื่อใส่กระเป๋าเป้สะพายข้างไปก็ไม่ได้ถ่วงไหล่นัก และถ้าชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้วก็ใช้งานต่อเนื่องได้เต็มวันอย่างแน่นอน
พก Huawei MateBook D 15 ไปใช้จริง 1 วัน เป็นอย่างไรบ้าง?
ถึง HUAWEI MateBook D 15 จะเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นเริ่มต้นของไลน์อัพ แล้วมีพี่ใหญ่อย่าง HUAWEI MateBook X ก็ตาม แต่นับจากดีไซน์ตัวเครื่องและงานประกอบถือว่าสวยเรียบหรูดูแพง มองเผิน ๆ แล้วเหมือนโน๊ตบุ๊คราคาแพงเลยทีเดียว จะหยิบไปนั่งทำงานที่ไหนก็ดูดีมีสไตล์
หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD พาเนล IPS นั้น มีพื้นที่การมองเห็นบนหน้าจอเพิ่มขึ้นจากโน๊ตบุ๊ค 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD พอสมควร ดังนั้นเวลานั่งพิมพ์บทความ, เข้าเว็บไซต์และดูหนังจะมีพื้นที่แสดงผลมากขึ้นและไม่อึดอัดมาก โดยเฉพาะคนที่พิมพ์งานเอกสารต่าง ๆ การทำงานบนหน้าจอ 15.6 นิ้ว จะมีพื้นที่แสดงผลหน้ากระดาษเยอะขึ้นมาก
ส่วนตัวผู้เขียนเองใช้โน๊ตบุ๊คขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด HD (1366×768 พิกเซล) อยู่ ซึ่งแม้จะใช้งานได้ก็จริง แต่พอย้ายมาลองใช้ MateBook D 15 แล้ว เรียกว่ามีพื้นที่แสดงผลบนหน้าจอเยอะขึ้นมาก สามารถอ่านข้อมูลและทำงานได้สะดวกขึ้น ดังนั้นถ้าใครกำลังชั่งใจระหว่างโน๊ตบุ๊คขนาด 14 กับ 15.6 นิ้วอยู่ ผู้เขียนขอแนะนำว่าถ้าน้ำหนักเครื่องกับอะแดปเตอร์รวม 1.74 กิโลกรัมไม่ได้หนักเกินไป ก็อยากให้ลองเปลี่ยนมาใช้งานกัน จะได้พื้นที่มองเห็นเพิ่มมากขึ้นอย่างรู้สึกได้เลยทีเดียว
ส่วนฟีเจอร์หนึ่งที่ผู้เขียนชอบและน่าจะได้ใช้ประโยชน์บ่อย ๆ คือ Eye Comfort ของ Display Manager ใน MateBook D 15 ที่เราสามารถคลิกขวาบน Desktop แล้วเปิดขึ้นมาใช้งานได้เลย ซึ่งเมื่อเราเปิดฟีเจอร์นี้ขึ้นมาแล้ว จะทำให้โทนสีของหน้าจอเปลี่ยนไป โดยค่ามาตรฐานจะเป็นโทนอุ่นแล้วหน้าจอจะออกเหลือง ทำให้คนที่ต้องนั่งจ้องหน้าจอนาน ๆ ตาไม่ล้าง่าย และเลือกปรับโทนได้ว่าอยากให้เป็นโทนเย็นหรือโทนอุ่นขึ้นในคำสั่งนี้เลย
พอลองเปิด Eye Comfort แล้ว โทนของหน้าจอจากโทนสีขาวตามปกติจะติดเหลืองขึ้นมา ทำให้นวลตาขึ้น โดยส่วนตัวผู้เขียนแนะนำว่าถ้าใครซื้อ MateBook D 15 ไปใช้ นอกจากปรับความสว่างให้พอดีกับสายตาของเราก็ควรเปิดโหมดนี้ด้วย จะช่วยให้นั่งทำงานแล้วตาไม่ล้าเร็วและทำงานได้นานและต่อเนื่องยิ่งขึ้น จัดว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มาก ๆ ซึ่งถ้าพูดตามปกติอาจจะคิดว่าปรับแสงหน้าจอลงหน่อยก็ได้ แต่ถ้ามีโอกาสใช้งาน ผู้เขียนก็อยากให้ลองใช้ดู
นอกจากนี้ HUAWEI MateBook D 15 ก็ยังรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ผ่านพอร์ต USB-C ตามมาตรฐาน USB Power Delivery เหมือนรุ่นก่อน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพกอะแดปเตอร์ของโน๊ตบุ๊คอยู่เสมอ เวลาจัดกระเป๋าจะเอาไปแค่ Power Bank ที่ชาร์จโน๊ตบุ๊คได้กับสาย USB-C to C ของ MateBook D 15 อีกเส้นก็พอแล้ว หรือจะพกไปทั้งหมดเลยก็ได้เพราะหัวอะแดปเตอร์ก็มีขนาดเล็กเท่ากับอะแดปเตอร์ของมือถือเท่านั้น ทำให้จัดกระเป๋าได้ง่ายมาก ๆ
