Fujitsu CH-X โน้ตบุ๊คทำงานบางเบาจากแบรนด์ญี่ปุ่นรุ่นใหม่ สเปก Intel Core i Gen 11 ที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยมีน้ำหนักเบามากที่ 980 กรัม และมีความบางเฉียบเพียง 15.8 มิลลิเมตร ตอบโจทย์ความต้องการด้านการพกพา พร้อมมอบประสบการณ์ภาพและเสียงเต็มรูปแบบ เน้นใช้งานแบบพกพาไปทำงานนอกสถานที่ ซึ่งแบรนด์ Fujitsu เองก็พัฒนามาตลอดยาวนานหลายปี ทั้งด้วยสเปคประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมน่าเชื่อถือแบบมืออาชีพ พร้อมความสเถียรภาพที่สูงกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปแบบชัดเจน
ตัวเครื่อง Fujitsu CH-X เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3″ ที่ได้พอร์ตเชื่อมต่อครบที่สุด โดยใช้วัสดุแมกนีเซียมอัลลอยด์ที่เป็นโลหะที่ได้ทั้งความเบาแต่แข็งแรงทนทาน มาพร้อมชิปประมวลผล Intel ที่มี AI ช่วยทำงานในตัว ซึ่งแรงลื่นรองรับทุกๆ การใช้งาน ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักธุรกิจหรือคนที่ต้องการสุดยอดโน๊ตบุ๊ค 13.3″ ประสิทธิภาพสูงคู่ใจในการทำงานจริงจัง หรือ Commercial ที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูงสุด ประกันก็ดีเยี่ยมเพราะเป็นแบบ On-site Service ระยะเวลา 2 ปี สนนราคา 32,990 บาท
VDO Review
NBS Verdict
สรุปแล้วสำหรับ Fujitsu CH-X สเปก Core i5-1135G7 ถูกออกแบบมาเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับมือาชีพหน้าจอ 13.3″ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และความบางเบาขั้นสุด อีกทั้งได้ความครบถ้วนในทุกๆ ทาง เน้นความทนทานในระดับนึง ปลอดภัยไว้ใจได้ มาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไปที่เน้นความสเถียรที่สูง (ที่ไม่ใช่เล่นเกม 3 มิติหนักๆ แต่ทำงานประมวลผลพอได้) สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก แบตเตอรี่ยาวนานสุดๆ ที่ประมาณ 8 ชั่วโมงจากการทดสอบจริง
ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคาค่าตัว โดย Fujitsu Notebook เน้นเข้ามาบุกตลาดระหว่างองค์กร, ธุรกิจขนาดกลาง รวมถึงคนที่ต้องการความแตกต่าง ชูจุดแข็งเรื่องดีไซน์เครื่องความบาง รวมถึงเบาสุดๆ ในตลาดประเทศไทย พร้อมประสิทธิภาพการทำงานขั้นสูง หรือถ้าคนทั่วไปอยากได้โน๊ตบุ๊คบางเบามาตรฐานสูงก็สามารถหาซื้อมาใช้งานเช่นเดียวกัน รวมไปถึงได้พอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันที่สุด
เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจจริงๆ สำหรับโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งรุ่นที่ทุกๆ คนให้ความสนใจอย่าง Fujitsu CH-X ที่ต่อยอดความสำเร็จของโน๊ตบุ๊คตระกูลสายธุรกิจระดับมืออาชีพได้เป็นอย่างดีมาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ รวมไปถึงสเปคประสิทธิภาพและประสบการณ์ใช้งาน ที่โดดเด่นเหนือชั้นกว่าเรื่องความปลอดภัยโดยมี IR Camera เพื่อสแกนหน้าเข้าใช้งาน ได้ความรวดเร็วและปลอดภัยอีกด้วย
สำหรับข้อสังเกตของ Fujitsu รุ่นนี้ก็มีอยู่เล็กน้อย ซึ่งเป็นในส่วนของราคาที่ดูสูงกว่าโน๊ตบุ๊คที่เป็นสเปกที่ใกล้เคียงกัน รวมไปถึงอุณหภูมิของชิปประมวลผลขณะที่ทำงานหนักๆ ก็จะมีความร้อนที่สูงหน่อย แต่ก็ไม่มีผลกับการใช้งานแต่อย่างใด และสุดท้ายกับเรื่องของดีไซน์หน้าตาที่ดูมีความอนุรักษ์นิยมตามสไตล์ของโน้ตบุ๊คแบรนด์ญี่ปุ่นมากๆ ซึ่งหลายคนอาจจะชอบหรือเฉยๆ หรือบางคนอาจจะไม่ชอบก็เป็นไปได้ แต่ส่วนตัวที่รีวิวแล้วก็ดูเรียบง่ายและสวยดีนะครับ
