ASUS ROG Flow X13 นับว่าเป็น Gaming Notebook บางเบาสไตล์ 2-in-1 Notebook พับหน้าจอได้ 360 องศา ที่จัดเต็มไปด้วยสเปกและฟีเจอร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5980HS การ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ที่จะเน้นความแรงลื่น พร้อมกันนั้นยังมี External GPU อย่าง XG Mobile สูงถึง RTX 3080 ทีเดียว
เหนือชั้นด้วยหน้าจอระดับมืออาชีพขนาดหน้าจอ 13.4″ 4K Ultra HD สัดส่วน 16:10 พร้อมดีไซน์ดูดันสไตล์ Gaming ซีรีส์ ROG กับรูปแบบการดีไซน์แบบใหม่ ต่อยอดมาจากรุ่นปีก่อนๆ โดยเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ในเครื่องเดียว แน่นอนว่าหน้าจอหลักพับได้ 360 องศา รองรับการทัชสกรีนและปากกา ASUS Active Pen กับความเบาเพียง 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น
สเปกภายในอื่นๆ ของ ASUS ROG Flow X13 เครื่องเดโมที่ได้รับมารีวิวในครั้งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยได้รับการติดตั้งแรมมาขนาด 32GB Bus 4266MHz พร้อมด้วย SSD ความจุ 1TB จัดเต็มกันไปเลยให้ประสิทธิภาพการทำงานรองรับ 3 มิติได้ดี เล่นเกมออนไลน์ได้สบายๆ รวมไปถึงลำโพงระบบเสียงเป็น Dolby Atmos จำลอง 3 มิติได้
แน่นอนว่ามี Windows 10 Pro แท้พร้อมใช้งานทันที ส่วนการรับประกัน ถ้าจำหน่ายในไทยก็จะเป็นแบบ 3 ปี On-site Serve ซ่อมฟรีถึงบ้าน (ปีแรกมีประกันอุบัติเหตุ) นับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมจากทาง AMD x ASUS เมื่อเทียบกับฟีเจอร์ที่ได้ ส่งผลให้เป็นสุดยอดโน๊ตบุ๊คยุคใหม่ที่กล้าแตกต่าง กับราคาประมาณ 90,000 บาท โดยยังไม่รวมกับอุปกรณ์กล่องการ์ดจอแยกด้วย
VDO Review
NBS Verdict
ASUS ROG Flow X13 (GV301) นับว่าเป็นมาตรฐาน Gaming Notebook หน้าจอเล็กกว่า 14″ กับขนาด 13.4″ ความละเอียด 4K UHD ที่เน้นบางเบาพกพาสะดวกยุคใหม่ปี 2021 ที่จัดเต็มในทุกๆ มิติ โดยใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5980HS รุ่นพิเศษ ที่ทั้งแรงสุดและประหยัดพลังงาน ซึ่งได้เทคโนโลยีการผลิตที่ 7 นาโนเมตร สถาปัตยกรรม Zen 3 ส่งผลให้แรงขึ้นแต่ร้อนน้อยลง
พร้อมทั้งทำงานด้วยความเร็ว 3.10 – 4.80GHz โดยเป็นแบบ 8 คอร์ 16 เธรด พร้อมการ์ดจอแยกในตัวอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ที่ให้ประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ดีในระดับหนึ่ง จะนับว่าเป็นโน้ตบุ๊คที่เบา 1.3 กิโลกรัมที่แรงที่สุดเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังได้แรมขนาด 32GB และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB ซึ่งก็เป็นส่วนช่วยเรื่องของประสิทธิภาพที่สำคัญทีเดียว
ที่นอกจากสเปกภายในตัวเครื่องแรงแล้ว ยังรองรับการเชื่อมต่อกับกล่องการ์ดจอแยกก็ใช้เป็นรุ่นที่ประสิทธิภาพแรงลื่นระดับสูงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 ซึ่งก็สามารถทำงานประสานร่วมกันเป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นด้วยการที่เป็น 2-in-1 Notebook ทำให้พับหน้าจอได้ 360 องศา เพื่อใช้งานโหมดต่างๆ ได้อย่างแตกต่างจาก Gaming Notebook มาตรฐาน ก็ถือว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอด
ที่สำคัญคือจัดการอุณหภูมิได้ดีด้วย จากเทคโนโลยีการระบายความร้อนที่ดีและเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่ดียิ่งขึ้น เรียกได้ว่าใครกำลังมอง Gaming Notebook ที่ไม่ซ้ำใคร ได้ดีไซน์เรียบหรูดูดี เบาแค่โลนิดๆ ตัวเครื่องแข็งแรงทนทาน และสเปกที่แรงที่สุดในรุ่น ด้วยราคา 90,000 บาทก็ถือว่าค่อนข้างสูงทีเดียว แต่ถ้าเรื่องงบไม่ได้ปัญหา ก็เตรียมตัวจัดได้เลย คาดว่าทาง ASUS จะนำเข้ามาทำตลาดเร็วๆ นี้
จุดเด่น ASUS ROG Flow X13
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจตามสไตล์ ROG แบบแนวคิดใหม่ งานประกอบแน่นวัสดุดี
