ยุคที่เราใช้สมาร์ทโฟนกันจนแทบเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายแล้ว การเลือกซื้อหูฟัง True Wireless ดี ๆ สักรุ่นเอาไว้ใช้ฟังเพลงก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพียงแค่เชื่อมต่อ Bluetooth เสร็จแล้วจะถอดเก็บหรือหยิบมาใส่ก็สะดวกไม่ต้องเจอปัญหาสายพันกันหรือไปโดนหูกระเป๋าของใครมาเกี่ยวให้สายหลุดจากหูหรือดึงสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงให้หลุดตามออกมาเลย
ซึ่งหลังจาก Apple ทำหูฟัง AirPods ออกมาเป็น True Wireless รุ่นแรกแล้วคนให้ความนิยมเลือกซื้องานกันอย่างจริงจังแล้ว ก็ทำให้บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟน, อุปกรณ์ไอที รวมไปถึงผู้ผลิตต่าง ๆ หันมาผลิตหูฟังประเภทนี้กันอย่างจริงจังและเป็นสินค้าที่ผู้คนให้ความสนใจมากทีเดียว
วิธีการเลือกหูฟัง True Wireless ฉบับง่าย ๆ
เวลาจะเลือกซื้อหูฟัง True Wireless สักตัวมาใช้ ไปถามใครก็บอกว่าให้ลองไปฟังของจริงที่ร้านขายหูฟังสำหรับฟังเพลงก่อนว่าชอบไม่ชอบและหูฟังอันนั้นเข้ากับหูเราหรือเปล่า นั่นเพราะว่ารูปทรงของหูรวมทั้งรสนิยมการฟังเพลงของแต่ละคนก็แตกต่างกันจนไม่รู้ว่า “หูฟังนี้ฟังเพลงได้ดี” ของเขาจะเป็นหูฟังที่ฟังเพลงได้ดีของเราหรือเปล่า? ดังนั้นไม่ว่าจะอ่านรีวิวหรือมีคำโฆษณาจากคนใกล้ตัวมาว่าหูฟังตัวนั้นนี้มันดี ใช้แล้วฟินแน่นอน ก็ควรหาโอกาสทดลองฟังดูสักครั้งเสมอ
ยุคนี้ไม่ว่าบริษัทไหนก็ทำ True Wireless กันเป็นปกติ แต่รุ่นไหนจะเข้ากับเรานี่สิใจความ
สำหรับหลักการเลือกหูฟังไร้สายไม่ว่าจะซื้อเพิ่มหรือเพิ่งได้ซื้อเป็นอันแรกก็มีหลักการเลือกเพื่อให้ได้ของคุณภาพดีและถูกใจของเราได้ง่าย ๆ และใช้เป็นเช็คลิสท์ก่อนจะซื้อหูฟังได้อีกด้วย โดยวิธีการเลือกซื้อจะมีดังนี้
- หาแบรนด์ที่ตัวเองสนใจ – เพราะตอนนี้หลาย ๆ แบรนด์ก็ผลิตหูฟังไร้สายออกมาวางจำหน่ายกันหลากหลายรุ่นไปหมด ซึ่งดีไซน์, เทคโนโลยีและโทนเสียงของแต่ละแบรนด์ก็แตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเราเริ่มเลือกจากแบรนด์ที่ตัวเองสนใจก่อนก็จะช่วยให้เราตีวงการเลือกหูฟังได้ดียิ่งขึ้น และอาจจะเลือกจากแบรนด์ที่เข้ากับสมาร์ทโฟนของเราไปก็ได้ เช่นถ้าใช้ iPhone อยู่ก็เลือกเป็น AirPods Pro เป็นตัวเลือกแรกเอาไว้ก่อน แล้วเพิ่มตัวเลือกเสริมเอาไว้สัก 1-2 รุ่น เผื่อว่าไปทดลองฟังเพลงจากหูฟังนั้นแล้วไม่ค่อยชอบก็มีรุ่นสำรองเอาไว้ให้เราเลือกได้
- อ่านรีวิวของรุ่นนั้นเพื่อดูข้อดีข้อเสีย – การหารีวิวมาอ่านจะช่วยประหยัดเวลาไปทดลองใช้งานและฟังลงไปได้ส่วนหนึ่ง ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาทดลองทุกรุ่นรวมทั้งได้รู้ข้อดีข้อเสียเมื่อทดลองใช้เป็นระยะยาวอีกด้วย และเรายังได้เก็บข้อมูลของบางรุ่นที่น่าสนใจแต่ไม่มีโอกาสได้ทดลองฟังได้อีกด้วย