จุดเด่น Fujitsu CH-X
- ตัวเครื่องทั้งหมดใช้วัสดุแมกนีเซียมอัลลอยด์ (Magnesium Alloy) ซึ่งดีกว่าโลหะทั่วไปทั้งเบาและแข็งแรง
- เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3″ แต่มีขนาดตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด ขอบจอบางเฉียบ พกพาสะดวก
- มีความเบาสุดๆ ที่ 980 กรัม ซึ่งนับว่าเบาที่สุดในโลก และบางเพียง 15.8 มิลลิเมตรเท่านั้น
- ดีไซน์พิเศษบานพับแบบพิเศษช่วยให้ใช้งานดีขึ้น ในหลายๆ ส่วน
- หน้าจอมีความละเอียดสูงระดับ Full HD พาเนล IPS ขอบเขตสีใกล้เคียง 100% sRGB
- ลำโพงเสียงคุณภาพดีเสียงดัง ได้ซอฟต์แวร์ปรับปรุงคุณภาพเสียง Dirac Audio
- ใช้งานจริงลื่นไหลแบบสุดๆ ด้วย Core i5-1135G7 + RAM 8GB + SSD 512GB
- ตัวเครื่องมีความแข็งแรงทนทาน ต่อการตกกระแทกและละอองน้ำระดับนึง
- มาพร้อม IR Camera ใช้งานผ่านทาง Windows Hello ไมโครโฟน 4 ตัว
- พอร์ตการเชื่อมต่อครบครันที่สุดในรุ่น 13.3″ ทั้ง 2 x Thunderbolt 4 / USB-A / HDMI
- พอร์ต HDMI รองรับทั้ง Input / Out Put ทำให้แปลงตัวเองเป็นหน้าจอมอนิเตอร์ได้
- มี Windows 10 แท้มาให้พร้อมใช้งานทันที มีซอฟต์แวร์ Fujitsu ช่วยจัดการ
- ระบบความปลอดภัยระดับองค์กรครบเครื่อง สไตล์ Commercial
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานประมาณ 8 ชั่วโมง
- ประกันเป็น On-site Service ทั่วโลกระยะเวลา 2 ปี
ข้อสังเกต Fujitsu CH-X
- ดีไซน์ออกแนวแบรนด์ญี่ปุ่นแท้ๆ บางคนอาจจะชอบ บางคนอาจจะมองว่าเชย
- ถ้าเทียบแต่สเปก จะเห็นว่ามีราคาที่สูงกว่าโน๊ตบุ๊คในตลาดรุ่นอื่นๆ ประมาณนึง
Specification
สเปกของ Fujitsu CH-X มาพร้อมสเปกชิปประมวลผลรุ่นล่าสุด อย่าง Intel Core i5-1135G7 สถาปัตยกรรม Tiger Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร SuperFin ทำงานแบบ 4 Core / 8 Thread ความเร็ว 2.40 – 4.20 GHz โดยมี AI ในตัวช่วยประมวลผลงานต่างๆ กับบางโปรแกรมเช่น Microsoft Office และโปรแกรม Adobe ต่างๆ
มีค่า TDP ที่ 15 – 28 Watt ในส่วนของการ์ดจอเป็นออนชิป Intel Iris Xe Graphics ที่เพียงพอกับใช้งานพื้นฐานแน่นอน ทั้งงาน 2 มิติ 3 มิติ อาทิ งานเอกสาร งานตกแต่งภาพ หรือดูหนังฟังเพลง เล่นเกมออนไลน์ 3 มิติ หรือต่อจอ 4K / 8K ได้ลื่นไหลกว่าการ์ดจอออนชิปรุ่นอื่นๆ
โดยมาพร้อมขนาดหน้าจอ 13.3″แบบด้าน ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล พาเนลคุณภาพสูงอย่าง IPS ซึ่งให้สีสันที่สวยสมจริง ที่ sRGB ใกล้เคียง 100% ที่ความสว่าง 400 nits แรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 8GB LPDDR4X Bus 4267 MHz ซึ่งรองรับกับการใช้งานทั่วไปได้สบาย สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB
ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 AX และ Bluetooth 5.0 ด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน VDO Call อีกทั้งมี IR Camera ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello รวมถึงติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home การรับประกันมีระยะ 2 ปี แบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน ซึ่งใครที่สนใจก็สามารถสั่งออนไลน์ได้ผ่านทางร้าน BaNANA ได้เลย ส่งฟรีถึงบ้านใน 3 ชั่วโมงด้วย
