ASUS ZenBook Flip S UX371 นั้นถือเป็น 2-in-1 Notebook ที่ได้ความบางเบาเน้นความพรีเมียมรุ่นล่าสุด โดดเด่นด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 (Tiger Lake) ประสิทธิภาพสูง มี AI ในตัว พร้อมหน้าจอ OLED 4K Ultra HD ที่ดีที่สุด อีกทั้งได้ปากกา Stylus ใช้วาดรูปขีดเขียนอีกด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่มีความครบเครื่องอย่างสุดรุ่นนึงในตลาด ณ ตอนนี้
จากดีไซน์ที่สวยงามหรูหราสีสัน Jade Black แซมด้วย Red Copper พร้อมสเปกและฟีเจอร์ที่แน่นมากๆ กว่า 2-in-1 Notebook ทั่วไป กับขนาดหน้าจอ 13.3″ ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัดเน้นการพกพามากกว่ารุ่น 14″ โดยมีน้ำหนักที่ 1.2 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 13.9 มิลลิเมตรเท่านั้น จัดเต็มหรูหราตามสไตล์ของ ZenBook จากทาง ASUS ซึ่งเป็นโน๊ตบุ๊คที่ให้การใช้งานประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม
สเปกเต็มๆ ของ ASUS ZenBook Flip S UX371 ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i7-1165G7 ที่เป็นสถาปัตยกรรมที่การผลิต 10 นาโนเมตร เทคโนโลยี SuperFin มาพร้อมความเร็ว 2.80 – 4.70 GHz ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด โดยมีการ์ดจอออนบอร์ดเป็น Intel Iris Xe Graphics ประสิทธิภาพแรงลื่นที่สุดเทียบเท่าการ์ดจอแยกได้เลยควบคู่กับแรมขนาด 16GB LPDDR4X Bus 4266 MHz และ SSD M.2 PCIe NVMe ความจุ 1TB
ส่วนหน้าจอเป็นแบบจอกระจกสัมผัส 13.3″ รองรับสัมผัสมัลติทัชและปากกา Stylus รองรับแรงกดได้ถึง 4096 ระดับ พาเนลจอเป็นเทคโนโลยี OLED แสดงผลได้ดีกว่า IPS ที่ความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล พร้อมกับ Windows 10 แท้ในตัว ประกัน 3 ปี On-site Service และประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty ในปีแรกมาให้ ตัวเครื่องเองผ่านการทดสอบเรื่องความทนทานระดับ US MIL-STD 810G Military-Grade Standard ด้วย
VDO Review ASUS ZenBook Flip S UX371
NBS Verdict
ASUS ZenBook Flip S UX371 นับว่าเป็น 2-in-1 Notebook หน้าจอ 13.3″ กับความเบา 1.2 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 13.9 มิลลิเมตร เหนือชั้นด้วยหน้าจอระดับมืออาชีพจากเทคโนโลยี OLED หน้าจอยังได้รับรองตามมาตรฐาน PANTONE Validated สำหรับความเป็นที่สุดในเรื่องความแม่นยำของสี พร้อมรองรับ HDR ที่จัดเต็มไปด้วยสเปกและฟีเจอร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จากชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 (Tiger Lake) ที่จะเน้นความแรงลื่น สเปกใหม่สุดๆ ซึ่งมาพร้อมความแรงที่มากขึ้นและพลัง AI ช่วยทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ อาทิ Word, Excel, Power Point หรือ Photoshop / Premiere Pro ที่ทำให้งานที่เราทำนั้นลื่นไหลและไวกว่าเดิม อีกทั้งมีการ์ดจอออนชิป Intel Iris Xe Graphics ที่ประสิทธิภาพใกล้เคียงการ์ดจอแยก ทำงานร่วมกับแรมขนาด 16GB LPDDR4X และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB ซึ่งเหลือเฟือกับการใช้งานแน่นอน
พร้อมดีไซน์ดูหรูหราสวยงาม โดยเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ แน่นอนว่าหน้าจอหลักพับได้ 360 องศา มีปากกา ASUS Active Pen มาด้วย ลำโพงยังเป็น Harman/Kardon เสียงดีชัดเจน อีกทั้งติดตั้ง IR 3D Camera ระบบไบโอเมตริกซ์ทำงานร่วมกับ Windows Hello แน่นอนว่ามี Windows 10 แท้ ที่สำคัญได้มี ASUS NumberPad 2.0 ต่อยอดมาจากปีก่อน ติดตั้งแทนที่ทัชแพดแบบเดิมๆ
โดดเด่นด้วยความทนทานระดับ MIL-STD-810G ทำให้มั่นใจได้เลยว่าพกพาไปใช้งานไปไหนมาไหนเผื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นเครื่องก็ไม่พังง่ายแน่นอน พอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันเท่าที่ตัวเครื่องจะให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A และ Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ตัดช่องต่อหูฟังออกไป แต่ก็ยังดีมีสายแปลง USB-C to 3.5 มาให้ด้วย สำหรับราคาก็เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสุดยอด 2-in-1 Notebook กับราคา 55,990 บาท จริงๆ ก็ถือว่าไม่แพงเลย เพราะทุกอย่างสุดทางจริงๆ
ข้อดี ASUS ZenBook Filp S UX371
- สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 (Tiger Lake) พร้อมได้ Intel EVO
