เปลี่ยนแบตไอโฟนสักครั้ง เตรียมเงินเท่าไหร่ เปลี่ยนตอนไหนดี เรามาดูกันดีกว่า
ไอโฟนนั้นเป็นสมาร์ทโฟนในใจของใครหลาย ๆ คนก็ไม่ผิดนัก แต่พอใช้งานไปสักพัก ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมย่อมตามมา ก็ได้เวลาเปลี่ยนแบตไอโฟนอันเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้เป็นอันใหม่ให้เวลาใช้งานยาวนานขึ้นเท่าเดิม ณ จุดนี้หลายคนก็อาจจะคิดแล้ว ว่าจะเอาไปทำที่ iCare ที่เป็นศูนย์บริการของ Apple เลยดีไหม หรือจะพึ่งพาร้านตู้จะดีกว่า โดยเฉพาะคนที่ประกัน AppleCare อายุ 1 ปีหมดแล้ว ก็ย่อมคิดหาทางประหยัดเงินในกระเป๋าอย่างแน่นอน
แต่ก่อนเอาไอโฟนเครื่องโปรดไปเปลี่ยนแบต เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าต้องให้แบตเตอรี่เสื่อมถึงระดับไหน ถึงได้เวลาเอาเครื่องเข้าศูนย์บริการสักครั้งหนึ่งถึงจะดีและคุ้มที่สุด? แล้วจะเอาไปเปลี่ยนศูนย์หรือทำกับร้านนอกดีกว่ากัน สามารถหาคำตอบในบทความนี้ได้เลย
วิธีดูสภาพแบตเตอรี่ว่าตอนไหนควรเปลี่ยนแบตไอโฟนได้แล้ว
สำหรับผู้ใช้ไอโฟนที่อัพเดทเป็น iOS เวอร์ชั่น 11.3 หรือใหม่กว่าแล้ว จะมีฟังก์ชั่นใหม่ที่เรียกว่า Battery Health (Beta) เพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยมอนิเตอร์สภาพแบตเตอรี่ที่ติดตั้งเอาไว้ในเครื่องได้ง่าย ๆ และปัจจุบันก็อัพเดทเป็นเวอร์ชั่นสมบูรณ์แล้ว
เริ่มต้นถ้าอยากรู้ว่าไอโฟนของเราสภาพ Battery Health นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ให้กดที่ Settings จากนั้นเลื่อนลงมาแตะที่คำว่า Battery เพื่อเข้าไปสู่หมวดการตั้งค่าเกี่ยวกับแบตเตอรี่
ในหมวดของ Battery จะมีคำสั่งย่อย 2 ส่วนด้วยกัน คือ Low Power Mode ช่วยให้เครื่องประหยัดแบตเตอรี่ยิ่งขึ้น แต่ก็ลดประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องลงไปด้วย ซึ่งผู้เขียนจะกล่าวต่อไปในเนื้อหาหัวข้อต่อไป และหัวข้อ Battery Health ที่เราสามารถแตะเข้าไปดูต่อได้
ใน Battery Health จะแสดงค่าว่าตอนนี้แบตเตอรี่ของไอโฟนสามารถใช้งานได้กี่เปอร์เซ็นต์ตรงหัวข้อ Maximum Capacity (ความจุสูงสุด) ซึ่งถ้าไอโฟนเครื่องนั้นยังใช้งานมาไม่นานจะอยู่ช่วง 95-100% ขึ้นอยู่กับนิสัยการใช้งานและชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเครื่องด้วย
ส่วน Optimized Battery Charging เป็นฟีเจอร์ที่ไอโฟนจะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเรา ว่าในวัน ๆ หนึ่งของเราจะหยิบมือถือขึ้นมาใช้งานเมื่อไหร่ หยิบกลับไปชาร์จตอนไหนบ้าง โดยระบบจะพักการชาร์จแบตเตอรี่เอาไว้ราว 80% แล้วเลี้ยงแบตอยู่เรื่อย ๆ พอเราหยุดใช้เป็นเวลานาน ๆ เช่น ตอนเราเข้านอนแล้ว ระบบจะเริ่มชาร์จแบตเตอรี่จาก 80% ขึ้นไปจนเต็ม 100% พอตื่นมาแล้วเอามือถือไปใช้งานต่อได้เลย ซึ่งฟังก์ชั่นการชาร์จนี้จะคล้ายกับ Android หลาย ๆ รุ่นที่ชาร์จแบตอย่างรวดเร็วจนกลับมาเต็ม 80% ในเวลาสั้น ๆ แล้วผ่อนความเร็วชาร์จลง ซึ่งจะช่วยถนอมเซลส์แบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง ฟีเจอร์นี้จะเปิดทำงานเอาไว้เสมอเป็นค่ามาตรฐาน และผู้เขียนแนะนำว่าควรเปิดทิ้งเอาไว้เลยจะดีที่สุด
เรื่องน่ารู้และวิธีการถนอมแบตเตอรี่ของไอโฟน กับความแตกต่างของการเปลี่ยนแบตกับศูนย์และร้านนอก
เปลี่ยนเองก็มีชุดเปลี่ยนแบตของไอโฟนขายเป็นเรื่องราว แต่เปลี่ยนแล้วใช้ได้ไหมอีกเรื่อง!
