Acer Swift 3 SF316 รุ่นใหม่เป็น Acer Notebook รุ่นใหม่ที่พร้อมขายแล้ว ได้หน้าจอ 16.1″ เต็มตากว่า Swift 3 รุ่นก่อนๆ ที่เป็น 14″ ตัวเครื่องบาง 15.9 ม.ม. และเบาเพียง 1.7 กิโลกรัม สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 Tiger Lake H35 ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 สเปกเดียวคือ Core i5-11300H / Core i7-11370H สถาปัตยกรรม 10nm SuperFin มี AI ช่วยทำงานในตัว ใช้การ์ดจอออนชิปที่แรงที่สุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ได้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกเลย พร้อมมี Wi-Fi 6 AX + พอร์ต Thunderbolt 4 รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลายและดีที่สุด
รองรับการทำงานพื้นฐานอย่างงานเอกสาร เล่นอินเตอร์เน็ต ดูหนังฟังเพลง รวมถึงงานตัดต่อวีดีโอ หรือเล่นเกม 3 มิติออนไลน์ ก็ถือว่าทำได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ เหมาะกับคนทำงานหลากหลายอาชีพ หรือ นักเรียนนักศึกษา ที่ต้องการโน๊ตบุ๊คจอใหญ่ที่บางเบาพกพาสะดวก แต่ได้ประสิทธิภาพที่สูงคุ้มค่าต่อราคา สนนราคาเริ่มต้นที่ 25,990 – 29,990 บาท ได้ประกัน 2 – 3 ปี โดยปีแรกเป็น On-site Service ที่สำคัญได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 ทำให้ใช้งาน Word/ Excel / Power Point ได้ติดเครื่องยาวๆ พร้อมกับแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน
VDO Review
NBS Verdict
สรุปรีวิว Acer Swift 3 SF316 กับการเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาหน้าจอใหญ่ 16.1″ ราคาคุ้มค่ารุ่นล่าสุด ประจำซีรีส์ Swift ทั้งเรื่อง สเปก ดีไซน์การออกแบบ พร้อมฟีเจอร์ต่างๆ นั้น เป็นการต่อยอดจากรุ่นเดิมที่ดูลงตัว เพราะดูแล้ว Acer ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีกับโน๊ตบุ๊คบางเบาราคาคุ้มค่า ที่ราคาไม่แพง มีความน่าใช้งาน ได้สเปกแรงๆ อย่าง Core i5-1135G7 / Core i7-1165G7 และการ์ดจอออนชิปที่ทรงพลังอย่าง Iris Xe Graphics อีกทั้งได้มาตรฐานการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดอย่าง Wi-Fi 6 AX และ Thunderbolt 4 มาด้วยทันที
เป็น Acer Notebook ที่มาพร้อมหน้าจอใหญ่ 16.1″ หน้าจอความละเอียด FullHD พาเนล IPS เกรดสูง ค่า sRGB ระดับ 90% ให้สีสันเที่ยงตรงกว่า รองรับงานมืออาชีพได้มากกว่ โดยมีน้ำหนักเพียง 1.7 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ก็เบากว่ามาก ส่วนสเปกอื่นๆ ก็ครบครันทั้งแรมขนาด 8GB DDR4 LPDDR4X และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB รองรับการทำงานที่เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นงานทั่วไป งานเอกสาร หรือความบันเทิง รวมไปถึงเกม 3 มิติ ที่ไม่กินทรัพยากรก็มากก็เล่นได้ลื่นไหล
เรียกได้ว่า Acer เสนอโน๊ตบุ๊คบางเบารูปแบบใหม่จอใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนสู่ท้องตลาด ไม่ใช่แค่บางเบาแบบสุดๆ แต่ยังได้ยกระดับการใช้งานได้สเปกที่แรงลื่นขึ้นจากการที่เป็น Intel Core i Gen 11 Tiger Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตร SuperFin โดดเด่นด้วยการทำงานที่มี AI ช่วยประมวลผลงานบางอย่างในตัว รองรับพวก Microsoft Office / Adobe สนนราคาเพียง 25,990 – 29,990 บาท การรับประกันเป็น 2 – 3 ปีตามมาตรฐานของ Acer ซึ่งปีแรกมี On-site และมีบริการซ่อมด่วนใน 3 ชั่วโมงด้วย
