สำหรับบรรดาคอเกมที่ชื่นชอบการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนใหญ่ก็มักจะให้ความสำคัญกับเกมมิ่งเกียร์ ไม่ว่าจะเป็น เมาส์ คีย์บอร์ด หรือที่บางคนซีเรียสเลยก็คือ หูฟังเกมมิ่ง บางครั้งถึงขั้นยอมจ่ายกับหูฟังดีๆ สักรุ่นในหลักหลายพันบาท เพื่อควาทสนุกและความได้เปรียบในการเล่นด้วย ยิ่งเป็นเกมแนว Battle Royal ในตอนนี้ อย่างเช่น PUBG, Warzone หรือแนวตื่นเต้นอย่าง DBDL หรือ Dead by Day Light เรื่องของคุณภาพเสียง ทิศทางเสียง และรายละเอียด ล้วนแต่มีความสำคัญไม่น้อย เรียกว่าบางครั้งแพ้ชนะ ตัดสินกันที่เรื่องของเสียงเลยด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับหูฟังจาก HyperX Cloud ที่หลายคนได้เคยสัมผัส วันนี้ก็ได้ส่ง CLOUD series รุ่นใหม่ ที่เป็นหูฟังแบบไร้สาย และที่น่าสนใจคือ รองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านทางอุปกรณ์ Qi-Certified ได้อีกด้วย ซึ่งในครั้งนี้ เราได้นำ CHARGEPLAY Base ที่เป็นอุปกรณ์ชาร์จไร้สาย Qi มาใช้กับหูฟัง Cloud Flight S รุ่นใหม่นี้ด้วย
HyperX Cloud Flight S เป็นหูฟังที่จัดว่าให้อิสระสำหรับเกมเมอร์ ได้ขยับตัวง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่ชอบลุกเดินหรือมีแอ็คชั่นบ่อยๆ หลายคนที่ใช้หูฟังแบบมีสาย ก็มักจะเจอกันอาการหูฟังพัง เพราะไปรั้งสายไม่รู้ตัว หรือบางที่ดึงสายจนแจ๊ค 3.5mm ขาดก็มี หูฟังไร้สายรุ่นนี้ จึงน่าจะมอบความสบายให้มากขึ้น ด้วยจุดเด่น ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เมมโมรีโฟมบนครอบหู และระบบเสียง Virtual 7.1 กับไดรเวอร์ขนาด 50mm ที่เรียกว่าเป็นตัวชูโรงของหูฟัง CLOUD ในเกือบทุกรุ่น กับเสียงที่หนักหน่วงเป็นเอกลักษณ์ เน้นโทนเสียงกลาง และเพิ่มแหลมเข้ามามากขึ้น และที่สำคัญระบบเสียงรอบทิศทางเอาใจสาย Battle Royal ที่สามารถเล่นแล้วจับทิศทางของศัตรูได้แม่นกว่าเดิม แต่จุดขายของรุ่นนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องของคุณภาพเสียง แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนการชาร์จไร้สาย ร่วมกับอุปกรณ์ Qi-certified อย่างเช่น HyperX ChargePlay Base ที่คุณแทบไม่ต้องไปกังวลกับการต่อสายชาร์จหูฟังรุ่นนี้เพียงอย่างเดียว แต่วางบนแท่นชาร์จแบบไร้สาย แปปเดียวก็เล่นต่อได้แล้ว นอกจากนี้ยังปรับแต่งหูฟังได้ง่ายๆ ผ่านทางซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY อีกด้วย
กล่องแพ็คเกจของ HyperX Cloud Flight S ยังคงเอกลักษณ์ในโทนสีขาว คาดด้วยเส้นสายสีแดง ด้านหน้าเป็นภาพกราฟิกหูฟังรุ่นนี้ และรายละเอียดเล็กน้อย ส่วนด้านหลังมีกราฟิกหูฟังกับการชาร์จไร้สายบน ChargePlay Base อีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติมรอบๆ กล่อง ก็มีมาให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อไร้สาย WiFi 2.4GHz และแบตที่ใช้ได้นานถึง 30 ชั่วโมง ที่เคลมเอาไว้หน้ากล่องแบบนี้