สำหรับแบตไอโฟนทุกรุ่นที่ผ่านมาตั้งแต่ iPhone 5 จนกระทั่ง iPhone 12 เวอร์ชั่นล่าสุดนั้น ทาง Apple จะใช้แบตแบบลิเธียมไอออนมาโดยตลอด ไม่ได้เป็นลิเธียมโพลิเมอร์แบบ Android ใช้กันเป็นมาตรฐานแล้ว ทาง Apple โพสท์เอาไว้ใน Blog ของทางบริษัทว่าสาเหตุที่ทาง Apple ยังใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน เพราะเป็นแบตเตอรี่ที่ชาร์จกลับมาใช้งานได้เร็ว, ให้พลังงานสูงเมื่อเทียบกับอายุการใช้งานและขนาดไม่ใหญ่ และอายุการใช้งานก็นานอีกด้วย
ซึ่งการทดสอบจากสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของไอโฟนก้อนหนึ่ง มีอายุการชาร์จที่ 500 Cycle ซึ่ง 1 Cycle จะนับเมื่อแบตเตอรี่จาก 100% ลดลงจนเหลือ 0% จะนับเป็น 1 Cycle ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานจริง เช่นถ้าเป็น 50% แล้วชาร์จจนเต็ม 2 ครั้ง ก็นับเป็น 1 Cycle เช่นกัน
และเมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ ในหัวข้อ Peak Performance Capability ในหน้า Battery Health จะแสดงข้อความขึ้นมาแจ้งผู้ใช้ด้วย โดยหน้าจอ iPhone ฝั่งซ้ายมือจะแสดงข้อความ 2 ย่อหน้า ซึ่งมีข้อความว่า “Your battery’s health is significantly degraded.” ขึ้นมาเมื่อไหร่ แสดงว่าแบตไอโฟนของเราเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว แต่ถ้าเป็นหน้าจอขวาที่มีย่อหน้าเดียว และยังไม่มีข้อความแสดงปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ขึ้นมาก็ยังใช้งานได้ดีเช่นเดิม
ส่วน Battery Health ที่ 80-100% ถือว่ายังอยู่ในสภาพดี แต่ระยะเวลาใช้งานจะลดลงไปตามประสิทธิภาพการเก็บประจุในแบตเตอรี่ ถ้าอยู่ในช่วง 70-79% ก็ยังพอใช้งานได้อยู่ แต่ระยะเวลาใช้งานก็จะลดลงอย่างชัดเจน ถ้าต่ำกว่านั้นก็ถือว่าแบตเตอรี่ในไอโฟนเครื่องนั้นเสื่อมสภาพแล้ว และควรเอาไปเปลี่ยนจะดีที่สุด เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ เช่นเครื่องดับกะทันหัน, แบตบวมหรือระเบิดเป็นต้น
ข้อความสำคัญจากตัวเครื่องที่ควรทราบ
หน้าต่างข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแบตเตอรี่ หรือ Important Battery Message เป็นสัญญาณเตือนกลาย ๆ จาก iOS ก่อนจะต้องเปลี่ยนแบตไอโฟนจะมี 2 อย่าง คือ Unable to recommend service at this time. ซึ่งจะแจ้งผู้ที่ใช้ไอโฟนมาระยะหนึ่งแล้วแบตเตอรี่ในไอโฟนเก็บประจุได้ไม่ดีเท่าเดิม โดยตัวเครื่องจะจัดการคำนวนความจุแบตเตอรี่สูงสุดที่ไอโฟนรับได้ใหม่ ถ้าสำเร็จแล้วข้อความนี้จะหายไปโดยอัตโนมัติและความจุแบตเตอรี่สูงสุดจะเปลี่ยนเป็นค่าใหม่ที่ระบบ iOS 14.5 คำนวนได้