ซึ่งแม้ประสิทธิภาพก็คงจะสู้โน๊ตบุ๊คที่เน้นความคุ้มค่าต่อประสิทธิภาพอย่าง Acer Nitro 5 ไม่ได้ในราคาที่ใกล้เคียงกัน แต่ก็จัดว่าทำงานหนักๆ หรือเล่นเกมได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ ทั้งหมด และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ หน้าจอได้รับการอัพเกรดเป็นรุ่นที่สูงขึ้นในระดับเดียว Acer Swift 5 รุ่นพี่ ได้ค่าขอบเขตสีระดับ sRGB ใกล้เคียง 100% นั่นเอง ส่วนข้อสังเกตมีเล็กน้อยในส่วนของแรมออนบอร์ด 8GB ที่อัพเกรดไม่ได้ และอแดปเตอร์เองถ้าให้มาเป็นมาตรฐาน USB-C น่าจะดีกว่านี้ เพราะใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้หลากหลาย
จุดเด่น Acer Swift 3
- เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 16.1″ ที่บางเบา ได้พื้นที่ให้การใช้งานที่มากกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
- มีดีไซน์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์ Swift 3 มีความหรูหรา เกินราคา
- วัสดุทำจากอลูมิเนียมและแม็กนีเซียมตลอดทั้งตัวเครื่องที่มีความแข็งแรง งานประกอบดูแน่นหนา
- สเปก Intel Core i Gen 11 H35 โดยรวมให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ลื่นไหลรวดเร็ว
- หน้าจอความละเอียด Full HD พาเนล IPS สีสันสวยงามเนียนตา ดีกว่ารุ่นเดิม
- ติดตั้งการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX ใหม่สุดๆ พร้อมรองรับ MIMO
- มีพอร์ต Thunderbolt 4 มาตรฐานใหม่ ใช้งานได้หลากหลาย อาทิ ชาร์จไฟ PD / ต่อจอแยก
- แม้ทำงานหนัก แต่ตัวเครื่องก็ระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ร้อนน้อยกว่ารุ่นก่อน
- มีสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ใช้งานร่วมกับ Windows Hello
- พัดลมระบายความร้อน 2 ตัว ช่วยให้การทำงานโดยรวมสเถียรดีขึ้น
- มีระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ติดตั้งมาให้ทันที
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานประมาณ 12 ชั่วโมง
- ฟีเจอร์ Fast Charge ชาร์จเพียง 30 นาที ก็สามารถใช้งานได้ถึง 4 ชั่วโมง
- ประกัน 3 ปี (On-site ปีแรก) ส่งศูนย์ซ่อมไวใน 3 ชั่วโมง สำหรับสเปก Core i7
- ได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท)
ข้อสังเกต Acer Swift 3
- แรมเป็นแบบออนบอร์ด ไม่สามารถอัพเกรดเพิ่มได้
- หัวชาร์จอแดปเตอร์ยังไม่ได้เป็นมาตรฐาน USB-C
- ยังไม่มีสเปกที่มีการ์ดจอแยกอย่าง MX / RTX ให้เลือกซื้อ
Specification
Acer Swift 3 SF316 สเปก Intel Core i Gen 11 Tiger Lake H35 ตอนนี้มีอยู่ 2 สเปก คือ Core i5-11300H ราคา 25,990 บาท และ Core i7-11370H ราคา 29,990 บาท ที่เป็นชิปประมวลผลสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่ 11 นาโนเมตร SuperFin เพิ่มเติมด้วย AI มาช่วยการประมวลผลให้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่ารองรับทุกๆ การทำงานได้ดีขึ้น ทั้งดูหนังฟังเพลง ใช้งานเอกสารอย่าง Word / Excel / Power Point ใช้งานอินเตอร์เน็ต หรือทำงานหนักๆ อาทิ Photoshop / Premiere Pro รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติก็ทำได้ดีขึ้น
- Intel Core i5-11300H : 4 Core 8 Thread / 3.10 – 4.40 GHz
- Intel Core i7-11370H : 4 Core 8 Thread / 3.30 – 4.80 GHz