- ขนาดตัวเครื่องเล็กกระทักรัด เบา 1.3 กิโลกรัม และบางที่ 15.8 มิลลิเมตร
- พับหน้าจอได้ 360 องศา รองรับการทัชสกรีนและ Multi-Mode
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่อย่าง AMD Ryzen 9 5980HS แรงลื่นกว่า ร้อนน้อยกว่า
- มี XG Mobile ใช้การ์ดจอแยกตัวแรงรุ่นล่าสุด NVIDIA GeForce RTX 3080 ที่ทรงพลังที่สุด
- แรมขนาด 32GB Bus 4266 MHz แบบ Dual Channel
- ติดตั้ง SSD M.2 NVMe PCI ความจุ 1TB ความเร็วแรงสูง
- ได้หน้าจอ 4K UHD 16:10 พาเนล IPS คุณภาพดีมาก sRGB ใกล้เคียง 100%
- อุณหภูมิในการใช้งานถือว่าจัดการได้ดี ไม่ร้อนจนเกินไป มีระบบไล่ฝุ่นอัตโนมัติ
- พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C รองรับ DisplayPort / และชาร์ไฟด้วย USB PD ได้
- มีซอฟต์แวร์ Armory Crate มาช่วยปรับแต่งการใช้งาน
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที มีความสเถียร์ของไดร์เวอร์
- ประสบการณ์ใช้งานดีเยี่ยม ประทับใจมาก เมื่อเทียบกับราคา
- ประกัน 3 ปี ส่งศูนย์แบบทั่วโลก พร้อมฝากส่งเคลม 7-11 และมีประกันอุบัติเหตุ 1 ปี
ข้อสังเกต ASUS ROG Flow X13
- แรมออนบอร์ดขนาด 32GB ไม่สามารถอัพเกรดเพิ่มได้ แต่ก็ไม่จำเป็นแล้ว
- ในการทดสอบเครื่องเดโม แบตเตอรี่ใช้งานได้เพียง 3 ชั่วโมง
- ในการทดสอบหนักๆ เช่นการเล่นเกม RE3 Remake มีอาการหน่วงและกระตุก
- ราคาค่อนข้างสูง ใช้งานเฉพาะกลุ่ม
Specification
ASUS ROG Flow X13 (GV301) ที่ได้รับมารีวิวเป็นเครื่องเดโมจากโรงงาน ยังไม่ใช่เครื่องขายจริง มาพร้อมกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5980HS เป็นสถาปัตยกรรม Zen 3 เทคโนโลยีการผลิตที่ 7 นาโนเมตร ที่เหนือชั้น ความเร็ว 3.10 – 4.80 GHz แบบ 8 Core/ 16 Thread การ์ดจอแยกติดเครื่องจะเป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q (4GB GDDR6) ให้ความแรงลื่นพอตัว พร้อมปลดปล่อยความร้อนที่น้อยกว่ารุ่นปกติ เน้นใช้ในรุ่นตัวเครื่องบางๆ
แต่จะทรงพลังสุดๆ ด้วยการต่อ XG Mobile กล่องการ์ดจอแยกที่เป็น NVIDIA GeForce RTX 3080 (16GB GDDR6) ซึ่งเป็นรุ่นบนสุดในตลาด Notebok ใช้สถาปัตยกรรม Ampere โดยเป็น RTX เจนที่ 2 โดยเน้นให้มีความร้อนที่น้อยกว่าแต่ทรงพลังในการเล่นเกมที่เต็มประสบการณ์กว่ารุ่นก่อนหน้าในทุกๆ ด้าน ผ่านทางพอร์ตพิเศษ ROG XG Mobile Interface (PCIe 3.0 x8) ที่ทาง ASUS ออกแบบมาอย่างดี และรองรับการชาร์จไฟผ่านทาง USB-C ด้วย
ในส่วนของแรมได้มาขนาด 32GB Bus 3200MHz แบบ Dual Channel (ออนบอร์ด) มาพร้อมกับที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB ที่มีความลื่นไหลแบบสุดๆ โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้าคือได้หน้าจอขนาด 13.4″ ความละเอียด 4K UHD ที่ 3840 x 2400 พิกเซล สัดส่วน 16:10 ให้พื้นที่และความละเอียดที่มากกว่า พาเนล IPS เกรดคุณภาพสูงระดับ sRGB ใกล้เคียง 100% รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและปากกา
นอกจากนี้รายละเอียดอื่นๆ ของ ASUS ROG Flow X13 ก็จะมีระบบเสียง Dolby Atmos พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง 2 x USB 3.2 Gen 2 Type-C และ 1 x USB 3.2 Gen 2 Type-A ระบบการเชื่อมต่อไร้สายเป็นมาตรฐานใหม่อย่าง Wi-Fi 6 AX (2×2) และ Bluetooth 5.1 พร้อมติดจั้งระบบปฎิบัติการติดตั้ง Windows 10 Pro แท้ และซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Armory Crate มาให้ในตัว
ASUS ROG Flow X13 (GV301) ราคา 9x,xxx บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 9 5980HS (8C/16T – 3.0 – 4.8GHz)
-
GPU : AMD Radeon 8 + NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q
- Ex GPU : NVIDIA GeForce RTX 3080 (up to)
-
RAM : 32GB DDR4 Bus 4266 MHz (Onboard)
-
DISPLAY: 13.4 IPS WQUXGA (3840 x 2400) 16:10 @ 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 1TB
-
