โน๊ตบุ๊คทำงานกราฟฟิคยุคใหม่กับกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series เป็นตัวเลือกประสิทธิภาพสูงสำหรับคนทำงานในยุคนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีในกราฟฟิคการ์ดรุ่นใหม่นี้จะช่วยให้ทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลาเพราะประมวลผลเสร็จได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งอัพเดทไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่ได้ง่ายด้วยโปรแกรม GeForce Experience ที่ช่วยแจ้งให้ผู้ใช้รู้ทันทีว่ามีอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่อยู่เสมอ และสามารถกดอัพเดทได้ทันที
จุดเด่นของ NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series
ไม่ใช่แค่เรื่องของสเปคประสิทธิภาพสูงหรือแรมการ์ดจอมีความจุมากอย่างเดียว แต่รวมไปถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ ในกราฟฟิคการ์ดที่ใช้ AI เข้ามาประมวลผลด้วย ซึ่งบทความนี้เราจะมาพูดถึงฟีเจอร์เด่นน่าสนใจของ NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series ว่ามีอะไรและจะทำให้งานครีเอทีฟต่าง ๆ ทำเสร็จได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร
ฟีเจอร์เด่นของ NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series
จุดเด่นของกราฟฟิคการ์ดรุ่นใหม่จาก NVIDIA อย่าง NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series จะโดดเด่นเรื่องการนำ AI เข้ามาประมวลผลทั้งการเรนเดอร์, การจัดการพลังงานและพัดลมให้เบาลงและลดการรบกวนระหว่างทำงานลงไปมากทีเดียว โดยสองฟีเจอร์เด่นของ RTX 30 Series ได้แก่
1. Dynamic Boost 2.0
ก่อนจะทำความเข้าใจฟีเจอร์นี้ว่าทำงานอย่างไรต้องเข้าใจเรื่องการออกแบบระบบระบายความร้อนของโน๊ตบุ๊คเสียก่อน เพราะผู้ผลิตโน๊ตบุ๊คจะมีการจำกัดค่า TDP ของซีพียูและกราฟฟิคการ์ดเอาไว้ว่าชิปทั้งสองสามารถสร้างความร้อนสูงสุดได้เท่าไหร่ เพื่อไม่ให้สร้างความร้อนสูงเกินไปจนฮีตไปป์เกิดความเสียหายนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ยี่ห้อ A สร้างโน๊ตบุ๊คแล้วติดตั้งฮีตไปป์รองรับความร้อนได้สูงสุด 115 วัตต์ ตั้งค่าแบ่งให้ซีพียูเพียง 35 วัตต์และกราฟฟิคการ์ด 80 วัตต์ ก็จะทำให้กราฟฟิคการ์ดและซีพียูถูกจำกัดเพดานประสิทธิภาพเอาไว้ให้ทำงานโดยห้ามสร้างค่าความร้อนจากตัวชิปเกินค่าวัตต์ที่กำหนดเอาไว้
โดย Dynamic Boost 2.0 เป็นฟีเจอร์ปรับแต่งค่าวัตต์ระหว่างซีพียูและกราฟฟิคการ์ดด้วย AI ให้ค่า TDP ให้เหมาะสม ซึ่งใช้งานได้ทั้งซีพียูของ AMD และ Intel ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจัดการค่า TDP ระหว่างกราฟฟิคการ์ดและซีพียูได้อย่างมีอิสระมากยิ่งขึ้น
หลักการทำงานคือ AI ของ Dynamic Boost 2.0 จะเช็คทั้งซีพียูและกราฟฟิคการ์ดว่าฝั่งไหนทำงานหนักกว่า เช่นถ้าตอนนี้กราฟฟิคการ์ดสร้างความร้อนออกมาน้อยและไม่ถึงค่า TDP สูงสุดของฮีตซิ้งค์แต่ซีพียูกำลังรันการทำงานอย่างหนัก ก็จะปลดล็อคให้ซีพียูใช้งานฮีตซิ้งค์และสร้างความร้อนได้มากขึ้นในชั่วระยะสั้น ๆ ให้ Workload ของซีพียูเสร็จเร็วกว่าเดิม และในกรณีกลับกันถ้ากราฟฟิคการ์ดทำงานหนักกว่าแต่ซีพียูยังไม่ได้ใช้งานมากนักก็จะปรับขีดจำกัดให้กราฟฟิคการ์ดเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ซึ่งข้อดีของ Dynamic Boost 2.0 จะทำให้โน๊ตบุ๊คมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าเดิมและใช้งานต่อเนื่องได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นฟีเจอร์ในกลุ่ม Max-Q ด้วย ซึ่งฟีเจอร์นี้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตโน๊ตบุ๊คว่าจะนำมาติดตั้งในโน๊ตบุ๊ครุ่นไหนบ้าง
2. WhisperMode 2.0
เวลาใช้โน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์เล่นเกมหรือทำงานหนัก ก็อาจมีปัญหาเรื่องพัดลมเสียงดังรบกวนการทำงานจนเสียสมาธิ ยิ่งถ้าเปิดกราฟฟิคในเกมจัดเต็มเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้กราฟฟิคการ์ดทำงานหนักขึ้นจนพัดลมระบายความร้อนทำงานหนักยิ่งกว่าเดิมจนเสียงพัดลมทำเอาเสียสมาธิไปหมด