- เลือกรุ่นที่มีฟีเจอร์ตอบโจทย์เรา – หูฟังไร้สายเหล่านี้มักมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ อัดแน่นมาให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้งาน ไม่ว่าจะบีบก้านหูฟังเพื่อสลับระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวนหรือเปิดให้เสียงภายนอกเข้ามาได้, แตะก้านเพื่อเรียก Google Assistant, รูดก้านขึ้นหรือลงเพื่อเพิ่มลดเสียง ฯลฯ ซึ่งแม้จะมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่มากมาย แต่ถ้าเราโฟกัสที่ฟีเจอร์ที่ได้ใช้งานอย่างแน่นอนอย่างฟีเจอร์การกันน้ำระดับ IPX5 หรือ IPX7, aptX, ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นาน 2-3 ชั่วโมงและใส่กล่องกลับไปชาร์จให้ใช้งานต่อได้นาน XX ชั่วโมง นั้นเป็นฟีเจอร์หลักที่ควรโฟกัสเป็นอย่างแรก แล้วไปโฟกัสเพิ่มเติมในส่วนเสริมอื่น ๆ ที่เราต้องการใช้งานเพิ่มเติมจะดีที่สุด
- หาหูฟังที่มี aptX – Qualcomm aptX เป็นเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลผ่านทาง Bluetooth ให้ต่อเนื่องและไม่เจอปัญหาความหน่วง (Latency) ระหว่างใช้งานอยู่อีกด้วย โดย Qualcomm aptX จะมี 4 แบบย่อยคือ
- Qualcomm aptX – เทคโนโลยีรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย ทำให้เสียงเพลงที่ได้มีคุณภาพดีโดยเฉพาะคลื่นเสียงที่มนุษย์ได้ยินในย่าน 20Hz – 20kHz มี Bit Rate สูงถึง 384 kbps
- Qualcomm aptX Low Latency – เทคโนโลยีรับส่งข้อมูลไร้สายด้วย Bluetooth มักใช้ในจอยเกมต่าง ๆ ทำให้รับส่งข้อมูลด้วย Bluetooth เร็วเท่ากับการใช้สายต่อกับเครื่อง รองรับการรับส่งไฟล์เสียง 16-bit ด้วย
- Qualcomm aptX HD – ฟีเจอร์รับส่งไฟล์เสียงคุณภาพสูงระดับ HD 24-bit ปรับแต่งเสียงที่ได้แล้วส่งผ่านไปยังสมาร์ทโฟนให้มีคุณภาพเสียงดียิ่งขึ้นและลด Distortion ลงอีกด้วย
- Qualcomm aptX Adaptive Audio – ฟีเจอร์ช่วยลด Latency การรับส่งไฟล์เสียง ช่วยให้เสียงและภาพตรงกันรวมทั้งเพิ่มบิตเรทและทำให้เสียงที่ได้มีคุณภาพระดับ HD ซึ่งถ้าในสเปคของหูฟังรุ่นนั้น ๆ มี aptX Adaptive Audio นอกจากจะเหมาะกับการดูหนังฟังเพลงแล้วก็เอาไปใช้เล่นเกมบนสมาร์ทโฟนได้ด้วย
- ไปทดลองใช้และฟังที่หน้าร้าน – ไม่ว่าจะซื้อสินค้าชิ้นไหน การไปทดลองฟังหูฟังรุ่นนั้น ๆ ที่หน้าร้านก็เป็นเรื่องที่ควรทำเสมอ เพราะเราไม่รู้ว่าดีไซน์และจุกหูฟังของรุ่นนั้น ๆ เข้ากับหูเราดีแค่ไหน โทนเสียงของหูฟังนั้นโดนใจเราหรือเปล่า ดังนั้นเมื่อเราได้ลองฟังแล้วเปิดเพลงโปรดของเราฟังดูสัก 1-2 เพลง ก็น่าจะพอตอบได้ว่าหูฟังรุ่นนั้นใช่สำหรับเราหรือเปล่า
- ซื้อที่ร้านไปเลยหรือจะกลับมารอโปรโมชั่น – ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ใครหลาย ๆ คนก็ไปเลือกดูของจากหน้าร้าน ทดลองเล่นจนพอใจแล้วก็จบกับโปรโมชั่นมากมายในแอพฯ ร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจซื้อจากหน้าร้านเลยเพราะอยากได้มานานแล้วและได้ของไปใช้ทันที หรือจะรอโปรโมชั่นลดราคาบวกกับของแถมของร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีทั้งคู่
5 หูฟัง True Wireless น่าซื้อมาใช้
สำหรับหูฟัง True Wireless นั้นจะมีเกรดราคาตั้งแต่ช่วงร้อยกว่าบาทไปจนถึงหมื่นบาท ซึ่งคุณภาพและองค์ประกอบนั้นก็ผกผันตามราคา ซึ่งหลักร้อยก็สามารถใช้ฟังเพลงได้เหมือนกับรุ่นราคาหลักพันไปจนหมื่นกว่าบาท แต่เรื่องคุณภาพเสียงและฟีเจอร์นั้นถือว่าต่างกันแบบเทียบไม่ติดทีเดียว