กรณีทำไม่สำเร็จ ตัวเครื่องจะยังแสดงกรอบ Important Battery Message ตามเดิมแล้วเปลี่ยนข้อความเป็น Recalibration of the battery health reporting system was not successful แทน ซึ่งถ้าขึ้นข้อความนี้ก็ยังพอใช้ไอโฟนได้ตามเดิมแต่แบตเตอรี่จะลดเร็วแบบสังเกตได้ ซึ่งถ้าขึ้นข้อความนี้เมื่อไหร่แนะนำให้เปลี่ยนแบตไอโฟนไปเลย
ถนอมแบตไอโฟนอย่างไร จะได้ใช้งานได้นานขึ้นและเสียเงินช้าลง
เป็นใครก็อยากถนอมแบตของไอโฟนให้เสื่อมช้าที่สุด จะได้ไม่ต้องเอาไปเปลี่ยนแบตให้เสียเงิน แต่ต้องทำอย่างไรบ้าง? ในส่วนนี้มีตรรกะที่ใช้งานได้ตลอดคือ “ถ้าอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาวหรือร้อนเกินไปคือดีที่สุด” ซึ่งทาง Apple ก็ประกาศเอาไว้ในบล็อกของทางบริษัทว่าด้วยแบตเตอรี่เช่นกัน ว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมในทุกภาวะของ Apple Watch, iPhone และ iPad ควรอยู่ระหว่าง 0-35 องศาเซลเซียส ส่วน MacBook ทุกรุ่นควรอยู่ที่ -20 ถึง 45 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าร้อนหรือเย็นเกินไป ก็จะมีผลกระทบทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เรื่องที่หลาย ๆ คนมองข้ามอย่างเคสมือถือก็ทำให้แบตไอโฟนเสื่อมเร็วขึ้นได้ เพราะเคสนิรภัยตัวหนาหลายรุ่น แม้จะปกป้องตัวเครื่องตอนตกได้ดี แต่ก็ไม่เป็นมิตรตอนเอาไอโฟนไปเสียบชาร์จแบตเลย เพราะเคสกลุ่มนี้ถูกออกแบบให้แข็งแรง แต่ระบายความร้อนตอนชาร์จไม่ดีแล้วอมความร้อนเอาไว้ ทำให้แบตเตอรี่ที่ร้อนจากการชาร์จแบตแล้วยิ่งร้อนกว่าเดิมเพราะเคสอมความร้อนอยู่ ดังนั้นคนที่ใส่เคสหนาหรือเคสแฟนซีก็ควรถอดเคสก่อนชาร์จเสมอ แต่ถ้าเป็นเคสยางกันกระแทกที่ไม่หนามากจะชาร์จพร้อมเคสก็ได้
ส่วนวิธีการชาร์จถนอมสภาพแบตเตอรี่ให้ดีเสมอ จะมีข้อแนะนำจากทาง Apple ดังนี้
- อย่าเล่นมือถือจนแบตหมดแล้วเครื่องดับไปเลย ควรชาร์จตอนแบตเตอรี่อยู่ราว 50% จะดีที่สุด เพราะทำให้แบตไม่เสื่อมเร็ว
- ถ้าเลิกใช้แล้วจะเก็บไอโฟนเข้ากล่อง ห้ามเล่นจนแบตเตอรี่หมด 0% เพราะแบตเตอรี่จะเข้าสู่ deep discharge state ที่ลดประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ และไม่ควรชาร์จ 100% ก่อนเก็บเข้ากล่องเช่นกันเพราะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วและเก็บประจุไม่อยู่ ควรอยู่ราว 50%
- ควรปิดเครื่องเสมอเมื่อไม่ใช้งานแล้ว ไม่ให้เปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น
- ถ้าเก็บเครื่องเอาไว้นานเกิน 6 เดือน ควรชาร์จไว้ 50% จากนั้นชาร์จให้กลับมา 50% ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อถนอมสภาพแบตเตอรี่