OS : Windows 10 Pro
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty (คาดการณ์)
Hardware / Design
ASUS ROG Flow X13 เป็นหนึ่งในซีรีส์ ROG รุ่นใหม่ ปี 2021 จากการที่นำดีไซน์ที่เน้นความบางเบาเล็กกระชับมากกว่า ASUS ROG Zephyrus G14 ที่เป็นหน้าจอ 14″ รุ่นปีก่อน โดยมีความบางสุดที่ 15.8 มิลลิเมตร มาพร้อมน้ำหนักเบาที่ 1.3 กิโลกรัม รวมไปถึงแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า Gaming Notebook ทั่วไปกับขนาดหน้าจอขอบบางเฉียบ ทำให้มิติโดยรวมมีความกระทัดรัดพกพาสะดวก พร้อมได้สเปกภายในที่ทรงประสิทธิภาพมาก มากกว่า Notebook จอ 13″ ทั่วไป
การออกแบบหลักๆ เน้นความดุดันแต่ก็มีความเรียบง่าย พร้อมแข็งแกร่งสไตล์ ROG ด้วยวัสดุเป็นโลหะฝาหลังเป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์พร้อมลวดลายที่ได้แนวคิดมาจากคลื่น (Wave) พร้อมโลโก้แบบใหม่ที่มุมซ้ายล่างเหมือนกับ ASUS ROG Zephyrus G14 ที่นับว่าเป็น DNA ของโน้ตบุ๊คเล่นเกมของ ASUS ROG ปี 2021 เรียกได้ว่าดูเป็น Gamer สายจริงจังขั้นกว่า ที่นำไปพกพาทำงานก็ลงตัวสุดๆ ดูแล้วไม่ได้มีความเป็น Gaming เกินไปนัก อีกทั้งแกนบานพับยังทำหน้าที่ยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้นด้วยเวลากางหน้าจอ
ตัวเครื่องในทุกมิติเน้นความเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่ามีความสมมาตรลงตัว ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดี พร้อมรูปแบบขอบหน้าจอเป็นแบบบานพับสองแกนลักษณะ 2 ชั้น ดูแล้วแข็งทนทานกางหน้าจอได้ 360 องศา เพื่อไว้ใช้งาน Multi-Mode ส่วนด้านท้ายและขอบเครื่องทางขวาจะเห็นถึงช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ 3 ช่อง 2 สองพัดลมขนาดใหญ่ ทำงานร่วมกับระบบ ASUS Intelligent Cooling
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องวัสดุพลาสติกที่แข็งแรง งานประกอบเรียบร้อย พร้อมอากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นขนาดใหญ่ด้านล่างใต้เครื่อง และยางรองด้านหลังช่วยยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งยังมีช่องด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องดูดลมอีกช่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก อีกทั้งมีระบบไล่ฝุ่นอัตโนมัติ Anti-Dust Cooling ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสมขึ้นในอนาคต พัดลมคู่ ซึ่งทำงานร่วมกับท่อความร้อน พร้อมด้วย Liquid Metal ดึงความร้อนออกจาก CPU / GPU ได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ASUS ROG Flow X13 อยู่บนพื้นฐานการออกแบบของตระกูล ROG ที่เน้นสายเกมเมอร์เป็นหลักด้วยสเปกภายในที่ทรงประสิทธิภาพทั้งชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกในตัว พร้อมรองรับสำหรับคนที่นำไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ ได้เต็มรูปแบบ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ และสเปกแรงล้ำกว่ารุ่นก่อนๆ รวมไปถึงหน้าจอก็ใหญ่ที่ 13.4″ สัดส่วน 16:10 ก็ตอบโจทย์คนที่ทำงานได้ เพราะมีพื้นที่ด้านบนล่างที่มากกว่า อีกทั้งปุ่ม Power ได้ถูกย้ายไปขอบด้านข้างตัวเครื่องทางขวา ที่เป็น Fingerprint ในตัวอีกด้วย
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของ ASUS ROG Flow X13 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook บางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งพอกลับมาบ้านก็ต่อกล่องการ์ดจอแยกเพื่อความแรง และใช้งาน Multi-Mode ได้เลย ท่ีตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่ล้ำหน้ากว่า ในราคาที่จัดว่าเฉพาะกลุ่มพอตัว
Keyboard / Touchpad
ASUS ROG Flow X13 เป็นคีย์บอร์ดมีไฟ LED ขาวสีเดียว กับสีที่บ่งบอกถึง ROG รุ่นนี้ แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.7 มิลลิเมตร อีกทั้งปุ่มรุ่นใหม่นี้ยังช่วยให้การพิมพ์มีเสียงรบกวนต่ำกว่า 30 เดซิเบลด้วยกัน