สองสิ่งนี้ประกอบด้วย หูฟัง HyperX Cloud Flight S และที่ชาร์จไร้สาย ChargePlay Base ซึ่งมาพร้อม Qi-Certified
ภายในกล่อง Cloud Flight S มาในโทนสีแดงสด มีเอกสารแนะนำผลิตภัณฑ์ และคู่มือการใช้งานมาให้
คู่มือการใช้งาน ค่อนข้างสำคัญทีเดียว เพราะจะบอกรายละเอียดการใช้หูฟังรุ่นนี้ อย่างละเอียด ใครที่ยังไม่เคยใช้หูฟังไร้สาย แนะนำว่า ใช้ข้อมูลที่ HyperX จัดมาให้นี้ประกอบการใช้งาน จะสะดวกขึ้นเยอะ
ภายใต้กล่องสีแดง จะมีแพ็คเกจใส กันกระแทกมาด้วย เห็นตัวหูฟังและตัวส่งสัญญาณ USB
ตัวส่งสัญญาณในแบบ USB adapter ใช้ต่อเข้ากับโน๊ตบุ๊คหรือพีซี ขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว นึกว่าแฟลชไดรฟ์
มาถึงในส่วนของตัวหูฟัง Cloud Flight S กันบ้าง จะเห็นได้ชัดว่า รูปลักษณ์ แทบไม่ต่างไปจาก Cloud series รุ่นแรกๆ แต่มีการปรับปรุงรูปทรง ให้ดูทันสมัยขึ้น สิ่งที่สังเกตได้ชัดคือ ครอบหูฟังมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่จุดนี้มีเหตุผลอยู่…
ในส่วนของอุปกรณ์ จะมีด้วยกัน 3 ชิ้นหลักคือ หูฟัง, ไมโครโฟนแบบถอดได้ และตัวรับ-ส่งสัญญาณ USB Adapter
ไมโครโฟนแบบถอดใส่ได้ ต่อเข้ากับพอร์ตบนหูฟังด้านซ้าย
สามารถปรับโค้งงอได้ตามต้องการ เพื่อให้เข้ากับรูปหน้าและใกล้กับปากมากที่สุด
ตัวหูฟัง มาพร้อมฟองน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเมมโมรีโฟม หุ้มด้วยวัสดุที่เป็นหนังสังเคราะห์ สัมผัสค่อนข้างดีและนุ่มนวล
ส่วนหนึ่งที่เป็นเหตุให้หูฟังมีความหนาขึ้นอีกระดับก็คือ การใส่คอนโทรลเลอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดปิด และปุ่มเปิดใช้งาน Virtual Surround 7.1 และที่สำคัญมีแบตในตัว ในการใช้งานแบบไร้สาย ก็ไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไมมิติดูใหญ่ขึ้น
สามารถวางแบบเท่ๆ ด้วยการตะแคงข้างแบบนี้ได้ และเพื่อการใช้ในการชาร์จไฟแบบไร้สายได้สะดวกมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ที่คาดศรีษะสามารถยืดขยายออกได้ประมาณ 10 ระดับ ให้รับกับการใช้งานของแต่ละบุคคล ถือว่าเป็นแบบมาตรฐานที่อยู่บนหูฟัง CLOUD หลายๆ รุ่น
อย่างที่ได้บอกไว้คือ ครอบหูฟังค่อนข้างหนามากทีเดียว เรียกว่า หูฟังรุ่นที่คลอดมาในช่วงก่อนหน้านี้อายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Alpha, Stinger และอีกหลายรุ่น ข้อดีก็คือ ให้ความกระชับ และลดเสียงรบกวนภายนอกได้ดีทีเดียว
หูฟัง Cloud Flight S รุ่นนี้ จะเป็นแบบ Close cup มีโลโก้ HyperX แสดงอยู่บนหูฟังทั้ง 2 ด้าน
