OMEN 15 Laptop by HP ปี 2020 มีดีไซน์โดยรวมที่เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว ทั้งนี้รวมไปถึงในส่วนของสเปกภายในที่พร้อมขายเป็น Intel Core i Gen 10H + GeForce GTX / RTX ด้วย ซึ่งด้านแนวทางการออกแบบจัดได้ว่าพลิกโฉมไปเลย โดยเน้นความเรียบง่ายอย่างที่สุด ซึ่งถ้าเทียบ Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ รุ่นก่อนๆ คงเป็นเรื่องของมิติตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกระชับ ขอบจอบาง
ที่สำคัญคือตัวเครื่องบางที่ 22.6 มิลลิเมตร พร้อมกับน้ำหนัก 2.35 กิโลกรัม ส่วนสีสันก็เป็นดำด้านตลอดทั้งตัวเครื่อง โดยมีโลโก้ OMEN ที่โดดเด่นซึ่งปรับให้มินิมอลสุดๆ ที่เชื่อได้ว่าแฟนๆ ของ OMEN ต้องถูกใจกับรุ่นใหม่นี้อย่างแน่นอน ซึ่งล่าสุดในไทยได้พร้อมจำหน่ายแล้ว สนนราคาอยู่ที่ 39,990 – 49,990 บาท ที่ในบทความนี้เราจะมาพรีวิวกันเบาๆ ก่อน ก่อนที่ตัวจริงขายจริงจะมาถึงมือ
สำหรับสเปก OMEN 15 Laptop by HP ปี 2020 มีหลักๆ ด้วยกัน 3 สเปก ซึ่งมีให้เลือกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H อย่าง i5-10300H / i7-10750H การ์ดจอเป็น NVDIA GeForce GTX 1660 Ti / RTX 2060 / 2070 Max-Q ให้เลือก ส่วนแรมได้มาขนาด 8GB DDR Bus 2933MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB พร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที ที่สำคัญได้หน้าจอ 15.6″ Full HD พาเนล IPS ที่ 144Hz กับระบบระบายความร้อน OMEN Tempest Cooling และมี OMEN Command Center ปรับแต่งการใช้งาน ส่วนประกันแบบ On-site 2 ปีตามมาตรฐานของ HP
- Core i5-10300H / GTX 1660 Ti / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 144Hz ราคา 39,990 บาท
- Core i7-10750H / RTX 2060 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 144Hz ราคา 44,990 บาท
- Core i7-10750H / RTX 2070 Max-Q / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 144Hz ราคา 49,990 บาท
พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัวใช้งาน Video Call ได้อย่างลื่นไหล พร้อมติดตั้ง Windows 10 แท้พร้อมใช้งานได้ทันที พอร์ตการเชื่อมต่อก็มีมาให้ครบครันทั้ง 3 x USB 3.2 Type-A, 1 x Thunderbolt 3 (USB 3.2 Type-C), HDMI, mini Display Port, Kensington lock slot, ช่องเสียบหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ และช่องเสียบไมค์แยกก็มีมาให้ด้วย ส่วนมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX (2×2)
ดีไซน์รวมๆ ของ OMEN 15 Laptop by HP ปี 2020 ถือว่าทำได้แตกต่างจากหลายๆ แบรนด์ โดยด้านหลังได้มีการวางตำแหน่งช่องระบายความร้อนแบบคู่แยกซ้ายขวาออกจากกันที่มีฟินสีดำสนิทติดตั้งอยู่ชัดเจน พร้อมใช้พัดลม 12V พร้อมเพิ่มช่องระบายความร้อนด้านขวาอีก และด้วยเทคโนโลยี OMEN Tempest Cooling ส่งผลให้ช่วยจัดการความร้อนดีขึ้นด้วย อีกทั้งใต้ตัวเครื่องก็มีการดีไซน์ใส่ใจรายละเอียดที่สวยงามไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ช่องดูดลมเย็นก็ขนาดใหญ่ รวมไปถึงยางรองตัวเครื่องขนาดใหญ่ที่ดูแล้วมั่นคง วัสดุใช้เป็นอลูมิเนียมด้วยเช่นกัน
ด้านในตัวเครื่องมาพร้อมสีสันที่โดดเด่นดำแดงดุดัน วัสดุจะเป็นอะลูมิเนียมแบบขัดลายสวยงามให้ความรู้สึกที่แข็งแรง ตัดด้วยไฟสี RGB พร้อมไฮไลน์ปุ่ม WASD ที่ช่วยเสริมความสวยงามได้ดี อีกทั้งยังมีคำว่า O15 อยู่มุมซ้ายล่างแป้นคีย์บอร์ด ส่วนด้านซ้ายบนจะเป็นปุ่ม Power มีไฟเมื่อเปิดใช้งาน ส่วนของคีย์บอร์ดนั้นตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีดำขอบสีแดง โดยสกรีนตัวอักษรเป็นสีขาวโปร่งแสงพร้อมฟอนต์ที่ดูเข้ากับตัวเครื่อง ขนาด Full Size มาตรฐานปกติ อย่างไรก็ตามมีการตัด Numpad ออกไปเพื่องานดีไซน์ที่ลงตัวนั่นเอง
ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบ Stereo 2.0 แยกเสียงซ้ายขวาได้ชัดเจนดี ระบบเสียง BANG & OLUFSEN ทำให้มีเสียงมีน้ำหนักหนักแน่นกว่าเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คแบรนด์อื่นๆ ซึ่งถือได้ว่าเอามาเล่นเกมฟังเพลงได้ดีเลยทีเดียว อีกทั้งยังให้เสียงดังพอสมควร โดยช่องลำโพงถูกออกแบบมาอยู่ด้านใต้ตัวเครื่องซ้ายขวาทำให้การกระจายเสียงได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าตอบโจทย์ความบันเทิงทั้งในส่วนของภาพและเสียงจริงๆ
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของโน๊ตบุ๊ค 15.6″ ทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร จากการที่ขอบจอบางและตัวเครื่องก็ไม่หนาเหมือน Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 2.35 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์ที่จ่ายไฟได้ระดับ 200Watt เข้าไปด้วย ก็จะมีน้ำหนักที่ประมาณ 2.9 กิโลกรัม ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่ไม่หนักจนเกินไปนัก ตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างดีเลยทีเดียว สำหรับการใช้งานแบตเตอรี่ได้ทำการเคลมว่าใช้งานได้ 12.5 ชั่วโมงทีเดียว
ไว้แอดมินโป้งมีโอกาสรีวิว OMEN 15 Laptop by HP ปี 2020 จะมาอัพเดทกันอีกทีนะครับ ว่าใช้งานจริงเป็นอย่างไร เล่นเกมลื่นแค่ไหน ความร้อนดีขึ้นไหม จัดได้ว่าเป็น Gaming Notebook รุ่นใหม่ของทาง HP ที่น่าจับตามองมากๆ ทั้งในส่วนของดีไซน์ที่ปรับใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงสเปกภายในได้ใช้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10H แล้ว อีกทั้งในอนาคตน่าจะมีตัวเลือกเป็น AMD Ryzen 4000H ด้วย ซึ่งดูแล้วสเปกต่อราคามีความคุ้มค่าพอสมควรกับการวางเป็น Gaming Notebook ระดับกลางค่อนไปทางบน ซึ่งก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ได้แรมพื้นฐานมาแค่ 8GB และสเปกบางอย่างโดนลดลงมาเมืองนอกอย่างหน้าจอ 300Hz เป็นต้น