พร้อมเทคโนโลยี OverStroke เพื่อการกดรัวที่ดียิ่งขึ้นด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ 20 ล้านครั้ง รวมถึงสามารถมีฟังก์ชั่น Hot Key เพิ่มลดเสียง เปิดปิดไมค์ และเรียกซอฟต์แวร์ Armory Crate ขึ้นมา ซึ่งตัวปุ่มต่างๆ ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์หรือคนทำงานอย่างแท้จริง
ทัชแพดเองขนาดใหญ่แบบซ้อนปุ่ม ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ปุ่มนุ่มกดง่าย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี ฟีเจอร์ Multi-touch หรือ Smart Gesture ที่สามารถใช้งานควบคู่กับ Windows 10 ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมีในส่วนของปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Turbo mode สำหรับประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับสูงสุด, Silen Mode ให้พัดลมทำงานเงียบที่สุด
Screen / Speaker
ASUS ROG Flow X13 มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบทั้งขอบด้านข้างและด้านบนพร้อมติดตั้งเว็บแคมและไมโครโฟน กับขนาด 13.4″ ความละเอียด 4K Ultra HD ที่ 3840 x 2400 พิกเซล สัดส่วน 16:10 พาเนลเป็น IPS คุณภาพสูง มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานระดับมืออาชีพ หรือการเล่นเกมจริงจังก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ แต่ในส่วนของ Refresh Rate จะอยู่ที่ 60Hz ที่ถึงแม้ไม่ดูลื่นไหลมากเท่า 144Hz – 240Hz แต่ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว
ทดสอบหน้าจอที่แม้จะเป็นพาเนล IPS แต่ก็มีหลายเกณฑ์ โดยการดูประสิทธิภาพต่างๆ นแต่ละด้าน ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสัน Gamut เทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB 96% และ AdobeRGB 76% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับสูง ถือว่าดีกว่า ROG รุ่นก่อนชัดเจน ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊ค พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพทั่วไป รองรับกับการทำงานจริงจังเรื่องความแม่นยำของสีได้ลงตัว
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 300 cd/m2 แต่สำหรับช่องแถวล่างทั้งหมดมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 7% ที่ถือว่ารับได้ ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.5 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ถือว่าดีมากตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ปี 2021
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องข้างๆ ซ้ายขวา ขนาด 2 x 1W คุณภาพสูง พร้อมระบบ Dolby Atmos ให้ระดับเสียงที่ดังและสมจริง เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะไม่มีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม
ในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้ทันที อีกทั้งยังมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันด้วยเสียง (Voice Calls) จะชัดเจนกว่าที่เคยด้วยระบบตัดเสียงรบกวนแบบสองทางที่ทำงานด้วย AI จากการที่มีการติดตั้งตัวตัดเสียง 4 ช่อง ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ขอบหน้าจอตัวเครื่องด้านล่างอีกด้วย
Connector / Thin And Weight
ด้านพอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่องจัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาที่มีพอร์ตเชื่อมต่อมาให้ครบครับใช้ได้เลยทีเดียว โดยตัวพอร์ตจะอยู่ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่อง โดยมีทั้ง USB 3.2 Type-A (Gen 2) จำนวน 1 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลายในปัจจุบัน พร้อมด้วย USB 3.2 Type-C (Gen 2) จำนวน 2 พอร์ต ได้มาตรฐาน DisplayPort 1.4 และ USB PD (Power Delivery)