ส่วนทางด้านซ้าย จะเห็นได้ชัดเจนว่า รูปลักษณ์จะต่างจากหูฟังทางด้านซ้ายเล็กน้อย เพราะตรงจุดนี้ จะใช้เป็นตัวควบคุมที่เรียกว่า Microphone mute toggle ซึ่งจะให้ผู้ใช้สามารถกดปุ่มปรับระดับเสียงไมค์ หรือปิดเสียงสนทนา รวมถึงการปรับสมดุลเสียงของเกมและการสนทนาภายในเกมได้อีกด้วย และที่สำคัญยังเป็นจุดที่ใช้ในการวางบนแท่นชาร์จไร้สาย Qi ด้วยเช่นกัน
หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลาเอาการทีเดียว Cloud Flight S กับดีไซน์ที่ไม่ธรรมดา และยังมาพร้อมฟีเจอร์อีกมากมายในตัว
จะเห็นได้ว่าในส่วนของหูฟังทางด้านซ้ายนี้ จะมีทั้งปุ่มเปิด-ปิด ปรับเป็น 7.1 และพอร์ต USB สำหรับชาร์จ รวมถึงช่องเสียบไมค์มาด้วย
ตัวปรับระดับเสียง จะอยู่ทางด้านขวาของหูฟัง เลื่อนไปมา เพื่อปรับเสียงได้ขณะเล่น
และจุดสำคัญของหูฟังรุ่นนี้ อยู่ที่การปรับหมุน Ear cup ได้แบบ 90 องศา เพื่อการวางพาดไว้ที่คอเกมเมอร์ได้สะดวก
USB Adapter หรือตัวรับ-ส่งสัญญาณ เชื่อมต่อผ่าน WiFi 2.4GHz ตามสเปคระบุไว้ว่า สามารถยืดระยะได้ถึง 20 เมตร แต่ในการใช้งานปกติ แนะนำที่ 10 เมตรครับ
เมื่อต่อ USB adapter เข้ากับคอมเรียบร้อย ระบบจะทำการตรวจเช็ค ซึ่ง Windows 10 ก็ตรวจพบได้อย่างรวดเร็ว
หากคุณต้องการจะปรับแต่งหูฟังให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ ก็ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ในขั้นตอนนี้ เมื่อระบบตรวจพบเป็นครั้งแรก ก็จะถามว่าจะอัพเดต Firmware หรือไม่ ซึ่งถ้าเราไม่ต้องการอัพเดต ก็กดผ่านไปได้ครับ
และเพื่อให้พร้อมสำหรับการใช้งาน กดปุ่มเพาเวอร์บนหูฟัง ก็จะมีเสียงสัญญาณดังขึ้น และระบบก็จะรายงานข้อมูลของหูฟังรุ่นนี้ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น ระดับเสียง ไมโครโฟน หรือจะเป็นการตั้งค่า 7.1 Surround ระดับแบต และการตั้งค่า Preset ต่างๆ
ในแท็บ Button ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของหูฟัง จะเป็นส่วนที่ใช้กำหนดการทำงาน และผู้ใช้เลือกปรับรูปแบบการทำงานของทั้ง 4 ปุ่มนี้ได้ด้วย ว่าจะให้แอ็คชั่นแบบใด
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ Settings เกี่ยวกับซอฟต์แวร์นี้ด้วย
ในส่วนของ Preset ก็จะมีให้เลือกใช้ กับการตั้งค่าที่ต่างกัน ซึ่งอาจจะเลือกเป็นโหมดสำหรับความบันเทิง หรือการเล่นบนเกมที่มีความแตกต่างกันได้อีกด้วย
สำหรับคนที่บอกว่าชอบสวมหูฟังไว้บนคอ ด้วยการพับแบบ 90 องศานี้ น่าจะเป็นอะไรที่ชื่นชอบ เพราะไม่เกะกะ เวลาทำอย่างอื่น
ไมโครโฟนสามารถปรับให้เข้าใกล้ปากได้มากขึ้น รวมถึงจะถอด ใส่ก็ได้ตามใจชอบ ในกรณีที่ไม่ได้ใช้งาน