- สเปกอื่นๆ ก็มีความแรงลื่นจัดเต็มด้วยแรมขนาด 16GB และ SSD ความเร็วสูง 1TB
- หน้าจอความละเอียด 4K Ultra HD พาเนล OLED รองรับ HDR พร้อมทัชสกรีนได้
- ติดตั้ง Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต รองรับทุกๆ การเชื่อมต่อ
- เล่นเกม 3 มิติ หรือตัดต่อวีดีโอได้ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนๆ ใช้งานทั่วไปลื่นไหลสบายมาก
- ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ทนทานต่อการใช้งาน
- น้ำหนักเบา 1.2 กิโลกรัม เหมาะสำหรับคนที่ชอบนำไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ
- หน้าจอสัมผัสมัลติทัชลื่นมาก รองรับแรงกดได้หลายระดับ พร้อม Stylus สามารถใช้วาดรูปได้ดี
- เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีคุณสมบัติ 2-in-1 Notebook ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ
- รองรับการใช้งานกับปากกาสไตลัส ASUS Active Pen บันเดิลมาให้เลย
- มาพร้อมสแกนใบหน้า 3D IR Camera ใช้งานผ่านทาง Windows Hello
- ฟีเจอร์ ASUS AI Noise Cancelation เทคโนโลยีตัดเสียง รบกวนแบบ AI ขั้นสูง
- ลำโพง Harman/ Kardon ให้เสียงคุณภาพดี
- มีไฟ Backlit Keyboard สวยงาม รวมถึงใช้งานได้เป็นอย่างดี
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานประมาณ 10 – 11 ชั่วโมง
- บานพับ ErgoLift 360° ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้นเวลาใช้งาน
- ตัวเครื่องสามารถปรับเปลี่ยนได้หลายโหมด กางหน้าจอได้ 360 องศา
- มาพร้อม ASUS NumberPad 2.0 ที่เปลี่ยนทัชแพดธรรมดาเป็นปุ่มกดตัวเลข LED
- มี Windows 10 แท้ และ โปรแกรม Microsoft Office Home and Student 2019 ในตัวเครื่อง
- อแดปเตอร์เป็นมาตรฐาน USB-C แล้ว ใช้สะดวกพกพาง่าย
- มี Windows 10 แท้มาให้พร้อมใช้งานทันที
- ประกัน 3 ปี On-site Service พร้อมประกันอุบัติเหตุ 1 แรก เคลมผ่าน 7-11 ได้
- มีอุปกรณ์เสริมอย่างซองเคสใส่เครื่องและสายแปลง USB-C to หูฟัง 3.5 ให้ทันที
ข้อสังเกต ASUS ZenBook Filp S UX371
- การแกะอัพเกรดทำได้ยาก ทำได้แต่ SSD
- จอกระจกทำให้เวลาใช้งานกลางแจ้งเจอแสงสะท้อน
- มีการตัดพอร์ตช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออกไป
Specification
ASUS ZenBook Flip S UX371 มีอยู่ 1 สเปกในตอนนี้ คือ Intel Core i7-1165G7 (2.80 – 4.70GHz) ราคา 55,990 บาท ที่เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 สถาปัตยกรรม Tiger Lake มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 10nm SuperFin ที่แรงขึ้นมากพร้อมด้วย AI ช่วยทำงานบางอย่างในตัว เพิ่มเติมด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน การ์ดจอเป็นออนชิปรุ่นใหม่ที่ดีขึ้นมากอย่าง Intel Iris Xe Graphic ได้แรม 16GB LPDDR4X Bus 4266 MHz แบบฝังบอร์ด และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB
หน้าจอขนาด 13.3″ ทัชสกรีน เป็นพาเนล OLED คุณภาพสูง ความละเอียด 4K UHD แบบกระจก ได้รับการรับรองคุณภาพโดย PANTONE รวมถึง ช่วงสี DCI-P3 100% มาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในวงการภาพยนตร์ – นอกจากนี้ยังได้รับการรับรอง VESA Display HDR™ 500 True Black สำหรับสีดำเข้มและช่วงสีที่กว้างขึ้น และยังมีเทคโนโลยีถนอมสายตาที่ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ในการช่วยกรอกแสงสีฟ้า ทำให้การจอภาพ OLED บนเครื่อง Zenbook Flip S นี้เหมาะสำหรับทั้งการทำงานและความบันเทิงเป็นอย่างยิ่ง
แม้ขอบจอบางเฉียบ NanoEdge ทั้ง 4 ด้าน แต่ก็ยังติดตั้งกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว รองรับการใช้งาน VDO Call พร้อมกล้อง IR Camera ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ไว้สแกนใบหน้าเพื่อเข้าใช้งาน ที่สำคัญคือได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานฟรีๆ ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลยพร้อมพับปรับได้ 360 องศา พร้อมบันเดิลปากกา Stylus อย่าง ASUS Active Pen มาให้เลยในกล่องเลย
พอร์ตการเชื่อมต่อมีมาตามนี้คือ 2 x Thunderbolt 4 USB, 3.2 Type-A, HDMI พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 Gig+ (802.11ax) ระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ในตัว การรับประกัน 3 ปี On-site Service รวมถึงถ้าลงทะเบียนในเว็บไซต์ ปีแรกจะมีประกันอุบัติเหตุมาให้ด้วย (Perfect Warranty) หน้าสเปกเต็มๆ ของ ASUS ZenBook 14 UX425 ได้ตามนี้เลย