กับอแดปเตอร์ก็เป็น USB-C หรือ Power Bank ที่เป็น PD ด้วยเช่นกัน ซึ่งฝั่งที่เป็น ROG XG Mobile Interface (PCIe 3.0 x8) จะมียางปิดเอาไว้กันฝุ่นด้วย พร้อมช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตร 1 ช่อง และ HDMI ไว้เชื่อมต่อหน้าจอภานอก ส่วน Kensington จะอยู่ที่ด้านขวาไว้ล็อคตัวเครื่องกับโต๊ะ
ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 5.1 และ Intel Wi-Fi 6 AX (2×2) ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้มีความสเถียรมากยิ่งขึ้น ส่วนขนาดของตัวเครื่อง 299 x 222 x 15.8 ~ 15.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.3 กิโลกรัม ถือว่าค่อนข้างเบาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ และเมื่อรวมกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 100W เข้าไปด้วยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1.6 กิโลกรัมเท่านั้น ทำให้ถือมือเดียวก็สบายๆ หยิบจับไปไหนก็สะดวกทีเดียว
Multi-Mode
ASUS ROG Flow X13 ตอบสนองได้อย่างหลากหลายจากการที่เป็น 2-in-1 Gaming Notebook ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ด้วยการพับเพื่อใช้งาน Multi-Mode ถึง 4 รูปแบบด้วยกันไม่ว่าจะเป็น Notebook / Stand / Tent / Tablet แน่นอนว่ารองรับการใช้งาน ASUS Active Pen ด้วย รองรับแรงกดหลายระดับ ซึ่งทีมงานของเรานั้นนำไปใช้งานอะไรบ้าง และรูปลักษณ์เมื่อเปลี่ยนไปใช้โหมดต่างๆ นั้น จะมีลักษณะเป็นอย่างไร
Notebook Mode เป็นรูปแบบธรรมดาทั่วไปเหมือนกับโน๊ตบุ๊คปกติ เน้นสำหรับการใช้งานทั่วไป เล่นอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงงานเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้คีย์บอร์ดและทัชแพดในการควบคุมเหมือนโน๊ตบุ๊คปกติ แน่นอนว่าเพื่อเน้นตอบโจทย์ในการเล่นเกมระดับ AAA ด้วย
Tablet Mode ด้วยการพับหน้าจอกลับแบบ 360 องศา จนฝาหลังและฐานใต้เครื่องมาติดกัน เราก็จะได้แท็บเล็ตที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเรามีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเอาไว้เล่นเกมหรือดู E-Book อย่างที่แท็บเล็ตอื่นๆ ทั่วไปในตลาดสามารถทำได้ พร้อมการทำงานแบบเชื่อมต่อหน้าจอแยก แล้วใช้ปากกาเพื่อประสิทธิภาพการขีดเขียน
Stand Mode เน้นใช้งานที่ระบบจอสัมผัสของตัวเครื่องอย่างเดียวและวางไว้บนพื้นที่ราบ โดยรูปแบบการใช้งานนี้จะเน้นไปทางการใช้งานแอพพลิเคชั่นของ Windows เอง หรือเน้นไปทางการดู YouTube หรือชมภาพยนตร์เป็นหลัก พร้อมรองรับการทำงานแบบมัลติทัชได้พร้อมกันมากสุดที่ 10 จุดพร้อมกัน หรือการเล่นเกมแบบต่อเมาส์และคีย์บอร์ดแยกออกมา
Tent Mode ค่อนข้างจะคล้ายกับ Stand Mode ก่อนหน้านี้ แต่จะอยู่ในรูปทรงตั้งเครื่องเอาไว้เป็นลักษณะสามเหลี่ยม ใช้ในการวิวดูข้อมูลการแสดงผลหน้าจอเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดมาบังด้านหน้าของตัวเครื่อง รวมไปถึงการเล่นเกมที่ใช้จอยคอนโทรลเลอร์เป็นหลัก อีกทั้งยังสามารถจับพาดหรือเกาะกับสิ่งของรอบๆ ได้
Inside / Upgrade
การแกะเครื่องนั้นทำง่ายมากเพียงแกะน็อตออกทุกตัวแล้วใช้บัตรแข็งๆ ค่อยๆ แงะจากด้านหลังตรงแกนฝาพับตัวเครื่องแล้วค่อยๆ รูดไปตามแนวฝาหลังและแกะแผ่นออกมาทั้งหมด เมื่อแกะออกมาแล้วก็จะเห็นฮาร์ดแวร์หลายๆ ถูกออกแบบจัดระเบียบได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว มีพัดลมขนาดใหญ่เทคโนโลยี ASUS Intelligent Cooling ที่ครบคุมได้เป็นอย่างดี
พร้อมระบายความร้อนที่มี Anti-Dust Tunnels ที่อยู่ในชุดฟินสีดำพร้อมทำร่องเพิ่มหน้าสัมผัสอากาศ หมดกังวลเรื่องฝุ่นที่ติดตรงครีบระบายความร้อนจุดสังเกตที่เปลี่ยนไปคือตัวเครื่องเลือกใช้ฮีทไปป์ 2 เส้นขนาดใหญ่ ซึ่งภายในได้ติดตั้ง Liquid Metal นำพาความร้อนแบบพิเศษจาก CPU / GPU เรียกได้ว่าเอาอยู่กับสเปกแบบนี้แล้ว
