จะเห็นว่าครึ่งหลังของปี 2020 ทีผ่านมา ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายค่ายก็พากันเปิดตัวมือถือ 5G ออกมาหลากหลายรุ่นเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ก็มีหลายรุ่นที่ราคาสูงจนกว่าจะซื้อมาใช้ก็ต้องคิดสะระตะอีกมากมายทีเดียว
อันที่จริงแล้ว เราสามารถซื้อมือถือ 5G สเปคดีได้โดยจ่ายไม่เกิน 10,000 บาทเสียด้วย ซึ่งรุ่นที่น่าใช้ที่ผู้เขียนแนะนำมีทั้งหมด 3 รุ่น มานำเสนอให้ผู้อ่านลองเลือกตามมความชอบและจุดเด่นที่ผู้อ่านสนใจได้
(เครดิตภาพจาก pixabay)
ก่อนเลือกมือถือ ผู้ให้บริการมี 5G คลื่นไหนบ้าง?
ถ้าซื้อมาก็ต้องได้ใช้ แต่สำคัญคือเราต้องรู้ก่อนว่าผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละค่ายนั้นมีคลื่น 5G คลื่นไหนให้บริการอยู่บ้าง โดย AIS, TrueMove H ที่เปิดให้บริการ 5G ไปแล้วก็จะมีคลื่นยืนพื้นร่วมกันได้แก่ 700 Mhz, 2600 Mhz และ 26 GHz ด้วยกัน แต่ Dtac นั้นเพิ่งเริ่มให้บริการ 5G คลื่น 700 MHz ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เท่านั้น ซึ่งต้องรอการขยายสัญญาณต่อไปในอนาคตรวมทั้งรอดูการเข้าประมูลคลื่น 3500 MHz ที่ทางค่ายตั้งใจเอาไว้ด้วย
เมื่อเราทราบแล้วว่าผู้ให้บริการแต่ละค่ายมีคลื่นอะไรให้บริการบ้าง ผู้ใช้เช่นเราก็ควรเช็คสเปคของสมาร์ทโฟน 5G ที่เราอยากเป็นเจ้าของด้วยว่ารุ่นที่เราอยากซื้อนั้นรองรับคลื่นใดบ้าง ซึ่งวิธีการอ่านนั้นถ้าเราเข้าใจโดยสังเขปแล้วก็สามารถเลือกได้ง่ายยิ่งขึ้น
วิธีดูว่ามือถือ 5G ของเรารองรับคลื่นไหนบ้าง?
สำหรับคลื่น 5G นั้น จะมีการกำหนดค่าความถี่เป็นมาตรฐานสากลเอาไว้ ซึ่งทางผู้เขียนจะขอนำข้อมูลที่มีใน Wikipedia มาอ้างอิงเพื่อให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้อ่านที่ต้องการศึกษาอย่างละเอียดสามารถคลิกได้ที่นี่
สำหรับวิธีการอ่านนั้น วิธีการง่าย ๆ คือการดูความถี่ของคลื่นนั้น ๆ และจำชื่อคลื่นควบคู่กัน เช่น n7 มีความถี่ 2600 MHz และ n12 มีความถี่ 700 MHz ซึ่งสองคลื่นนี้เป็นคลื่นใช้อยู่ในประเทศไทย
(เครดิตภาพจาก Wikipedia)
ส่วนคลื่น 26 GHz หรือรหัส n258 นั้นเป็นคลื่นที่ถูกเรียกว่า High Band ซึ่งต้องรอการนำมาใช้ประโยชน์ในอนาคตต่อไป โดยขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละผู้ให้บริการนั่นเอง
(เครดิตภาพจาก Wikipedia)
ดังนั้นเมื่อเราเปิดหน้าสเปคแล้วเช็คข้อมูลโดยละเอียดแล้วเจอเรื่องเลขคลื่นสลับกับรหัสคลื่นก็ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถใช้มาตรฐานนี้เป็นตัวอ้างอิงก่อนเลือกซื้อสมาร์ทโฟนได้เลย
มือถือ 5G สามรุ่นน่าใช้มีเครื่องไหนบ้าง?