รวมไปถึง ASUS ZenBook Flip S UX371 ยังให้ในส่วนของอุปกรณ์บันเดิลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซองใส่อย่างดี ที่ช่วยให้ตัวเครื่องไม่เป็นรอยเวลาที่เราใส่กระเป๋าปกติ อีกทั้งยังได้ปากกามาในตัวเป็นมาตรฐานของ 2-in-1 Notebook นอกจากนั้นจากการที่ตัดช่องต่อหูฟังและไมค์มาตรฐานออกไป ก็เลยทำให้บันเดิลส่วนของ USB-C to 3.5 มาทันที ปิดท้ายก็คือ USB-A to LAN ไว้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตแบบมีสายด้วย
Hardware / Design
ASUS ZenBook Flip S UX371 นับว่าเป็น 2-in-1 Notebook หน้าจอ 13.3″ เหนือชั้นด้วยหน้าจอระดับมืออาชีพจากเทคโนโลยี OLED หน้าจอยังได้รับรองตามมาตรฐาน PANTONE Validated สำหรับความเป็นที่สุดในเรื่องความแม่นยำของสี พร้อมรองรับ HDR ที่จัดเต็มไปด้วยสเปกและฟีเจอร์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 (Tiger Lake) ที่จะเน้นความแรงลื่น สเปกใหม่สุดๆ
พร้อมดีไซน์ดูหรูหราสวยงาม โดยเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สายทำงานและไลฟ์สไตล์ แน่นอนว่าหน้าจอหลักพับได้ 360 องศา มีปากกา ASUS Active Pen มาด้วย ลำโพงยังเป็น Harman/Kardon เสียงดีชัดเจน อีกทั้งติดตั้ง IR Camera ระบบไบโอเมตริกซ์ทำงานร่วมกับ Windows Hello แน่นอนว่ามี Windows 10 แท้ ที่สำคัญได้มี ASUS NumberPad 2.0 ต่อยอดมาจากปีก่อน ติดตั้งแทนที่ทัชแพดแบบเดิมๆ
งานประกอบก็เป็นแบบ Unibody ที่แทบจะไร้รอยต่อเลยทีเดียว วัสดุเป็นโลหะตลอดทั้งตัวเครื่อง เลือกใช้สีสันเป็น Jade Black และขอบตัวเครื่องใช้เป็น Red Copper ด้านหลังมีความสวยงามเรียบง่ายแต่ดูแพงจากการเสริมความมันวาวตามสไตล์ของ ZenBook ส่วนขอบด้านหน้าก็ทำมิติเพื่อให้เปิดจอได้ง่าย อีกทั้งตัวเครื่องเองก็ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ระดับกองทัพสหรัฐฯ
ที่มีการทดสอบในหลากหลายด้าน เช่น ทดสอบการตกหล่น ทดสอบการสั่นสะเทือน ทดสอบการทำงานในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถใช้งาน ASUS ZenBook Flip S UX371 เครื่องนี้ได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน จัดว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่ครบเครื่องสุดๆ โดดเด่นด้วยหน้าจอ OLED ที่แสดงผลภาพได้เหนือชั้นกว่าพาเนล IPS
ในส่วนของเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมให้การทำงานเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็คือ บานพับ ErgoLift 360° แบบ 2 แกน ซึ่งเวลาที่กางออกมาใช้งานในรูปแบบโน๊ตบุ๊คจะทำให้คีย์บอร์ดทำมุม 2 องศากับฐานตั้ง พร้อมกางจอที่ 135 องศาขึ้นไปจะช่วยยกตัวเครื่องสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อยแต่ได้ผลมาก
จากการที่มีบานพับแบบพิเศษ โดยขอบตัวเครื่องด้านหลังจะมียางรองพร้อมทำหน้าที่เป็นฐานรองด้านหลัง ที่หากเรากางหน้าจอมากกว่านั้นก็จะรองรับการใช้งาน Multi-Mode อื่นๆ เรียกได้ว่าฟีเจอร์นี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อนบน 2-in-1 Notebook พร้อมดีไซน์ที่ดูสวยวามหรูหรา กับความเบา 1.2 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 13.9 มิลลิเมตร
ซึ่งบานพับ ErgoLift 360° ที่ว่านี้นั้นทาง ASUS ได้ทำการวิจัยออกมาเป็นอย่างดี ว่ามันจะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คนั้นสามารถที่จะพิมพ์ได้อย่างสบาย แถมเวลาที่กางบานพับออกมานั้นมันจะทำให้ส่วนของฐานคีย์บอร์ดมีระยะห่างกับฐานตั้งซึ่งทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นในส่วนของตัวเครื่องนั้นมีการดูดลมเย็นเข้าไปช่วย พร้อมกันนั้นยังให้เสียงที่ดีขึ้นด้วย แน่นอนว่าบานพันนี้มีกลไกแบบฟันเฟืองโลหะที่มีความแม่นยำพร้อมความทนทาน จากการทดสอบใช้งานได้ถึง 20,000 ครั้งด้วยกัน
นอกจากนี้ใต้เครื่องก็เรียกได้ว่าไม่มีช่องระบายอากาศให้เห็นเลย สำหรับ ASUS ZenBook Flip S UX371 ในการท่ายเทความร้อนออกไปจากช่องทางใต้หน้าจอ ซึ่งไม่ว่าจะกางหน้าจอแบบไหนก็จะไม่บังลมจากช่องระบายความร้อนเลย ทำให้สเปกแรงแบบนี้ก็ยังถ่ายเทความร้อนได้อย่างรวดเร็วน่าประทับใจ แม้จะมีพัดลมเพียงตัวเดียวก็สามารถจัดการความร้อนภายในได้เป็นอย่างดี พร้อมเพิ่มความพิเศษที่สามารถเก็บปากกา ASUS Active Pen ไว้ที่ฝาหลังตัวเครื่องด้านบนด้วยแม่เหล็กแบบพิเศษ