ซึ่งหลังจากที่แกะออกมาแล้วนั้นจะเห็นในส่วนของฮาร์ดแวร์ที่สามารถทำการอัพเกรดคือมีช่องใส่ SSD M.2 NVMe PCIe ที่ติดตั้งมา 1TB ส่วนหน่วยความจำแรมขนาด 32GB เป็นแบบฝังบอร์ด โดดเด่นด้วยมาตรฐาน DDR4 Bus 4266 MHz จากที่เป็น Gaming Notebook บางเบานั่นเอง ทำให้ไม่เน้นการอัพเกรดใดๆ อีกทั้งไม่รองรับการใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5″ ตามรูปแบบของโน๊ตบุ๊คที่เน้นความบางเบา
Performance / Software
ASUS ROG Flow X13 มาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวท็อปสุดในตลาดของ Gaming Notebook บางเบา ของ AMD อย่าง Ryzen 9 5980HS เน้นนำไปใช้งานหนักๆ แต่ก็ควบคุมความร้อนได้ดี ด้วยสถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ความเร็ว 3.00 – 4.80 GHz แบบ 8 Core/ 16 Thread ร้อนน้อยกว่า ได้ L3 Cache ที่ 16MB มีค่าอัตราการใช้พลังงานสูงสุด (TDP) ที่ 35W ซึ่งน้อยกว่ารุ่น Ryzen 9 5900HX ที่ 45W
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังรวมไปถึงเล่นเกมเป็นหลัก ก็รองรับได้อย่างสบายๆ และดีที่สุดแน่นอน เรียกได้ว่าแรงกว่าชิปประมวลผลที่เป็น AMD Ryzen 4000H อย่าง Ryzen 9 4900HS แน่นอน
มาพร้อมแรมภายในขนาด 32GB DDR4 Bus 4266 MHz on board โดยมี SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 1TB แน่นอนว่าสามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้ใช้งานลื่นไหลทันทีแบบรวดเร็วอย่างที่สุด
ผสานกับการ์ดจอออนบอร์ดรุ่นใหม่อย่าง AMD Radeon 8 มีความเร็วในการทำงานที่ 2100MHz มาตรฐานแรม DDR4 ขนาด 512MB ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเป็นหลัก กับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K Ultra HD ให้ความลื่นไหลเป็นอย่างดี ซึ่งโดดเด่นจริงๆ จะเป็นเรื่องของการประหยัดพลังงานเมื่อใช้งานเบาๆ
โดยมีการ์ดจอแยกตัวแรงคุ้มค่าอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q จากที่สเปกภายในได้รับการอัพเกรดขึ้น เห็นได้ชัดจากแรมการ์ดจอจะเป็น 4GB GDDR6 และเป็นรุ่น Max-Q เน้นใช้งานกับ Gaming Notebook ที่บางกว่ารุ่นปกติแต่ก็ยังแรงลื่นพอตัว เพราะเน้นประหยัดพลังงานและปลดปล่อยความร้อนที่น้อยกว่า และแม้ไม่มีฟีเจอร์อย่างที่ใน RTX Series มี แต่ก็ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / CINEBENCH 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5980HS คะแนนก็อยู่ในระดับสูงมากๆ อย่างน่าประทับใจสมกับเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก Ryzen 5000H เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 4900HS ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง ที่เน้นการทำงาน 3D เป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ที่กลายเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook ไปแล้ว โดยใช้เป็นเกรดสูงสุด ซึ่งทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าประทับใจมากๆ บนขนาดความจุ 1TB (1000GB) แบบ M.2 NVMe PCIe ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 2432 MB/s และเขียนที่ 1965MB/s ที่ต้องบอกว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,722 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็น Gaming Notebook สเปกใหม่ล่าสุดจากชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5980HS มีการ์ดจอแยกระดับ Gaming ตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบาทั่วไปมากๆ ยิ่งถ้าได้ XG Mobile มาต่อเสริมแล้ว คาดว่าน่าจะแรงกว่านี้ไปอีกแบบไม่ต้องสงสัย