เริ่มใช้งานมีแบตเตอรี่ 70% เวลา 11.30 น. ระบบ Battery ของ Windows 10 บอกอยู่ได้ 6 ชม. 48 นาที
หลังจากได้รับเครื่องทดสอบมาทดลองใช้แล้ว ผู้เขียนก็ได้เอาเครื่องมาใช้เล่นเน็ตและดูหนังฟังเพลงว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเรื่องความสว่างและสีสันบนหน้าจอแล้ว MateBook D 15 เครื่องนี้ถือว่าสวยสดใสทีเดียว ดูหนังได้อย่างมีอรรถรสและลำโพงตอนเปิดความดัง 100% ถือว่าเสียงดังมาก ส่วนตัวขอแนะนำให้ลดลงมาใช้ราว 60-70% จะดังกำลังดี ส่วนลำโพงจะได้โทนเสียงออกทางใสและมีเบสอยู่บ้างไม่แห้งเกินไป แต่ถ้าอยากฟังเพลง EDM ให้ได้อารมณ์แนะนำให้ต่อลำโพงแยกไปเลยจะดีกว่า
ด้านวิธีและสไตล์การใช้งานของผู้เขียนจะเป็นแบบ Cafe Hopper คือ เปิดเครื่องขึ้นมานั่งทำงานที่ร้านกาแฟช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นก็พับจอเก็บเครื่องใส่กระเป๋าไปกินข้าวซื้อของทำธุระต่าง ๆ แล้วเปลี่ยนร้านนั่ง ซึ่งการเปิดหน้าจอขึ้นมาใช้งานครั้งแรกหลังจากพับหน้าจอให้เครื่องเข้าโหมด Sleep มาทั้งคืนแล้ว ตัวเครื่องโชว์ว่าแบตเตอรี่เหลือ 70% และแจ้งเวลาคร่าว ๆ ว่าอาจจะใช้งานได้ราว 6 ชั่วโมง 48 นาที ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าถ้าชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% น่าจะใช้งานได้ร่วม 10 ชั่วโมงขึ้นไปอย่างแน่นอน
ด้านพฤติกรรมตอนใช้โน๊ตบุ๊คทำงาน จะสลับไปมาระหว่างการเปิดเว็บไซต์หาข้อมูล, อ่านข่าวต่าง ๆ และเขียนบทความด้วย โดยเบราเซอร์ในเครื่อง HUAWEI MateBook D 15 ผู้เขียนเลือกใช้ Mozilla Firefox ว่าถ้าใช้เบราเซอร์ตัวอื่นที่ผู้ใช้มักโหลดมาติดตั้งแทนที่จะใช้ Microsoft Edge ที่เป็นเบราเซอร์มาตรฐานของ Windows 10 แล้ว MateBook D 15 เครื่องนี้จะใช้งานได้นานกี่ชั่วโมง
เมื่อพกโน๊ตบุ๊คไปทำงานตามร้านกาแฟต่าง ๆ แป้นคีย์บอร์ดกับทัชแพดก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยปุ่มคีย์บอร์ดของ MateBook D 15 จะเป็นแบบไม่มี Numpad ติดตั้งมาให้ถึงจะน่าเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้ดีไซน์ตัวเครื่องดูมินิมอลขึ้น ตัวปุ่มจะเป็นผิวสากทำให้เวลาพิมพ์งานนาน ๆ แล้วจะไม่เกิดอาการปุ่มมันและหนืดติดนิ้วขึ้นมาเหมือนปุ่มคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คบางรุ่น ให้สัมผัสตอนพิมพ์งานดีกว่า เวลาพิมพ์งานแล้วจัดว่าระยะกดตื้นและสปริงค่อนข้างนุ่มเหมือนคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คทั่ว ๆ ไป ส่วนแป้นทัชแพดจะมีขนาดค่อนข้างกว้างและตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็ว ถัดลงมาขอบตัวเครื่องจะถูกเว้นเอาไว้ให้กางหน้าจอได้ง่ายขึ้นและติดตั้งไมโครโฟนเอาไว้ 2 ตัว สำหรับใช้ประชุมออนไลน์