หากให้เลือกแล้วการลงทุนซื้อหูฟัง True Wireless ราคาหลักพันกลางถึงหมื่นต้น ๆ นั้นเป็นจุดที่ราคาสมเหตุผลและมีฟีเจอร์หลักสำหรับใช้งานอยู่ครบ โดยหูฟังไร้สายทั้ง 5 รุ่นแนะนำจะมีดังนี้
- Sony WF-1000XM3 (5,990 บาท)
- Sennheiser MOMENTUM True Wireless 2 (11,999 บาท)
- Apple AirPods Pro (8,992 บาท)
- Samsung Galaxy Buds Pro (6,990 บาท)
- Fender Tour (6,990 บาท)
1. Sony WF-1000XM3 (5,990 บาท)
Sony WF-1000XM3 เป็นหูฟังไร้สายขวัญใจมหาชน ขึ้นชื่อว่า Sony แล้วเรื่องเสียงตอนฟังเพลงย่อมโดดเด่นไม่แพ้ใครอย่างแน่นอน โดยฝังชิป DSEE HX ไว้เพื่อทำให้เสียงเพลงดิจิตอลมีคุณภาพสูงขึ้น ขับเสียงผ่านไดรเวอร์ขนาด 6 มม. พร้อมชิปกันเสียงรบกวน Sony QN1e ซึ่งเว็บไซต์ต่างประเทศที่ได้รีวิวหูฟังรุ่นนี้แล้ว ต่างพากันลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ว่า WF-1000XM3 เป็นหูฟัง True Wireless ที่มีระบบ Noise Cancellation ดีสุดในโลกรุ่นหนึ่ง
สเปคส่วนอื่น ๆ คือตัวหูฟังจะตอบสนองที่คลื่น 20Hz – 20,000Hz รองรับไฟล์เสียงแบบ SBC, AAC สามารถปรับ Equalizer ได้ด้วยแอพ Sony Headphones Connect มีฟีเจอร์ Touch Control แตะหูฟังเพื่อคุมการฟังเพลงและเชื่อมต่อกับ Google Assistant, Amazon Alexa ได้ เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 โดยเชื่อมหูฟังสองข้างพร้อมกัน ไม่ใช้วิธีการเชื่อมแบบใช้ตัวหลักแล้วส่งสัญญาณไปหูฟังตัวรอง มี NFC ใช้จับคู่ระหว่างมือถือที่มี NFC กับหูฟังแบบ One-touch connection มีพอร์ต USB-C สำหรับใช้ชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเคส
ส่วนการใช้งานถ้าเปิดระบบตัดเสียงรบกวนจะใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานสุด 6 ชั่วโมง, โทรต่อเนื่องได้นานสุด 4 ชั่วโมงและสแตนด์บายได้ 9 ชั่วโมง ถ้าปิดระบบตัดเสียงรบกวนจะใช้งานได้นานขึ้น เพิ่มเวลาฟังเพลงเป็น 8 ชั่วโมง, โทรต่อเนื่องได้ 4.5 ชั่วโมงและสแตนด์บายได้ 15 ชั่วโมง การชาร์จแบตเตอรี่ใช้เวลา 1.5 ชั่วโมงถ้าชาร์จจาก 0% จนเต็ม สามารถชาร์จหูฟังกับกล่องเพียง 10 นาทีแล้วใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้อีก 90 นาที ส่วนตัวหูฟังรวมกล่องชาร์จหนัก 77 กรัม
สเปคของ Sony WF-1000XM3
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 แบบเชื่อมทั้งสองข้างพร้อมกัน ระยะห่างสุด 10 เมตร
- มี NFC สำหรับจับคู่มือถือและหูฟังแบบรวดเร็ว
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C บนตัวเคส
- ไดรเวอร์ขนาด 6 มม. กับชิปเสียง DSEE HX รองรับไฟล์เสียงแบบ SBC, AAC
- มีชิป Sony QN1e ใช้ตัดเสียงรบกวนได้ดีมาก
- ตอบสนองที่คลื่น 20Hz – 20,000Hz
- ปรับ Equalizer ได้ด้วยแอพ Sony Headphones Connect
- รองรับ Touch control รองรับการใช้งานร่วมกับ Google Assistant, Amazon Alexa
- ใช้งานแบบเปิด Noise Cancellation : ฟังเพลงได้ 6 ชั่วโมง, โทรศัพท์ได้ 4 ชั่วโมง, สแตนด์บายได้ 9 ชั่วโมง