อีกทั้งตัวเครื่อง ASUS ZenBook Flip S UX371 เองก็ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีการทดสอบในหลากหลายด้าน เช่น ทดสอบการตกหล่น ทดสอบการสั่นสะเทือน ทดสอบการทำงานในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถใช้งานครื่องนี้ได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน จัดว่าเป็น 2-in-1 Notebook ที่ครบเครื่องสุดๆ รุ่นนึงในตลาดปลายปี 2020 – ปีหน้า 2021 ได้เลย
Keyboard / Touchpad
ในส่วนของคีย์บอร์ด ASUS ZenBook Flip S UX371 ที่ได้การดีไซน์แบบ edge-to-edge ทำให้มีพื้นที่สำหรับปุ่มฟังก์ชั่นพิเศษทั้งแถวทางด้านขวาของตัวเครื่อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ติดตั้งคีย์บอร์ดเป็นปุ่มพลาสติกสีเดียวกับตัวเครื่องสกรีนตัวอักษรสีเทาเข้ม มีการออกแบบมาให้ปุ่มมีขนาดใหญ่พอดีกับนิ้วมือตัดขอบมน ทำให้สามารถพิมพ์ได้ง่ายขึ้น พร้อมไฟส่องสว่างทำให้เราใช้งานในที่แสงน้อยหรือมืดๆ ได้ดีกว่าไม่มี
ในส่วนการสัมผัสให้การสัมผัสที่นุ่มกำลังดี การตอบสนองทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วกันและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด ปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่ขอบเครื่องด้านซ้ายตามสไตล์ของ 2-in-1 Notebook ส่วนปุ่ม Fn ที่เป็นทางลัดต่างๆ ติดตั้งอยู่ชุดคีย์บอร์ดแถวบนเป็นมาตรฐาน ใช้งานได้สะดวก ซึ่งเราสามารถจับภาพหน้าจอ ล็อกเว็บแคมไม่ให้ถูกใช้งาน หรือเข้าถึงแอป MyASUS ได้ทันที ผ่านปุ่มฟังก์ชันที่ให้มา
ตัวทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่มากๆ เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ดีไซน์ออกมาแบบไม่มีปุ่มแยกโดยเป็นชิ้นเดียวทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา ซึ่งขอบรอบๆ มีกรเล่นสีสันเป็นสีมันวาวสะดุดตา พร้อมตัวทัชแพดเองจะมีสีเข้มกว่าตัวเครื่องด้วย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ที่ให้มาสามารถควบคุมจัดการได้ดี ใช้งานแบบมัลติทัชร่วมกับ Windows 10 ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด
ส่วนที่เป็นไฮไลท์ก็คือ ASUS ZenBook Flip S UX371 มีแผงปุ่มตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในทัชแพดครับ โดยใช้ชื่อเรียกว่า NumberPad 2.0 ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะไอคอนตรงมุมขวาบนของทัชแพดค้างไว้ 1 วินาที เส้นไฟสำหรับแบ่งพื้นที่ของแต่ละปุ่มก็จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเป็น Numpad ได้ทันที ซึ่งแม้ว่าจะมีปุ่มขึ้นมาแล้ว ผู้ใช้ก็ยังสามารถใช้ทัชแพดในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้อยู่ แต่หากมีการจิ้มลงบนพื้นที่ของแต่ละปุ่มเพื่อคลิกซ้าย ก็จะเปรียบเสมือนการกดปุ่มตัวเลขด้วย
Screen / Speaker
ASUS ZenBook Flip S UX371 ติดตั้งขอบจอบางเฉียบ NanoEdge ทั้ง 4 ด้าน ถือว่าดีที่สุดในตลาดด้วยพาเนล OLED ที่เหนือชั้นกว่า IPS ในทุกๆ ด้าน มาพร้อมความละเอียด 4K Ultra HD (3840 x 2160 พิกเซล) เป็นจอกระจกที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา ที่ให้ภาพคมชัด สวยงามทุกมุมมอง ด้วยความแม่นยำและความสดใสของสีที่ผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองคุณภาพโดย PANTONE รวมถึง ช่วงสี DCI-P3 100% มาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในวงการภาพยนตร์
นอกจากนี้ยังได้รับการรับรอง VESA Display HDR 500 True Black สำหรับสีดำเข้มและช่วงสีที่กว้างขึ้น และยังมีเทคโนโลยีถนอมสายตาที่ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ในการช่วยกรอกแสงสีฟ้า ทำให้การจอแสดงผลนี้เหมาะสำหรับทั้งการทำงานและความบันเทิงเป็นอย่างยิ่ง รองรับทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและ ASUS Pen อีกจากการที่เป็น 4K Ultra HD ด้วยความเรียบเนียนของหน้าจอที่เหนือชั้นกว่า Full HD (1920 x 1080) เดิมๆ หลายเท่าตัว อย่างไรก็ตามจากการที่เป็นจอกระจกก็จะมีอาการสะท้อนแสงบ้าง ตามแต่มุมมองการวางที่เราต้องหลีกเลี่ยงแล้วแต่สถานการณ์อีกที