- เวลาชาร์จแบตให้เครื่องที่เก็บเกิน 6 เดือน ควรใช้ปลั๊กที่สเปคเหมาะสมกับไอโฟนรุ่นนั้น ๆ แล้วชาร์จทิ้งไว้ 20 นาทีก่อนนำมาใช้งาน
- แนะนำให้ใช้งานในสถานที่เย็น ไม่ชื้นเกินไปและอุณหภูมิควรอยู่ราว 32 องศาเซลเซียสจะดีที่สุด ในกรณีนี้สำหรับประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน คือพยายามเลี่ยงการเล่นกลางแดด เป็นไปได้ควรหาของใช้มาบังแดดสักหน่อยจะดีที่สุด
ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน มีคนใกล้ตัวที่ใช้ไอโฟนแล้วใส่เคสหนา ๆ เพื่อป้องกันการตกหรือเป็นเคสยางเกรดตลาดนัดทั่วไปแต่เป็นลายการ์ตูนน่ารัก ๆ แต่อมความร้อนมาก เครื่องก็ร้อน และทำให้แบตเสื่อมเร็วจนบางครั้งเครื่องดับไปเลยระหว่างที่ใช้งานอยู่ ซึ่งถ้าใครเจอปัญหาแบบนี้ แนะนำให้ลองถอดเคสทิ้งแล้วปล่อยให้เครื่องเย็น จากนั้นเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วใช้งานแบบไม่ใส่เคสดูว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ควรเปลี่ยนเป็นเคสที่บางลงหน่อยและระบายความร้อนได้ดีจะดีกว่า
Low Power Mode ที่ไม่ต้องเปิดค้างไว้ก็ได้ถ้าแบตยังดีอยู่
สำหรับ Low Power Mode ของไอโฟนนั้น จะเป็นโหมดที่สลับตัวเครื่องเข้าสู่โหมดใช้พลังงานให้น้อยที่สุดและไอคอนแบตเตอรี่ที่มุมบนขวามือจากสีขาวหรือดำจะกลายเป็นเหลือง ซึ่งผู้ใช้หลาย ๆ คนนิยมเปิดค้างเอาไว้ให้แบตเตอรี่หมดช้าลง และสื่อต่างประเทศหลาย ๆ แห่งก็ทดสอบแล้วปรากฏว่าแบตเตอรี่ลดช้าลง 38-44% แต่ถ้า Battery Health ยังในช่วง 80-100% ไม่จำเป็นต้องเปิดก็ได้
ส่วนตัวผู้เขียนจะเปิด Low Power Mode ในกรณีจำเป็น เช่นตอนติดธุระแล้วแบตเตอรี่เหลือน้อยราว 35% ถึงจะเปิดใช้งานเพื่อซื้อเวลาไปอีกนิด และแบตเตอรี่ของตัวเครื่องก็เสื่อมช้าตามปกติราว 1 ปีครึ่ง หากเราชาร์จแบตเตอรี่กลับมาเกิน 80% ไอโฟนจะปิดโหมดนี้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ Low Power Mode จะทำให้ไอโฟนลดประสิทธิภาพการทำงานลงหลายอย่าง ได้แก่
- ลดความเร็วของซีพียูลงเพื่อประหยัดพลังงาน
- ปิดการแจ้งอีเมล์ที่ Notification Center ไป ต้องเปิดจาก Inbox เอง
- ปิด Background app refresh
- ปิดการดาวน์โหลดอัตโนมัติเมื่อตัวเครื่องหรือแอพฯ มีการอัพเดทขึ้นมา
- ลดเอฟเฟคบนหน้าจอลงบางส่วน
- ล็อคหน้าจอเมื่อไม่ใช้งานอัตโนมัติภายใน 30 วินาที
- หยุดการแบ็คอัพ iCloud Photos จนกว่าจะปิด Low Power Mode
- หยุดการใช้งาน 5G ยกเว้นเมื่อเปิดดูหนังออนไลน์จะสลับมาใช้ 5G ตามเดิม