- ใช้งานแบบปิด Noise Cancellation : ฟังเพลงได้ 8 ชั่วโมง, โทรศัพท์ได้ 4.5 ชั่วโมง, สแตนด์บายได้ 15 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 10 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 90 นาที ส่วนชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% จนเต็มใช้เวลา 1.5 ชั่วโมง
- น้ำหนักรวมเคสอยู่ที่ 77 กรัม
- ราคาปัจจุบัน 5,990 บาท (เว็บไซต์ Sony)
2. Sennheiser MOMENTUM True Wireless 2 (11,999 บาท)
Sennheiser MOMENTUM True Wireless 2 เป็นหูฟัง True Wireless ที่ราคาแพงสุดในกลุ่มแต่คุณภาพและฟีเจอร์ก็นับว่าจัดเต็มไม่แพ้รุ่นอื่นเช่นกัน เพราะโทนเสียงเบสแน่นและฟังเพลงได้หลากหลายแนวของ Sennheiser พร้อมฟีเจอร์ปรับ Equalizer, ปรับแต่ง Touch control ได้ตามต้องการ, เปิด Noise Cancellation ตัดเสียงรบกวนตอนฟังเพลงได้ด้วย
ตัวหูฟังมีไดรเวอร์ขนาด 7 มม. เป็น Sennheiser dynamic driver ตัวหูฟังจะตอบสนองที่คลื่น 5 – 21,000 Hz ไมโครโฟนตอบสนองที่ความถี่ 100 Hz – 10 kHz รองรับไฟล์เสียงเป็น SBC, AAC, aptX อีกด้วย เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วย Bluetooth 5.1 มีไมโครโฟน ANC 1 ตัวที่หูฟังแต่ละข้างสำหรับตัดเสียงรบกวน ปรับแต่งการใช้งานทั้งหมดได้ในแอพ Sennheiser Smart Control รองรับการใช้งานกับ Android 8.0 และ iOS 13 เป็นต้นไป
แบตเตอรี่สามารถใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้ 7 ชั่วโมง นำกลับไปชาร์จในเคสและใช้ฟังเพลงได้นานสุด 28 ชั่วโมง สามารถชาร์จเพียง 10 นาทีแล้วใช้งานได้ 1.5 ชั่วโมง ถ้าแบตเตอรี่หมดจะใช้เวลา 1.5 ชั่วโมง เพื่อชาร์จจนเต็ม ส่วนตัวเคสมีพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่คืนให้เคสหูฟังด้วย มีมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่นระดับ IPX4 คือป้องกันเหงื่อและฝุ่นได้แต่ไม่ถึงระดับฝนตกหรือใส่ลงสระว่ายน้ำ
สเปคของ Sennheiser MOMENTUM True Wireless 2
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.1
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C บนตัวเคส
- ไดรเวอร์ Sennheiser dynamic driver ขนาด 7 มม. รองรับไฟล์เสียงแบบ SBC, AAC, aptX
- มีไมโครโฟน ANC ที่หูฟังข้างละ 1 ตัวเพื่อตัดเสียงรบกวน
- ตอบสนองที่คลื่น 5 Hz – 21,000Hz
- ปรับ Equalizer และ Touch control ได้ด้วยแอพ Sennheiser Smart Control
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 7 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 28 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 10 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1.5 ชั่วโมงชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% จนเต็มใช้เวลา 1.5 ชั่วโมง
- กันน้ำระดับ IPX4
- น้ำหนักรวมเคสอยู่ที่ 70 กรัม
- ราคาปัจจุบัน 11,999 บาท (เว็บไซต์ Power Buy)
3. Apple AirPods Pro (8,992 บาท)
Apple AirPods Pro จัดว่าเป็นหูฟัง True Wireless สำหรับคนใช้ iPhone เป็นอย่างมากเพราะสามารถใช้งานฟีเจอร์ของหูฟังตัวนี้ได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพที่สุดอีกด้วย ส่วน Android ก็สามารถใช้งานได้แต่จะใช้งานได้เพียงบางฟีเจอร์เท่านั้นและไม่สามารถใช้ระบบตัดเสียงรบกวนภายนอกได้อีกด้วย