- OnePlus Nord N10 5G (ราคา 9,990 บาท)
- Realme 7 5G (ราคา 9,999 บาท)
- Motorola Moto G 5G (ราคา 9,990 บาท)
OnePlus Nord N10 5G (ราคา 9,990 บาท)
(เครดิตภาพจาก OnePlus)
OnePlus Nord นั้นเป็นสมาร์ทโฟนตระกูลใหม่เพื่อผู้ใช้เข้าถึงมือถือของ OnePlus ได้ง่าย ซึ่ง OnePlus Nord N10 5G นั้นก็เป็นรุ่นราคาประหยัดที่ OnePlus แจ้งว่ารองรับคลื่น 5G ได้ตั้งแต่เริ่มต้นใช้งาน ซึ่งถ้าเจ้าของเครื่องมีซิม 5G อยู่แล้วก็สามารถใส่เครื่องแล้วใช้งานได้ทันที
ด้านของสเปคนั้น OnePlus Nord N10 5G นั้นสามารถใช้เป็นมือถือเครื่องหลักได้เลยถ้าเน้นใช้งานทั่วไปอย่างการท่องโซเชียลและเล่นเกมบ้างเมื่อมีโอกาส ด้วยหน้าจอ IPS ความละเอียด Full HD+ (2400×1080) ความหนาแน่นเม็ดพิกเซล 405 ppi (Pixel Per Inch) จึงแสดงผลภาพได้คมและให้สีสันสวยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีค่ารีเฟรทเรท 90Hz ทำให้การแสดงผลลื่นกว่ามือถือหน้าจอ 60Hz ทั่วไป
ซีพียูเป็น Qualcomm Snapdragon 690 5G กับกราฟิกชิป Adreno 619L เพียงพอต่อการเล่นเกมยอดนิยมในปัจจุบันไม่ว่าจะ ROV, PUBG และอื่น ๆ ซึ่งอาจจะต้องพึ่งการปรับกราฟิกภายในเกมสักเล็กน้อยก็จะช่วยให้กราฟิกลื่นขึ้น มีหน่วยความจำในเครื่อง 128GB อินเตอร์เฟสเป็น UFS2.1 ที่ยังรับส่งข้อมูลได้เร็วพอตัวพร้อมรองรับการเพิ่ม MicroSD Card ได้อีกด้วย มีแรม 6GB LPDDR4x
(เครดิตภาพจาก OnePlus)
กล้องหลังเลนส์หลักมีความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ใช้การกันสั่นแบบ EIS (Electronic Image Stabilization) ไม่ใช่การฝังมอเตอร์กันสั่นเอาไว้ที่ตัวเซนเซอร์หลัก (OIS) แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป มีค่า f/1.79 ส่วนเลนส์อัลตร้าไวด์มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.25 ได้ภาพกว้าง 119 องศา เลนส์มาโครและกล้องถ่ายภาพขาวดำความละเอียด 2 ล้านพิกเซลทั้งคู่ ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล โดยเรื่องของกล้องนั้นถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันแล้วแต่ยังมีข้อสังเกตเรื่องเลนส์มุมกว้างยังถ่ายภาพเพียงพอใช้ได้เท่านั้น
แบตเตอรี่มีความจุ 4,300mAh รองรับชาร์จเร็ว Warp Charge 30T (5V/6A) และพอร์ตเป็น USB-C ซึ่งผู้ที่ใช้ USB-C อยู่แล้วก็จะไม่ต้องเปลี่ยนสายในบ้านและชาร์จเร็วทันใจ ส่วนแบตเตอรี่นั้นสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ทั้งวันแน่นอน แถมมีพอร์ตหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรติดตั้งมาด้วย ส่วนระบบสแกนนิ้วจะอยู่ด้านหลังตัวเครื่องไม่ได้อยู่ที่ปุ่มล็อคหน้าจอหรือบนหน้าจอแบบรุ่นอื่น