Fujitsu CH-X (11th Gen Intel Core i5) ราคา 32,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i5-1135G7
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics
-
RAM : 8GB DDR4 3200 MHz
-
DISPLAY: 13.3″ Full HD IPS 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
- Warranty : 2 Year Onsite Service
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบของ Fujitsu CH-X นั้นจะดูกระฉับกระเฉงกว่าโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3″ เนื่องด้วยมีขอบจอที่บางมากทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาสุดๆ แต่ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็ก น้ำหนักเบาที่สุดเพียง 980 กรัม ซึ่งนั้นก็เบากว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นหน้าจออื่นๆ ในขนาดเท่ากัน ส่วนความบางที่ 15.8 มิลลิเมตร จัดว่าบางมากๆ อีกด้วย เน้นการทำงานนอกสถานที่เป็นหลัก
เรียกได้ว่าเป็นโน้ตบุ๊ตที่ให้ความสบายในการนำติดตัวไปใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาที่ดีที่สุดรุ่นนึงในตลาดประเทศไทยประจำปี 2021 นี้ทีเดียว อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าโดยรวมแล้วมีความเป็นเอกลักษณ์นิยมแบบญี่ปุ่นตามสไตล์ของ Fujitsu มากๆ แต่นั่นก็ทำให้มีความแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจนเหมือนกัน รวมไปถึงการเลือกใช้สีสันเป็นน้ำตาลที่ให้ความแตกต่างจากรุ่นอื่นในตลาดมากๆ
เรียกได้ว่ามิติตัวเครื่อง Fujitsu CH-X มีความกระทัดรัดเหมาะต่อการพกพา ด้วยดีไซน์ของขอบจอที่บางเฉียบ ส่วนฝากหลังจะเป็นโลโก้ Fujitsu ที่โดดเด่นแต่เรียบง่าย ตัวเครื่องโดยรวมจะทั้งหมดใช้วัสดุที่ดีที่สุดอย่างแมกนีเซียมอัลลอยด์ซึ่งดีกว่าโลหะทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นฝาหลัง ตัวเครื่องด้านใน และใต้ตัวเครื่อง ทำให้มีทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบาที่ดีกว่า อีกทั้งพื้นผิวเองก็มีการออกแบบให้จับได้กระชับมือไม่เป็นรอยนิ้วมือง่ายๆ ส่งผลให้เวลาที่เราเอามือมาวางบนคีย์บอร์ดจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหนือชั้นกว่าวัสดุทั่วๆ ไป
ตรงนี้มีความเหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นใกล้เคียงกันแบบรู้สึกได้ทันที พร้อมใช้สีสันน้ำตาลให้ความเป็นทางการเวลาใช้งานแบบจริงจัง หรือใครจะเอาไปใช้งานทั่วไปอันนี้ก็แล้วแต่สะดวกไม่ติดอะไร อีกทั้งเรื่องความทนทานเรื่องของการตกกระแทก รวมถึงฝุ่นและละอองน้ำ เรียกได้ว่ามีความเชื่อมั่นที่สูงกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปในตลาดแน่นอน ซึ่งติดตั้งช่องระบายความร้อนไว้ที่ขอบตัวเครื่อง 1 ช่อง ซึ่งเพียงพอกับการนำพาความร้อนออกจากตัวเครื่องแบบไร้กังวล