ฟีเจอร์เด่นของ AirPods Pro จะเป็นเรื่องการตัดเสียงรบกวนโดยใช้ชิป Apple H1 ร่วมกับไมโครโฟนภายนอกเพื่อจับเสียงแล้วตัดเสียงแบบ Active Noise Cancellation ซึ่งมีประสิทธิภาพดีรุ่นหนึ่งแต่อาจจะไม่ถึงระดับ Sony WF-1000XM3 ไดรเวอร์เป็นแบบ High-excursion เฉพาะของ Apple ส่วน Equalizer เป็นแบบ Adaptive คือตัวหูฟังจะปรับเสียงให้เข้ากับรูปหูของเราโดยอัตโนมัติ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 และตัวเคสรองรับการชาร์จไร้สายด้วยมาตรฐาน Qi หรือสาย Lightning ที่ก้านหูฟังรองรับการใช้ Touch control เพื่อควบคุมการเปลี่ยนเพลง, เปลี่ยนโหมดการตัดเสียงหรือปล่อยให้เสียงเข้าได้ ผ่านมาตรฐานการกันน้ำระดับ IPX4
แบตเตอรี่ใช้ฟังเพลงต่อเนื่องได้นานสุด 4.5 ชั่วโมง นานสุด 5 ชั่วโมงถ้าปิดระบบตัดเสียงรบกวน ใช้คุยโทรศัพท์ได้ 3.5 ชั่วโมง ใช้โทรศัพท์ต่อเนื่องได้นานสุด 18 ชั่วโมง ถ้าใช้ฟังเสียงอย่างเดียวโดยปรับเสียงให้อยู่ 50% และปิดระบบตัดเสียงรบกวนทิ้งไปจะใช้งานได้นานสุด 24 ชั่วโมง ชาร์จหูฟังในเคสแบบเร่งด่วน 5 นาที ใช้งานได้ 1 ชั่วโมง
สเปคของ Apple AirPods Pro
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต Lightning หรือชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi
- ไดรเวอร์ High-excursion ทำงานกับชิป Apple H1
- มีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ทำงานกับชิป Apple H1
- รองรับ Touch control เมื่อใช้งานกับ iPhone รองรับ Hey Siri
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 24 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 5 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมงชาร์จแบตเตอรี่
- กันน้ำระดับ IPX4
- ราคาปัจจุบัน 8,992 บาท (เว็บไซต์ Apple)
4. Samsung Galaxy Buds Pro (6,990 บาท)
ถ้า Apple AirPods Pro เกิดมาเพื่อ iPhone ตัว Samsung Galaxy Buds Pro ก็เป็นหูฟัง True Wireless สำหรับ Android และสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy โดยเฉพาะเช่นกัน และมีฟีเจอร์เยอะไม่แพ้กับ AirPods Pro และไดรเวอร์หูฟังได้รับการจูนเสียงจาก AKG พร้อมกับลำโพงไดนามิค 2 ทิศทางมี Dolby ATOMS ให้เสียง 360 องศา รวมทั้งผ่านมาตรฐานการกันน้ำ IPX7 อีกด้วย
สำหรับจุดเด่นของ Samsung Galaxy Buds Pro จะโดดเด่นเรื่อง Active Noise Canceling ที่ได้รับการรับรองจาก UL Verification ว่าตัดเสียงได้กว่า 99% ช่วยจัดการเสียงรบกวนได้ดีมากรุ่นหนึ่งและปรับเสียงคู่สนทนาให้ดังขึ้นเมื่อคุยกันอีกด้วย โดยตัวลำโพงมีสองตัวคือ Subwoofer 11 มม. กับทวีตเตอร์ 6.5 มม. ทำงานกับชิป BCM 43015 รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 และรองรับไฟล์เสียงแบบ Scalable ของ Samsung, AAC, SBC รองรับการใช้ Touch control โดยแตะที่ตัวหูฟังเช่นเดียวกับหูฟัง True Wireless รุ่นอื่น ๆ และสลับไปมาระหว่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต Samsung ได้อย่างอิสระอีกด้วย