รุ่นที่นำมารีวิวเป็นสเปกชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด มีความเร็วที่ 3.30 – 4.80 GHz ส่วนการ์ดจอเป็นออนชิปรุ่นใหม่แรงสุดในตลาดอย่าง Iris Plus Xe Graphics ที่แรงเทียบเท่าการ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce MX350 ทีเดียว ได้แรมออนอบร์ด 8GB LPDDR4X และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB หน้าจอเป็นพาเนล IPS เกรดสูง ขนาด 16.1″ ความละเอียด Full HD แบบจอด้านลดแสงสะท้อน พร้อมได้มุมมองที่กว้างและสีสันสดใสพร้อม Windows 10 Home ใช้งานได้ทันที
ส่วนเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ค่อนข้างครบ Thunderbolt 4 (เป็น USB 3.2 Type-C + DisplayPort + Power Delivery), USB 3.2 Type-A, HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Dual-Band Intel Wi-Fi 6 AX (GIG+) ที่แรงขึ้น 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด ได้ประกันเป็น 2 – 3 ปี พร้อมส่งศูนย์ซ่อมด้วยใน 3 ชั่วโมง (สเปก i7 มีประกัน On-site Service ในปีแรก) ที่สำคัญคือได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานฟรีๆ ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลย
Acer Swift 3 SF316-51-514S ราคา 25,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i5-11300H (4C/8T , 3.10 – 4.40GHz )
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics
-
RAM : 8GB LPDDR4X 4266 MHz
-
DISPLAY: 16.1″ IPS Full HD
-
STORAGE : 512GB SSD PCIe M.2
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
- Software : Office Home & Student 2019
- Warranty : 2 Years
Acer Swift 3 SF316-51-70GU ราคา 29,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-11370H (4C/8T , 3.30 – 4.80GHz )
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics
-
RAM : 8GB LPDDR4X 4266 MHz
-
DISPLAY: 16.1″ IPS Full HD
-
STORAGE : 512GB SSD PCIe M.2
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
- Software : Office Home & Student 2019
- Warranty : 3 Years + 1 Year On-site Service
Hardware / Design
Acer Swift 3 SF316 ที่เป็นรุ่นหน้าจอ 16.1″ นี้ ตัวเครื่องใช้วัสดุประกอบหลักเป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์ให้สัมผัสที่ดีเยี่ยม กับสีสัน Steel Gray ออกเป็นสีเทาๆ เข้มๆ ที่เหมาะกับทั้งหนุ่มๆ ลุคเท่ๆ เน้นเรียบง่าย หรือสาวๆ ที่เน้นทางการก็ดูลงตัว ซึ่งทั้งตัวเครื่องให้ความบางเบาแต่แข็งแรง เรียกได้ว่าได้รับการพัฒนาต่อยอดจากโน๊ตบุ๊คบางเบาของทาง Acer ได้เป็นอย่างดีที่มาพร้อมราคาที่คุ้มค่าน่าใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าได้รับ DNA มาจากดีไซน์การออกแบบโดยรวมมาจาก Acer Swift 3 SF314 ที่เป็นหน้าจอ 14″ มาเต็มๆ แต่ก็มีรายละเอียดหลายส่วนที่ต่างออกไป
ดีไซน์ภายนอกดูแล้วมีความเรียบหรูกว่าราคาไปมาก โดยตัวเครื่องมาพร้อมกับบาง 15.9 มิลลิเมตร ซึ่งนับว่าเป็นความบางของตัวเครื่องที่ทำได้ดีมาก และมีน้ำหนักเพียง 1.7 กิโลกรัมเท่านั้น (ชั่งจริง ๆ ไม่ถึง 1.7 กิโลกรัมด้วย) ถือได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอขนาด 16.1″ แต่ตัวเครื่องเทียบเท่ากับหน้าจอ 15.6″ อย่างโน๊ตบุ๊คที่อยู่แล้วก่อนหน้า พร้อมการพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้นแบบรู้สึกได้ จนรุ่นจอใหญ่ๆ หนาๆ ต้องอิจฉาเลยทีเดียว กับแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน พร้อมยังสามารถชาร์จได้รวดเร็วด้วยการชาร์จเพียง 30 นาที ก็สามารถใช้งานได้ถึง 4 ชั่วโมง