นับได้ว่า Fujitsu CH-X เป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานเน้นความบางเบาที่ครบเครื่องในทุกๆ ด้าน มีสเปกที่ดี แรงลื่น จัดเต็มด้วยพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ รวมถึงใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียดจริงๆ ตอบโจทย์คนที่จริงจังด้านการทำงานระดับมืออาชีพ ตอบสนองการพกพาไปใช้งานทุกที่ทุกเวลาอย่างที่สุด สามารถใส่ในกระเป๋าถือ หรือกระเป๋าเป้สะพายหลังได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่เดินทางอยู่ตลอดเวลา ยิ่งสาย Commercial ตามองค์กรต่างๆ นี่เหมาะสมมากๆ เมื่อเทียบกับราคา
Keyboard / Touchpad
ทางด้านของ Fujitsu CH-X ตัวแป้นคีย์บอร์ดนั้นตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีดำที่สกรีนตัวอักษรสีขาว มีการออกแบบมาให้ปุ่มมีขนาดใหญ่พอดีกับนิ้วมือ ทำให้สามารถพิมพ์ได้ง่ายขึ้น ในส่วนการสัมผัสให้การสัมผัสที่นุ่มกำลังดี คีย์บอร์ดมีระยะห่างกำลังดี เป็นระยะห่างที่พิสูจน์แล้วว่าพิมพ์ได้สบายนิ้วมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น แป้นคีย์บอร์ดให้สัมผัสปลายนิ้วที่นุ่มนวลพร้อมกับระยะกดที่เหมาะสม
ปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมบนขวาพร้อมไฟ LED แสดงสถานะของการใช้งานคีย์บอร์ด อีกทั้งแป้นพิมพ์ที่กันน้ำหกสามารถปกป้องตัวเองจากอุบัติเหตุเล็กน้อย โดยไม่เกิดความเสียหาย และเราสามารถเช็ดทำความสะอาดได้โดยง่าย โดยมีไฟ Backlit สีขาว สามารถปรับได้ 3 ระดับ ไว้ใช้งานในที่มืดหรือแสงน้อย
ตัวทัชแพดมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ดีไซน์ออกมาแบบมีปุ่มแยกคลิกซ้ายคลิกขวา การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่การสัมผัสเลื่อนนิ้วไปมาจะดูลื่นๆ สักหน่อย ส่วนตัวซอฟต์แวร์ที่ให้มาสามารถควบคุมจัดการได้ดี ใช้งานแบบมัลติทัชได้ลื่นไหลพอสมควร เรียกได้ว่าใช้งานได้เยี่ยมยอดกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบชัดเจน
Screen / Speaker
หน้าจอ Fujitsu CH-X เป็นพื้นผิวแบบกระจก ทำให้มีแสงสะท้อนได้ง่าย พร้อมขอบบางทั้ง 3 ด้าน ให้ความละเอียด Full HD พาเนล IPS เกรดสูงของ IGZO ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา ที่ให้ภาพคมชัด สวยงามทุกมุมมอง ทำให้ไม่ว่าจะการใช้งานทั่วไป การเปิดหน้าเว็บ การชมภาพยนตร์ ซีรีส์ รวมถึงการเล่นเกมดูเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น ส่วนขอบจอด้านบนจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า รวมถึงยังมีหลอดไฟ LED สำหรับแสดงสถานะว่ากล้องทำงานอยู่
พร้อมติดตั้งไมโครโฟนแบบ 4 ตัว มีระบบตัดเสียงรบกวนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการประชุมแบบวิดีโอ (Video Conference) พร้อมด้วย IR Camera ไว้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ด้วย ส่งผลให้เราสามารถใช้งานได้สะดวกสบาย ไม่ต้องกรอกรหัสแบบเดิมๆ รวมถึงมีความปลอดภัยด้วย เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง ด้านการทำงานแบบมืออาชีพ
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 89% และ AdobeRGB ที่ 68% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ พอตัว ซึ่งมีความเที่ยงตรงของสีสูง
ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 400 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่ามีความสว่างในระดับที่ดีเยี่ยม ทำให้เมื่อคาลิเบตหน้าจอแล้วสามารถไปทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นความเที่ยงตรงได้มาตรฐานระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ส่งผลให้มีคะแนนรวมอยูท่ี 4.0 คะแนน ถือว่าคะแนนอยู่ในระดับดีแบบรองรับการทำงานที่หลากหลายใช้งานจริงจัง