จุดสังเกตของ OnePlus Nord N10 5G คือไม่มีปุ่มสไลด์ติดตั้งอยู่ด้านข้างเหมือน OnePlus รุ่นอื่น รวมทั้งการอัพเดทแอนดรอยด์จะได้ถึงแค่ Android 11 เท่านั้น ตัวเครื่องเมื่อซื้อมาจะเป็น OxygenOS ที่พัฒนาจาก Android 10 นั่นเอง
สเปคของ OnePlus Nord N10 5G
- CPU – Qualcomm Snapdragon 690
- GPU – Adreno 619L
- ROM – 128GB UFS2.1 เพิ่ม MicroSD Card ได้ 512GB
- RAM – 6GB LPDDR4x
- Screen – 6.49″ IPS LCD 1080×2400 พิกเซล อัตราส่วนจอ 20:9 Corning Gorilla Glass 3 Refresh rate 90Hz
- ระบบปฏิบัติการ – Android 10 ครอบทับด้วย OxygenOS
- ปลดล็อคหน้าจอ – สแกนลายนิ้วมือข้างเครื่อง, สแกนใบหน้า
- กล้องหลัง – หลัก 64 ล้านพิกเซล EIS f/1.79, Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล 119 องศา f/2.25, มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4, กล้องภาพขาวดำ 2 ล้านพิกเซล f/2.4, LED Flash
- กล้องหน้า – 16 ล้านพิกเซล EIS f/2.05
- เชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 5, Bluetooth 5.1, 5G
- พอร์ต – USB-C, ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, รองรับนาโนซิม 2 ถาด, MicroSD 1 ถาด
- Battery – 4,300 mAh+Warp Charge 30T (5V/6A)
Realme 7 5G (ราคา 9,999 บาท)
Realme นั้นเป็นสมาร์ทโฟนอีกแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องสเปคที่คุ้มค่า ราคาเข้าถึงง่ายและกล้องหน้าเซลฟี่ได้สวยประทับใจผู้ใช้หลาย ๆ คน โดย Realme 7 5G รุ่นใหม่นี้ จะใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 800U และเป็น 5G Dual Standby อีกด้วย ซึ่งถ้าใครใช้ซิม 5G อยู่สองซิมพร้อมกันก็สามารถใช้งานได้ทันที มีสองสีให้เลือกคือน้ำเงิน Mist Blue กับสีเงิน Flash Silver
ด้านของสเปคชิป MediaTek Dimensity 800U นั้นเป็นอีกรุ่นที่ประสิทธิภาพค่อนข้างน่าประทับใจ โดยทาง Realme เคลมประสิทธิภาพจากการ Benchmark ด้วย Antutu ไว้ที่ 340,000 คะแนนด้วยกัน จึงเล่นเกมในสมาร์ทโฟนปัจจุบันได้แทบทุกเกม ส่วนของหน่วยความจำมีความจุ 128GB อินเตอร์เฟสเป็น UFS2.1 และแรม 8GB LPDDR4x ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปทั้งถ่ายภาพและติดตั้งแอพฯ ไว้ใช้งานในเครื่องแล้ว
หน้าจอมีขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2400×1080) ความหนาแน่นเม็ดพิกเซล 405 ppi (Pixel Per Inch) และอัตรารีเฟรทเรท 120Hz แบตเตอรี่จุ 5,000 mAh มี 30W Dart Charge ผ่านพอร์ต USB-C ช่วยให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มเร็วยิ่งขึ้น มีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรให้ใช้งาน ส่วนการสแกนนิ้วจะอยู่ที่ปุ่ม Power ตรงด้านข้างขวาของตัวเครื่องและรองรับการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อคด้วย
