ROG Zephyrus Duo 15 SE GX551 เป็น Gaming Notebook จาก ASUS ในปี 2021 ที่ปฏิวัติวงการอีกครั้งและอีกครั้ง ซึ่งจัดว่าเป็นรุ่นพี่ใหม่สุดล้ำที่สุดของตระกูล ROG โดดเด่นด้วยสเปกชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3070/3080 พร้อมจัดเต็มด้วยฟีเจอร์มากมายได้ความล้ำหน้าไม่เหมือนใคร ด้วยหน้าจอหลัก IPS ควมละเอียด 4K Ultra HD ที่ 120Hz ให้ความเรียบเนียนและลื่นไหลสุดๆ
มาพร้อมกับจุดเด่นที่สุดก็คือนวัตกรรมหน้าจอที่สอง ROG ScreenPad Plus ที่ถูกต่อยอดมาจาก ASUS ZenBook Pro Duo UX582 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการเล่นเกมและทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ มีความพิเศษที่เมื่อกางหน้าจอหลักขึ้นมา จอที่สองก็ยกตัวให้สูงยิ่งขึ้นทำให้ได้มุมมองใช้งานลงที่สุด อีกทั้งยังช่วยเรื่องของระบบระบายความร้อน AAS+ ดีขึ้น 30% ด้วย
สำหรับบทความนี้เราจะมาทำการีวิว ROG Zephyrus Duo 15 SE รุ่นขายจริงสเปกท็อปสุด ด้วยชิปประมวลผล Ryzen 9 5900HX จับคู่มากับการ์ดจอ GeForce RTX 3080 ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้นับว่าเป็นที่สุดแล้ว ได้แรมขนาด 32GB พร้อม SSD M.2 2TB / จอ 15.6″ + 14″ Touch Screen ได้ ราคาอยู่ที่ 119,990 บาท ที่ต้องบอกว่ามีความน่าสนใจสุดๆ เพราะเป็น Gaming Notebook ทรงใหม่รุ่นใหม่ที่ไม่เคยมาก่อนใน ASUS
จากการที่ผสานนวัตกรรมจาก ASUS ZenBook Pro Duo UX581 ซึ่งเป็น Notebook สายทำงานระดับมืออาชีพ กับ ASUS ROG Zephyrus Series ที่เป็น Notebook เล่นเกมสายจริงจังตัวจริง แต่ได้ความบางเบา ที่ทุกๆ คนยอมรับและรู้จักกันเป็นอย่างดี ที่จะมีรายละเอียดของ ASUS ROG Zephyrus Duo 15 SE GX551 (SE ย่อมาจาก Special Edition) อย่างไรบ้าง ไปชมกันต่อเลย
VDO Review
NBS Verdict
ROG Zephyrus Duo 15 SE เป็น Gaming Notebook สเปกเทพสุดๆ ของปี 2021 ด้วยชิปประมวลผล Ryzen 9 5900HX และการ์ดจอ GeForce RTX 3080 ที่นับว่าเป็นรุ่นท็อปสุกในตลาด ให้ประสิทธิภาพสูงมากๆ ในทุกๆ การทำงาน พร้อมหน้าจอหลักขนาด 15.6″ ระดับสูง 4K sRGB ใกล้เคียง 100% ได้ Refresh Rate ที่ 120Hz ซึ่งมีหน้าจอที่สอง ROG ScreenPad Plus โดยทำงานร่วมกันอย่างลงตัวสุดๆ กับฟีเจอร์ต่างๆ นอกจากนี้ยังได้เรื่องของระบบระบายความร้อน AAS+ (Active Aerodynamic System Plus)
ภายใต้เทคโนโลยี ROG Intelligent Cooling ที่เป็นการระบายความร้อนสุดชาญฉลาด ในการเปิดช่องทางให้อากาศเข้าได้มากขึ้น จากช่องรับอากาศสูง 28.5 มิลลิเมตรด้านหลังของหน้าจอที่สองที่จะยกตัวขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานเครื่อง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศได้อีกถึง 30% ทำงานร่วมกับซอฟท์แวร์ Armoury Crate ให้ผู้ใช้เลือกปรับโหมดการทำงานของพัดลมได้ อีกทั้งยังทำงานร่วมกับซิลิโคนนำความร้อนเกรดสูงอย่าง Liquid Metal จากทาง Thermal Grizzly ด้วย ทำให้สเปกแรงแค่ไหรก็เอาอยู่แน่นอน
ลำโพงคุณภาพสูงสี่ตัวพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos เพื่อการขับเสียงแบบ 3 มิติ ให้คุณสามารถดื่มด่ำกับรายละเอียดเสียงได้มากขึ้นกว่าที่เคย ด้วยเสียงเอฟเฟ็กต์เซอร์ราวด์เสมือนจริงภายในเกมที่เล่น หรือทำงานสตูดิโอก็มั่นใจได้จากมาตราฐาน Dolby Atmos และยังมีเทคโนโลยี AI อย่าง Two-Way AI Noise Cancelation เพื่อตัดเสียงรบกวนรอบข้างในขณะทำงานหรือเล่นเกมได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
คีย์บอร์ดที่ติดตั้งมาบนตัวเครื่องมีการจัดวางตำแหน่งของปุ่มต่างๆแบบเดียวกับคีย์บอร์ดของเครื่องเดสก์ท็อป พร้อมไฟส่องสว่างแบบ Per-key RGB ให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งสีไฟได้อย่างอิสระแบบปุ่มต่อปุ่ม เพิ่มความเป็นตัวตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้วทัชแพดที่ถูกติดตั้งมาที่ด้านข้างของตัวคีย์บอร์ดยังสามารถสลับฟังก์ชั่นการใช้งานไปเป็นนัมแพดหรือแป้นตัวเลขได้อีกด้วย สมกับเป็นหนึ่งในที่สุดของ Gaming Notebook ปี 2021 จริงๆ
จุดเด่นของ ROG Zephyrus Duo 15 SE ที่เหนือกว่า Gaming Notebook กลุ่มคุ้มค่าก็คือ ได้ความเป็น ROG ที่พรีเมียมที่สุดในตลาด เน้นประสบการณ์เล่นเกมที่สุดยอด พร้อมฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนใคร ประสิทธิภาพดีลื่นไหล พอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน อย่างที่หาใน Gaming Notebook ราคาทั่วไปไม่ได้ ตอบโจทย์สำหรับคนเล่นเกมจริงจัง พร้อมการทำงานมืออาชีพในตัว ที่สำคัญมาพร้อมกับการรับประกันแบบ Onsite Service 3 ปีเต็ม โดยช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญพร้อมดำเนินการให้บริการหลังการขายถึงบ้าน และยังมี Perfect Warranty ประกันอุบัติเหตุให้ 1 ปีแรก