มาถึงในเรื่องของการสวมใส่ ในครั้งแรกที่เห็น รู้สึกได้ว่ามิติของหูฟังรุ่นนี้ ค่อนข้างต่างไปจากหลายๆ รุ่นของ HyperX ที่ผ่านมา เพราะส่วนใหญ่ จะค่อนข้างบางกว่านี้ แต่ด้วยเมมโมรีโฟมบน Earcup ที่ทำหนาขึ้น รวมถึงการรวมเอาบรรดาคอนโทรลต่างๆ มาไว้บนหูฟัง และมีทั้งแบตเตอรี่เข้ามาอีก จึงไม่น่าแปลกใจที่จะทำให้ Cloud Flight S นี้ จะใหญ่กว่าในหลายๆ รุ่น เทียบได้กับหูฟังที่เป็น Cloud ในรุ่นแรกๆ เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีผลต่อเรื่องของน้ำหนักมากนัก ยังคงสวมใส่ได้สบาย ซึ่งการทำให้หมุน 90 องศาได้ ก็ยิ่งทำให้เราสามารถใช้งานแบบติดตัวได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องถอดออกมาวางไว้ แต่สามารถสวมเดินไปมาภายในบ้านได้สบาย ซึ่งนั่นก็ทำให้เราได้ยินเสียงต่างๆ ได้ แม้จะคล้องคออยู่ก็ตาม จะติดอยู่นิดหน่อยก็คือ ด้วยการที่รวมเอาปุ่มและตัวปรับระดับเสียงไว้บน Earcup บางครั้ง การจับถือ ก็ทำให้มือไปโดนได้เช่นกัน ให้เหมาะสุด ควรหยิบที่คาดศีรษะ จะสะดวกมากที่สุด
HyperX ChargePlay Base
มาดูอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่ง ที่มีบทบาทต่อการใช้งานหูฟังรุ่นนี้ HyperX ChargePlay Base ที่เป็นอุปกรณ์สำหรับชาร์จไฟแบบไร้สายในรูปแบบของ Qi-Certified ที่รองรับการชาร์จอุปกรณ์ได้ถึง 2 ตัวพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น หูฟังหรือเมาส์ก็ตาม
หน้าตาของแท่นชาร์จ ChargePlay Base จะเป็นแบบเรียบง่าย แท่นสีดำบางๆ มีแผ่นยางรองรับอุปกรณ์ พร้อมไฟแสดงสถานะ
อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบด้วย อแดปเตอร์ สาย USB Type-A to C และแท่นชาร์จ รวมถึงคู่มือการใช้งานเล็กน้อย
วิธีใช้ก็เพียงต่อสาย USB เข้ากับอแดปเตอร์ จากนั้นเสียบสายเข้ากับแท่นชาร์จ จะมีโลโก้ Qi บนพอร์ต Type-C
เราสามารถสังเกตการทำงานได้ง่ายๆ ว่าเริ่มชาร์จหรือยัง และชาร์จอยู่หรือไม่ ไฟสถานะสีแดง หากกระพริบอยู่ หมายความว่าไม่ชาร์จ อาจจะต้องเช็คว่าวางถูกต้องมั้ย ส่วนถ้ากำลังชาร์จ ไฟสีแดงจะค้างอยู่ในฝั่งที่วางอุปกรณ์ชาร์จไฟอยู่นั่นเอง
วิธีเช็คว่าแบตของหูฟังอยู่ในระดับใด ให้ดูที่ไฟ LED ที่อยู่บนตัวหูฟัง ขณะที่ชาร์จ หากมีไฟสีแดง แสดงว่าแบตค่อนข้างน้อย ส่วนถ้าสีเขียวกระพริบ แบตจะอยู่ที่ 60% ขึ้นไป ส่วนถ้าไฟสีเขียวนิ่งๆ หมายถึงว่าแบตเต็มครับ
Conclusion
สำหรับการใช้งาน ขอแยกเป็น 2 ประเด็น คือ เรื่องของรูปลักษณ์ และคุณภาพ ว่ากันที่เรื่องของการออกแบบ สำหรับมุมมองจากภายนอก ให้คะแนนค่อนข้างดี ในแง่ของการออกแบบ และวัสดุ โดยเฉพาะในจุดที่มีการเคลื่อนไหว เช่น ครอบศีรษะ ที่ทาง HyperX ยังคงนำเมมโมรีโฟม ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนมาใช้ในจุดรองได้ดี แม้จะไม่หนามาก แต่ก็ไม่มีผลต่อการใช้งานนัก เพราะหูฟังไม่ได้หนักแต่อย่างใด โครงสร้างด้านในเป็นโลหะ แข็งแรงและยืดหยุ่น แต่ยังมีพลาสติกเป็นตัวครอบอยู่ ไม่ได้เป็นโครงทั้งหมด เหมือนกับในหลายๆ รุ่น ก็ทำให้การยืดระยะออกไปได้ไม่กว้างนัก