ดังนั้นโหมดนี้ถึงจะประหยัดพลังงานดีก็ตาม แต่ก็ตัดฟีเจอร์การทำงานต่าง ๆ ลงไปเยอะเช่นกัน โดยเฉพาะการลดความเร็วซีพียู ซึ่งถ้าเปิดโหมดนี้แล้วเล่นเกมหรือใช้แอพฯ สามมิติอื่น ๆ อยู่ก็น่าจะรู้สึกได้ทันทีว่าตัวเครื่องทำงานได้ช้าลงอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้เขียนแนะนำว่าให้เปิดเฉพาะตอนที่จำเป็น แล้วเปลี่ยนแบตไอโฟนตามเหมาะสมไปเลยจะดีกว่า
ศูนย์หรือร้านตู้? คำถามเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
ตรรกะหนึ่งของผู้ใช้มือถือทุกรุ่นไม่จำเป็นต้องเป็นไอโฟนก็ได้ มักจะคิดว่าถ้าเครื่องหมดประกันแล้วจะเข้าศูนย์ทำไมให้แพงกว่า? ซึ่งความคิดนี้ส่วนตัวผู้เขียนได้ยินจากคนรอบตัวอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกรณีเปลี่ยนแบตไอโฟนที่เป็นชิ้นส่วนพื้นฐานที่ช่างที่ไหนก็เปลี่ยนได้ แค่เอาเครื่องเป่าลมร้อนยิงให้ซีลและกาวเสื่อมสภาพก็แกะเครื่องและจัดการเปลี่ยนแบตได้แล้ว
แต่สำหรับไอโฟน การหมดประกัน 1 ปีแรกก็จะเพิ่มเรื่องค่าแรงช่างและค่าอะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนเข้ามา ซึ่งราคาค่าเปลี่ยนแม้จะแพงกว่าก็ตาม แต่การนำเครื่องไปซ่อมกับศูนย์นั้นจะมั่นใจว่าเครื่องของเราจะได้รับการเซอร์วิสที่ดีตามมาตรฐานของผู้ผลิต ตัวเครื่องหลังซ่อมเสร็จก็อยู่ในสภาพดีไม่มีปัญหา และตัวเครื่องรุ่นที่เพิ่มฟีเจอร์กันน้ำและฝุ่นก็ยังกันได้ตามเดิม
และในส่วนการออกแบบตัวเครื่อง ทาง Apple เองก็ดีไซน์ไอโฟนรุ่นใหม่ ๆ เช่น iPhone 12 ให้แกะซ่อมร้านนอกได้ยากขึ้น ซึ่ง YouTuber ต่างประเทศเช่น Hugh Jeffreys เองก็ทำคลิปนำเสนอว่าโมดูลกล้องของ iPhone 12 ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือนในอดีตแล้ว เพราะ Apple ตั้งค่าให้การเปลี่ยนโมดูลกล้องต้องเอาโปรแกรม System Configuration เข้ามาปรับแต่งซอฟท์แวร์ในเครื่องด้วย ไม่อย่างนั้นหน้าจอในโหมด Camera ก็จะใช้งานไม่ได้เลยและกลายเป็นจอดำตลอดเวลา
นอกจากนี้ ถ้าเอาไปทำกับร้านตู้ นอกจาก “ช่างเลี้ยงไข้หรือวางยา” ให้เครื่องใช้งานไปได้สักพักแล้วต้องมีปัญหาตามมา จนต้องเอามาซ่อมอีกแล้วเสียเงินไม่รู้จักจบจักสิ้น บางร้านก็เอาอะไหล่ที่ไม่ได้มาตรฐานมาให้ อย่างเลวร้ายที่สุดก็มีคนใกล้ตัวผู้เขียนเอา iPhone 7 Plus ที่กระจกหน้าจอแตกไปเปลี่ยนกับร้านตู้ พอซ่อมกระจกหน้าจอกลับมาดีก็กลายเป็นว่าปุ่ม Home เสีย กดใช้งานไม่ได้แล้ว ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าช่างคนนั้นแอบสลับอะไหล่ ถอด Taptic Engine สภาพดีไป แล้วเอาของเสียใส่แทนก็ได้หรือซ่อมงานชุ่ยแล้วทำสายเชื่อมต่อสักชุดในเครื่องขาดก็ได้