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ แต่มีข้อจำกัด โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 7 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 40 – 80 ขึ้นไปแทบทุกเกม ประกอบไปด้วย Resident Evil 3 Remake (Demo) / Battlefield V / FarCry 5 / GTA V ที่เป็นเกมออฟไลน์ที่กินทรัพยกร รวมไปถึงเกมออนไลน์ยอดนิยมอย่าง PUBG / DOTA 2 / Overwatch ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง RE 3 / BF V / GTA V / FarCry 5 ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด !!! จากกราฟตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าเฟรมเรทที่ออกมานั้นมีความลื่นไหลสุดๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว ซึ่งถ้าอยากให้เฟรมเรทลื่นไหลกว่านี้ก็สามารถเลือกปรับกราฟิกระดับกลางๆ ก็ได้ ซึ่งเกม RE 3 มีอาการเฟรมเรมล่วงลงไปบ้าง คาดว่าจากการควบคุมความร้อนภายใน CPU
ต่อกันที่เกมออนไลน์อย่าง PUBG / Overwatch / DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็ไม่มีอาการช้าหรือหน่วงเลย ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แน่นอนว่าถ้าได้ RTX 3080 คงเร่งไปได้กว่านี้อีกไกล
นอกเหนือจากนี้ยังมี Armory Crate ซอฟต์แวร์ Utility เวอร์ชั้นล่าสุด ที่ใช้กับ Gaming Notebook ทั้ง TUF และ ROG รุ่นอื่นๆ ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ TUF/ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบร อาทิ ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้หลายโปรไฟล์
ซึ่งการตั้งค่าต่างๆ จะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต ปิดท้ายด้วยซอฟต์แวร์ Utility อีกตัวอย่าง MyASUS ที่ไว้คอยตรวจระยะเวลากรับประกันและอัพเดทไดร์เวอร์ได้ครบๆ
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับ 10% แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น เรียกได้ว่าอาจจะเป็นเครื่องเดโมเลยยังมี Bug อยู่ เพราะตามที่ ASUS เคลมไว้คือ 10 ชั่วโมง
อีกทั้งเราสามารถชาร์จไฟได้ผ่านทางพอร์ต USB-C ด้วยเทคโนโลยี USB PD (USB Power Delivery) กับอแดปเตอร์หรือ Power Bank ที่รองรับด้วย (แต่ก็ชาร์จไฟเข้าช้ากว่าอแดปเตอร์มาตรฐาน) ที่สำคัญยังรองรับเทคโนโลยี fast charging โดยแบตเตอรี่จาก 0% ใช้เวลาชาร์จที่ 30 นาที ก็ได้กลับมา 50% แล้ว
สำหรับอุณหภูมิทดสอบด้วยโปรแกรม Hardware Monitor ยังไม่สามารถตรวจสอบในส่วนของชิปประมวลผลได้ แต่จากการทดสอบเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 60 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 26 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ด้วยการเปิดโหมด Turbo ที่เร่งประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน
ประสิทธิภาพโดยรวมยังลื่นไหลอยู่ ซึ่งชิปประมวลผลร้อนสุดๆ ที่ 90 องศาเซลเซียส นับว่าควบคุมความร้อนได้ดี โดยไม่สูงเกินไปกว่านี้แน่นอน เพราะระบบยังคงจัดการได้ดีอยู่ พร้อมกันนั้นไม่กระทบต่อการใช้งานด้วย เพราะประสิทธิภาพไม่ตกเลย ในส่วนของการ์ดจอจะร้อนสุดอยู่ที่ 70 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่มีซอฟต์แวร์ Armory Crate ถ้าใช้งานทั่วไป เราสามารถเลือกปรับโหมดต่างๆ เช่น Windows ทำให้พัดลมแทบไม่หมุนและไม่มีเสียงเลย
Conclusion / Award
ASUS ROG Flow X1 เป็นอีกหนึ่ง Gaming Notebook บางเบารุ่นแรกๆ พร้อมพับได้ 360 องศา เพื่อใช้งาน Multi-Mode ที่ใช้ AMD Ryzen รุ่นใหม่สุดๆ อย่าง Ryzen 9 5980HS ที่เป็นตัวท็อปเน้นปลดล่อยความร้อนที่น้อยกว่า ที่ต้องบอกว่าแรงกว่ารุ่นก่อนมากๆ สมกับการที่ทาง ASUS ได้พัฒนาร่วมมือกับทาง AMD มาโดยตลอด ทำงานร่วมกับการ์ดจอภายใน NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q
และยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพ กล่องการ์ดจอแยกตัวแรงล้ำสุดอย่าง XG Mobile ที่ติดตั้ง NVIDIA GeForce RTX 3080 รวมไปถึงในส่วนของแรมยังได้เป็นมาตรฐานใหม่ด้วยขนาด 32GB DDR4 Bus 4266 MHz แน่นอนว่าที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูงสุดด้วย ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจมากๆ กับความแรงและความล้ำหน้าเกินใครในสุดๆ ช่วงต้นปี 2021 นี้