ฝาหลังเป็นวัสดุอลูมิเนียมอัลลอยด์ ให้ผิวสัมผัสที่ดีมีความพรีเมียมผิวเรียบเนียนกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป พร้อมโลโก้ Acer ตามมาตรฐานกลางฝาหลัง ให้สีสันเป็นเงินมันวาว สำหรับขอบตัวเครื่องมีความโค้งมนเพื่อความสวยงาม ส่วนด้านในก็จะเป็นแม็กนีเซียมที่ดูหรูหราพร้อมสัมผัสที่แตกต่างไปเล็กน้อยรู้สึกได้ถึงความไม่เรียบ เข้ากันได้ดีกับคีย์บอร์ดสีเทาตัวอักษรเป็นสีขาวยิ่งให้ความสวยงามและโดดเด่นตามสไตล์ของ Acer Notebook แน่อนนว่าตัวคีย์บอร์ดมีไฟ LED Blacklit ยิ่งให้ความพรีเมียมขึ้นไปอีก
ขอบตัวเครื่องทั้งหมดจะเป็นดีไซน์แบบโค้งมนเนียนๆ เข้ากับมือเวลาหยิบจับถือขึ้นมา โดยจากสติ๊กเกอร์ด้านในบริเวณที่วางมือฟีเจอร์ที่แปะไว้เอาไว้บ่งบอกถึงสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 H35 และการ์ดจอแยก Intel Iris Xe Graphics รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ โดยตัวบานพันด้านหลังเป็นแบบแถวยาวแถวเดียวโดยเลือกใช้เป็นสีเขียว โดยมีคำว่า Swift อยู่ พร้อมยางรองพิเศษที่จะดันตัวเครื่องให้เอียงเมื่อเราทำงานเปิดใช้งาน เพื่อให้รับกับการพิมพ์ของเรา
สรุปสำหรับตัวเครื่องและดีไซน์การออกแบบของ Acer Swift 3 SF316 นั้น เป็นการรักษาภาพลักษณ์รุ่นเดิมที่ดูลงตัวอยู่แล้ว แต่ได้มีการเพิ่มขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า 14″ เข้ามาเป็นตัวเลือก จากการที่ Acer ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีกับโน๊ตบุ๊คบางเบาราคาคุ้มค่า ที่ราคาไม่แพง ซึ่งรุ่นสเปกที่เรานำมารีวิวอยู่ที่ 29,990 บาทเท่านั้น ที่ให้ภาพลักษณ์โดยรวมนั้นทำได้เป็นอย่างดีน่าประทับใจ ที่สำคัญคือเมื่อเทียบกับ Acer รุ่นก่อนๆ ต่อฟีเจอร์และสเปกที่ได้ จัดได้ว่ามีราคาที่จับต้องได้ง่ายอีกด้วย
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดที่ติดตั้งมาในตัวเครื่องเป็นแบบ Chiclet Keyboard แบบ Full Size พร้อม Numpad ซึ่งระยะเว้นระหว่างปุ่มพิมพ์ทำออกมาได้พอดีไม่ชิดกันมากเกินไปและระยะยุบตัวของปุ่มพิมพ์นั้นค่อนข้างสั้น แต่ใช้งานจริงก็พอได้อยู่ไม่ได้ลำบากในการใช้งานนัก ผิวสัมผัสของปุ่มแต่ละปุ่มนั้นให้ความรู้สึกที่ติดนิ้ว
ส่งผลให้พิมพ์ได้อย่างสะดวกไม่แพ้คีย์บอร์ดของโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ เลย พร้อมมีไฟคีย์บอร์ดสีขาวส่องสว่างที่เราสามารถเลือกเปิดปิดได้ช่วยให้ใช้งานในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมขวาบน สีกลืนไปกับเครื่อง ซึ่งแม้ว่าเราจะไปเผลอกดระหว่างการใช้งานก็ไม่ได้ทำให้เครื่องปิดแต่อย่างใด (ต้องกดค้างซัก 3 วินาทีถึงจะมีเมนูของ Acer ขึ้นมา)
ทัชแพดถูกออกแบบมาให้มีขนาดที่ใหญ่กำลังดี โดยจะซ่อนปุ่มคลิกซ้ายและคลิกขวาเอาไว้ทำให้ดูเรียบง่ายหรูหรา จากการทดสอบแล้วทัดแพชนี้รองรับ Gesture Control ผ่านทาง Windows 10 Home ได้ดีและมีการตอบสนองที่รวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ที่ใช้งานได้ง่าย ผ่านทางฟีเจอร์ Windows Hello ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ใช้งานได้สะดวกและปลอดภัยกว่าการกรอกรหัสเข้าใช้งานเครื่องทุกครั้ง
Screen / Speaker
ตัวเครื่องติดตั้งหน้าจอขนาด 16.1″ ที่เป็นขนาดที่แตกต่างจากรุ่นทั่วไป ที่เป็นแล้วเป็น 14″ หรือ 15.6″โดย ได้ขอบจอบางสุดๆ มีพื้นที่ 88.2% เป็นหน้าจอแสดงผล ได้พาเนล IPS เกรดสูงที่ดีกว่าหลายๆ รุ่นในตลาด ที่รองรับความละเอียด Full HD หรือ 1920 x 1080 พิกเซล ที่เหมาะกับการทำงานหรือความบันเทิงแบบสุดๆ ด้วยสีสันที่สมจริงเรียบเนียมและมุมมองที่กว้างกว่า แน่นอนว่าขอบด้านบนยังติดตั้งกล้องเว็บแคมพร้อมไมโครโฟนแบบคู่ให้ใช้งาน VDO Call หรือประชุมออนไลน์ เรียนออนไลน์ ผ่านซอฟต์แวร์ต่างๆ อยู่