แต่ก็สวมลงในหัวคนเอเซียบ้านเราได้สบาย และอย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นคือ ครอบหูฟังที่หมุนได้ 90 องศา ยังคงเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกต่อการพกพา หรือในช่วงที่พักเกม แม้ว่าจะไม่มีเรื่องของสีสันของแสงไฟ มาให้เห็นกันอย่างหวือหวา เช่นที่วางขายในตลาดกันหลายรุ่น แต่ก็เชื่อว่ากลุ่มคนที่ชื่นชอบ ความเรียบหรูดูดี ก็มีไม่น้อย
มาในเรื่องเสียงของเสียงกันบ้าง ย่านความถี่ของหูฟัง Cloud Flight S นี้ จะอยู่ที่ 10Hz – 20000Hz ให้เสียงต่ำได้ค่อนข้างดี ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกม และเอฟเฟกต์แบบตูมตาม ไดรเวอร์ขนาด 50mm ตามสไตล์ของ HyperX ยังคงทำหน้าที่ได้ดี เรื่องของเสียง จากการเล่นใน PUBG, Battlefield V และ GTAV สนุกและจัดจ้านขึ้น โดยเฉพาะเอฟเฟกต์เสียง ถ้าปรับให้ดี คุณจะตื่นเต้นไปกับเสียงรอบข้าง ตั้งแต่ปืนใหญ่จากรถถัง ที่ยิงมาโดนรถคุณใน BFV หรือจะเป็นการถล่มเมืองใน GTAV ก็ตาม เสียงระเบิดจากรถยนต์ต่างๆ ก็ดูจะเด่นชัดขึ้น และเมื่อลองเปิด 7.1 Surround ที่ปุ่มบนหูฟัง เสียงเฮลิคอปเตอร์ กับเสียงกรีดร้อง ตามท้องถนน ก็ทำเอาตื่นเต้นเลยทีเดียว และแน่นอนว่า เมื่อลองไปเล่นใน PUBG แม้จะไม่ได้เด่นชัดมาก กับเสียงที่อยู่รอบข้าง อาจจะรู้สึกค่อนข้างราบเรียบไปบ้างในบางอารมณ์ แต่ก็พอที่จะจับทิศทาง เมื่อมีการโจมตี หรือมีใครเข้ามาทางหลังบ้าน ขณะที่คุณกำลังฟาร์มอาวุธอยู่ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสลองเล่นกับ DBDL เพราะน่าจะชวนตื่นเต้นและสยองอยู่ไม่น้อย เมื่อเป็นฝ่ายถูกล่า และเสียงของ เปิร์ค กำลังทำงาน รอมีโอกาสได้ลอง จะมาบอกกันอีกที ในส่วนของเสียง ให้ที่ 9/10
ส่วนอีกเรื่องมาว่ากันที่ ความสะดวกในการใช้งาน โดยเฉพาะในแง่ของการชาร์จไร้สาย ข้อนี้ให้ 8/10 เพราะสามารถชาร์จไร้สายได้จริง แต่นั่นก็หมายความว่า ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ซึ่งถ้าคุณมีงบอีกราว 1,800 บาท ก็จะสะดวกขึ้นอีกพอสมควร ในแง่ของการชาร์จก็ไม่ได้อืดอาดอะไร จะเอาแบบใช้ยาว เมื่อเริ่มจาก 10% ชาร์ประมาณชั่วโมงเดียว ก็เล่นได้ยาวๆ แล้ว ยิ่งถ้าคุณมีอุปกรณ์ที่ชาร์จร่วมกันได้ ก็จะยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น
จุดเด่น
-เชื่อมต่อแบบไร้สาย ใช้งานสะดวก
-ใช้งานได้ยาวนาน
-เสียงกลางแน่น เอฟเฟกต์สนุก
-รองรับการชาร์จแบบไร้สาย
-ระบบเสียงรอบทิศทาง 7.1
-ควบคุมการการทำงานได้บนตัวหูฟัง
ข้อสังเกต
-ขนาดค่อนข้างใหญ่
-มีโอกาสพลาดไปโดนปุ่มบนหูฟัง
ราคา ประมาณ 5,990 บาท (HyperX Cloud Flight S)
ราคา ประมาณ 1,790 บาท (HyperX ChargePlay Base)
ติดต่อ ตัวแทนจำหน่าย HyperX Gaming ทั่วประเทศ
ข้อมูลอุปกรณ์เพิ่มเติม : HyperX Cloud Flight S