แบตเตอรี่ถ้าปิดระบบตัดเสียงรบกวนสามารถใช้ฟังเพลงได้ 8 ชั่วโมง รวมการชาร์จในเคสได้สูงสุด 28 ชั่วโมง ใช้โทรศัพท์ได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมง และใช้ชาร์จในเคสได้ 17.5 ชั่วโมง ถ้าใช้งานแบบเปิดระบบตัดเสียงรบกวนจะใช้ฟังเพลงได้ 5 ชั่วโมงต่อเนื่อง รวมชาร์จในเคสได้ 18 ชั่วโมง โทรศัพท์ได้ 4 ชั่วโมง รวมชาร์จในเคสได้ 14.5 ชั่วโมง รองรับการชาร์จไวโดยชาร์จหูฟังในเคส 5 นาที จะใช้งานได้ 1 ชั่วโมง
สเปคของ Samsung Galaxy Buds Pro
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB หรือชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi
- ไดรเวอร์สองตัวปรับแต่งด้วย AKG มี Subwoofer ขนาด 11 มม. กับทวีตเตอร์ขนาด 6.5 มม. ทำงานกับชิป BCM 43015
- มีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนได้ 99% ได้รับการรับรอง UL Verification
- รองรับ Touch control และรองรับการสลับไปมาระหว่างอุปกรณ์ Galaxy ด้วยกัน
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 8 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 28 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 5 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมงชาร์จแบตเตอรี่
- รองรับ Google Assistant, Samsung Bixby
- กันน้ำระดับ IPX7
- ราคาปัจจุบัน 6,990 บาท (เว็บไซต์ Samsung)
5. Fender Tour (6,990 บาท)
Fender Tour ถ้าเป็นคนเล่นดนตรีจะรู้จักแบรนด์นี้ในฐานะผู้ผลิตกีตาร์และแอมป์ชั้นนำของโลก แต่ก็มีสินค้ากลุ่มหูฟังเปิดตัวออกมาเรื่อย ๆ เช่นกัน โดย Fender Tour ถือว่าเกิดมาเพื่อคนรักการฟังเพลงโดยเฉพาะและเป็นหูฟัง True Wireless ระดับมอนิเตอร์ คือสามารถปรับแต่งเสียงใน Equalizer ได้และเสียงในหูฟังจะเทียบเท่ากับระดับ Sound Engineer ได้ยินในห้องอัดเสียงทีเดียว
สเปคของตัวหูฟังติดตั้งไดรเวอร์ไดนามิคขนาด 7 มม. แบบ Full-range ทำงานกับชิป DSP Engine ใช้ควบคุมเสียงของหูฟังพร้อมกับปรับแต่งเสียงและ Equalizer ในแอพฯ ได้ละเอียดมาก มีไมโครโฟนติดตั้งอยู่ 2 ตัว ช่วยให้คุยโทรศัพท์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 รองรับ SBC, aptX ด้วย ตัวเคสชาร์จผ่านพอร์ต USB-C กันน้ำระดับ IPX4 ส่วนแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง และรวมชาร์จกับเคสจะได้นานสุด 17 ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็ว 15 นาที จะใช้งานได้ 1 ชั่วโมง
สเปคของ Fender Tour
- เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 5.0 รองรับ SBC, aptX
- ชาร์จแบตเตอรี่ด้วยพอร์ต USB-C
- ไดรเวอร์ไดนามิค 7 มม. Full-range ทำงานกับชิป DSP Engine เป็นหูฟัง True Wireless ให้เสียงระดับมอนิเตอร์
- ปรับแต่งเสียงและ Equalizer ได้ในแอพฯ Fender Tour
- ใช้งานต่อเนื่องได้ 5 ชั่วโมง รวมการชาร์จแบตเตอรี่กับเคสจะใช้ได้นานสุด 17 ชั่วโมง
- ชาร์จไว 15 นาทีใช้ฟังเพลงได้ 1 ชั่วโมง
- กันน้ำระดับ IPX4
- ราคาปัจจุบัน 6,990 บาท
สรุป – เลือกหูฟัง True Wireless รุ่นไหนดี?