แม้ขอบจอจะบางเฉียบแต่ก็ได้ติดตั้งกล้องเว็บแคมและไมโคโฟแบบคู่ไว้ด้านบนเหมือนเดิม เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานที่สมบูรณ์แบบด้วย ASUS AI Noise Cancelation เทคโนโลยีตัดเสียง รบกวนแบบ AI ขั้นสูง เวลาที่เราใช้งานประชุมทางไกลหรือ VDO Call นั่นเอง โดยยังมีกล้องอินฟราเรด IR 3D Camera ระบบไบโอเมตริกซ์ทำงานร่วมกับ Windows Hello ได้อย่างราบรื่นช่วย และง่ายดายเพียงแค่มอง ไม่ต้องกรอกรหัสแบบเดิมๆ ช่วยเรื่องของความปลอดภัยและความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ZenBook Flip S UX371 ให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 100% และ AdobeRGB ที่ 97% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่า 2-in-1 Notebook รุ่นอื่นๆ พอตัว ซึ่งมีความเที่ยงตรงของสีสูง ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 500 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่ามีความสว่างในระดับสูงมากๆ ทำให้เมื่อคาลิเบตหน้าจอแล้วสามารถไปทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นความเที่ยงตรงได้มาตรฐานระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ส่งผลให้มีคะแนนรวมอยูท่ี 4.0 คะแนน ถือว่าสูงกว่าโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่นในปี 2020 นี้เลย
ตัวลำโพงเป็นแบบสเตอริโอเลือกใช้ลำโพง Harman/ Kardon ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง มีทั้งเสียงเบสที่มีน้ำหนัก ไม่ใช่ใส่แต่เสียงกลาง เสียงแหลมออกมาอย่างเดียว โดยตัวลำโพงจะอยู่บริเวณใต้ตัวเครื่องซ้ายและขวาลักษณะยิงลงพื้น ทำให้เสียงที่ค่อนข้างดังพอสมควร แยกรายละเอียดได้ซ้ายขวาได้ดี โดยรวมถือในส่วนของลำโพงถือว่าทำออกได้ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป ส่วนใครจะเอาไปต่อกับหูฟังหรือลำโพงเพิ่ม ก็สามารถทำได้หากว่าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
Connector / Thin And Weight
ASUS ZenBook Flip S UX371 ในเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อก็ถือว่ามีความครบครันตามมาตรฐานของ 2-in-1 Notebook ระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB 3.2 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็ว และมีพอร์ต Thunderbolt 4 มาให้ 2 พอร์ต แน่นอนว่ารองรับการชาร์ไฟเข้าเครื่องทั้ง 2 พอร์ต ทั้งอแดปเตอร์อื่นๆ ที่เป็น PD หรือ Power Bank รวมถึงต่อหน้าจอแยก 4K / 8K อีกด้ว
ทางด้านพอร์ตการเชื่อมต่อหน้าจอก็จะมีพอร์ท HDMI มาให้ ไว้สำหรับเชื่อมต่อไปยังทีวีหรือโปรเจ็คเตอร์ได้ทันที แต่หากใครที่ต้องการใช้พอร์ต Lan ก็ไม่ต้องไปหาซื้ออแดปเตอร์แปลง USB to Lan แยกแต่อย่างใด เพราะในส่วนของบันเดิลมีมาให้แล้วนั่นเอง โดยเป็นโน๊ตบุ๊คอีกรุ่นของ ASUS ที่เลือกตัดช่องเชื่อมต่อหูฟังเป็นแบบ Combo ไมค์และหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกไป แต่ก็ยังดีที่มีตัวแปลงสาย USB-C to 3.5mm มาให้ด้วย อย่างไรก็ตามเป็นได้ต้องหาซื้อ USB-C Hub มาเพิ่มเติมก็จะดีมากๆ
ขนาดของ 2-in-1 Notebook ตัวนี้ถือว่ามีมิติที่ค่อนข้างเล็กและบางเบา น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1.2 กิโลกรัม และตัวอแดปเตอร์ที่ชาร์จเองก็มีขนาดเล็ก กะทัดรัดซึ่งเมื่อรวมเข้าไปด้วยกันแล้วน่าจะมีหนักราวๆ 1.4 กิโลกรัม ถือว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลยทีเดียว เพราะปกติแล้วโน๊ตบุ๊ค 13.3″ แค่ตัวเครื่องก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1 กิโลกรัมขึ้นไปอยู่แล้ว ซึ่ง ASUS ZenBook Flip S UX371 เป็น 2-in-1 Notebook ออกแบบมาเพื่อตอบสนองในเรื่องของการพกพาใส่กระเป๋าไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่นเอาไปใช้ตามร้านกาแฟ หรือออฟฟิศชิลๆ เลยล่ะ
Multi-Mode
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ASUS ZenBook Flip S UX371 ตอบสนองได้อย่างหลากหลายจากการที่เป็น 2-in-1 Notebook ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี พร้อมปากกา ASUS Active Pen ที่รองรับแรงกดถึง 4096 ระดับ (10 – 30 กรัม) และด้วยการพับใช้งานถึง 4 รูปแบบด้วยกันไม่ว่าจะเป็น Notebook / Stand / Tent / Tablet ที่ทีมงานของเรานั้นนำไปใช้งานอะไรบ้าง และรูปลักษณ์เมื่อเปลี่ยนไปใช้โหมดต่างๆ นั้น จะมีลักษณะเป็นอย่างไร
Notebook Mode เป็นรูปแบบธรรมดาทั่วไปเหมือนกับโน๊ตบุ๊คปกติ เน้นสำหรับการใช้งานทั่วไป เล่นอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงงานเอกสารต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้คีย์บอร์ดและทัชแพดในการควบคุมเหมือนโน๊ตบุ๊คปกติ
Stand Mode เน้นใช้งานที่ระบบจอสัมผัสของตัวเครื่องอย่างเดียวและวางไว้บนพื้นที่ราบ โดยรูปแบบการใช้งานนี้จะเน้นไปทางการใช้งานแอพพลิเคชั่นของ Windows เอง หรือเน้นไปทางการดู YouTube หรือชมภาพยนตร์เป็นหลัก พร้อมรองรับการทำงานแบบมัลติทัชได้พร้อมกันมากสุดที่ 10 จุดพร้อมกัน