ตัวลำโพงเป็นแบบสเตอริโอเลือกใช้ลำโพงให้เสียงที่ดีพร้อมซอฟต์แวร์ปรับปรุงคุณภาพเสียง Dirac Audio ที่ได้คุณภาพทั้งเสียงเบสที่มีน้ำหนัก ไม่ใช่ใส่แต่เสียงกลาง เสียงแหลมออกมาอย่างเดียว โดยตัวลำโพงจะอยู่บริเวณใต้ตัวเครื่องขอบตัวเครื่องซ้ายและขวาลักษณะยิงลงพื้น
ทำให้เสียงที่ค่อนข้างดังพอสมควร แยกรายละเอียดได้ซ้ายขวาได้ดี รวมๆ แล้วถือว่าในส่วนของลำโพงถือว่าทำออกได้ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป ทั้งในคุณภาพเสียงที่ได้และเสียงดังฟังชัดเพียงพอจะออกไปในนอกสถานที่ได้แบบสบายๆ อีกทั้งเสียงที่ฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
Connector / Thin And Weight
มาดูในส่วนของรอบๆ ตัวเครื่อง Fujitsu CH-X กันต่อ สำหรับพอร์ตถือว่าให้มาครบถ้วนที่สุดเท่าที่จะมีพื้นที่ด้านข้างแล้ว ด้วยการติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 มาให้จำนวน 2 พอร์ตด้วยสำหรับการรองรับอุปกรณ์ใหม่ๆ ซึ่งมี 1 ช่องรองรับการชาร์จไฟเป็น USB PD ด้วย รวมไปถึงยังมีพอร์ต USB 3.2 Type-A และ HDMI ตัวเต็มปกติซึ่งไว้เชื่อมต่อกับหน้าจอภายนอก หรือแปลงตัวเองเป็นหน้าจอมอนิเตอร์ได้ด้วย แม้ตัวเครื่องจะบางเฉียบ แน่นอนว่ายังมี ไมค์และหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรก็ยังมีอยู่เช่นเดิม
น้ำหนักตัวเครื่องตามสเปกอยู่ที่ 980 กรัมเท่านั้น และตัวอแดปเตอร์ที่ชาร์จเองก็มีขนาดเล็กจ่ายไฟที่ 65W หัวแบบ USB-C ซึ่งเมื่อรวมเข้าไปด้วยกันแล้วน่าจะมีหนักราวๆ 1 กิโลกรัมนิดๆ ถือว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลยทีเดียว เพราะปกติแล้วโน๊ตบุ๊ค 13.3″ จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 2 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่าออกแบบมาเพื่อตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบนั่นเอง
Inside / Upgrade
การแกะฝาล่างของเครื่อง Fujitsu CH-X นั้นสามารถทำได้ง่ายมากๆ จากการที่ฝาหลังเป็นโลหะทำให้ค่อนข้างแข็งแต่ยืดหยุ่นพอสมควร เอาจริงๆ คือขอแค่มีไขควงสี่แฉกขนานพอดี ก็สามารถไขได้แล้ว (แต่น๊อตจะไม่เท่ากัน) ซึ่งหลังจากถอดน็อตทุกตัวเสร็จหมดแล้ว เราสามารถใช้มือค่อยๆ แกะออกที่ละส่วนได้เลย แต่ก็ต้องทำแบบใจเย็น ซึ่งเมื่อเปิดถึงภายในเครื่องแล้วจะเห็นการวางรูปแบบของฮาร์ดแวร์เครื่องนี้ทำได้ดูดีสมกับเป็นโน๊ตบุ๊คระดับมืออาชีพ
เรื่องระบายความร้อนตัวเครื่องมี Heat Pipe จำนวน 1 เส้น วางพาดชิปประมวลผล ส่วนพัดลมเครื่องนี้ก็มีมาให้ 1 ตัว โดยลมร้อนเป่าออกทางด้านหลังของตัวเครื่อง นอกจากนั้นแรมที่ติดตั้งมาขนาด 8GB จะเป็นแบบฝังบอร์ด ทำให้ไม่สามารถอัพเกรดได้ภายหลังตามสไตล์ของโน๊ตบุ๊คที่เน้นบางเบาโดยจะเห็นถึง SSD M.2 NVMe PCIe จำนวน 1 สล็อตซึ่งก็ติดตั้งมาแล้ว อย่างไรก็ตามเราจะเห็นว่าตัวเครื่องยังเหลือพื้นที่อีกพอสมควร คาดว่าในต่างประเทศอาจจะมีสเปกที่มีแบตเตอรี่ก้อนใหญ่กว่านี้ให้เลือกก็เป็นไปได้
Performance / Software