อีกทั้งยังมี Acer Color Intelligence เทคโนโลยีนี้จะปรับแกมม่าและความอิ่มตัวสีแบบเรียลไทม์ ช่วยปรับสี ความสว่าง และความอิ่มตัวสี แน่นอนว่าให้ประสบการณ์ใช้งานในการแสดงผลที่เยี่ยมยอด โดยมี BluelightShield ลดแสงสีฟ้า รองรับกับงานทั่วไปเป็นอย่างดีและพอเพียงกับการใช้งานทั่วไป อย่างเล่นอินเตอร์เน็ต พิมพ์งาน รวมไปถึงการดูหนังฟังเพลง ดู Youtube / Netfilx
ทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอที่เป็นโน๊ตบุ๊ค ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 91% และ AdobeRGB ที่ 70% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม เหมาะกับผู้ที่ใช้งานด้านตกแต่งภาพ หรือทำ Art Work ที่ต้องการความเที่ยงตรงของสีเป็นหลัก รวมไปถึงงานระดับมืออาชีพที่ให้ความสำคัญคือค่าสี โดยมีความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เอาไปทำงานข้างนอกสบายๆ
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่เห็นได้ว่าช่องกลางหน้าจอมีค่า 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ แต่สำหรับขอบจอมุมขวาบนที่ลดลงไปที่ระดับ 9% ทำให้ต้องใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ พร้อมค่าความคลาดสีที่ดีมากๆ อย่าง Delta E เฉลี่ยแล้วน้อยกว่า 1 เสียอีก สรุปปิดท้ายด้วยคะแนนรวม 4.0 คะแนนถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเกินราคาค่าตัวจริงๆ
ในส่วนของลำโพงที่ติดตั้งมาเป็นแบบสเตอริโอแบบ 2 x 2W มาพร้อมระบบเสียง DTS Audio และ Acer TrueHarmony โดยเป็นลำโพงขนาดเล็กอยู่ทางด้านล่างฝั่งผู้ใช้มุมซ้ายและขวาของตัวเครื่องอัดลงพื้นให้สะท้อนขึ้น จากการทดสอบลำโพงพบว่าเสียงที่ออกมาค่อนข้างดีน่าประทับใจ แยกรายละเอียดได้ในระดับหนึ่ง ถือได้ว่ามีเสียงที่ดังชัดเจน โดยเน้นไปโทนกลางและแหลมเป็นหลักตามสไลต์ลำโพงจากโน๊ตบุ๊คทั่วไป อย่างไรก็ตามถ้าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีจริงๆ แนะนำต่อลำโพงหรือหูฟังแยกจะดีกว่า
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่องนี้จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความครบครันสุดในรุ่น แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบา ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A จำนวน 2 พอร์ต และ HDMI พร้อมช่องต่อหูฟังขนาดมาตรฐาน ที่สำคัญยังให้พอร์ตอย่าง Thunderbolt 4 ที่เป็น Full Function ที่ประกอบไปด้วย USB 3.2 / DisplayPort / PD รองรับการชาร์จไฟในตัวอีกด้วย โดยรวมแล้วต้องบอกว่าเหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คในกลุ่มราคาเดียวกันทีเดียว
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ทั่วไปในปี 2021 ถือได้ว่ามีมิติที่พอๆ กัน ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 1.7 กิโลกรัมเท่านั้น และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์ไซส์เล็กเข้าไปด้วย ก็จะมีหนักไม่ถึง 2 กิโลกรัม (อแดปเตอร์ยังเป็นหัวแบบกลมปกติ ทั้งๆ ที่ถ้าได้มาตรฐาน USB-C จะดีมากๆ )
ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่านอกจากตัวเครื่องที่บางเบาแล้ว ในส่วนของอแดปเตอร์เองก็มีขนาดที่เล็กและเบามากๆ โดยรวมแล้วก็จัดว่ามีน้ำหนักที่ไม่ลำบากในการพกพาเลย สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาอีกรุ่นหนึ่ง สาวๆ น่าจะชอบกัน หยิบใส่กระเป๋าไปใช้งานข้างนอกสบายๆ
