ในอดีตที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android มักจะพูดกันเล่นขำๆ ว่านวัตกรรมฟีเจอร์การใช้งานใหม่ๆ บน iPhone นั้นสามารถที่จะพบเจอได้บนสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android อย่างน้อยก็ 2 ปีมาแล้ว ล่าสุดนั้นหลังจากการเปิดตัว iPhone 11 พร้อมทั้งเริ่มมีการวางจำหน่ายไปแล้วพบว่าการพูดแซวเล่นกันขำๆ ของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ดังกล่าวนั้นจะเป็นเรื่องจริงแล้วโดยเห็นได้ชัดจาก iPhone 11 ที่เป็นสมาร์ทโฟนประจำปี 2019 ของทาง Apple
อย่างไรก็ตามแต่เลยนั้นก็ไม่สามารถที่จะปฎิเสธได้ว่า iPhone 11 ทั้ง 3 รุ่นนั้นมาพร้อมกับชิปเซ็ทที่แรง(มากๆ) และระบบกล้องแบบใหม่ที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่าเป็นอย่างมาก นอกไปจากนั้นแล้ว iPhone 11 ทั้ง 3 รุ่นยังรองรับการป้องกันน้ำ, กระจกครอบเครื่องที่แข็งแรงมากกว่าเดิมและแบตเตอรี่ที่มาพร้อมกับความจุที่มากขึ้นกว่าเดิม(รวมถึงการปรับแต่งในส่วนอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่มเข้ามาอีก) แน่นอนว่าสำหรับผู้ใช้ iPhone ที่ใช้ iPhone เครื่องเดิมมามากกว่า 1 – 2 ปีขึ้นไปนั้นจะเห็นได้ว่า iPhone 11 นั้นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามจากการทดสอบของคุณ Stan Schroeder บรรณาธิการของ Mashable SE Asia กลับมองเห็นว่าฟีเจอร์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นมาใน iPhone 11 นั้นไม่มีฟีเจอร์ไหนเป็นฟีเจอร์ใหม่เลยเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ซึ่งอย่างต่ำก็มีออกมาแล้วเหมือนกันในระยะเวลาก่อนหน้าถึง 1 ปีขึ้นไป
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยนั้นก็อย่างเช่นกล้อง 3 เลนส์ที่มีมาแล้วกว่า 1 ปีบนสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของทาง Huawei อย่าง P20 Pro ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการออกมาตั้งแต่ในเดือนเมษายนของปี 2018 ตามมาด้วย LG V40 ThinQ ที่เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ในเดือนตุลาคม 2018 โดยจะเห็นได้ว่า LG V40 ThinQ นั้นมีลักษณะรูปแบบการวางกล้องเหมือนกับ iPhone เป็นอย่างมากแถมเลนส์ที่มีมานั้นยังเป็นเลนส์ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ wide, ultra-wide และ zoom เหมือนๆ กัน
หรือจะเป็นฟีเจอร์การถ่ายรูปอย่าง Night Sight เองนั้น Google Pixel เองก็มีออกมาให้เห็นนานแล้วเช่นเดียวกัน โดยที่ตามมานั้นก็จะเป็นของทาง Samsung และ Huawei ซึ่งเอาจริงๆ แล้วนั้นหากเทียบกันแล้วฟีเจอร์ Night Sight ของ Google Pixel เองก็ถ่ายภาพออกมาได้ดูดีกว่า iPhone 11 อยู่ไม่น้อย
ถึงแม้ว่ากล้อง 3 เลนส์นั้นจะดูดีก็ตามทว่าหากเทียบกับสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android แล้วนั้นจะเห็นได้ว่าในช่วงปีนี้เราได้เห็นสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ที่มาพร้อมกับกล้องจำนวนมากถึง 4 ตัวโดยเป็นรุ่นในระดับราคากลางๆ อย่างเช่น Xiaomi Redmi Note 8 Pro ซึ่งมาพร้อมกับเลนส์หลักที่มีความละเอียดสูงถึง 64 MP และกล้องหน้าสำหรับการ Selfie นั้นก็มาพร้อมกับเลนส์ที่เซ็นเซอร์มีความละเอียดมากถึง 20 MP ในขณะที่เลนส์บน iPhone 11 Pro ของทาง Apple นั้นกลับใช้เซนเซอร์ความละเอียดอยู่ที่ 12 MP ทั้งหน้าและหลังเท่านั้น
สำหรับฟีเจอร์อื่นๆ อย่างเช่นการป้องกันน้ำอย่างเป็นทางการนั้นส่วนใหญ่แล้วก็เป็นฟีเจอร์หลักๆ ที่สมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android นั้นมีออกมานานแล้วเช่นเดียวกัน การใช้หน้าจอแบบ OLED นั้นคงไม่ต้องเอ่ยถึงแต่อย่างใดเพราะ Samsung เองนั้นใช้มานานมากแล้ว อีกจุดหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยนั้นก็คือปัญญาประดิษฐ์สำหรับการคำนวนการถ่ายภาพนั้นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของฝั่ง Android เองก็มีออกมานานแล้วมากเช่นเดียวกัน