จากการทดสอบใช้งานจริงเล่นเกมจริงๆ เห็นได้ชัดถึงความทรงพลังของชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมเหนือชั้นกว่า Ryzen 4000H + GeForce RTX 20 ไประดับ (กรณีถ้าได้เชื่อมต่อกับ XG Mpbile) ซึ่งนอกจากสเปกภายในที่แรงมากๆ แล้ว ดีไซน์ภายนอกก็มีความสวยงามบางเบา และให้ความพรีเมียมดุดัน โดยรองรับทั้งการเล่นเกม 3 มิติ AAA ใหม่ๆ หรือจะนำไปทำงานในเครื่องเดียวกันก็เยี่ยมยอด โดดเด่นที่แบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง (ตามที่เคลมไว้)
สำหรับ ASUS ROG Flow X13 รุ่นล่าสุด ถูกวางในเป็นรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนของ ROG Series ซึ่งมีราคาประมาณ 90,000 บาท ได้สเปก กับการที่ตัวเครื่องเน้นความเบาที่มากกว่า ASUS ROG Zephyrus G14 อีกทั้งได้หน้าจอทัชสกรีนแบบ 4K UHD ที่สัดส่วน 16:10 เน้นพื้นที่การทำงานที่มากกว่า ความละเอียดที่เหนือชั้นกว่า รองรับงานมืออาขีพได้มากกว่าที่เคยมีมา
คาดว่าถ้าจำหน่ายในไทยเมื่อไร จะได้การรับประกัน 3 ปี On-site Service และแบบทั่วโลก และที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS อีกด้วย อุ่นใจจัดเต็ม ตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ที่เป็น ASUS ROG กับบริการหลังการขายที่ดีที่สุดในตลาด
เรียกได้ว่าการมาของ ASUS ROG Flow X13 ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความร่วมมือระหว่าง AMD x ASUS ที่เป็นนวัตกรรมหาทำ Gaming Notebook ปี 2021 อีกครั้ง เพราะได้เรื่องของสเปกภายในใหม่ล่าสุด ความแรงลื่นที่เหนือกว่ารุ่นก่อนๆ ในทุกๆ มิติ อีกทั้งได้ฟีเจอร์และประสบการณ์ใช้งานที่แตกต่าง คงต้องรอดูกันอีกทีว่าจะขายจริงๆ ในไทยเมื่อไร และจะเปิดราคาเท่าไรด้วย ส่วนเครื่องจริงๆ สเปกจริงๆ พร้อม XG Mobile ถ้าได้มาแล้วก็จะมีรีวิวเต็มๆ กันอีกทีนะ รอติดตามกันได้
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG Flow X13 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ROG โน๊ตบุ๊คสายคุ้มค่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน ASUS ROG Flow X13 ซึ่งมีการนำเสนอใหม่ของ ROG ทำให้มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม ที่สำคัญคือขอบจอบาง น้ำหนักเบาแค่ 1.3 กิโลกรัม และบางเพียง 15.8 มิลลิเมตรเท่านั้น วัสดุคุณภาพดีงานประกอบก็เยี่ยมทั้งอลูมิเนียมอัลลอยด์และพลาสติกเกรดดี มีความทนทานสูง เอาไปทำงานหรือเล่นเกมได้หมดรอบด้าน
Best Performance
ASUS ROG Flow X13 สเปคเป็น AMD Ryzen 9 5980HS + NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q หรือ RTX 3080 + Ram 32GB Bus 4266MHz + SSD M.2 NVMe 1TB + มี Windows 10 แท้ ซึ่งทดสอบการใช้งานเล่นเกมจริงแล้วแรงจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ค่าคะแนนต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดี ส่วนการใช้งานทั่วไปนั้นก็ลื่นไหลสุดๆ หรือเล่นเกมก็ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญได้ความพรีเมียม บางเบา เรียกได้ว่าคุ้มค่าจนหาตัวจับได้ยากทีเดียว สำหรับ Gaming Notebook หน้าจอ 13.4″ แบบนี้
Best Graphic
สุดทางจริงๆ สำหรับหน้าจอแสดงผลหลักของ ASUS ROG Flow X13 ที่เป็นหน้าจอพับได้ 360 องศา พาเนล IPS ขนาด 13.4″ บนความละเอียด 4K Ultra HD สัดส่วน 16:10 ให้ค่าขอบเขตสี sRGB 100% และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่หาไม่ได้ในโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและ ASUS Active Pen ซึ่งใช้งานหน้าจอของเราสมบูรณ์แบบด้วยความเรียบเนียน สนับสนุนการทำงานหลากหลายโปรแกรม ส่งผลให้เราเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งาน Gaming Notebook แบบเดิมๆ ไปตลอดกาล