กลับกันถ้าอยากให้พัดลมทำงานน้อยลงก็ต้องปรับลดกราฟฟิคแทน เกมเมอร์สายภาพสวยยิ่งหงุดหงิดว่าเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คของเราก็แรงพอตัวแต่ต้องปรับกราฟฟิคในเกมลดลงไม่งั้นเดี๋ยวพัดลมดัง กว่าจะหาจุดลงตัวระหว่างการตั้งค่ากราฟฟิคในเกมให้ดูสวยงามและไม่สร้างภาระให้กราฟฟิคการ์ดมากเกินไปจนพัดลมทำงานเสียงดังก็คงหมดอารมณ์เล่นไปก่อนแน่ ๆ
ปัญหาทั้งหมดนี้ทำให้เกิดฟีเจอร์ WhisperMode 2.0 ซึ่ง NVIDIA ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยทีมพัฒนาเอาเกมชื่อดังกว่า 400 เกมมาทดลองตั้งค่าโปรไฟล์กราฟฟิคในเกมให้สวยงามแต่พัดลมต้องไม่ส่งเสียงดังรบกวนหูระหว่างเล่นเกมผ่านลำโพงตัวเครื่อง ต้องตั้งค่าตรงไหนอย่างไรและมีโจทย์เสริมว่าต้องทำให้เล่นเกมด้วยแบตเตอรี่ได้นานพอด้วย
WhisperMode 2.0 จะเรียกการทำงานของ BatteryBoost, GPU Boost, Optimus และ G-SYNC ขึ้นมาทำงานร่วมกัน ซึ่งฟีเจอร์นี้รองรับการทำงานกับการ์ดจอรุ่น NVIDIA GEFORCE GTX 1060 ขึ้นไป และเลือกเปิดได้ในโปรแกรม GeForce Experience เวอร์ชั่น 3.8 ขึ้นไปและผู้ใช้ต้องอัพเดทไดรเวอร์การ์ดจอของ NVIDIA เป็นเวอร์ชั่น 384.76 ด้วยถึงจะเปิดใช้งานได้
ถ้าเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คของเราผ่านเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว สามารถเปิด WhisperMode 2.0 ได้โดยกดตามนี้
1. เปิดโปรแกรม GeForce Experience แล้วกดตรงปุ่มฟันเฟืองตรงมุมบนขวา
2. สังเกตมุมขวาของหน้าจอ จะมีตัวเลือก Whisper Mode อยู่ ถ้าขึ้นคำว่า Ready ให้คลิกตรงนั้น
3. ฝั่งซ้ายจะมีแถบตัวเลือก ให้กด GAMES แล้วสังเกตฝั่งขวามือจะมีคำว่า Whisper Mode ให้กดเลื่อนเปิดเป็นสีเขียวแบบในภาพ
4. เมื่อเปิดแล้ว จะมีแถบแจ้งเตือนตรงมุมล่างซ้ายแจ้งว่าตอนนี้ Whisper Mode เปิดใช้งานแล้ว ให้เรากด Optimize เพื่อปรับตั้งค่าโหมดนี้เข้ากับเกมของเรา
โน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์พร้อม NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series รุ่นแนะนำ
โน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์นั้นมีจุดเด่นเรื่องประสิทธิภาพสูง จึงทำงานครีเอทีฟได้สบาย ๆ สามารถประมวลผลภาพถ่ายหรือวิดีโอความละเอียดสูงได้อย่างดีและเรนเดอร์งานให้เสร็จได้ในเวลาอันสั้น แถมเจ้าของเครื่องยังใช้เล่นเกมเพื่อความสนุกได้อีกด้วย จุดเด่นของโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์พร้อมกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series Series จะมี 3 ข้อใหญ่ คือ
1. ประสิทธิภาพประมวลผลกราฟฟิคโดดเด่น – ใน NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series มีระบบช่วยประมวลผลด้วย AI พร้อมกับแรมสูงสุด 16GB จึงทำให้การเข้ารหัสวิดีโอความละเอียด 8K HDR RAW ได้เร็วกว่ารุ่นก่อน 75% รวมทั้งทำงานร่วมกับ G-SYNC จึงทำให้ตอนพรีวิวคลิปก่อนเรนเดอร์ได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่องเท่ากับคลิปเรนเดอร์เสร็จแล้ว
2. นำ AI เข้ามาร่วมประมวลผล – ตอนนี้โปรแกรมด้านครีเอทีฟหลาย ๆ โปรแกรมก็นำ AI เข้ามาใช้งานให้ประมวลผลได้ดีขึ้น โดยใช้ Neural Filters จาก NVIDIA เพื่อประมวลผลให้งานออกมาโดดเด่น ไม่ว่าจะ Adobe Photoshop ก็ใช้ AI ช่วยแต่งภาพ, Blackmagic Design’s Davinci Resolve 17 ก็มี AI เข้ามาช่วยประมวลผลตอนทำวิดีโอ ด้านโปรแกรม NVIDIA Broadcast ก็ใช้ AI ช่วยกรองเสียงรบกวนที่เข้าไมโครโฟนมา ด้านฟีเจอร์ auto frame ทำงานร่วมกับ Webcam, NVIDIA Optix AI ช่วยจัดการ noise และประมวลผลภาพกราฟฟิคสามมิติได้เร็วขึ้น, NVIDIA Omniverse สำหรับการทำงาน 3 มิติร่วมกันได้อย่างราบลื่น ทำให้การแสดงผลสามมิติในงานทำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมีอยู่ใน NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series Series
NVIDIA Broadcast ช่วยให้การถ่ายทอดสดและประชุมออนไลน์ได้อย่างราบลื่นและดูเป็นมืออาชีพ ด้วยการตัดเสียงรบกวนรอบตัวทิ้งไป, เปลี่ยนภาพพื้นหลังของเราให้ดูเบลอหรือตัดให้เหลือแต่ตัวของเราก็ได้เหมือนใช้ฉากเขียวและฟีเจอร์ซูมภาพเน้นที่หน้าของเราและแพนกล้องตามเมื่อกล้องเห็นว่าเราขยับไปมาอีกด้วย