ที่แย่กว่านั้นและเชื่อว่าผู้ใช้เจ้าของไอโฟนหลายเครื่องรู้กันดี คือ ถ้าไอโฟนเครื่องนั้น ๆ โดนแกะโดยช่างคนอื่นที่ไม่ใช่ช่างของทาง Apple แล้ว ทางศูนย์บริการของ Apple ก็จะไม่รับเครื่องกลับเข้ามาในระบบการซ่อมเครื่องอีกเลย ซึ่งถ้าเป็นไปได้ผู้เขียนก็แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ ก็ควรเอาเครื่องเข้าศูนย์แล้วใช้บริการซ่อมแซมที่ได้มาตรฐานไปเลยจะดีที่สุด ถึงจะแพงแต่มั่นใจไม่เสียอารมณ์ ใช้มือถือทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องเสี่ยงกับช่างนอกศูนย์บริการที่อาจจะได้เสียเงินฟรีและเสียอารมณ์จนต้องมาตั้งกระทู้เตือนภัยแบบนี้อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม Apple เองก็มีโครงการผู้ให้บริการซ่อมอิสระของ Apple และขยายโครงการมาถึงประเทศไทยแล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ที่ต้องการเปลี่ยนแบตไอโฟนหรือซ่อมเครื่องให้ได้ตามมาตรฐาน Apple แล้วยังเอาเข้าศูนย์ iCare ได้ตามปกติ และในตอนนี้ช่างที่สนใจก็สมัครเข้าโปรแกรมดังกล่าวของ Apple ได้แล้วด้วย
ราคาเปลี่ยนแบตไอโฟนกับศูนยบริการและร้านนอก เทียบกันชัด ๆ ว่ารุ่นไหนเปลี่ยนกี่บาท
สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการนำเครื่องเข้าศูนย์บริการของ Apple นั้น จะมีให้เลือกทั้ง iCare, iServe, iCenter ซึ่งทั้ง 3 ชื่อนี้เป็นศูนย์ซ่อมไอโฟนทั้งหมด แต่เป็นเจ้าของคนละกลุ่มเท่านั้น ซึ่งถ้าใครต้องการเข้าใช้บริการก็สามารถโทรติดต่อและนัดวันเวลาเอาเครื่องเข้าซ่อมได้โดยคลิกดูในบทความ “รวมศูนย์บริการโน๊ตบุ๊คทุกยี่ห้อในไทย ฉบับอัพเดทปี 2021” ที่ผู้เขียนเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ได้เลย
ส่วนค่าบริการเปลี่ยนแบตไอโฟนแต่ละรุ่นนั้น ทาง Apple ก็แจ้งราคาเปลี่ยนแบตของไอโฟนแต่ละรุ่นเอาไว้บนหน้าเว็บอย่างชัดเจน แต่ถ้าเทียบราคาร้านตู้จะแยกตามรุ่นดังนี้
รุ่น / ค่าบริการเปลี่ยนแบตไอโฟน | มี AppleCare หรือ AppleCare+ | หมดประกันแล้ว | ร้านตู้ |
iPhone 6, 6 Plus | ฟรี |
1,600 บาท |
800-1,000 บาท |
iPhone 6s, 6s Plus | 950-1,000 บาท | ||
iPhone SE (รุ่นแรก) iPhone SE รุ่น 2 |
1,000 บาท (ไม่ทราบราคาเปลี่ยนแบต iPhone SE รุ่น 2 แต่คาดว่าราคาเท่ากับ iPhone 8 เพราะเป็นบอดี้เดียวกัน) |
||
iPhone 7, 7 Plus | 1,000-1,200 บาท | ||
iPhone 8, 8 Plus | 1,200-1,300 บาท | ||
iPhone X | 2,300 บาท |
1,600-1,700 บาท | |
iPhone XR / XS / XS Max |
ไม่ทราบราคา | ||
iPhone 11 / 11 Pro / 11 Pro Max |
ไม่ทราบราคา |