สำหรับสเปคของหูฟัง True Wireless โดยสรุปจะมีดังนี้
รุ่น / สเปค | Sony WF-1000XM3 |
Sennheiser MOMENTUM True Wireless 2 | Apple AirPods Pro | Samsung Galaxy Buds Pro | Fender Tour |
เชื่อมต่อด้วย | Bluetooth 5.0 NFC |
Bluetooth 5.1 | Bluetooth 5.0 | Bluetooth 5.0 | Bluetooth 5.0 |
แบตเตอรี่และระยะเวลาใช้งาน | ชาร์จให้เคสด้วย USB-C เปิด NC : ฟังเพลง 6 ชม. โทรศัพท์ 4 ชม. Standby 9 ชม. ปิด NC : ฟังเพลง 8 ชม. โทรศัพท์ 4.5 ชม. Standby 15 ชม. |
ชาร์จให้เคสด้วย USB-C ใช้งานต่อเนื่องได้ 7 ชม. ชาร์จกับเคสรวมแล้ว 28 ชม. |
พอร์ต Lightning |
พอร์ต USB ชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi ใช้งานต่อเนื่องได้ 8 ชม. รวมการชาร์จกับเคสได้ 28 ชม. |
พอร์ต USB-C ใช้งานได้ 5 ชม. รวมชาร์จเคสได้ 17 ชม. |
เสียงและการตัดเสียง | ชิปเสียง DSEE HX ชิปตัดเสียง Sony QN1e |
Sennheiser dynamic driver 7 มม. ไมโครโฟน ANC ข้างละ 1 ตัว |
ไดรเวอร์ |
Subwoofer ขนาด 11 มม. ทวีตเตอร์ขนาด 6.5 มม. ตัดเสียงได้ 99% ได้รับการรับรอง UL Verification |
ไดรเวอร์ ไดนามิค 7 มม. Full-range ทำงานกับชิป DSP Engine |
แอพฯ | Sony Headphones Connect | Sennheiser Smart Control | ระบบ iOS | – | Fender Tour |
Touch control | มี รองรับ Google Assistant และ Amazon Alexa |
มี |
มี รองรับ Hey Siri |
มี รองรับ Google Assistant Samsung Bixby |
– |
ฟีเจอร์เด่น | ตัดเสียงดีที่สุดในกลุ่มหูฟัง True Wireless | ไดนามิคเสียงดีมากและแบตเตอรี่ใช้งานได้นาน | ใช้งานกับ iPhone และ iOS ได้อย่างดี | ตัดเสียงได้ดีและกันน้ำระดับ IPX7 | หูฟังระดับมอนิเตอร์ ให้เสียงระดับเดียวกับห้องอัดเสียง |
กันน้ำ | IPX4 | IPX4 | IPX4 | IPX7 | IPX4 |
ราคา | 5,990 บาท | 11,999 บาท | 8,992 บาท | 6,990 บาท | 6,990 บาท |
ถ้าเทียบเรื่องคุณภาพเสียงของหูฟัง True Wireless นั้นจะมีจุดเด่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการปรับแต่งของแบรนด์ผู้ผลิต ซึ่งแต่ละยี่ห้องจะมีจุดเด่นแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบและการใช้งานของเราเป็นหลัก ซึ่งถ้าเราตัดสินใจได้ว่าต้องการใช้งานหูฟังแบบไหนก็จะตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น