NVIDIA Neural Filters เป็นฟีเจอร์ใช้ AI เข้ามาประมวลผลภาพเมื่อตัดต่อด้วยโปรแกรม Adobe Photoshop โดย AI จะเข้ามาประมวลผลหน้าตาของคนในภาพพร้อมเลือกฟิลเตอร์ที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติ เช่น ถ้าเราต้องการเกลี่ยใบหน้าให้เรียบเนียน เพียงเลือกคำสั่ง Neural Filters แล้วคลิกเปิดใช้งาน AI จะช่วยประมวลผลภาพใบหน้าและเกลี่ยสีผิวให้สวยงามเสมอกัน ไม่ต้องเสียเวลาเกลี่ยผิวด้วยตัวเองเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เป็นอีกจุดเด่นของ NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series Series
NVIDIA Omniverse เป็นอีกฟีเจอร์เด่นสำหรับวิศวกร, สถาปนิก, นักออกแบบและนักสร้างสรรค์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว โดยเป็น micro-services ที่ฝังรวมเอาไว้กับโปรแกรมครีเอทีฟต่าง ๆ ทำให้อาชีพต่าง ๆ ที่ต้องทำงานโปรเจคร่วมกันสามารถทำงานในโปรแกรมของตัวเองและไปแสดงผลรวมกันให้คนในโปรเจคนี้ได้เห็นพร้อมกันด้วย โดยเริ่มเปิด Open beta ให้ทดลองใช้งานแล้ว นอกจากจะสร้างและทำงานร่วมกันได้แบบ real-time แล้ว ยังสามารถทดสอบและสอน AI ให้ทำงานตามสั่งได้ในโปรแกรมนี้อีกด้วย ช่วยให้ผู้ใช้โน๊ตบุ๊คติดตั้งกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series Series ทำงานได้ดีขึ้น
คลิปตัวอย่าง NVIDIA Omniverse
3. Driver ระดับสตูดิโอ – หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้ว Studio Driver แตกต่างจาก Driver ปกติอย่างไร สำหรับ Driver ระดับสตูดิโอจะถูกนำไปทดสอบกับโปรแกรมครีเอทีฟต่าง ๆ เป็นพิเศษเพื่อให้ครีเอทีฟโหลดไปติดตั้งแล้วไม่เกิดปัญหาระหว่างการใช้งานหรือเกิดน้อยที่สุด สามารถอัพเดทได้ง่าย ๆ ผ่านโปรแกรม GeForce Experience เหมือนกัน
โน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ประสิทธิภาพสูงเพื่องานครีเอทีฟ จะติดตั้งกราฟฟิคการ์ด GeForce RTX 3060, RTX 3070 และ RTX 3080 เอาไว้และจะเริ่มวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ โดยรุ่นแนะนำน่าสนใจทั้งในและต่างประเทศจากทาง Notebookspec จะมี 4 รุ่น ได้แก่
1. ASUS ZenBook Pro Duo UX582
ASUS ZenBook Pro Duo UX582 เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์สเปคแรงและเกมเมอร์ที่หาเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงไว้ใช้มากกว่าประกอบพีซี จุดเด่นคือเรื่องของหน้าจอ OLED ผ่านการรับรอง PANTONE Validated แล้ว, มีค่า Delta-E <2, หน้าจอขอบเขตสีกว้าง DCI-P3 97% มีความละเอียดหน้าจอ 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) นอกจากนี้หน้าจอ ASUS ScreenPad Plus เป็นหน้าจอสัมผัสยกตัวอัตโนมัติเมื่อเราเปิดหน้าจอขึ้นมาใช้งาน สามารถใช้ปากกา Stylus ขีดเขียนบนหน้าจอได้ รวมทั้งเปลี่ยนหน้าจอเป็นส่วนเสริมของโปรแกรมต่าง ๆ เช่น หน้าจอสเก็ตช์งานสำหรับโปรแกรมออกแบบ, แถบปรับจูนต่าง ๆ เมื่อใช้ After Effects, เอาไว้แสดงหน้าต่างโปรแกรมเสริมตอน Live Stream ก็ได้เช่นกัน จัดเป็นหน้าจอเสริมที่มีประโยชน์เวลาทำงานมาก ๆ
นอกจากนี้การออกแบบตัวเครื่องอย่าง ErgoLift ซึ่งใช้ส่วนท้ายของหน้าจอเป็นฐานยกโน๊ตบุ๊คขึ้นเล็กน้อย ก็ช่วยให้ใช้งานคีย์บอร์ดได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ระบบระบายความร้อน AAS Plus แบบใหม่ตรงช่องเหนือ ScreenPad Plus ก็ระบายอากาศดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป 36% ส่วนตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมแข็งแรงไว้ใจได้ ผ่านมาตรฐาน MIL-STD 810G แล้วด้วย
สเปคจัดว่าหายห่วง เพราะใช้ Intel Core i9-10980HK ความเร็ว 2.4GHz มี L3 Cache 16MB จับคู่กับกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3070 มีแรมการ์ดจอ 8GB GDDR6 กับแรมอีก 32GB DDR4 ติดตั้งเอาไว้พร้อมใช้งานได้ทันที ด้านฮาร์ดดิสก์เป็น M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 1TB ติดตั้ง Windows 10 Pro กับ Microsoft 365 ใช้งานได้ฟรี 1 เดือน พร้อมเปิดใช้งานได้ทันที