อย่างไรก็ตาม Gaming Notebook เครื่องนี้ก็มีข้อสังเกตบ้างในเรื่องของน้ำหนักที่หนักและหนากว่า Notebook หน้าจอ 15.6″ ทั่วไป จากการที่มีจอที่สองและฟีเจอร์ Gaming ที่อัดแน่นมากๆ ซึ่งก็จัดว่าเป็ยข้อสังเกตที่ยอมรับได้ เพราะแลกมาด้วยคุณสมบัติต่างๆ ก็มีความเยี่ยมยอดมากๆ ทีเดียว ส่วนอีก
จุดเด่น ROG Zephyrus Duo 15 SE
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจตามสไตล์ ROG รุ่นใหม่ปี 2021 พร้อมงานประกอบแน่นวัสดุดี
- ติดตั้งหน้าจอที่สอง ROG ScreenPad Plus เพิ่มประสบการณ์ใช้งานโน๊ตบุ๊คเล่นเกมได้เหนือชั้น
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 5900HX ที่เป็น Ryzen 5000H ที่แรงที่สุดแล้ว
- การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3080 แรงและใหม่ที่สุด ดีกว่า RTX 2080 Super ไปอีกขั้น
- แรมขนาด 32GB DDR4 Bus 3200MHz ติดตั้ง SSD M.2 NVMe ความจุ 2TB (Raid 0) ความเร็วสูงสุด
- ได้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง ความละเอียด 4K Ultra HD รองรับ Refresh Rate ที่ 120Hz
- ลำโพง 4 ตัวแบบ 4Watt x 2 และ 2Watt x 2 ระบบเสียง Dolby Atmos ที่ทรงพลัง
- อุณหภูมิในการใช้งานถือว่าไม่ร้อนจนเกินไป ระบบระบายความร้อนทำงานได้ยอดเยี่ยม
- พอร์ตการเชื่อมต่อครบครันโดยมี USB-C ที่รองรับทั้งต่อจอ DisplayPort และชาร์จไฟผ่าน USB-PD
- การเชื่อมต่อไร้สายดีที่สุดด้วย Wi-Fi 6 AX และ Bluetooth 5.1
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 6:30 ชั่วโมง
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที และซอฟต์แวร์ Armory Crate มาช่วยปรับแต่งการใช้งาน
- ประสบการณ์ใช้งานดีเยี่ยม ประทับใจมาก ทั้งเล่นเกมหรือทำงาน
- ได้อุปกรณ์เสริมอย่างกล้องเว็บแคม และอแดปเตอร์เสริมที่เป็น USB-C 100W ทันที
- ประกัน 3 ปี On-site Service และมีประกันอุบติเหตุ 1 ปี
ข้อสังเกต ROG Zephyrus Duo 15 SE
- ไม่มี SD Card Reader ไว้เชื่อมต่อกับการ์ดกล้องดิจิตอล
- ตัวเครื่องค่อนข้างหนาและหนักกว่า Gaming Notebook ทั่วไป
- ไม่มีพอร์ต Thunderbolt เหมือน ROG Zephyrus Duo 15 รุ่นก่อน
Specification
ROG Zephyrus Duo 15 SE ที่ได้รับมารีวิวนั้นเป็นสเปกขายจริงกับราคาล่าสุดที่ 11,990 บาท โดยใช้ชิประมวลผลรุ่นล่าสุดอย่าง AMD Ryzen 9 5900HX ทำงานที่ความเร็ว 3.30 – 4.60 GHz แบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด ซึ่งให้ความแรงและ Core การทำงานที่มากกว่า Ryzen 5000H บนสถาปัตยกรรม Cezanne ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 7 นาโนเมตร ให้ทุกการใช้งานขไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมหรือการทำงานกราฟิก ก็ทำได้ลื่นไหลไร้กังวล นับเป็นโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในปัจจุบัน
ทำงานร่วมกับการ์ดจอระดับสูงรุ่นใหม่อย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 (16GB GDDR6) ที่ใช้สถาปัตยกรรม Ampere โดยเป็น RTX เจนที่ 2 โดยเน้นให้มีความร้อนที่น้อยกว่าแต่ทรงพลังในการเล่นเกมที่เต็มประสบการณ์กว่ารุ่นก่อนหน้าในทุกๆ ด้าน รองรับการเล่นเกมในโน๊ตบุ๊กที่แรงที่สุดประจำปี 2021ในประเทศไทยบน Gaming Notebook จาก ROG ที่รองรับ Ray Tracing ช่วยเพิ่มคุณภาพการแสดงแสงเงาให้แม้แต่เกมระดับ AAA ก็ยังสามารถปรับกราฟิกได้ถึง Ultra ให้ภาพสวยงาม ไหลลื่น สมจริงกว่าที่เคยมีมา
หน่วยความจำแรมได้มาตรฐานเป็น DDR4 Bus 3200MHz ขนาด 32GB แบบ 16GB x 2 ทำงานแบบ Dual Channel โดย 16GB แถวแรกเป็นแบบฝังบอร์ดมาเลย ส่วนอีกตัวเป็นแบบปกติ (SO-DIMM) สามารถถอดอัพเกรดได้ พร้อมที่เก็บข้อมูลความเร็วสูง SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 2TB แบบ 1TB + 1TB พร้อมต่อ RAID 0 เพิ่มความแรงยิ่งขึ้นไปอีก ที่บอกเลยว่าเหลือเฟือกับทุกๆ การใช้งานแน่นอน
มีหน้าจอขนาด 15.6″ มาตรฐานความละเอียด 4K UHD ที่ 3840 x 2160 พิกเซล พาเนล IPS คุณภาพสูง ค่าขอบเขตสี 100% Adobe RGB โดยมี Refresh Rate ที่ 120Hz พร้อมหน้าจอที่สองขนาดใหญ่โตระดับ 14.1″ ได้ความละเอียดเป็น 3840 x 1100 พิกเซล พาเนล IPS เกรดสูง รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วและปากกา ส่งผลให้เราได้พบประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ใครจะเอาไปทำงานหรือเล่นเกมอันนี้ไม่ว่ากัน
ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบ 4 ตัว โดยมีระบบเสียง Hi-Res ติดตั้งมาพร้อมด้วย Smart Amp Technology พร้อมด้วยกล้องเว็บแคมแบบแยกและมีไมค์ดิจิตอลแบบคู่ที่ตัวเครื่อง ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.2 Type-C, USB 3.2 Type-A และ LAN RJ45, Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth V5.1 และ Wi-Fi 6 AX ได้ Windows 10
สำหรับการรับประกันเป็นระยะเวลา 3 ปี On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียนในเว็บไซต์เท่านั้น และมีอีกสเปกที่แตกกันที่การ์ดจอเป็น NVDIA GeForce RTX 3070 กับราคาที่ถูกกว่าที่ 99,990 บาท ก็สามารถเลือกซื้อกันได้ตามงบประมาณ
ROG Zephyrus Duo 15 SE GX551QR-HB016T ราคา 99,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T – 3.3 – 4.6GHz)
-
GPU : AMD Radeon 8 + NVIDIA GeForce RTX 3070
-
RAM : 32GB DDR4 Bus 3200 MHz (Onboard 16GB)
-
DISPLAY: 15.6″ IPS UHD 4K 120Hz + 14.1″ IPS Touch
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 2TB (1TB x 2 Raid 0)
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
ROG Zephyrus Duo 15 SE GX551QR-HB016T ราคา 119,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T – 3.3 – 4.6GHz)
-
GPU : AMD Radeon 8 + NVIDIA GeForce RTX 3070
-
RAM : 32GB DDR4 Bus 3200 MHz (Onboard 16GB)
-
DISPLAY: 15.6″ IPS UHD 4K 120Hz + 14.1″ IPS Touch
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 2TB (1TB x 2 Raid 0)
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
Hardware / Design
ดีไซน์โดยรวมของ ROG Zephyrus Duo 15 SE ดูเป็น Gaming Notebook ที่ได้รับ DNA จาก ASUS ROG มาอย่างเต็มเปี่ยม โดยมีน้ำหนักเบาเพียง 2.48 กิโลกรัม กับความบางที่ 20.09 มิลลิเมตร และเนื่องด้วยมีขอบจอที่ค่อนข้างบาง ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาสะดวกสบายในระดับที่รับได้ แม้ว่าอาจจะดูใหญ่กว่า Gaming Notebook จอ 15.6″ ทั่วไป แต่ก็ถือว่าอยู่ในการที่นำไปใช้งานนอกสถานที่ได้ไม่ลำบากอะไร
และแม้จะไม่ได้เบาไม่ได้บางที่สุดๆ แต่ได้ฟีเจอร์ Gaming จัดเต็มแบบไร้คู่แข่ง เพราะในตลาดตอนนี้แนวคิดหน้าจอที่สอง ROG ScreenPad Plus ขนาดใหญ่โตระดับ 14.1″ พร้อมเอียงรับกับมุมที่ 13 องศา แบบนี้มีเพียง ASUS เท่านั้น ได้ความละเอียดเป็น 3840 x 1100 พิกเซล พาเนล IPS เกรดสูง รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วและปากกา แบบนี้มีเพียง ASUS Notebook ที่เป็นการคิดหานวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอ
ซึ่งการออกแบบมีความทันสมัยและเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของมุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบมุมเป็นเหลี่ยม มิติโดยรวมเป็นแบบสี่เหลี่ยมตัดขอบสวยงามให้ผิวสัมผัสที่ดีพร้อมด้วยสีดำ Off Black ส่วนวัสดุงานประกอบจะเป็นอลูมิเนียมเกรดสูงทั้งหมด สำหรับตำแหน่งของคีย์บอร์ดที่แตกต่างจากโน๊ตบุ๊ครุ่นทั่วไปอย่างชัดเจน จากการที่เลื่อนชุดแป้นคีย์บอร์ดมาไว้ด้านล่างสุด และขยับในส่วนของทัชแพดออกไปด้านข้าง จากการที่ด้านบนเหนือคีย์บอร์ดได้มีการติดตั้ง ROG ScreenPad Plus เอาไว้นั่นเอง
ตัวเครื่องภายนอกทั้งฝาหลังและด้านล่างตัวเครื่องวัสดุจะเป็นอลูมิเนียมทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งโลหะเกรดนี้มีความแข็งแรงมากกว่าโลหะอัลลอยธรรมดาแสดงถึงความเอาใจใส่ในรายละเอียดของการดีไซน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝาหลัง ตัวเครื่องด้านในและใต้ตัวเครื่อง ทำให้มีทั้งความแข็งแรงในด้านดีไซน์ฝาหลังใช้ลวดลายเป็นแนวทะแยงแบ่งครึ่งพร้อมโลโก้ ASUS ROG ติดตั้งไปทางด้านขวา รวมถึงแกนพับหน้าจอขนาดใหญ่ดูแข็งแรงทนทานสุดๆ เลยทีเดียว พร้อมเว้นช่อง V-Shaped ทำให้ไม่บังช่องระบายความร้อนด้านหลัง
เมื่อมีจอที่สองเกินขึ้น ก็ได้มีการวางตำแหน่งของคีย์บอร์ดที่แตกต่างจากโน๊ตบุ๊ครุ่นทั่วไปอย่างชัดเจน จากการที่เลื่อนชุดแป้นคีย์บอร์ดมาไว้ด้านล่างสุด และขยับในส่วนของทัชแพดออกไปด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีพื้นที่ไว้ติดตั้ง ROG ScreeenPad Plus ซึ่งจริงๆ นั้นทาง ASUS ได้ติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบจัดเต็มเอาไว้ด้วยด้านล่าง โดยมีช่องขนาดใหญ่ทำหน้าที่ดูดลมเย็นลงไปให้ผ่านทางฮีต์ไปป์ เรียกได้ว่างานประณีตละเอียดดีจริงๆ