Tent Mode ค่อนข้างจะคล้ายกับ Stand Mode ก่อนหน้านี้ แต่จะอยู่ในรูปทรงตั้งเครื่องเอาไว้เป็นลักษณะสามเหลี่ยม ใช้ในการวิวดูข้อมูลการแสดงผลหน้าจอเป็นหลัก อีกทั้งยังสามารถจับพาดหรือเกาะกับสิ่งของรอบๆ ได้
Tablet Mode ด้วยการพับหน้าจอกลับแบบ 360 องศา จนฝาหลังและฐานใต้เครื่องมาติดกัน เราก็จะได้แท็บเล็ตที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งเรามีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เหมาะสำหรับการเอาไว้เล่นเกมหรือดู E-Book อย่างที่แท็บเล็ตอื่นๆ ทั่วไปในตลาดสามารถทำได้
สำหรับ ASUS ZenBook Flip S UX371 วางใจได้เลยเรื่องความทนทาน เพราะมีการออกแบบบานพับที่สามารถเปิดปิดหรือปรับระดับได้อย่างลื่นไหลได้เหมือนใหม่ทุกครั้ง แข็งแรงสามารถหมุนเปิดปิดได้เป็นพันๆ หมื่นๆ ครั้ง อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน รวมไปถึง 2-in-1 Notebook รุ่นนี้ยังมีที่เก็บปากกา ASUS Active Pen แบบพิเศษที่เป็นลักษณะแม่เหล็กที่ขอบตัวเครื่องด้านบน (ตัวปากกาจะเป็นทรงแท่งกลมแต่จะมีด้านนึงแบน) ช่วยทำให้เวลาเราถือใช้งานไปไหนมาไหนตัวปากกาก็จะติดไปด้วย แต่ยังไงก็ต้องเรื่องระวังหลุดหายด้วย
Performance / Software
ASUS ZenBook Flip S UX371 สเปก Core i Gen 11 เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลยครับ โดยเลือกใช้ชิป Intel Core i7-1165G7 ที่มี 4 คอร์ 8 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วที่ 2.40 – 4.70 GHz มีค่า TDP ในการปลดปล่อยความร้อนสูงสุดแค่ 12W – 28W เท่านั้น ซึ่งจัดว่าต่ำมากสำหรับชิป Core i7 ในโน๊ตบุ๊ค ทำให้ตัวเครื่องโดยรวมไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 10 นาโนเมตร อย่าง Tiger Lake เทคโนโลยีสุดล้ำ SuperFin Willow Cove
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 16GB แบบฝังบอร์ด เป็นมาตรฐาน LPDDR4X 4266 MHz ตามเทคโนโลยีของ Intel Core i Gen 11 ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหนือชั้น พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูง ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K ได้แบบไม่มีปัญหา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มพลังการสร้างสรรค์คอนเทนต์ มองหาความบันเทิง หรือการเล่นเกมเปี่ยมอรรถรส ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที
อีกทั้งได้ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 1TB ที่ได้ทั้งขนาดที่ใหญ่ใส่ไฟล์ได้เยอะ และเป็นรุ่นเกรดสูงความเร็วสูง โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home Single Language มาตั้งแต่แกะกล่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์ Windows เลยครับ ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U Series รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอที่อัพเกรดใหม่ที่เน้นการทำงาน 3 มิติที่ดียิ่งขึ้น
ด้านของ Storage เป็น SSD มาตรฐาน NVMe PCIe ระดับบน ความจุ 1TB ที่ทำการทดสอบด้วยโปรแกรม CrystalDiskMark ก็พบว่าความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 3257 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนก็อยู่ที่ 3087 MB/s ด้านของความเร็วในการอ่านเขียนไฟล์ก็จัดว่าอยู่ในระดับที่ดีมากๆ สามารถใช้งานทั่วไปได้เหลือเฟือ ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ เร็วกว่ามาตรฐาน SATA 3 หลายเท่าตัว
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4742 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คทีมีชิปประมวลผลเป็น Intel Core i Gen 11 และสเปกจัดเต็ม ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบาในสเปกที่เป็น Intel Core i Gen 11 รุ่นอื่นๆ
ทดสอบเกมสำหรับ ASUS ZenBook Flip S UX371 สเปก Intel Core i Gen 11 ได้คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 3 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Core i7-1165G7 ที่ทำงานร่วมกับการ์ดจอ ออนชิปอย่าง Iris Xe Graphics ได้ดีเยี่ยม ประกอบกับใช้แรม 16GB LPDDR4x4266 MHz รวมไปถึง SSD ก็ส่งผลช่วยด้วย
สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 56 แต่ฉากตะลุมบอนกันก็เฟรมเรทลดลงไปที่ 29 (อยากลื่นกว่านี้ก็ปรับกลางๆ ได้) และในส่วนของเกม Overwatch ที่ปรับ Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ซึ่งต่ำสุดอยู่ที่ 35 เฟรมเรทก็ทำออกมาได้ลื่นไหลกว่าที่คาดไว้พอตัว อย่างไรก็ตามด้วยตัวเครื่องที่บางเบาสุดๆ ทำให้เป็นข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ดีขึ้นกว่ารุ่น Core i Gen 10 มากๆ แล้ว
ASUS ZenBook Flip S UX371 เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS (โดยเปิดเครื่องมาเจอเลยพร้อมมี Hotkey ให้กดใช้งาน) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน รวมไปถึงโหมดพัดลมและโปรไฟล์สีการแสดงผลอีกด้วย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ ASUS ZenBook Flip S UX371 เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คปีปัจจุบัน ตัวแบตเตอรี่มีขนาดประมาณ 4000 mAh ทำงานต่อเนื่องยาวนานได้ราวๆ 10 – 11 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต) ด้วยการทดสอบปรับเป็น Power Saver Mode แล้วดู Youtube ยาวๆ
ซึ่งคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน ว่าเปิดโปรแกรมอะไร อย่างถ้าใช้ Microsoft Edge ก็จะใช้งานได้ยาวนานกว่า Chrome นั่นเอง อีกทั้งมีฟังก์ชั่นชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จไฟกลับคืนให้กับแบตเตอรี่ 0 ไปจนถึง 60% ในเวลาเพียง 49 นาที ทำให้เครื่องกลับมาพร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็วด้วย
อุณหภูมิภายในของชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 ล่าสุดได้ทดสอบดูผ่านทางโปรแกรม Hardware Monitor โดยมีความร้อนสูงสุดคือ 97 องศาเซลเซียส จากการเล่นเกมและประมวลผลงานต่อเนื่อง ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 30 – 50 องศาเซลเซียสโดยประมาณ ด้วยการทดสอบให้ห้องแอร์ปรับอากาศที่ 25 – 27 องศาเซลเซียส
เรียกได้ว่าระบบระบายความร้อนของ ASUS ZenBook Flip S UX371 เครื่องนี้มีอุณหภูมิที่ไม่ถึงกับเย็นมาก เพราะจากการที่ตัวเครื่องเน้นความบางสุดๆ อย่างไรก็ตามไม่ได้ส่งผลให้ตัวเครื่องเสียหายหรือมีปัญหาหน่วงหรือกระตุกแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็น Intel Notebook รุ่นใหม่ที่จัดการความร้อนได้ดีในระดับที่เราไม่ต้องกังวลแล้ว
โดยตัวเครื่องมีความรู้สึกว่าร้อนอยู่บ้างเวลาใช้งานหนักๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลมากนัก เพราะเวลาใช้งานจริงๆ เราคงไม่ได้เอาไปเล่นเกมหรือประมวลผลงานหนักๆ ต่อเนท่องยาวนานอยู่แล้ว จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คพกพาบางเบา ไม่ใช่ Gaming Notebook
Conclusion / Award
ASUS ZenBook Flip S UX371 เป็นอีก 2-in-1 Notebook ที่น่าสนใจมากๆ ทั้งจากราคาที่ไม่สูงจนเกินไปหากเทียบกับทุกสิ่งที่ได้ทั้งตัวหน้าจอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี วัสดุงานประกอบความทนทานขั้นสูง และสเปกภายในจนได้ Intel EVO การันตรีเรื่องประสิทธิภาพโดยรวมทีเดียว ด้วยราคาเพียง 55,990 บาท แต่ได้โน๊ตบุ๊คระดับสูงของทาง ASUS ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพรีเมียมหรูหรา โดดเด่น และมีสไตล์มากๆ เหนือชั้นกว่า 2-in-1 Notebook หลายๆ รุ่น จากการที่เป็น ZenBook S Series
ที่สำคัญเพราะทาง ASUS เลือกใช้สเปคประสิทธิภาพจากการใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 (Tiger Lake) อย่าง Core i7-1165G7 โดยมีการ์ดจอออนชิป Intel Iris Xe Graphics ที่ทั้งแรงขึ้นพร้อมมี AI ช่วยทำงานส่งเสริมประสบการณ์ใช้งานโปรแกรมต่างๆ ที่สนับสนุน รวมไปถึงการทำงานหนักๆ หรือเล่นเกม 3 มิติ ก็ทำได้ดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งสเปกอื่นๆ ก็จัดเต็มด้วยหน่วยความจำขนาด 16GB LPDDR4X Bus 4266 MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB
ซึ่งเหนือกว่าในเรื่องฟีเจอร์ที่ครบเครื่องมากกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในกลุ่มที่ใกล้เคียงกัน ทั้ง NumberPad 2.0 และ 3D IR Camera ใช้งานผ่านทาง Windows Hello และ ASUS AI Noise Cancelation เทคโนโลยีตัดเสียง รบกวนแบบ AI ขั้นสูง ช่วยเรื่องการ VDO Call ได้ดีมากๆ มีน้ำหนักเพียง 1.2 กิโลกรัมและบางเพียง 13.9 มิลลิเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีความทนทานมากกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน
โดดเด่นที่สุดคงเป็นเรื่องหน้าจอพาเนล OLED คุณภาพสูงมาก มีความละเอียด 4K Ultra HD ที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหล พร้อมผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองคุณภาพโดย PANTONE รวมถึง ช่วงสีจากการทดสอบจริงๆ ได้ sRGB 100% นอกจากนี้ยังได้รับการรับรอง VESA Display HDR 500 True Black และยังมี การรับรองจาก TÜV Rheinland ในการช่วยกรอกแสงสีฟ้า ที่สำคัญเป็นระบบสัมผัสที่รองรับการใช้งานมัลติทัชรองรับการใช้ปากกา ASUS Active Pen ที่ใช้สำหรับงานวาดรูป รองรับแรงกดได้หลายระดับเสมือนวาดบนกระดาษเลยจริงๆ เลยทีเดียว
การออกแบบดีไซน์ของ ASUS ZenBook Flip S UX371 ที่ดูแล้วเรียบหรูจากสีสัน Jade Black / Red Copper และใช้วัสดุคุณภาพดีตลอดทั้งตัวเครื่อง งานประกอบก็เรียบร้อย มิติตัวเครื่องก็เล็กกระชับบางเบา พกพาสะดวก แบตใช้งานได้ยาวนานกว่า 10 – 11 ชั่วโมง โดดเด่นด้วย ErgoLift 360° พร้อมความทนทาน รวมไปถึงมีประกันถึง 3 ปี แบบ On-site ซ่อมฟรีถึงบ้าน พร้อมประกันอุบัติเหตุใน 1 ปีแรกด้วย อีกทั้งได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานฟรีๆ ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ซึ่งตรงนี้ดีกว่าหลายๆ รุ่นชัดเจนมากๆ
เอาเป็นว่าใครต้องการสุดยอด 2-in-1 Notebook ที่เก่งและครบเครื่องรอบด้านล่ะก็ ASUS ZenBook Flip S UX371 เป็นตัวเลือกแรกๆ แน่นอน อย่างไรก็ตามข้อจำกัดก็พออมีอย่าง การแกะอัพเกรดทำได้ยาก และในส่วนของจอกระจกทำให้เวลาใช้งานกลางแจ้งเจอแสงสะท้อน รวมถึงมีการตัดพอร์ตช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออกไป แต่ตรงนี้พอเป็นเรื่องยอมรับและแก้ไขได้ไม่ยากนัก
Awards
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับกลุ่ม 2-in-1 Notebook ด้วยกัน ซึ่ง ASUS ZenBook Flip S UX371 ก็ได้รับรางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ZenBook Flip S UX371 มีความโดดเด่นเรื่องความพรีเมียมพรูหรา รวมถึงหน้าจอขอบบางแบบบางพิเศษ ที่ทำให้สามารถใช้งานจอขนาด 13.3″ ภายในตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้จอขนาดเดียวกัน ด้วยการที่ตัวเครื่องมีความบางและน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ที่เชื่อได้เลยว่าทาง ASUS ได้ใส่ใจในส่วนของรายละเอียดนี้เป็นอย่างมาก ประกอบกับวัสดุหลักในการผลิตยังให้ในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน และยังบ่องบอกได้ถึงความสวยงามหรูหราอีกด้วย ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design ทำให้ได้ไปอย่างไม่ยากเย็น
Best Performance
ด้วยสเปก ASUS ZenBook Flip S UX371 ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 ตัวล่าสุด อย่าง Intel Core i7-1165G7 ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB LPDDR4X Bus 4266 MHz รวมไปถึง SSD M.2 PCIe NVMe ความเร็วสูงความจุ 1TB ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Best Mobility
ความบางเบาพกพาสะดวกคือจุดเด่น ด้วยมิติที่มีขนาดเล็กกระทัดรัดมากๆ ขอบจอบางเฉียบทั้ง 4 ด้าน ตัวเครื่องบางเฉียบ เบาเพียง 1.2 กิโลกรัม บางเฉียบที่ 13.9 มิลลิเมตร ทำให้เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และนอกจากความบางเบา ยังมีความแข็งแกร่งอีกด้วย ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ทนทานต่อการใช้งาน จากการใช้วัสดุอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง รวมไปถึงแบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน 10 – 11 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องพกอแดปเตอร์ไปมาก็ยังได้ ทำให้เป็น 2-in-1 Notebook ที่ลงตัวมาก ๆ สำหรับผู้ที่มองหาโน๊ตบุ๊คบางเบาเน้นความพรีเมียมมาใช้งานในระดับจริงจัง
Best Graphic
สุดทางจริงๆ สำหรับหน้าจอแสดงผลหลักของ ASUS ZenBook Flip S UX371 ที่เป็นหน้าจอพาเนล OLED ขนาด 13.3″ บนความละเอียด 4K Ultra HD ให้ค่าขอบเขตสี sRGB 100% และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่หาไม่ได้ในโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ รองรับการทัชสกรีนทั้งนิ้วมือและ ASUS Active Pen ซึ่งใช้งานหน้าจอของเราสมบูรณ์แบบด้วยความเรียบเนียน สนับสนุนการทำงานหลากหลายโปรแกรม ส่งผลให้เราเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานโน๊ตบุ๊คแบบเดิมๆ ไปตลอดกาล กับหน้าจอที่แสดงผลอะไรได้มากกว่า พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ๆ ที่คาดว่ารุ่นต่อไปจะใช้ OLED ทั้งหมด