หน้าจอหลักเป็นจอสัมผัสใช้งานร่วมกับปากกา Stylus ได้ พาเนล OLED ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) ผ่านการรับรองมาตรฐานสีสันจาก PANTONE และ DCI-P3 97% ส่วน ASUS ScreenPad Plus ขนาด 14 นิ้ว รองรับปากกา Stylus เช่นกัน ความละเอียด 4K UHD (3840×1100 พิกเซล) พาเนล IPS ถือว่า ASUS ZenBook Pro Duo เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับผู้ทำงานวาดภาพเขียนแบบและครีเอทีฟเป็นอย่างมาก
พอร์ตและการเชื่อมต่อรองรับ Thunderbolt 3 x 2 ช่อง สามารถใช้ต่อหน้าจอเสริมได้ มี USB 3.2 Gen2 Type-A, HDMI 2.1 และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรอย่างละ 1 ช่อง กล้องหน้ามีฟีเจอร์ IR รองรับการสแกนหน้าเพื่อปลดล็อคตัวเครื่องและฟีเจอร์รักษาความปลอดภัย TPM ส่วนลำโพงจูนเสียงด้วย harman/kardon (Premium) รองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi6 มาตรฐาน 802.11ax
ในแพ็คเกจของ ASUS ZenBook Pro Duo นอกจากตัวเครื่องจะมีซอง, แท่นตั้งเครื่อง, ปากกา Stylus และแท่นวางรองข้อมือแถมมาให้ด้วย จัดว่าครบพร้อมเปิดใช้ทำงานได้เลย จัดเป็นโน๊ตบุ๊คฟีเจอร์แน่นของแถมอัดเต็มกระเป๋า ซื้อครั้งเดียวใช้ได้นานก็ไม่ควรมองข้ามรุ่นนี้
สเปคของ ASUS ZenBook Pro Duo
- Intel Core i9-10980HK ความเร็ว 2.4-5.3GHz มี L3 Cache 16MB
- กราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3070 แรม 8GB GDDR6
- SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 1TB
- แรม 32GB DDR4
- หน้าจอหลักรองรับทัชสกรีนและปากกา Stylus ขนาด 15.6 นิ้ว พาเนล OLED ความละเอียด 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) ผ่านการรับรองสีสันตรงจาก PANTONE และ DCI-P3 97%
- หน้าจอ ASUS ScreenPad Plus ขนาด 14 นิ้ว พาเนล IPS ความละเอียด 4K (3840×1100 พิกเซล) รองรับปากกา Stylus
- พอร์ตเชื่อมต่อรองรับ Thunderbolt 3 x 2 ช่อง รองรับการต่อหน้าจอเสริม, USB 3.2 Gen2 Type-A x 1 ช่อง, HDMI 2.1 x 1 ช่อง และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร x 1 ช่อง
- เชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax
- ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro และ Microsoft 365 ฟรี 1 เดือน
- กล้องหน้ามีฟีเจอร์ IR สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคเครื่อง รองรับการทำงานร่วมกับ Windows Hello, TPM
- ลำโพงจูนเสียงด้วย harman/kardon (Premium)
- ผ่านมาตรฐานความแข็งแรง US MIL-STD 810G
- มีปากกา Stylus แถมมาในแพ็คเกจสินค้า
- น้ำหนักเครื่อง 2.34 กิโลกรัม
2. MSI Creator 15
MSI Creator 15 เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ประสิทธิภาพสูงติดตั้ง NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series มาให้ในปีนี้ พร้อมฟีเจอร์จัดเต็มเหมือนกันไม่ว่าจะเป็น Flip-n-share กางหน้าจอให้แบนราบและขอบจอบางเฉียบ ทำให้มีพื้นที่บนหน้าจอให้มองเห็นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนจุดเด่นของหน้าจอของ MSI เครื่องนี้เหมาะกับครีเอเตอร์ทุกคนโดยเฉพาะสายงานศิลปะ ด้วยเป็นหน้าจอสัมผัสความละเอียด 4K, ได้รับการรับรองความแม่นยำสี calman Verified, ค่าความแม่นยำสี Delta-E <2 และ AdobeRGB 100% จึงเป็นอีกตัวเลือกเด่นไม่ควรมองข้าม
สำหรับครีเอเตอร์ผู้ทำงานกับเสียงเพลง MSI Creator 15 ได้รับการจูนเสียงจาก Nahimic Hi-Res Audio รองรับเสียง 24bit Hi-Res Audio
ด้านความปลอดภัยจัดว่าหายห่วงเนื่องจากติดตั้งระบบสแกนใบหน้าและสแกนลายนิ้วมือเอาไว้เพื่อช่วยยืนยันตัวตนของเจ้าของเครื่อง ทำงานร่วมกับ Windows Hello มีความปลอดภัยเหนือว่าการกรอกรหัสผ่านเพียงอย่างเดียว สำหรับโปรแกรมสำคัญสำหรับครีเอทีฟอย่าง Creator Center สำหรับ Optimize ให้โปรแกรมสำหรับงานครีเอทีฟในตระกูล Adobe สามารถทำงานได้ดีขึ้น ส่วนระบบระบายความร้อน Cooler Boost Trinity+ ติดตั้งพัดลมไว้ 3 ตัว พร้อมกับฮีตไปป์ช่วยระบายความร้อน 7 เส้น ทำให้ระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า 15% และผ่านมาตรฐานความแข็งแรง US MIL-STD 810G