นอกจากนี้ในส่วนของตัวเครื่อง ก็ยังได้บันเดิลต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกม Dying Light 2 ที่เราสามารถนำไป Redeem ได้ พร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่นอกจากจะมีอแดปเตอร์จ่ายไฟที่ 280 Watt เป็นมาตรฐานแล้ว ยังได้ในส่วนของอแดปเตอร์ที่ USB-C ที่ 100Watt ด้วย ไว้สำหรับเน้นใช้งานทั่วไปไม่เล่นเกม รวมถึงมีที่รองข้อมือที่เป็นยางพิเศษ กล้องเว็บแคมแบบแยกติดตั้ง ROG GC21 FHD 1080P@60FPS แน่นอนว่ามีกระเป๋า Backpack มาให้ด้วย
Keyboard / Touchpad
โดยแป้นพิมพ์ของ ROG Zephyrus Duo 15 SE การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีการออกแบบมาให้ปุ่มมีขนาดใหญ่พอดีกับนิ้วมือ เป็นแบบ Chiclet มีระยะยุบ 1.4 มิลลิเมตร พร้อมความโค้งของปุ่มรับเข้ากับนิ้ว ทำให้สามารถพิมพ์ได้ง่ายขึ้น สัมผัสนุ่ม มีระยะห่างของปุ่มกำลังพอดี แน่นอนว่ามี พร้อมไฟ Per-key RGB จัดเต็ม ที่เราสามารปรับไฟแต่ละปุ่มได้อิสระ
โดยพัฒนาและออกแบบมาให้ ASUS ROG โดยเฉพาะ ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน พร้อมเทคโนโลยี OverStroke เพื่อการกดรัวที่ดียิ่งขึ้นด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ 20 ล้านครั้ง เรียกได้ว่าเป็นแป้นคีย์บอร์ดเพื่อการเล่นเกมอย่างจริงที่ดีที่สุดในตลาด
ดีไซน์ทัชแพดแบบ NumberPad นั้นก็ใช้เป็นแบบซ่อนปุ่มคลิก โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็มีความนุ่มและเด้งรับได้น่าประทับใจ การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก นอกเหนือจากนั้นทัชแพดยังสามารถเปลี่ยนไปใช้งานในรูปแบบของปุ่ม NumPad ได้ ซึ่งตรงจุดนี้นั้นถือว่า ASUS สามารถที่จะใช้พื้นที่ได้อย่างมีประโยชน์ที่สุด นอกจากนี้ยังมี Hotkey มากมายในการใช้งาน
Screen / Speaker
หน้าจอแสดงผลหลักมีขนาด 15.6″ แบบขอบจอบางพิเศษที่ความละเอียด 4K Ultra HD พาเนล IPS คุณภาพสูงแบบด้าน Anti-glare สำหรับการเล่นเกมที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ด้วย Refresh Rate สูงสุด 120Hz/3ms รองรับการแสดงค่าสีตามมาตรฐาน sRGB ใกล้เคียง 100% ให้ทุกการเล่นเกมคมชัด สมจริง ไร้อาการภาพเบลอและฉีกขาดด้วยเทคโนโลยี FreeSync และยังแสดงสีได้อย่างแม่นยำสำหรับการทำงานเฉพาะทางอีกด้วย นับได้ว่าเป็นหน้าจอ 4K ที่รองรับ Refresh Rate ที่มากกว่า 60Hz ในตลาดก็ว่าได้
แน่นอนว่ามีดีไซน์หน้าจอขอบจอบางเฉียบทั้งขอบด้านข้างและด้านบน โดยมีไมโครโฟนแบบคู่ติดตั้งไว้ที่ขอบหน้าจอด้านล่างอยู่ พร้อมเลือกตัดกล้องเว็บแคมออกไปเลย แต่ในส่วนของบันเดิลอุปกรณ์ก็ให้ในส่วนของกล้องเว็บแคม ROG GC21 FHD 1080P@60FPS แบบแยกมาด้วย ซึ่งเราสามารถเลือกที่จะติดตั้งขอบหน้าจอด้านบนของตัวเครื่องทันที หรือจะวางแยกผ่านทางแท่นวางก็สามารถทำได้เหมือนกัน รวมไปถึงจะใส่ขาตั้งกล้องแยกไปเลยก็ทำได้ด้วย ที่ต้องบอกเลยว่าประสิทธิภาพในการทำงานดีกว่ากล้องเว็บแคมทั่วไปมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง จึงได้ทำการทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 97% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับที่ดีมากๆ ใกล้เคียง 100% sRGB ส่วนอีกมาตรฐานคือ 92% AdobeRGB ที่เคลมเอาไว้จริงๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 350 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องมุมขวาล่างเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 350 cd/m2 แต่สำหรับช่องมุมซ้ายบนจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 11%ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวลำโพงเป็นแบบ Quad Speakers เลือกใช้ลำโพง 4 ตัว (2 x 4W + 2 x 2W) ระบบเสียง Dolby Atmos พร้อมด้วย Smart Amp Technologyให้ที่เสียงที่ดีมากทั้งความดังและคุณภาพ ทั้งในเรื่องของเสียงเบสที่มีน้ำหนัก เสียงกลางที่สมดุล และเสียงแหลมที่ออกมาใสๆ พร้อมทั้งความดังและกังวาลที่มากกว่า พูดเลยว่ามีโน๊ตบุ๊คเพียงไม่กี่รุ่นที่ทำเสียงออกมาดีได้ขนาดนี้ ซึ่งตัวลำโพงจะอยู่บริเวณใต้ตัวเครื่องซ้ายและขวาลักษณะยิงลงพื้น 2 ตัว ทำให้เสียงที่ออกมามีเสียงดังฟังชัด และอีก 2 ตัวอยู่ที่ขอบตัวเครื่องใต้หน้าจอ
ROG ScreenPad Plus
หน้าจอ ROG ScreenPad Plus ของตัวเครื่อง เป็นพาเนล IPS แบบด้าน รองรับการทัชสกรีน บนความคมชัดระดับ 4K ที่ 3840 x 1100 พิกเซล อันเป็นเอกลักษณ์ของ ASUS ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินและใช้งานจอภาพทั้งสองบนโน๊ตบุ๊คหนึ่งเครื่องได้อย่างเต็มความสามารถ