ปุ่ม Power ที่รวมฟังก์ชั่นสแกนลายนิ้วมือเอาไว้ถูกติดตั้งเอาไว้ตรงมุมบนขวามือ เมื่อกดเปิดเครื่องแล้วจะสแกนลายนิ้วมือไปพร้อมกันแล้วล็อคอินเข้า Windows ทันที เวลาเครื่องอยู่ในโหมด Sleep แล้วจะเรียกกลับมาใช้งานต่อ แค่ลากนิ้วบนทัชแพดหรือกดปุ่มบนคีย์บอร์ดให้จอติดแล้วสแกนลายนิ้วมือให้ปลดล็อคได้ทันที ตอบสนองได้เร็วไม่ต้องปรับองศานิ้วตอนสแกนเหมือนตัวสแกนลายนิ้วมือบางรุ่นที่อาจเกิดอาการสแกนไม่ติดแล้วไม่ปลดล็อค คาดว่าเพราะดีไซน์ปุ่ม Power ทรงกลมนั้นเหมือนกับปุ่มสแกนลายนิ้วมือในสมาร์ทโฟนหลาย ๆ รุ่น เลยเอาความคุ้นเคยเดียวกันมาใช้งานได้ทันที เวลาล็อคจอแล้วลุกไปเข้าห้องน้ำ กลับมาก็สแกนนิ้วปลดล็อคเครื่องทำงานต่อได้ทันที
เวลา 13.00 น. ยังใช้โน๊ตบุ๊คทำงานได้อีกราว 4 ชม. ครึ่ง
หลังจากทำงานมา 1 ชั่วโมงครึ่ง แบตเตอรี่ของตัวเครื่องลดลงเหลือราว 62% และตัวเครื่องโชว์ว่าตอนนี้ยังใช้งานต่อได้อีกราว 4 ชั่วโมงครึ่ง (ก่อนพับหน้าจอผู้เขียนไม่ทันได้ถ่ายภาพตรงหน้าต่างแบตเตอรี่มาให้ เพราะกำลังจะครบเวลานั่งไม่เกิน 2 ชั่วโมง ตามมาตรการป้องกันไวรัส COVID-19 แต่ยังจำเวลาและเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ได้อยู่)
ตลอดการใช้งานร่วม 1 ชั่วโมงครึ่ง ผู้เขียนตั้งให้ Windows 10 อยู่ในโหมด Battery Saver ตลอดการใช้งานเพื่อเซฟแบตเตอรี่ แล้วใช้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ต้องถือว่าการจัดการพลังงานของ MateBook D 15 เครื่องนี้ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
หลังพักกลางวันและหาร้านกาแฟร้านที่ 2 นั่งทำงานได้แล้ว ผู้เขียนได้นั่งเขียนบทความต่อตั้งแต่ช่วงบ่าย 2 โมงครึ่งถึงราว 5 โมงเย็น และการตั้งค่าตัวเครื่องยังเป็นเหมือนเดิม คือเปิด Battery Saver และตั้งความสว่างหน้าจอ 50% แต่ตอนนี้จะเปิดโหมด Eye Comfort เพื่อถนอมสายตา เนื่องจากแสงในร้านกาแฟเจ้าที่ 2 จะเป็นโทนสีส้ม แล้วแสงสีขาวจากหน้าจอค่อนข้างขัดกันแล้วไม่เป็นมิตรต่อดวงตาเท่าไหร่
โหมด Eye Comfort ถ้าดูจากภาพที่ถ่ายหน้าจอด้วยกล้องอาจจะเห็นไม่ชัด แต่ถ้าผู้อ่านคนไหนมีโอกาสได้ไปร้านคอมพิวเตอร์ที่มี HUAWEI MateBook D 15 ให้เล่น แนะนำให้ลองเปิดโหมดนี้ดู จะเห็นว่าโทนสีบนหน้าจอที่ทาง HUAWEI ตั้งค่ามาจากโรงงาน จะเปลี่ยนจากโทนอมฟ้าเป็นโทนเหลืองอย่างชัดเจน ทำให้เวลานั่งทำงานในร้านที่แต่งไฟโทนสีส้มหรือเล่นคอมในห้องนอนแบบเปิดโคมไฟเอาไว้อย่างเดียว จะไม่แสบตามาก
ตัดเชือก 5 โมงเย็น แบตเตอรี่เหลือ 40% ยังอยู่ได้อีก 3 ชม. 3 นาที
พอทำงานจนถึงเวลา 5 โมงเย็นที่ผู้เขียนเลือกหยุดการทดลองใช้งานแล้ว ตัวเครื่องเหลือแบตเตอรี่ 40% แล้วระบบ Battery ของ Windows 10 แจ้งว่ายังใช้งานได้อีกราว 3 ชั่วโมง คาดว่าถ้าใช้งานต่อไปอีกจนแบตเตอรี่หมด 0% เลย คาดว่าจะใช้ทำงานได้ถึงราว 2-3 ทุ่ม แต่ผู้เขียนแนะนำว่าถ้าต้องการถนอมแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คให้ใช้งานได้นานไม่เสื่อมเร็ว ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ลดลงน้อยกว่า 30% จะดีที่สุด โดยเฉพาะเซลส์แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนเมื่อโดนดึงประจุไฟฟ้าที่อยู่ในตัวออกไปจนหมดแล้วชาร์จกลับไปใหม่จะเสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น