สเปคของ MSI Creator 15 จะใช้ซีพียู Intel Core i9 รุ่นที่ 10 จับคู่กับกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3080 เลือกได้ระหว่างรุ่นแรมการ์ดจอ 8GB หรือ 16GB GDDR6 ส่วนฮาร์ดดิสก์เป็น SSD แบบ M.2 PCIe 3.0 สามารถติดตั้งได้ 2 ช่อง แรมเป็น DDR4 มี 2 ช่อง รองรับสูงสุด 64GB ติดตั้ง Windows 10 Pro มาให้พร้อมใช้งาน หน้าจอเป็นแบบทัชสกรีน พาเนล IPS ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียดเริ่มต้น Full HD (1920×1080 พิกเซล) สูงสุด 4K UHD
พอร์ตของ MSI Creator 15 มี USB 3.2 Gen2 Type-C x 1 ช่อง เป็น Thunderbolt 3 รองรับการชาร์จแบบ Power Delivery ถ้าใช้ทำงานทั่วไปก็ชาร์จด้วยอะแดปเตอร์สมาร์ทโฟนที่สามารถชาร์จ 65 วัตต์ขึ้นไปชาร์จได้, USB 3.2 Gen2 Type-C x 1 ช่อง, USB 3.2 Gen2 Type-A x 3 ช่อง มีพอร์ต LAN RJ45 กับ HDMI แบบรองรับการต่อหน้าจอความละเอียด 4K 60Hz ติดตั้งไว้อย่างละช่อง ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายรองรับ Wi-Fi 6E และ Bluetooth 5.2 ทำให้เปิดเว็บไซต์และรับส่งข้อมูลได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนตัวเครื่องมีน้ำหนัก 2.1 กิโลกรัม
สเปคของ MSI Creator 15
- Intel Core i9 รุ่นที่ 10
- กราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3080 แรมสองความจุระหว่าง 8GB หรือ 16GB GDDR6
- SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 2 ช่อง
- แรม DDR4 x 2 ช่อง เลือกเพิ่มความจุได้สูงสุด 64GB บัส 3200MHz
- หน้าจอทัชสกรีน ขนาด 15.6 นิ้ว พาเนล IPS ความละเอียดเริ่มต้น Full HD (1920×1080 พิกเซล) สูงสุด 4K UHD ผ่านการรับรองสีสันตรงจาก calman Verified, AdobeRGB 100% และ Delta-E <2
- พอร์ตเชื่อมต่อรองรับ USB 3.2 Gen2 Type-C (Thunderbolt 3) x 1 ช่อง รองรับการต่อหน้าจอเสริมและชาร์จแบบ Power Delivery ได้, USB 3.2 Gen2 Type-C x 1 ช่อง, USB 3.2 Gen2 Type-A x 3 ช่อง, HDMI x 1 ช่อง, LAN RJ45 x 1 ช่อง และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร x 1 ช่อง
- เชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 6E และ Bluetooth 5.2
- ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro มาพร้อมใช้งาน
- กล้องหน้ามีฟีเจอร์ IR สแกนใบหน้าและสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคเครื่อง ทำงานร่วมกับ Windows Hello
- ลำโพงจูนเสียงด้วย Nahimic Hi-Res Audio ได้เสียงระดับ 24bit
- ผ่านมาตรฐานความแข็งแรง US MIL-STD 810G
- น้ำหนักเครื่อง 2.1 กิโลกรัม
3. Gigabyte AERO15
Gigabyte AERO15 แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์ที่ไม่ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยก็ตาม แต่เป็นรุ่นน่าสนใจพร้อมกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series มีฟีเจอร์เด่นเพื่อครีเอเตอร์และสตรีมเมอร์เป็นหลัก โดยหน้าจอ 15.6 นิ้ว เป็นจอ AMOLED จาก Samsung ความละเอียด 4K UHD ผ่านการรับรองความแม่นยำสี VESA DisplayHDR 400 True Black และ DCI-P3 100% และ Delta-E <1 อีกด้วย
ด้านความปลอดภัยของตัวเครื่องจะมีสไลด์ปิดกล้อง Webcam กับการสแกนลายนิ้วมือ ทำงานร่วมกับ Windows Hello และระบบ Intel PTT (Intel Platform Trust Technology) เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลและโน๊ตบุ๊ค เป็น TPM แบบใช้ Firmware รักษาความปลอดภัย
ด้านคีย์บอร์ดของ Gigabyte AERO 15 เป็น GIGABYTE Fusion รุ่นใหม่ แต่ละปุ่มเป็นไฟ LED แบบแยกสีปรับแต่งได้ 16.7 ล้านสี พร้อม N-Key Rollover และตั้งมาโครเฉพาะของแต่ละปุ่มได้ และให้สิทธิ์เจ้าของเครื่องใช้งาน Xsplit Gamecaster Premium, Xsplit Broadcaster Premium เป็นเวลา 3 เดือน