Inside / Upgrade
การแกะเครื่องเพื่ออัพเกรดนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแค่ไขน็อตหัวดาวทุกตัวรอบฝาล่างออก (สามารถเจาะทะลุสติ๊กเกอร์ Acer ได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าประกันจะหลุด) จากนั้นใช้บัตรแข็งค่อยๆ รูดถอดออกที่ละส่วน จากด้านหลังมาด้านหน้าทีละข้าง งานประกอบการจัดวางตำแหน่งดูแล้วเรียบง่าย โดยอาศัยพัดลม 2 ตัว ดูดลมเย็นจากใต้ตัวเครื่องจากนั้นถ่ายเทความร้อนออกไปให้โดนฮีทไปป์แบบ 2 เส้น พร้อมฟินสีดำทางด้านหลังของตัวเครื่อง ที่ซ่อนช่องระบายความร้อนไว้อย่างเรียบเนียน
ซึ่งหน่วยคสามจำแรมเป็นแบบฝั่งเมนบอร์ดมาเลย โดยติดตั้งขนาด 8GB LPDDR4X Dual Channel (2GB x 4) แบบฝังบอร์ด ส่วน SSD M.2 NVMe PCIe ติดมาแล้วที่ 512GB โดยมีการติดตั้งเหนือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ส่วนอื่นๆ ก็ประกอบฮาร์ดแวร์อื่นๆ ถือว่ามีงานประกอบที่เรียบร้อยเป็นอย่างดี อีกทั้งยังดูแล้วในอนาคตยังทำความสะอาดได้ง่ายด้วย โดยรวมแล้วการแกะตัวเครื่องเพื่อเน้นทำความสะอาดเป็นหลัก หรือซ่อมแซมก็สามารถทำได้สะดวกทีเดียว
Performance / Software
Acer Swift 3 SF316 ได้สเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H ที่แรงกว่า Intel Core i7-1165G7 ด้วยสถาปัตยกรรม Tiger Lake H35 เน้นประสิทธิภาพมากกว่า Tiger Lake U มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร SuperFin ความเร็ว 3.30 – 4.80 GHz แบบ 4 Core/ 8 Thread ร้อนน้อยกว่า ได้ L3 Cache ที่ 12MB Smart Cache มีค่าอัตราการใช้พลังงานสูงสุด (TDP) ที่ 35W ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่จริงๆ ที่อยู่ระหว่าง H45
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 8GB แบบฝังบอร์ด ทำงานเป็น Quad Channel เป็นมาตรฐาน LPDDR4X ที่ดีกว่า DDR4 ปกติ ตามเทคโนโลยีของ Intel Core i Gen 11 ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหนือชั้น พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูง ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K ได้แบบไม่มีปัญหา
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มพลังการสร้างสรรค์คอนเทนต์ มองหาความบันเทิง หรือการเล่นเกมเปี่ยมอรรถรส ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง อย่างไรก็ตามในการใช้งานจริงๆ จะแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับระบบระบายความร้อนด้วย เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH R15 / R20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจสมกับเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe PCIe ระดับกลางๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 2202 MB/s และเขียนที่ 1165 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจ จัดว่าเป็น SSD M.2 NVMe ระดับกลางค่อนบน
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,407 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 H35 ที่แม้ไม่มีการ์ดจอแยก แต่ด้วยชิปประมวลผลที่มีการ์ดจอออนบอร์ดตัวแรงอย่าง Iris Xe Graphics พร้อม AI เทคโนโลยี 10 นาโนเมตร SuperFin ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกใกล้เคียงกันกับ Gaming Notebook หลายๆ รุ่นเลยทีเดียว
ทดสอบเกมคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 3 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H การ์ดจอออนชิป Iris Xe Graphics ได้ดีเยี่ยม ประกอบกับใช้แรม 8GB LPDDR4X Bus 4266MHz รวมไปถึง SSD M.2 ก็ส่งผลช่วยด้วย
สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 77 และในส่วนของเกม Overwatch ที่ปรับ Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 101 ซึ่งรวมไปถึงเกมกินสเปกอย่าง PUBG เฟรมเรทก็ทำออกมาได้ลื่นไหลกว่าที่คาดไว้พอตัวเฉลี่ยที่ 51 เรียกได้ว่าเล่นได้ลื่นไหลใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊ครุ่นก่อนๆ ที่เป็นการ์ดจอ MX350 เลยทีเดียว
นอกจากนี้ Acer Notebook ทุกรุ่นเองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง Acer Care Center (เปิดเครื่องมาพร้อมใช้งานทันที) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน ที่สำคัญถ้าใครต้องการ Backup หรือ Recovery ข้อมูลภายในก็จัดการได้เลย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น ที่ความจุ 4200 mAh โดยสามารถทำงานต่อเนื่องยาวนานได้ราวๆ 12.50 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตดู Youtube พร้อมปรับโหมดเป็น Power Saver และลดเสียงลดแสงลงเหลือ 10% และคาดว่าจะระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่จะเปลี่ยนแปลงตามการใช้งานของแต่ละคน
โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ Fast Charge สามารถชาร์จได้รวดเร็วด้วยการชาร์จเพียง 30 นาที ก็สามารถใช้งานได้ถึง 4 ชั่วโมง (จากแบต 0%) ส่วนช่องระบายความร้อน จะอยู่ด้านบนของฐานเครื่องบริเวณขาพับจอ โดยออกแบบให้ซ่อนตัวเอาไว้ด้านหลังติดกับกรอบอะลูมิเนียมของจอ จากการที่ตัวเครื่องมีความเล็กกระทัดรัดนั่นเอง
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 40 – 60 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าเครื่องจะร้อนที่สุด 94 องศาเซลเซียส ที่เป็นในส่วนของ CPU เวลาเล่นเกมต่อเนื่องนานๆ รวมไปถึงการประมวลผลหนักๆ เช่นเการเรนเดอร์วีดีโอ นับว่าความร้อนของเครื่องนี้ค่อนข้างความร้อนสูง ซึ่งใช้งานเอาจริงๆ ก็ไม่ได้กระทบกับการใช้งาน หรือทำให้เครื่องค้างหรือหน่วงแต่อย่างใด
เทียบกันรุ่นก่อนๆ ถือว่าดีขึ้นเพราะประสิทธิภาพไม่ได้ลดลงขณะความร้อนสูงสุด โดยการใช้งานปกติทั่วไปสามารถจัดการระบบระบายความร้อนออกมาอย่างน่าประทับใจ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนที่ดีพัดลม 2 ตัว และชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 สถาปัตยกรรม Tiger Lake H35 ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร SuperFin นั่นเอง
Conclusion / Award
สเปก Acer Swift 3 SF316 ก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานพกพาจอใหญ่กว่าที่ 16.1″ wfhราคาไม่แพงที่คุ้มค่ามากๆ ด้วยการติดตั้งชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 H35 สถาปัตยกรรม Tiger Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโมตร SuperFin ที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าไปอีกระดับ พร้อมการ์ดจอออนชิปตัวแรงอย่าง Iris Xe Graphics ซึ่งทดสอบแล้วประสิทธิภาพใกล้เคียงการ์ดจอแยกสบายๆ ได้แรมก็เป็นมาตรฐาน LPDDR4X Bus 4266MHz ขนาด 8GB การเข้าถึงข้อมูลได้ไวด้วยที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 ความเร็วสูงที่ความจุ 512GB ทำให้ความลื่นไหลทั้งระบบ