หน้าจอสัมผัสขนาดอัตราส่วน 32:9 เหนือคีย์บอร์ดเพิ่มเนื้อที่การทำงานของจอภาพ ในขณะที่ยังคงรูปแบบโน๊ตบุ๊ค โดยหน้าจอ ROG ScreenPad Plus จะเอียงขึ้นมา 13 องศาเอง เมื่อเราเปิดฝาหน้าจอหลักขึ้นมา เรียกได้ว่าทำได้แบบแข็งแรงทนทานด้วย
โดยสามารถใช้งานจอ ScreenPad Plus ได้เสมือนเป็นจอแสดงผลที่สองของ Windows 10 ใช้แสดงภาพ หรือใช้ฟังก์ชั่นต่างๆที่ออกแบบมาเพื่อช่วยประหยัดเวลาผู้ใช้ด้วยซอฟท์แวร์ ScreenXpert ซึ่งช่วยให้การใช้งานหลายๆหน้าต่างและแอพลิเคชั่นเป็นเรื่องง่าย
รวมถึงปุ่มลัดคอนโทรลอย่าง App Switcher, ViewMax และ App Navigator ที่สามารถใช้งานโต้ตอบข้ามหน้าจอระหว่างหน้าจอหลัก และ ScreenPad Plus ผู้ใช้สามารถเริ่มโหมดการทำงานเปิดโปรแกรมหลายโปรแกรมได้ด้วยการกดเพียงครั้งเดียว
นอกจากนี้ยังสามารถลากแอพพลิเคชั่น, แถบเครื่องมือ หรือเมนูไปยังจอ ScreenPad Plus เพื่อลดความยุ่งเหยิงของหน้าจอหลัก และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น กลุ่มครีเอเตอร์สามารถเชื่อมต่อเครื่องมือในการทำงาน เช่น ตัวอย่างวีดีโอ. การควบคุมไทม์ไลน์, รหัสวินโดวส์
หรือพาแนลเสียงเข้ากับ ROG ScreenPad Plus เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้อย่างลื่นไหลมากที่สุด และเมื่อใช้งานแอพลิเคชั่นทางด้านโซเชียลบน ROG ScreenPad Plus ก็ยังช่วยให้สามารถติดตามข่าวสารและตอบข้อความได้ทันทีในขณะทำงานโดยไม่จำเป็นต้องสลับหน้าต่างไปมา
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ROG Zephyrus Duo 15 SE นี้จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีพอร์ตมาให้ครบครับใช้ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A จำนวน 3 พอร์ต, และพอร์ต USB 3.2 Type-C อีก 1 พอร์ต รองรับการ DisplayPort 1.4 ไว้เชื่อมต่อหน้าจอความละเอียดสูงภายนอก และ USB PD (Power Delivery) ในตัว ไว้สำหรับการชาร์จไฟเข้าเครื่องซึ่งรองรับอแดปเตอร์ที่ 100Watt
พร้อมช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบคอมโบกันขนาด 3.5 มิลลิเมตร, HDMI และช่องเสียบอแดปเตอร์เป็นมาตรฐาน แน่นอนว่ามี LAN RJ45 ไว้เชื่อมต่อเครือข่ายแบบมีสาย ปิดท้ายด้วย micro-SD Card Reader ไว้เชื่อมต่อโอนถ่ายกับการ์ดกล้อง ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 AX (2×2) พร้อมอัตราการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วและเสถียรยิ่งขึ้น พร้อมด้วยเทคโนโลยี RangeBoost จากทาง ASUS
ส่วนการพกพาเองก็ถือว่า ROG Zephyrus Duo 15 SE มีน้ำหนักตัวเครื่องที่ 2.48 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊ค 15.6″ ตัวอื่นๆ ที่เน้นประสิทธิภาพการทำงานที่สูงเหมือนกันถือว่าหนักและหนากว่าเล็กน้อย ที่รับได้อยู่จากฟีเจอร์ล้ำๆ มากมาย แต่ก็โดดเด่นกว่าก็คือมิติตัวเครื่องเล็กลงมาก
อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมในเรื่องการพกพาไปไหนมาไหน ก็พอที่จะใส่กระเป๋าและเอาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ไม่ยากเย็นอะไร อีกทั้งได้อแดปเตอร์ทั้งในส่วนของใช้งานหลักจ่ายไฟที่ 280Watt ไว้สำหรับเล่นเกมหรือทำงานหนักๆ และได้แบบ USB-C ขนาด 100Watt มาให้ด้วยอันนี้ก็ไว้ใช้งานกรณีที่เน้นการพกพาเป็นหลัก
Inside / Upgrade
การแกะเครื่องเพื่อทำการอัพเกรดนั้นทำง่ายมากเพียงแกะน็อตออกทุกตัว โดยจะมีมุมอยู่ 1 ตัวเด้งขึ้นมา ทำให้ช่วยเราแกะง่ายยิ่งขึ้น เมื่อแกะออกมาแล้วก็จะเห็นฮาร์ดแวร์หลายๆ ถูกออกแบบจัดระเบียบได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว โดยภายในตัวเครื่อง ติดตั้งซิลิโคนแบบโลหะเหลว Liquid Metal จากทาง Thermal Grizzly ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดทำให้อุณหภูมิของชิปประมวลผล CPU สามารถควบคุมได้ดีกว่าที่เคยมีมา
ขณะเดียวกันพัดลมคู่ที่มีใบพัด n-Blade แบบพิเศษมากถึง 83 ใบ เพิ่มอัตราการไหลเวียนของอากาศ พร้อมทั้งยังมีโมดูลระบายอากาศที่ขับฝุ่นออกจากระบบและทำความสะอาดตัวเอง ทำงานร่วมกับฟินระบายความร้อนแบบใหม่เพิ่มเพื้นที่หน้าสัมผัส พร้อมกันนั้นได้เลือกใช้ฮีทไปป์ 6 เส้นขนาดใหญ่ที่พาดผ่าน CPU / GPU / Chipset / RAM แบบจัดเต็ม เรียกได้ว่าเอาอยู่กับสเปกแบบนี้แล้ว
ซึ่งหลังจากที่แกะออกมาแล้วนั้นจะเห็นแผ่นสีดำ สีเทาแปะติดไว้อยู่ในหลายๆ ส่วนเพื่อกันไฟฟ้าสถิต และในส่วนของฮาร์ดแวร์ก็จัดเต็มาเลยที่ SSD M.2 NVMe PCIe ที่ใส่มาแล้ว 2TB แบบแยก 1TB / 1TB ที่จากโรงงานได้ต่อ Raid 0 เพิ่มความเร็วมากแล้ว ส่วนแรมจากสเปกคือขนาด 32GB DDR4 Bus 3200MHz โดยมีเพียงสล็อตเดียว ซึ่งใส่มาแล้ว 16GB เพราะแรม 16GB ติดเครื่องมาเป็นแบบฝั่งบอร์ดจากที่เป็น Gaming Notebook ที่อัดแน่นทุกอย่างมาแล้วจริงๆ