การชาร์จแบตเตอรี่ของ HUAWEI MateBook D 15 สามารถชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ที่ฝั่งซ้ายของตัวเครื่องได้เลย จะใช้ปลั๊กของตัวเครื่อง, ปลั๊กมือถือหรือ Power Bank ที่มีความจุสูงและจ่ายกระแสไฟได้ตามมาตรฐาน Power Delivery 65W ก็ชาร์จเครื่องได้เลย ซึ่งถ้างานยังไม่เสร็จแล้วที่ที่นั่งทำงานอยู่ไม่มีปลั๊ก ก็ใช้วิธีการแบบที่ผู้เขียนใช้ในภาพก็ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ทาง HUAWEI ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ที่หน้าเว็บไซต์ว่า ระบบ Fast Charge ของ HUAWEI MateBook D 15 นั้น สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 1-53% ได้ภายใน 30 นาที โดยสภาพแวดล้อมที่ทดสอบ คืออุณหภูมิในห้องที่ 25 องศา (เทียบเท่าห้องแอร์ที่เราอยู่กันตามปกติ) ความชื้นสัมพัทธ์ที่ 45-80% และชาร์จด้วยปลั๊กกับสายชาร์จมาตรฐานที่ติดมากับตัวเครื่อง ซึ่งถ้าชาร์จจาก Power Bank ในกรณีฉุกเฉินอาจจะช้าลงเล็กน้อย แต่ยังดีที่ยังได้ชาร์จแบตเตอรี่ให้ใช้เครื่องทำงานต่อได้จนเสร็จ
สรุป – อัพเดทซีพียูมาใหม่ น่าใช้เหมือนเดิม
จากการทดลองใช้งานจริงมา 1 วัน แบบ Cafe Hopper พกเครื่องติดตัวไปใช้เขียนงานและท่องเว็บไซต์หาข้อมูลต่าง ๆ แล้ว สามารถสรุปได้ง่าย ๆ ว่า HUAWEI MateBook D 15 รุ่นใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้ Intel Core i5-1135G7 แล้ว สามารถตอบโจทย์การทำงานผ่านทางออนไลน์ในยุคนี้ได้ดี ทั้งแบตเตอรี่ที่ใช้งานต่อเนื่องได้ทั้งวัน ถ้ากรณีต้องนั่งทำงานหนักแล้วไม่มั่นใจว่าแบตเตอรี่จะอยู่จบวันหรือเปล่า จะพกปลั๊กของตัวเครื่องไปด้วยก็ไม่กินพื้นที่ในกระเป๋ามาก หรือจะชาร์จด้วย Power Bank ที่จ่ายไฟ 65W ได้ ก็สะดวกไม่แพ้กัน
ส่วนสเปคของเครื่องนี้ก็ถือว่าไม่กั๊ก เพราะได้ M.2 NVMe 512GB และแรม 16GB มาด้วย ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไปก็ถือว่าจบในตัวไม่ต้องอัพเกรดอะไรแล้ว แค่หาอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ อย่าง External SSD หรือ USB-C Multiport adapter ฯลฯ มาใช้งานจะดีกว่า และถ้าใครใช้มือถือ HUAWEI อยู่ ก็จะได้ใช้ฟีเจอร์ Huawei Share ไว้ใช้งานคู่กับ MateBook D 15 เครื่องนี้ได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกขึ้นอีกหลายเท่า
ส่วนจุดสังเกตเล็กน้อยของ MateBook D 15 เครื่องนี้ที่ต่างจากโน๊ตบุ๊ค 15.6 นิ้วรุ่นอื่น คือโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไม่มี Numpad ติดตั้งมาให้ แต่ก็เป็นเพียงจุดสังเกตเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับสเปคและฟีเจอร์ส่วนอื่น ที่ HUAWEI อัพเกรดมาในรุ่นใหม่นี้ ถือว่า HUAWEI MateBook D 15 เครื่องนี้ก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คน่าใช้ที่ตอบโจทย์คนทำงานในยุคนี้ได้ดีเครื่องหนึ่ง