สเปคของ Gigabyte AERO 15 รุ่นสูงสุดรหัส AERO 15 OLED YC จะใช้ซีพียู Intel Core i9-10980HK ความเร็ว 2.4-5.3GHz จับคู่กับแรมแบบ DDR4 x 2 ช่อง รองรับสูงสุด 64GB บัส 3200MHz และกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3080 มีแรมการ์ดจอ 8GB GDDR6 มีฟีเจอร์ NVIDIA Optimus ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกราฟฟิคการ์ดแยกให้ดีที่สุดและประหยัดพลังงานไปพร้อมกัน ส่วนฮาร์ดดิสก์เป็น SSD แบบ M.2 แบบ 2280 รองรับ 2 ช่อง เป็น NVMe x 1 ช่อง และอีกช่องรองรับทั้ง NVMe และ SATA x 1 ช่อง ติดตั้ง Windows 10 Home มาให้และสามารถเลือกเป็น Pro ได้เพื่อเพิ่มฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยตัวเครื่องให้รัดกุมขึ้น
พอร์ตเชื่อมต่อข้างตัวเครื่องเป็น USB 3.2 Gen1 Type-A x 3 ช่อง, Thunderbolt 3 (USB-C) x 1 ช่อง, HDMI 2.1 x 1 ช่อง, Mini DisplayPort 1.4 x 1 ช่อง นอกจากนี้เป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, UHS-II SD Card Reader และ LAN RJ45 อย่างละ 1 ช่องด้วยกัน ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายใช้ชิป Intel AX200 รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.0+LE ลำโพงเป็น Nahimic 3
สเปคของ Gigabyte AERO15
- Intel Core i9-10980HK ความเร็ว 2.4-5.3GHz
- กราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3080 แรม 8GB GDDR6
- SSD M.2 NVMe x 2 ช่อง เป็น NVMe และ NVMe/SATA อย่างละ 1 ช่อง
- แรม DDR4 x 2 ช่อง เพิ่มความจุได้สูงสุด 64GB บัส 3200MHz
- หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว Samsung AMOLED ความละเอียด 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) ผ่านการรับรองสีสัน VESA DisplayHDR 400 True Black, DCI-P3 100% และ Delta-E <1
- พอร์ตเชื่อมต่อรองรับ USB 3.2 Gen2 Type-C (Thunderbolt 3) x 1 ช่อง รองรับการต่อหน้าจอเสริมและชาร์จแบบ Power Delivery ได้, USB 3.2 Gen1 Type-A x 3 ช่อง, HDMI 2.1 x 1 ช่อง, LAN RJ45 x 1 ช่อง, Mini DisplayPort x 1 ช่อง, UHS-II SD Card Reader x 1 ช่อง และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร x 1 ช่อง
- เชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.0+LE
- ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro มาพร้อมใช้งาน
- กล้องหน้ามีบานชัตเตอร์ปิดและสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคเครื่อง ทำงานร่วมกับ Windows Hello พร้อมเฟิร์มแวร์ TPM รักษาความปลอดภัยและ Intel PTT
- ลำโพง Nahimic 3
- น้ำหนักเครื่อง 2 กิโลกรัม
4. Razer Blade Pro 17
โน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์เครื่องที่ 4 มาจากค่ายงูเขียว Razer รุ่น Blade Pro 17 ใช้ดีไซน์เน้นเรียบง่ายแต่ฟีเจอร์จัดเต็มมีประสิทธิภาพสูง ใช้ทำงานกราฟฟิคได้สบาย ๆ อย่างไรก็ตามหน้าจอของ Razer Blade Pro 17 จะเน้นไปทางเกมเมอร์ด้วยขนาด 17.3 นิ้ว เลือกความละเอียดได้ทั้ง Full HD, QHD และ UHD มีอัตรารีเฟรชเรทสูงสุด 360Hz ด้านงานครีเอทีฟจะเลือกปรับแต่งเป็นรุ่นหน้าจอสัมผัสความละเอียด 4K UHD และมีความแม่นยำสี 100% AdobeRGB ก็ได้เช่นกัน
ฟีเจอร์ความปลอดภัยใช้กล้องสแกนใบหน้า Windows Hello Camera เพื่อปลดล็อคเครื่องได้ รองรับ Razer Chroma RGB ตั้งค่าแสงบนปุ่มคีย์บอร์ดแยกสีได้ 16.8 ล้านสี พร้อมเลือกเอฟเฟคสีที่ต้องการได้
สเปคเลือกใช้ซีพียู Intel Core i7-10875H ความเร็ว 2.3GHz จับคู่กับกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3080 ฮาร์ดดิสก์เป็น SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 1TB ติดตั้ง Windows 10 Home มาให้ รองรับการอัพเกรดได้สูงสุด 2TB มีช่อง M.2 เสริมอีกหนึ่งช่องติดตั้ง PCIe หรือ SATA SSD ได้ รองรับความจุสูงสุด 2TB แรม 32GB DDR4 2933MHz รองรับการอัพเกรดได้ 64GB หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 นิ้ว ขนาด 17.3 นิ้ว รีเฟรชเรท 120Hz ในรุ่นเริ่มต้น ความละเอียด 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) ความแม่นยำสี 100% AdobeRGB