กล้องถ่ายภาพนั้นมีเลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 กับเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล ได้ภาพกว้าง 119 องศา กับเลนส์มาโครความละเอียด 2 ล้านพิกเซลและเลนส์ Portrait ขาวดำ ค่า f/2.4 ทั้งสองเลนส์ มีระบบกันสั่นเป็นแบบ EIS ซึ่งใช้ถ่ายภาพได้ดีในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะกล้องหลักที่ใช้ถ่ายได้หลายสถานการณ์รวมทั้งถ่ายคนได้สวยอีกด้วย แต่จุดสังเกตเรื่องกล้องนั้นคือเรื่องของการถ่ายวิดีโอจากเลนส์มุมกว้างอาจจะยังไม่โดดเด่นนัก ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.1
หากนำมาเทียบกันระหว่าง OnePlus Nord N10 5G กับ Realme 7 5G นั้น ทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นไปคนละทาง นั่นคือถ้าต้องการซื้อมือถือที่มีแรม 8GB เผื่อเอาไว้ใช้งานพร้อมกับ 5G Dual Standby ด้วย จะเป็น Realme 7 5G ในขณะที่คนที่ต้องการเพิ่ม MicroSD Card เข้าไปได้ ตัวเลือกจะตกอยู่ที่ OnePlus Nord N10 5G แทน
สเปคของ Realme 7 5G
- CPU – MediaTek Dimensity 800U
- GPU – ARM G57
- ROM – 128GB UFS2.1
- RAM – 8GB LPDDR4x
- Screen – 6.5″ IPS LCD 1080×2400 พิกเซล อัตราส่วนจอ 20:9 Corning Gorilla Glass Refresh rate 90Hz
- ระบบปฏิบัติการ – Android 10 ครอบทับด้วย Realme UI
- ปลดล็อคหน้าจอ – สแกนลายนิ้วมือข้างเครื่อง
- กล้องหลัง – หลัก 48 ล้านพิกเซล EIS f/1.8, Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล 119 องศา f/2.3, มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4, กล้องภาพขาวดำ f/2.4, LED Flash
- กล้องหน้า – 16 ล้านพิกเซล EIS f/2.1
- เชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 5, Bluetooth 5.1, 5G
- พอร์ต – USB-C, ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, รองรับนาโนซิม 2 ถาด
- Battery – 5,000 mAh+30W Dart Charge (5V/6A)
Motorola Moto G 5G Plus (ราคา 9,990 บาท)
(เครดิตภาพจาก Motorola)
Motorola อาจจะเป็นมือถือ 5G อีกรุ่นที่หลายคนลืมไปบ้าง เนื่องจากการโปรโมตนั้นไม่มากเท่ากับแบรนด์หลักรายอื่น แต่ก็เป็นอีกแบรนด์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ Motorola G 5G Plus ที่ใช้งาน 5G ได้ด้วยราคาไม่เกินหมื่นเช่นกัน โดยช่องทางการสั่งซื้อที่ง่ายที่สุดคือร้านค้าอย่างเป็นทางการของ Motorola บน Shopee นั่นเอง