Performance / Software
ROG Zephyrus Duo 15 SE มาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวท็อปสุดในตลาดของ Gaming Notebook ของ. AMD อย่าง Ryzen 9 5900HX เน้นนำไปใช้งานหนักๆ มากกว่า Ryzen 5000H ทุกตัวในตลาด ด้วยสถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ความเร็ว 3.30 – 4.60 GHz แบบ 8 Core/ 16 Thread ร้อนน้อยกว่า ได้ L3 Cache ที่ 16MB มีค่าอัตราการใช้พลังงานสูงสุด (TDP) ที่ 45W +
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังรวมไปถึงเล่นเกมเป็นหลัก ก็รองรับได้อย่างสบายๆ และดีที่สุดแน่นอน เรียกได้ว่าแรงกว่าชิปประมวลผลที่เป็น AMD Ryzen 4000H อย่าง Ryzen 9 4900H แน่นอน
มาพร้อมแรมภายในขนาด 32GB DDR4 Bus 3200 MHz แบบ 16GB x 2 แถว ซึ่งเป็นแบบ 16GB on board และอีก 16GB แบบ SO-DIMM ซึ่งเราเราสามารถถอดอัพเกรดเพิ่มได้ จากการสลับไปใส่ 32GB แทนที่ของเดิม กับขนาดแรมที่รองรับสูงสุดที่ 48GB พร้อมกับมี SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 1TB x 2 ตัว เชื่อมต่อแบบ Raid 0 เพิ่มความแรงไปอีก แน่นอนว่าสามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้ใช้งานลื่นไหลทันทีแบบรวดเร็วอย่างที่สุด
ผสานกับการ์ดจอออนบอร์ดรุ่นใหม่อย่าง AMD Radeon 8 มีความเร็วในการทำงานที่ 2100MHz มาตรฐานแรม DDR4 ขนาด 512MB ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเป็นหลัก กับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K Ultra HD ให้ความลื่นไหลเป็นอย่างดี ซึ่งโดดเด่นจริงๆ จะเป็นเรื่องของการประหยัดพลังงานเมื่อใช้งานเบาๆ
อีกทั้งยังมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 (16GB GDDR6) สถาปัตยกรรม Ampere โดยเป็น RTX เจนที่ 2 ที่ต้องบอกว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าที่เทียบเคียงอย่าง GeForce RTX 2080 (8GB GDDR6) ซึ่งไม่ใช่แค่แรงแต่ยังร้อนน้อยกว่า เน้นใช้งานกับ Gaming Notebook ทุกประเภท ทั้งตัวหนาหนักและบางเบา รองรับ Ray Tracing ช่วยเพิ่มคุณภาพการแสดงแสงเงาให้แม้แต่เกมระดับ AAA ก็ยังสามารถปรับกราฟิกได้ถึง Ultra ให้ภาพสวยงาม ไหลลื่น สมจริงกว่าที่เคยมีมา เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / CINEBENCH 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX คะแนนก็อยู่ในระดับสูงมากๆ อย่างน่าประทับใจสมกับเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก Ryzen 5000H เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 4900H / Intel Core i9-10980HK ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอแยก RTX 3080 เองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบนสุด ที่เน้นการทำงาน 3D เป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ที่กลายเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook ไปแล้ว โดยใช้เป็นเกรดสูงสุด ซึ่งทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าประทับใจมากๆ บนขนาดความจุ 2TB (1000GB) แบบ M.2 NVMe PCIe ที่เป็นการเชื่อมต่อแบบ Raid 0 ที่เป็นแบบ SSD M.2 ความจุ 1TB x 2 เพิ่มความเร็วแรงมากกว่า SSD M.2 ทั่วไปก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 7119 MB/s และเขียนที่ 5700 MB/s ที่ต้องบอกว่าเหนือชั้นกว่า Notebook ทุกรุ่นในตลาด ณ ตอนนี้แน่นอน
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 6,677 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็น Gaming Notebook สเปกใหม่ล่าสุดจากชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX มีการ์ดจอแยกระดับ Gaming ตัวบนสุดอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คตัวท็อปรุ่นปีก่อนๆ มากพอตัวระดับเทียบเท่า Desktop ไฮเอนด์ไปแล้ว ฉะนั้นการใช้งานพื้นฐานหรือทำงานหนักๆ สอบผ่านได้สบายๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ สำหรับ ASUS Notebook เครื่องนี้โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) บนความละเอียด Full HD 1920 x 1080 และ Ultra HD 3840 x 2160 จากทั้ง 7 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยบน Full HD มากกว่า 80 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ส่วน Ultra HD จะมากกว่า 50 ขึ้นไป ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย แน่นอนว่าถ้าเกมไหนไม่ถึง 120 FPS เพื่อให้ลื่นไหลแบบ 120Hz ก็สามารถปรับกราฟิกลงมาได้