เมื่อเทียบราคาเปลี่ยนแบตกับศูนย์ Apple กับร้านตู้แล้ว จะเห็นว่าราคาแพงกว่ากันไม่กี่ร้อยบาท แต่แลกกับการได้รับบริการจากช่างผู้ชำนาญการจาก Apple โดยตรงต่อไปเรื่อย ๆ รวมทั้งไม่ต้องลุ้นว่าจะโดนวางยาหรือเปลี่ยนไส้ในหรือเปล่า ก็ถือเป็นราคาที่คุ้มค่าแล้วเอามือถือไปทำงานต่อได้เลย แล้วได้อะไหล่แท้กับคุณภาพการบริการที่ดี ไม่ต้องมาหัวเสียภายหลังอีกด้วย
ซึ่งถ้าหารเฉลี่ยต่อวันแล้ว ถือว่าค่าเปลี่ยนแบตศูนย์นั้นถือว่าไม่แพงอย่างที่คิด สมมติว่าผู้ใช้ใช้ iPhone 8 อยู่ ค่าเปลี่ยน 1,600 บาท ถ้าหาร 365 วัน จะเฉลี่ยวันละ 4.3 บาท หรือเดือนละ 133 บาทเท่านั้น ถ้าเป็น iPhone X เป็นต้นมา ราคาเปลี่ยนแบต 2,300 บาท ก็เฉลี่ยวันละ 6.3 บาท หรือเดือนละ 191 บาท ซึ่งถ้าเรากันเงินเอาไว้เดือนละนิดละหน่อย จะเปลี่ยนแบตศูนย์ก็ไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน ส่วนถ้าใครต้องการขยายระยะเวลาการรับประกันไอโฟนให้ยาวขึ้น ก็สามารถคลิกซื้อ AppleCare+ ได้ที่เว็บไซต์ของ Apple หรือจะซื้อในมือถือหรือแท็บเล็ตของเราผ่านทาง Settings > General > About แล้วเลื่อนลงมาที่หัวข้อ AppleCare+ ใต้ช่องแจ้งวันเวลาหมดการรับประกันก็ได้
สรุป – เปลี่ยนแบตไอโฟนที่ศูนย์หรือร้านตู้ดี?
จากข้อมูลและรายละเอียดทั้งหมดที่ผู้เขียนนำเสนอไป จะเห็นว่าการเอาไอโฟนเครื่องประจำตัวที่สร้างรายได้และเป็นอุปกรณ์คู่ใจเข้ารับบริการดี ๆ จากศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานปีละ 1-2 ครั้ง ตามการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ก็เป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมแล้ว นั่นเพราะมือถือเครื่องหนึ่งในปัจจุบันนั้นไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์สื่อสารอย่างเดียว แต่ก็เป็นอุปกรณ์ทำงานหาเงินของใครหลาย ๆ คน ซึ่งการเสียเงินให้มือถือกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งานต่อไปได้อีกหลาย ๆ ปี ก็จะช่วยเราประหยัดไปได้มาก ไม่ต้องเสียเงินซื้อมือถือใหม่แล้วย้ายข้อมูลบ่อย ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ร้านตู้ที่ให้บริการดี ช่างมีฝีมือและใช้ชิ้นส่วนได้มาตรฐานและราคาย่อมเยาว์กว่าการเอาเข้าศูนย์บริการก็ยังมีให้บริการอยู่หลายแห่ง ซึ่งร้านกลุ่มนี้ก็ช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายในการเอาไอโฟนไปซ่อมหรือเปลี่ยนแบตได้ และมีคนแนะนำบอกต่อกันอย่างต่อเนื่องในเพจเฟสบุ๊คต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งถ้าใครได้เจอร้านตู้ที่ดี มีจรรยาบรรณต่อลูกค้าก็เป็นร้านทางเลือกที่ดีเช่นกัน ส่วนใครที่ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแล้วไม่อยากลุ้นกับบริการจากร้านตู้ล่ะก็ ก็แนะนำให้เอาเข้าศูนย์บริการไปเลยจะดีที่สุด เรียกว่าเจ็บแต่จบนั่นเอง