สเปคนั้นจะใช้ซีพียู Qualcomm Snapdragon 765 รุ่นธรรมดาไม่มี G ตามท้าย ซึ่งประสิทธิภาพการทำงานและเล่นเกมนั้น จากการทดสอบของสื่อต่างประเทศแล้วตัวชิปยังตอบสนองได้ดีและรวดเร็วในระดับที่น่าประทับใจ มีหน่วยความจำ 128GB อินเตอร์เฟส USF2.1 แรม 8GB เทียบแล้วจะเท่ากับ Realme 7 5G ในข้อที่แล้ว แต่เพิ่ม MicroSD Card ได้เหมือน OnePlus Nord N10 5G ส่วนระบบปฏิบัติการเป็น Android 10 แบบดั้งเดิมจาก Google (Vanilla Android 10) ทำให้อัพเดทได้เร็วและมีส่วนเสริมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หน้าจอของ Motorola Moto G 5G Plus มีขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2520×1080 พิกเซล) เป็นหน้าจอแบบ IPS กับค่ารีเฟรชเรท 90Hz รองรับ HDR10 มีระบบสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Power เหมือน Realme 7 5G ส่วนแบตเตอรี่มีความจุสูง 5,000 mAh แต่มีข้อสังเกตคือจะรองรับการชาร์จเร็วเพียง 20W เท่านั้นผ่านพอร์ต USB-C ซึ่งน้อยกว่าทั้ง OnePlus และ Realme อยู่บ้าง ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อนอกจาก USB-C แล้ว จะมีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรเช่นเดียวกัน
ด้านของกล้องถ่ายภาพนั้นมีเลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.7 เลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล ได้ภาพกว้าง 118 องศา มีเลนส์มาโครความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และเลนส์ Depth อีก 2 ล้านพิกเซล โดยภาพที่ได้จากกล้องหลักและกล้องมุมกว้างถ้าถ่ายในที่ที่มีแสงเพียงพอจะถ่ายภาพและเก็บรายละเอียดได้ดีแต่รายละเอียดจะลดลงไปบ้างเมื่อถ่ายในที่มืดหรือที่แสงน้อย
ส่วนกล้องหน้ามีสองเลนส์คือเลนส์หลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.0 และเลนส์มุมกว้าง 118 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เป็นมือถือ 5G รุ่นเดียวในกลุ่มที่มีเลนส์มุมกว้างติดมาที่กล้องหน้าด้วย จากการทดสอบของสื่อต่างประเทศนั้น เลนส์มุมกว้างใช้ถ่ายภาพได้มุมที่กว้างและสีผิวค่อนข้างดีทีเดียว
สเปคของ Motorola Moto G 5G Plus
- CPU – Qualcomm Snapdragon 765
- GPU – Adreno 620
- ROM – 128GB UFS2.1
- RAM – 8GB LPDDR4x
- Screen – 6.7″ IPS LCD 1080×2520 พิกเซล อัตราส่วนจอ 21:9 HDR10 Refresh rate 90Hz
- ระบบปฏิบัติการ – Android 10
- ปลดล็อคหน้าจอ – สแกนลายนิ้วมือข้างเครื่อง
- กล้องหลัง – หลัก 48 ล้านพิกเซล EIS f/1.7, Ultra Wide 8 ล้านพิกเซล 118 องศา f/2.2, มาโคร 5 ล้านพิกเซล, เลนส์ Depth 2 ล้านพิกเซล, LED Flash
- กล้องหน้า – 16 ล้านพิกเซล EIS f/2.0, เลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล f/2.2 118 องศา
- เชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 5, Bluetooth 5.1, 5G
- พอร์ต – USB-C, ช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, รองรับนาโนซิม 2 ถาด
- Battery – 5,000 mAh+20W Fart Charge
บทสรุป – รุ่นไหนมีจุดเด่นและน่าสนใจเรื่องไหน?