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Resident Evil 3 Remake / GTA V / Battlefield V/ FarCry 5 ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว พร้อมเปิด DLSS / Ray Tracing ที่ RTX Series รองรับ ก็ให้ภาพสวยงามไม่แพ้กัน แถมไม่กินทรัพยากรเครื่องเพิ่มเติมด้วย
เกมออนไลน์กินสเปกน้อยลงมาอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ Full HD / Ultra HD เช่นกัน ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทเฉลี่ยสูงสุดของเกม Overwatch อยู่ที่ 282 เลยทีเดียว ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สมบูรณ์สุดๆ ใน Gaming Notebook ทั่งหมดแล้ว
นอกเหนือจากนี้ ROG Zephyrus Duo 15 SE ยังมี Armory Crate รุ่นล่าสุดที่เป็นซอฟต์แวร์ Utility ที่ยกมาจาก ROG รุ่นอื่นๆ ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบ อาทิ ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้หลายโปรไฟล์เช่น Windows / Silent / Performance / Turbo / Manual
รวมไปถึงการปรับค่าไฟ RGB ของคีย์บอร์ด ที่จะเป็นพรีเซ็ทหรือจัดกรด้วยตัวเอง ซึ่งการตั้งค่าต่างๆ จะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต
นอกจากนี้ ASUS Notebook รุ่นนี้เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS (เปิดเครื่องมาเจอเลย) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง
รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน ที่สำคัญยังเลือกเชื่อมต่อกับมือถือสมาร์ทโฟนผ่านทางซอฟต์แวร์ตัวนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ROG Zephyrus Duo 15 SE เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ความจุประมาณ 6000 mAh ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับ 10% แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว พร้อมเปิดเครื่องทิ้งไว้ยาวๆ แน่นอนว่าพร้อมปิดหน้าจอที่สอง
โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวประมาณ 6:30 ชั่วโมงทีเดียว ดังนั้นเวลาใช้งานจริงโดยปรับความสว่างหน้าจอและเสียงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้แบตเตอรี่มีระยะเวลาใช้งานยาวนานน้อยกว่านี้ ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกที่ใกล้เคียงกัน
ที่สำคัญยังเป็น Gaming Notebook ที่รองรับ USB Power Delivery (พอร์ตทางขวาของตัวเครื่อง ฟอร์มคือ USB-C) ทำให้ตัวเครื่องสามาถชาร์จไฟจากอุปกรณ์สำรองไฟภายนอกได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปลั๊กไฟอีกต่อไป รองรับระบบชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จไฟกลับให้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นได้โดยมีกำลังไฟสูงสุดถึง 3A
และยังสามารถพกพาไปทำงานได้ทุกวันด้วยอแดปเตอร์ 100W ขนาดเล็กซึ่งบันเดิลมาแล้ว ได้ความเบาและสะดวกสบายยิ่งกว่า หรือแม้แต่ใช้ Power Bank ที่รองรับในการใช้ USB Power Delivery ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
สำหรับอุณหภูมิตัวเครื่องเมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 70 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 30 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ซึ่งทั้งหมดนี้ดูผ่านทางซอฟต์แวร์ Hardware Monitor เพื่อดูว่าชิปประมวลผล CPU ว่าจะร้อนที่สุดเย็นที่สุดเท่าไรในการใช้งานจริงๆ
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องสำหรับชิปประมวลผล CPU อยู่ที่ไม่เกิน 98 องศาเซลเซียส ที่ต้องบอกว่าค่อนข้างเย็นทีเดียวถ้าเทียบความแรงที่ได้จากรุ่นก่อนๆ ส่วนที่เป็นการ์ดจอแยก GPU จะอยู่ที่ 79 องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่ามีความเย็นพอตัว จากที่เป็นการ์ดจอรุ่นใหม่ ส่วนเสียงพัดลมก็ดังขึ้นจากการที่เปิดฟีเจอร์ Turbo แต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกมอยู่แล้ว โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง
Conclusion / Award
ROG Zephyrus Duo 15 SE นั้นถือว่าเป็น Gaming Notebook สายนวัตกรรม สำหรับการเล่นเกมเน้นความล้ำหน้าไม่ซ้ำใคร พร้อมรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ด้วยการพกพาที่สะดวกสบาย ต่อยอดมาจากรุ่นปีก่อนๆ ซึ่งยังมีกลิ่นอายที่คล้ายกับ ZenBook Pro Duo 15 รุ่นปี 2021 แต่ก็ได้มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกในหลายๆ ส่วนให้เหนือชั้นกว่า พร้อมหน้าจอที่สองที่ดีเยี่ยม สามารถใช้งานได้จริง ได้สุดยอดประสบการณ์ใช้งานหน้าจอ 4K UHD ระดับสูงที่ 120 Hz และระบบเสียงที่ทรงพลังลำโพง 4 ตัว Dolby Atmos อย่างที่หา Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ไม่ได้แน่นอน