Fujitsu CH-X ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง เป็น Intel Core i Gen 11 เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลยครับ โดยเลือกใช้ชิป Intel Core i5-1135G7 ที่มี 4 คอร์ 8 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วที่ 2.40 – 4.20 GHz ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 10 นาโนเมตร อย่าง Tiger Lake เทคโนโลยีสุดล้ำ SuperFin พร้อมมี AI ช่วยในการทำงานตัว
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 8GB แบบออนบอร์ด เป็นมาตรฐาน DDR4 Bus LPDDR4X 4267 MHz ตามเทคโนโลยีของ Intel Core i Gen 11
พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูง ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K ได้แบบไม่มีปัญหา
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U Series รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก รวมไปถึงตัวการ์ดจอออนชิปเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอที่อัพเกรดใหม่ที่เน้นการทำงาน 3 มิติที่ดียิ่งขึ้น
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ของ Samsung ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe PCIe ระดับกลางๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 2327 MB/s และเขียนที่ 1378 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมแม้ไม่เร็วมาก จัดว่าเป็น SSD M.2 ที่เพียงพอต่อการใช้งานแน่นอน
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4,207 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 รุ่นใหม่ ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายและเปิดโปรแกรมได้มากมายอีกด้วย จากการที่มีการ์ดจอออนชิป Iris Xe Graphics ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คในช่วงราคาใกล้เคียงกันเมื่อปีก่อนๆ
ทดสอบการเล่นเกมจริงๆ เพื่อดูความลื่นไหลเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมาก โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 3 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i5-1135G7 ที่สามารถรีดพลังได้เต็มที่
สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 38 แต่ฉากตะลุมบอนกันก็เฟรมเรทลดลงไปที่ 18 ในส่วนของเกมอื่นๆ อย่าง Overwatch / PUBG ที่ปรับเป็น Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 47 / 21 ซึ่งช่วงต่ำสุดจะอยู่ที่ 15 / 10 จากการที่ไม่สารถระบายร้อนได้ทันกรณีนำไปเล่นเกมนั่นเอง
Fujitsu LifeBook CH-X เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง Function Manager ที่เราสามารถตั้งค่าบางอย่างของเครื่องเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จไฟผ่านทาง USB-C โหมดการใช้งานของพัดลม และ Function Key ต่างๆ ของคีย์บอร์ด ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย รวมไปถึงก็ยังสามารถจัดการการใช้งานแบตเตอรี่ได้ในระดับนึงอีกด้วย
Battery / Heat / Noise
ทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่ Fujitsu CH-X ซึ่งเป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น กับความจุประมาณ 3500 mAh โดยสามารถใช้งานจริงต่อเนื่องยาวนานได้เกือบๆ 8 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต) และคาดว่าจะระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่จะเปลี่ยนแปลงตามการใช้งานของแต่ละคน โดยอาจจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ตัวแปร