ในเรื่องของฟีเจอร์อื่นๆ ได้ระบบเสียงของ DTS Audio และลำโพงก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้พอได้ รวมถึงยังได้ติดตั้งพอร์ตการใช้งานครบครัน ซึ่งก็มีพอร์ตเทพอย่าง Thunderbolt 4 และรองรับการเชื่อมต่อไร้สายมาตรฐาน Wi-Fi 6 AX อยู่ด้วย โดยมีความเบาที่ 1.7 กิโลกรัม บางที่ 15.9 มิลลิเมตร พร้อมแบตทดสอบจริงได้ 12 ชั่วโมง แน่นอนว่าตอบโจทย์สำหรับการพกพาในระดับที่ดีเยี่ยม ซึ่งบอกได้เลยว่ากรณีที่เราจะซื้อโน๊ตบุ๊คบางเบาจอใหญ่ ที่ได้ฟีเจอร์ครบเครื่องแบบนี้ ถ้าหลายปีก่อนต้องราคาต้องหลายหมื่นบาทแน่นอน แต่ Acer Swift 3 SF316 ที่ขายอยู่ในตอนนี้ทำราคาได้ดีมากๆ
Acer Swift 3 SF316 ให้ประสบกาณ์ใช้งานก็ยังเยี่ยมยอดเหมาะกับคนทั่วไปที่ต้องการคอมพิวเตอร์พกพาใช้งานพื้นฐานที่หน้าจอใหญ่กว่า 14″ หรือ 15.6″ รวมไปกลุ่มคนทำงานพนักงานออฟฟิศและ Work From Home หรือนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการโน๊ตบุ๊ค ที่เน้นใช้งานทั่วไปลื่นไหลใช้งานยาวๆ ทั้งจากสเปก ประสิทธิภาพ และหน้าจอที่ดีขึ้น ที่สำคัญคือได้การพกพาที่เหนือชั่นกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอใหญ่หลายๆ รุ่นเสียอีก กับราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ถือว่าให้ฟีเจอร์มามากกว่าด้วย แต่เรื่องดีไซน์และวัสดุภายนอกอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคนอีกที
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ ด้วยกัน ซึ่ง Acer Swift 3 SF316 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Value
ความคุ้มค่าต่อประสิทธิภาพของ Acer Swift 3 SF316 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานราคาสองหมื่นบาทต้นๆ ที่คุ้มค่าที่สุดรุ่นหนึ่ง ด้วยราคาขาย 25,990 – 29,990 บาท ถูกกว่ารุ่นก่อน ที่มาพร้อมสเปกใหม่อย่าง Intel Core i Gen 11 H35 การ์ดจอออนชิปอย่าง Intel Iris Xe Graphics ซึ่งแรงกว่ารุ่นก่อนที่มีการ์ดจอแยกเสียอีก รวมถึงมีแรม 8GB LPDDR4X และที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ซึ่งได้หน้าจอ IPS คุณภาพสูงในราคาที่ไม่แพง โดยมีสแกนลายนิ้วมือด้วย ที่สำคัญยังได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 เราจึงมอบรางวัล Best Value ไปให้เลย
Best Design
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Acer Swift 3 SF316ในเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร กับขนาดหน้าจอ 16.1″ ที่ใหญ่กว่า Swift 3 รุ่นก่อนๆ ทำใหใช้งานได้สบายตากว่า รวมถึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ด้วยการที่ตัวเครื่องมีความบางและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ที่เชื่อได้เลยว่าทาง Acer ได้ใส่ใจในส่วนของรายละเอียดนี้เป็นอย่างมาก ประกอบกับวัสดุหลักในการผลิตยังใช้เป็นอลูมิเนียมที่ให้ในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน และยังบ่องบอกได้ถึงความสวยงามหรูหราอีกด้วย ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design ทำให้ได้ไปอย่างไม่ยากเย็น
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ Acer Swift 3 SF316 อยู่ในระดับที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 1.7 กิโลกรัม และบางที่ 15.9 มิลลิเมตร ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ โดยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมงก็ถือว่าใช้งานได้มากแล้ว รวมไปถึงรองรับการชาร์จไฟผ่านทางพอร์ต Thunderbolt 4 ด้วย ทำให้ถ้าใครมีอแดปเตอร์ USB PD ที่จ่ายไฟ 65W อยู่แล้ว ก็สามารถใช้งานร่วมกันได้เลย