พอร์ตเชื่อมต่อรองรับ USB 3.2 Gen2 Type-A x 3 ช่อง, Thunderbolt 3 (USB-C), HDMI 2.1, LAN RJ45, USB 3.2 Gen2 Type-C, ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, UHS-III SD Card Reader, Kensington Lock และช่องอะแดปเตอร์อย่างละ 1 ช่อง รองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 6E กับ Bluetooth 5.2
สำหรับงานครีเอทีฟก็สามารถใช้ประโยชน์จากหน้าจอสีสันแม่นยำระดับ AdobeRGB 100% สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่และสนุกไปกับเกมใหม่ ๆ ได้พร้อมกันอีกด้วย
สเปคของ Razer Blade Pro 17
- Intel Core i9-10875H ความเร็ว 2.3GHz
- กราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 3080
- SSD M.2 NVMe x 2 ช่อง ช่องหลักเป็น M.2 NVMe 1TB และช่องเสริมสำหรับอัพเกรดรองรับ NVMe/SATA x 1 ช่อง
- แรม DDR4 x 2 ช่อง เริ่มต้น 32GB รองรับสูงสุด 64GB บัส 2933MHz
- หน้าจอทัชสกรีนขนาด 17.3 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) รีเฟรชเรท 120Hz, Adobe RGB 100%
- พอร์ตเชื่อมต่อรองรับ USB 3.2 Gen2 Type-C (Thunderbolt 3) x 1 ช่อง รองรับการต่อหน้าจอเสริมและชาร์จแบบ Power Delivery ได้, USB 3.2 Gen2 Type-A x 3 ช่อง, HDMI 2.1 x 1 ช่อง, LAN RJ45 x 1 ช่อง, UHS-III SD Card Reader x 1 ช่อง และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร x 1 ช่อง
- เชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 6E และ Bluetooth 5.2
- ระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home
- ระบบสแกนใบหน้า Windows Hello Camera
สรุป – จุดเด่นของโน๊ตบุ๊คทั้ง 4 รุ่นเหมาะกับใครเป็นพิเศษ
โน๊ตบุ๊คทั้ง 4 รุ่นนี้ จัดว่ามีจุดเด่นแตกต่างกันสำหรับครีเอทีฟแต่ละกลุ่มทั้งผู้ทำงานภาพ, วิดีโอ, กราฟฟิค รวมถึงเกมเมอร์ก็เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงทั้ง 4 รุ่นนี้ แต่ถ้าระบุแยกเป็นกลุ่มแล้ว แต่ละรุ่นจะเหมาะกับผู้ใช้ดังนี้
- ASUS ZenBook Pro Duo – เนื่องจากหน้าจอคู่ของ ASUS พร้อมรองรับการใช้งานปากกา Stylus สำหรับวาดเขียนบนหน้าจอได้ นอกจากนี้หน้าจอยังได้รับการรับรองความแม่นยำสีจาก PANTONE และ DCI-P3 97% อีกด้วย จึงเหมาะกับครีเอทีฟที่ทำงานวาดเขียนรวมไปถึงวิศวกรและสถาปนิกที่ต้องการการวาดออกแบบต่าง ๆ จะใช้ประโยชน์ของเครื่องนี้ได้อย่างเต็มที่
- MSI Creator 15 – เพราะ MSI Creator 15 ได้การรับรองความแม่นยำสี calman Verified มีค่าความแม่นยำสี Delta-E <2 รวมทั้ง AdobeRGB 100% จะช่วยให้ผู้ใช้ทำงานแต่งภาพตัดต่อวิดีโอสามารถใช้งานโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ แม้จะใช้ปากกา Stylus วาดเขียนบนหน้าจอได้ไม่เหมือน ASUS ก็ตาม แต่ยังหาปากกา Wacom มาเสริมการทำงานได้ด้วย ดังนั้นรุ่นนี้ถ้าใครเป็นช่างภาพหรือฟรีแลนซ์ตัดต่อวิดีโอสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องนี้ได้อย่างเต็มที่
- Gigabyte AERO15 – จุดเด่นสุดของ Gigabyte รุ่นนี้ใช้หน้าจอ Samsung AMOLED ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR 400 True Black และ DCI-P3 100% และ Delta-E <1 จัดว่าอยู่ในระดับเดียวกับโน๊ตบุ๊คที่ออกแบบมาเพื่องานสามมิติ, ทำภาพและตัดต่อวิดีโอได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ได้รับสิทธิ์ใช้ Xsplit สำหรับ Live Stream วาดภาพหรือเล่นเกมได้สบาย ๆ ถึง 3 เดือน ทำให้ Gigabyte AERO15 เหมาะกับผู้ใช้หลากหลายกลุ่มทีเดียว
- Razer Blade Pro 17 – ชื่อว่า Razer ก็เกิดมาเพื่อเกมเมอร์ผู้รักการเล่นเกม แต่ก็มี AdobeRGB 100% ด้วย ดังนั้นนอกจาก Live Stream ได้แล้วก็ยังนำไปแต่งภาพได้อีกด้วย จึงตอบโจทย์เกมเมอร์, ช่างกล้อง, กราฟฟิคดีไซน์เนอร์, คนตัดต่อวิดีโอและ YouTuber ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม Razer ไม่ได้ทำตลาดโน๊ตบุ๊คในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หากจะหาซื้อ Razer Blade Pro 17 อาจต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศและรับความเสี่ยงในการเคลมสินค้าด้วยตัวเองด้วย
รุ่น / สเปค |
ASUS ZenBook Pro Duo |
MSI Creator 15 |
Gigabyte AERO 15 |
Razer Blade Pro 17 |