แน่นนอว่าในการทดสอบครั้งนี้ก็ได้ปรับเป็น Power Saver Mode พร้อมปรับแสงสว่างและระดับเสียงเหลือ 10% ซึ่งจากการทดสอบใช้งานจริงๆ ก็ถือว่ายาวนานกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปประมาณนึง แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ของ Ultrabook อีกทั้งยังรองรับการชาร์จไฟผ่านทาง USB-C ที่เป็น USB PD (Power Delivery) ที่ไม่ว่าจะเป็นอแดปเตอร์ชาร์จหรือ Power Bank ก็รองรับทั้งหมด
ทดสอบอุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 40 – 60 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าชิปประมวลผลจะร้อนที่สุดที่ 97 องศาเซลเซียส นับว่าระบบระบายความร้อนของ Fujitsu CH-X เครื่องนี้ทำออกมาได้ดีประมาณนึง แต่โดยรวมแล้วก็สามารถใช้งานแบบไร้กังวล ประสิทธิภาพดีไม่มีอาการหน่วงเลย อย่างไรก็ตามถ้านำไปเล่นเกมจะเห็นว่ามีเฟรมเรทมีตกไปบางช่วงนั่นเอง
Conclusion / Award
มีความน่าสนใจอย่างที่สุด สำหรับโน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับมืออาชีพหน้าจอ 13.3″ ที่เบาที่สุด พร้อมได้สเปกจัดเต็มอีกหนึ่งรุ่น ที่เชื่อว่าทุกๆ คนให้ความสนใจอย่าง Fujitsu CH-X ที่ตอกย้ำแบรนด์ Fujitsu ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ รวมไปถึงสเปคประสิทธิภาพและประสบการณ์ใช้งาน สมกับเป็นโน๊ตบุ๊ค Commercia ของทาง Fujitsu แม้ว่ารุ่นนี้จะไม่ได้ Made In Japan แต่ก็ถือว่าทำได้เยี่ยมยอดเหมือนเดิม
โดยเครื่องบางเพียง 15.8 มิลลิเมตร เบาที่ 980 กรัมเท่านั้น ซึ่งมาพร้อมกับสเปก Intel Core i Gen 11 ซึ่งมีการ์ดจออนชิปตัวใหม่ที่ทำงาน 3 มิติหรือแสดงผลได้ดีขึ้น ได้ดีไซน์ดูเรียบๆ แต่ว่าได้ประสิทธิภาพขั้นสูง รองรับทุกๆ การใช้งาน (ที่ไม่ใช่การเล่นเกม 3 มิติ) ที่โดดเด่นนำหน้าใครๆ ด้วยพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบครันอย่างที่หาในโน๊ตบุ๊ครุ่นหน้าจอ 13.3″ ที่ให้พอร์ต Thunderbolt 4 มา 2 พอร์ตด้วยกัน รองรับการชาร์จไฟ การต่อหน้าจอ หารโอนถ่ายข้อมูลได้ดีที่สุด
สเปกของ Fujitsu CH-X ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i5-1135G7 ซึ่งแน่นอนว่าให้ทั้งความแรงและใช้งานได้ยาวนาน เป็นสถาปัตยกรรม Intel Core i Gen 11 สถาปัตยกรรม Tiger Lake รุ่นล่าสุด ที่เป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร SuperFin โดยรวมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแรมมาขนาด 8GB อีกทั้งยังใส่ SSD M.2 มาตรฐานความเร็วสูงที่ความจุ 512GB
เหลือเฟือกับการใช้งานทั่วๆ ไป หรืองานหนักๆ ที่ไม่ใช่งาน 3 มิติก็รองรับได้แบบสบายๆ เน้นเรื่องของการใช้งานพื้นฐานและการพกพาไปใช้งานนนอกสถานที่เป็นหลัก แบบแทบไม่ต้องพกพาอแดปเตอร์เลย หรือจะชาร์จไฟจริงๆ ก็รองรับเป็น USB PD ซึ่งตัวอแดปเตอร์ติดเครื่องเองก็ชาร์จไฟได้ทั้ง มือถือ และ Gadget อื่นๆ ได้ทั้งหมด
รวมถึงหน้าจอก็มีดีไซน์ที่บางเฉียบเป็นพาเนล IPS ของ IGZO คุณภาพสูงได้ sRGB 89% ที่ความละเอียด Full HD แบบจอด้านเรียบเนียนตา ที่สำคัญมีกล้องอินฟราเรด IR Camera ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Windows Hello เรียกได้ว่าได้ความสะดวกและปลอดภัยอย่างที่ควรต้องมีในโน้ตบุ๊คสายทำงาน อีกทั้งแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานเกือบ 8 ชั่วโมง เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวันแบบสบายๆ
การออกแบบดีไซน์ของ Fujitsu CH-X ที่ดูแล้วเรียบหรูและใช้วัสดุคุณภาพดีตลอดทั้งตัวเครื่อง งานประกอบก็เรียบร้อย มิติตัวเครื่องก็เล็กกระชับบางเบา พกพาสะดวก แต่ก็ต้องยอมรับว่าหน้าตาออกไปเป็นแนวอนุรักษ์นิยมตามทิศทางของโน๊ตบุ๊คแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นมากๆ ซึ่งส่วนตัว ถือว่าทำได้ดีมีเอกลักษณ์ แต่ก็เชื่อว่ามีหลายคนอาจจะเห็นว่ามันเชยไปหน่อยก็เป็นไปได้เหมือนกัน
โดย Fujitsu CH-X เน้นเข้ามาบุกตลาดระหว่างองค์กร, ธุรกิจขนาดกลาง และกลุ่มครีเอเตอร์มืออาชีพ ชูจุดแข็งเรื่องดีไซน์เครื่อง ความบางเบา และประสิทธิภาพการทำงานขั้นสูง หรือถ้าคนทั่วไปอยากได้โน๊ตบุ๊คบางเบามาตรฐานสูง ก็สามารถหาซื้อมาใช้งานเช่นเดียวกัน ปิดท้ายด้วยการรับประกันเป็นแบบ On-Site Serice ซ่อมฟรีถึงบ้าน ยาวนานถึง 2 ปี สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ Banana ได้เลย
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง Fujitsu CH-X ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Mobility
ปัจจัยสำคัญของด้านของพกพา เพราะเบาสุดเพียง 980 กรัม อีกทั้งมีขนาดมิติตัวเครื่องที่เล็กกะทัดรัดมากๆ แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานเกือบ 8 ชั่วโมง อีกทั้งชาร์จไฟผ่านทาง USB-PD ได้ และการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ครอบคลุม ซึ่ง Fujitsu CH-X ตอบโจทย์ทั้งสามด้านได้อย่างครบถ้วนครับ กับตัวเครื่องบางเบา ทำให้เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และนอกจากความบางเบา ยังมีความทนทานในระดับนึง สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานจริงจัง ดังนั้นจึงหายห่วงเรื่องความทนทานได้เลย
Best Design
ดีไซน์โดยรวมของ Fujitsu CH-X มีความโดดเด่นเรื่องสีสันสีน้ำตาลด้าน วัสดุเป็นแมกนีเซียมอัลลอยด์ที่ทั้งเบาและแข็งแรง ให้พื้นผิวแบบด้านมีพื้นผิวไม่เรียบจับถือสะดวกเป็นรอยนิ้วยาก รวมถึงหน้าจอขอบบางที่ทำให้สามารถใช้งานจอขนาด 13.3″ ภายในตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้จอขนาดเดียวกัน ให้มิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ไปจนถึงบานพับที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานได้เป็นอย่างดี เพิ่มสีสันให้กับรายละเอียดรอบนอกเครื่องแบบโค้งมน ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนเน้นทำงานระดับมือาชีพหรือองค์กร
Best Ultrabook
จัดเต็มด้วยฟีเจอร์จริงๆ สำหรับ Fujitsu CH-X สำหรับประเภท Ultrabook ระดับสูงที่ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาราคา 32,990 บาท ที่มาพร้อมสเปคอย่างชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 สถาปัตยกรรม Tiger Lake รวมถึงมีแรม 8GB LPDDRX Bus 4267 MHz และฮาร์ดดิสก์แบบ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ซึ่งมี IR Camera ช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3″ ที่บางเบาที่สุดในประเทศไทย เหมาะกับการใช้งานทั่วไปเน้นหลากหลาย ดีไซน์ก็พรีเมียม เรียกได้ว่าหาได้ยากสำหรับโน๊ตบุ๊คบางเบาแบบนี้