ฟีเจอร์อย่างหนึ่งที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งอย่างการรองรับการชาร์จแบบไร้สายที่ทาง Apple ได้นำออกไปจาก iPhone 11 ทั้ง 3 รุ่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก โดยทาง Apple เองนั้นอาจจะมีเหตุผลที่นำเอาฟีเจอร์นี้ออกไปว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยจะใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวนี้กันมากเท่าไรนักเลยทำการตัดออกไป(โดยอาจจะมีความคิดที่ว่าฟีเจอร์การชาร์จแบบไร้สายไม่ได้มาตรฐานตามที่ Apple ต้องการ) ในขณะที่ทาง Samsung และ Huawei เองนั้นก็ยังคงรองรับฟีเจอร์ดังกล่าวอยู่
ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันว่าชิปเซ็ทอย่าง A13 Bionic ของทาง Apple ซึ่งพบบน iPhone 11 นั้นเป็นชิปเซ็ทที่ทรงพลังมากกว่าชิปเซ็ทของสมาร์ทโฟนฝั่ง Android เป็นอย่างมาก ทว่าในส่วนอื่นๆ นั้นเราไม่เคยได้ทราบกันอย่างจริงจังจากปากของ Apple เลยไม่ว่าจะเป็นขนาดของหน่วยความจำ(ซึ่งในปีนี้สมาร์ทโฟนระดับเรือธงของทาง Android ก็มีขนาดหน่วยความจำสูงถึง 12 GB แล้ว) หรือกระทั่งขนาดความจุของแบตเตอรี่นั้นทาง Apple เองก็ไม่เคยคิดที่จะบอกไว้เลยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า iPhone 11 นั้นมีจุดเด่นอยู่อย่างหนึ่งซึ่งเป็นส่วนของตัวระบบปฎิบัติการ iOS ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นอย่างดีให้เข้ากับฮาร์ดแวร์ของ iPhone ดังจะเห็นได้ถึงความลื่นไหลของการใช้งานที่หากดูโดยรวมแล้วนั้นจะดีกว่าสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ฟีเจอร์การชาร์จเร็วที่เพิ่มเข้ามานั้นอาจจะมาช้าไปหน่อยแต่โดยรวมนั้นก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน นอกไปจากนั้นแล้วฟีเจอร์ที่น่าจะถูกใจใช้ผู้ใช้หลายๆ คนอย่าง “slofie” ที่เป็นฟีเจอร์การถ่ายวีดีโอ selfie แบบ slow motion นั้นก็น่าจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วหากพูดกันตามตรงจะไปว่าทาง Apple เองก็ดูจะไม่ค่อยถูกมากเท่าไรนัก ต้องยอมรับกันจริงๆ ว่าในปัจจุบันนั้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในสมาร์ทโฟนเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสมาร์ทโฟนนั้นมีความสมบูรณ์แบบในตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ และนั่นอาจจะเป็นคำถามใหญ่ที่ควรส่งไปถึงทาง Apple ว่าเมื่อไรจะมีฟีเจอร์ทั้งทางด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ ออกมาสำหรับ iPhone ที่เราๆ ท่านๆ ต้องแปลกประหลาดใจอีก
เป็นที่ยอมรับว่าจริงๆ แล้วทาง Apple เองนั้นก็เป็นผู้นำทางด้านเทรนการออกแบบอยู่ไม่น้อย อย่างการใช้ดีไซน์หน้าจอแบบติ่งนั้นทาง Apple เองก็ได้มีการนำมาใช้กับ iPhone X ซึ่งถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบมีติ่ง ทว่าหลังจากนั้นไม่นานทางผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอื่นๆ ก็เริ่มมีการปล่อยสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบติ่งเช่นเดียวกัน แถมที่หนักไปกว่านั้นก็คือผู้ผลิตสมาร์ทโฟน Android ได้สานต่อนวัตกรรมนี้จนกลายเป็นว่าสามารถที่จะใส่กล้องหน้าออกมาให้ไม่จำเป็นต้องมีติ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะที่ทาง Apple ยังย่ำอยู่ที่เดิม
อย่างไรก็ตามโดยสรุปแล้วนั้นนี่ไม่ได้หมายความว่า iPhone 11 นั้นจะเป็นสมาร์ทโฟนที่ไม่ดีเพราะหากว่ากันตรงๆ แล้วนั้นคงต้องยอมรับกันจริงๆ ว่า iPhone 11 ทุกรุ่นนั้นเป็นสมาร์ทโฟนที่ดีเครื่องหนึ่งเลยทีเดียวถึงแม้ว่ารวมๆ แล้วฟีเจอร์ต่างๆ บน iPhone 11 จะเห็นได้บนสมาร์ทโฟน Android ทั้งหมด ตามข่าวลือนั้นพบว่าในปี 2020 ที่จะถึงนี้นั้นทาง Apple จะคิดใหม่ทำใหม่กับสมาร์ทโฟน iPhone ของตัวเองซึ่งตามข่าวลือนั้นบอกเอาไว้ว่ามันจะต้องทำให้เราประหลาดใจมากๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วก็ต้องคอยดูกันต่อไปเพราะการแข่งขันนั้นทำให้ผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ ได้รับผลดีอยู่แล้ว
ที่มา : Mashable SE Asia