สำหรับสมาร์ทโฟนทั้งสามรุ่นที่ผู้เขียนได้เลือกมานั้น จัดเป็นมือถือ 5G ที่ราคาไม่เกิน 10,000 บาท ที่จะใช้เป็นมือถือเครื่องหลักในชีวิตประจำวันได้สบาย ๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมและความชื่นชอบในแบรนด์ของแต่ละคนว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหนไปใช้งานกัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามรุ่นนั้นจะมีจุดสังเกตร่วมกันคือเลนส์มุมกว้างจะเก็บภาพในที่แสงน้อยได้ไม่โดดเด่นเท่าเลนส์หลักเหมือนกันทั้งสามรุ่น แต่เรื่องรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ถือว่าไล่เลี่ยกันพอควร ถ้าหากให้สรุปจุดเด่นน่าใช้ของมือถือ 5G ทั้งสามรุ่นนั้นจะมีดังนี้;
(เครดิตภาพจาก OnePlus UK)
OnePlus Nord N10 5G – มีจุดเด่นเรื่อง OxygenOS ที่แสดงผลได้ลื่นไหลซึ่งอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ใช้หลายคนสนใจ, Warp Charge 30T ที่ชาร์จแบตเตอรี่กลับมาได้อย่างรวดเร็วและเพิ่ม MicroSD Card เข้าไปได้ มีรุ่นพิเศษ LINE FRIENDS Special Edition ให้เลือก
(เครดิตภาพจาก Realme)
Realme 7 5G – 30W Dart Charge ที่ชาร์จแบตเตอรี่ได้รวดเร็วและ 5G Dual Standby สำหรับคนที่ต้องการใช้ซิม 5G สองซิมพร้อมกัน กล้องหลักเก็บภาพได้สวยและหน้าจอมีอัตรารีเฟรชเรทที่ 120Hz ซึ่งสูงสุดในกลุ่มและชิป MediaTek Dimensity 800U มีประสิทธิภาพที่สูงทีเดียว
(เครดิตภาพจาก Motorola)
Motorola Moto G 5G – เป็นรุ่นจุดตัดตรงกลางระหว่างสองรุ่นบน รองรับ 5G และเพิ่ม MicroSD Card ได้เหมือน OnePlus และมีหน่วยความจำ 128GB กับแรม 8GB เหมือน Realme แต่มีจุดเด่นเรื่องกล้องหน้าคู่คือเลนส์หลัก 16 ล้านและเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล ส่วนรุ่นอื่นจะมีเพียงเลนส์เดียวเท่านั้น
สุดท้ายการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องมาใช้งานนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดและโจทย์ในการใช้งานในชีวิตประจำวันของแต่ละคน ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นที่ตรงความต้องการของผู้ใช้แต่ละคนแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าเราเช็คข้อมูลให้ดีว่าสมาร์ทโฟนรุ่นไหนทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้นมากที่สุด รุ่นนั้นก็คือรุ่นที่เหมาะกับเราที่สุดนั่นเอง
ตารางสรุปสเปคทั้ง 3 รุ่น
รุ่นและสเปค | OnePlus Nord N10 | Realme 7 5G | Motorola Moto G 5G Plus |
หน้าจอ | 6.49″ FHD+ 90Hz | 6.5″ FHD+ 120Hz | 6.7″ FHD+ 90Hz |
ซีพียู | Qualcomm Snapdragon 690 5G | MediaTek Dimensity 800U 5G | Qualcomm Snapdragon 765 5G |
กราฟิกการ์ด | Adreno 619L | Mali-G57 MC3 | Adreno 620 |
5G | รองรับ | 5G Dual Standby | รองรับ |
RAM+Rom | 6/128GB เพิ่ม MicroSD Card ได้ 512GB | 8/128GB | 8/128GB เพิ่ม MicroSD Card ได้ |
กล้องหลัง/หน้า | หลัง: สูงสุด 64 ล้าน หน้า: 16 ล้านพิกเซล | หลัง: สูงสุด 48 ล้าน หน้า: 16 ล้านพิกเซล | หลัง: สูงสุด 64 ล้าน หน้า: สูงสุด 16 ล้านพิกเซล |
ระบบปฏิบัติการ | OxygenOS พัฒนาจาก Android 10 | Realme UI พัฒนาจาก Android 10 | Android 10 ไม่มีการปรับแต่ง |
แบตเตอรี่และชาร์จเร็ว | 4,300 mAh + Warp Charge 30T | 5,000 mAh + 30W Dart Charge | 5,000 mAh + ชาร์จเร็ว 20W |
ราคา | 9,990 บาท | 9,999 บาท | 9,990 บาท |