ซีพียู |
Intel Core i9-10980HK ความเร็ว 2.4-5.3GHz มี L3 Cache 16MB |
Intel Core i9 รุ่นที่ 10 |
Intel Core i9-10980HK ความเร็ว 2.4-5.3GHz |
Intel Core i9-10875H ความเร็ว 2.3GHz |
กราฟฟิคการ์ด |
NVIDIA GEFORCE RTX 3070 แรม 8GB GDDR6 |
NVIDIA GEFORCE RTX 3080 แรมสองความจุระหว่าง 8GB หรือ 16GB GDDR6 |
NVIDIA GEFORCE RTX 3080 แรม 8GB GDDR6 |
NVIDIA GEFORCE RTX 3080 |
ฮาร์ดดิสก์ |
M.2 NVMe PCIe 3.0 1TB |
SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 2 ช่อง |
SSD M.2 NVMe x 2 ช่อง เป็น NVMe และ NVMe/SATA อย่างละ 1 ช่อง |
SSD M.2 NVMe x 2 ช่อง ช่องหลักเป็น M.2 NVMe 1TB ช่องเสริมรองรับ NVMe/SATA x 1 ช่อง |
แรม |
32GB DDR4 |
แรม DDR4 x 2 ช่อง เลือกเพิ่มความจุได้สูงสุด 64GB บัส 3200MHz |
แรม DDR4 x 2 ช่อง เพิ่มความจุได้สูงสุด 64GB บัส 3200MHz |
32GB DDR4 รองรับสูงสุด 64GB บัส 2933MHz |
หน้าจอ |
ทัชสกรีน OLED 15.6” 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) Pantone Validated DCI-P3 97% ScreenPad Plus 14” 4K UHD 3840×1100 พิกเซล IPS |
หน้าจอทัชสกรีน ขนาด 15.6 นิ้ว พาเนล IPS ความละเอียดเริ่มต้น Full HD (1920×1080 พิกเซล) สูงสุด 4K UHD ผ่านการรับรองสีสันตรงจาก calman Verified, AdobeRGB 100% และ Delta-E <2 |
หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว Samsung AMOLED ความละเอียด 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) ผ่านการรับรองสีสัน VESA DisplayHDR 400 True Black, DCI-P3 100% และ Delta-E <1 |
จอทัชสกรีนขนาด 17.3 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD (3840×2160 พิกเซล) รีเฟรชเรท 120Hz Adobe RGB 100% |
พอร์ตและการเชื่อมต่อ |
Thunderbolt 3 x 2 USB 3.2 Gen2 Type-A x 1 HDMI 2.1 x 1 Wi-Fi6 |
USB 3.2 Gen2 Type-C (Thunderbolt 3) x 1 USB 3.2 Gen2 Type-C x 1 USB 3.2 Gen2 Type-A x 3 HDMI x 1 LAN x 1 ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร x 1 Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2 |
USB 3.2 Gen2 Type-C (Thunderbolt 3) x 1 USB 3.2 Gen1 Type-A x 3 HDMI 2.1 x 1 LAN x 1 ช่อง Mini DisplayPort x 1 UHS-II SD Card Reader x 1 ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร x 1 Wi-Fi 6, Bluetooth 5.0+LE |
USB 3.2 Gen2 Type-C (Thunderbolt 3) x 1 USB 3.2 Gen2 Type-A x 3 ช่อง HDMI 2.1 x 1 LAN x 1 UHS-III SD Card Reader x 1 ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร x 1 ช่อง Wi-Fi 6E, Bluetooth 5.2 |
ระบบปฏิบัติการ |
Windows 10 Pro+Microsoft 365 1 เดือน |
Windows 10 Pro |
Windows 10 Pro |
Windows 10 Home |
ฟีเจอร์พิเศษ |
สแกนใบหน้า, TPM, ลำโพง harman/kardon (Premium), US MIL-STD 810G, ปากกา Stylus ในแพ็คเกจสินค้า |
สแกนใบหน้า, สแกนลายนิ้วมือ, Nahimic Hi-Res Audio 24bit, US MIL-STD 810G |
ชัตเตอร์ปิดกล้องหน้า, สแกนลายนิ้วมือ, TPM Firmware, Intel PTT, ลำโพง Nahimic 3 |
สแกนใบหน้า Windows Hello Camera |
น้ำหนัก |
2.34 กิโลกรัม |
2.1 กิโลกรัม |
2 กิโลกรัม |
– |
จะเห็นว่าโน๊ตบุ๊คสำหรับครีเอเตอร์แต่ละเครื่องพร้อมกราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE RTX 30 Series จะมีจุดเด่นช่วยให้ทำงานต่าง ๆ เสร็จได้อย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น และยังมีฟีเจอร์ประสานการทำงานต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อประหยัดเวลาและมีจุดเด่นต่าง ๆ อีกมากมาย และไว้ใจได้ด้วยไดรเวอร์ระดับ Studio จาก NVIDIA Studio ที่ผ่านการทดสอบทำงานร่วมกับโปรแกรมต่าง ๆ แล้วว่าสามารถรันการทำงานได้เสถียร ช่วยลดปัญหาระหว่างการทำงานให้เกิดน้อยหรือไม่เกิดขึ้นอีกด้วย จัดว่าเหมาะกับครีเอเตอร์ที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นที่สุด
สำหรับผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหน้าเว็บไซต์ NVIDIA Studio หรือ YouTube ของ NVIDIA Studio