มาพร้อมกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX ที่เป็น Ryzen 5000H ที่แรงล้ำกว่า Ryzen 4000H แบบก้าวกระโดด บนแรม DDR4 Bus 3200MHz ที่ขนาด 32GB และการ์ดจอตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3080 ที่มีแรมภายใน 16GB GDDR6 รวมไปถึงมีสเปกที่แรงรองกว่านี้หน่อย เป็น Ryzen 9 5900HX + RTX 3070 แต่ราคาถูกกว่า 30,000 บาทให้เลือกด้วย ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถที่จะใช้งานได้ในระยะยาวโดยน่าจะรองรับกับเกมใหม่ๆ ระดับ AAA ภายใน 2 – 3 ปีนี้ได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงทะลุรุ่นปีก่อนอย่าง ROG Zephyrus Duo 15 ไปอีกขั้น
สำคัญคือควบคุมความร้อนได้แบบมีเสถียรภาพผ่านชุดระบายความร้อน AAS+ และ ROG Intelligent Cooling ที่ร่วมกับการติดตั้ง Liquid Metal (Thermal Grizzly ) ทำให้แม้สเปกจะจัดเต็มเหมือน Gaming Notebook เครื่องหนาๆ หนักๆ ก็สามารถจัดการควบคุมอุณหภูมิได้เป็นอย่างดี พร้อมใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าประทับใจ ที่ยาวนานกว่า 6:30 ชั่วโมงในการใช้งานทั่วไป เรียกได้ว่าเล่นเกมก็ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ส่วนเอาไปใช้งานพกพานอกสถานที่ก็ตอบสนองพอได้อยู่ ตอบโจทย์คนที่ต้องการสุดยอด Gaming Notebook ปี 2021 สาย Gamer / Steamer / Content Creator อย่างแท้จริง
โดยเรื่องดีไซน์ก็มีข้อสังเกตุเล็กๆ น้อยๆ จากการที่ขอบหน้าจอบางมากๆ ทำให้ทาง ASUS เลือกตัดกล้องเว็บแคมออกไป แต่ก็ได้แก้ไขด้วยการบันเดิลอุปกรณ์กล้องเว็บแคมแบบแยกที่ดีกว่า มาให้เลย รวมไปถึงยังมีอแดปเตอร์ USB-PD 100W มาให้ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อย่างตัวกล่องเองพร้อมใช้งานในหลายๆ ส่วนด้วย และตัวเครื่องเองมีน้ำหนักที่ 2.48 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีความบางตัวเครื่องเพียง 20.09 มิลลิเมตร ซึ่งเทียบกับ Gaming Notebook ทั่วไปก็อาจจะดูหนักและหนาหน่อย แต่แลกกับฟีเจอร์ก็ถือพอยอมรับได้ ปิดท้ายจริงๆ เรื่องข้อจำกัดก็จะเป็นเรื่องไม่ได้เป็นพอร์ต Thunderbolt และไม่มี SD Card Reader เพียงเท่านั้นเอง
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ROG Zephyrus Duo 15 SE ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
ดีไซน์โดยรวมดูเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ ที่ความละเอียด 4K Ultra HD แบบ 120Hz ที่ได้รับ DNA จาก ASUS ROG มาอย่างเต็มเปี่ยม โดยมีน้ำหนักเบาทเพียง 2.48 กิโลกรัม และเนื่องด้วยมีขอบจอที่ค่อนข้างบาง ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาสะดวกสบาย แม้จะไม่ได้เบาที่สุดๆ แต่ได้ฟีเจอร์จัดเต็มแบบไร้คู่แข่ง เพราะในตลาดตอนนี้แนวคิดหน้าจอที่สองขนาดใหญ่โตระดับ 14.1″ ได้ความละเอียดเป็น 3840 x 1100 พิกเซล พาเนล IPS เกรดสูง รองรับการทัชสกรีนแบบนี้มีเพียง ASUS เท่านั้น ซึ่งยกตัวให้สูงยิ่งกับแนวคิดที่ไม่ซ้ำใครแน่นอน
Best Performance
สุดยอดสเปกเป็น AMD Ryzen 9 5900HX + NVIDIA GeForce RTX 3070 / RTX 3080 แรม 32GB + SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 2TB + มี Windows 10 แท้ แน่นอนว่าได้ประสิทธิภาพที่ทรงพลังมากๆ มากที่สุดในตลาด ณ ตอนนี้เลย การรับประกัน On-site Service พร้อมด้วยประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกอีกด้วย ในราคา 99,990 – 119,900 บาท ที่สำคัญได้ความเป็น ROG Zephyrus ที่พรีเมียม บางเบา เรียกได้ว่าคุ้มค่าจนหาตัวจับได้อยากทีเดียว สำหรับ Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ แต่รุ่นนี้เน้นการแสดงผลภาพดีมาก ทั้งทำงานหรือเล่นเกมก็สมบูรณ์แบบ
Best Graphic
สุดทางจริงๆ สำหรับหน้าจอแสดงผลที่เป็นหน้าจอ IPS ขนาด 15.6″ บนความละเอียด Ultra HD ระดับสูง sRGB ใกล้เคียง 100% และรองรับ Refresh Rate ที่ 120Hz พร้อมจอที่สอง ROG ScreenPad Plus เป็นพาเนล IPS แบบด้าน ซึ่งใช้งานหน้าจอของเราสมบูรณ์แบบด้วยเพิ่มที่ในการใช้งานที่มากขึ้น เพิ่มสเกลหรือจะปรับให้เป็น Native เพื่อพื้นที่การทำงานก็ทำได้ ที่สำคัญทำให้เราเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานโน๊ตบุ๊คแบบเดิมๆ ไปตลอดกาล กับหน้าจอที่สองที่ทำอะไรได้มากกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปหน้าจอเดียวที่เคยมาทั้งหมด รองรับทั้งสบายเล่นเกมเพื่อเปิดหลายหน้าจอ พร้อมทำงานแบบมืออาชีพในเครื่องเดียว