MSI Prestige 14 เป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่หน้าจอ 14″ ตัวแรงลื่น โดยมาพร้อมกับประสิทธิภาพจากชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 รุ่นล่าสุดอย่าง Core i7-10710U ผสานการทำงานร่วมกับการ์ดจอตัวแรง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q และฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกมากมาย อาทิ Wi-Fi 6 AX / Thunderbolt 3 ที่สำคัญคือตัวเครื่องมีความพรีเมียมและบางเบาอย่างที่สุด มีน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น ในส่วนของสเปกแรมได้มาขนาด 16GB และ SSD ที่ 512GB จัดเต็ม ส่งให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ทรงพลังอย่างที่สุด สนับสนุนทั้งทำงานและเล่นเกมที่เหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบารุ่นอื่นๆ
สำหรับ MSI Prestige 14 รุ่นที่นำมารีวิวได้หน้าจอแสดงผลแบบ True Pixel มาตรฐานความละเอียด Full HD ที่จะช่วยให้เหล่าครีเอเตอร์ได้เติมเต็มประสบการณ์ในด้านการสร้างสรรค์ผลงานได้มากยิ่งขึ้น จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้แล้ว อีกทั้งได้ฟีเจอร์อื่นๆ ที่ครบครันตามสไตล์ของ MSI ที่จัดเต็ม ไม่เกรงใจใคร ในราคาเริ่มต้นเพียง 43,900 บาทเท่านั้น จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊ค Core i Gen 10 หน้าจอขนาด 14″ ที่แรงที่สุด ล้ำที่สุดในตลาดตอนนี้ก็ว่าได้เลย
Specification
MSI Prestige 14 เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความโดดเด่นออกมาจากผลิตภัณฑ์ Gaming Notebook แบบปกติของ MSI ด้วยความบาง 15.9 มม. และน้ำหนักที่เบาเพียง 1.29 กิโลกรัม รูปแบบโน๊ตบุ๊คบางเบาเรียกได้ว่าถือมือเดียวได้สบายๆ พกพาไปใช้งานนอกบ้านได้อย่างสะดวก มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-10710U รุ่นใหม่แรงสุดในรุ่น สถาปัตยกรรม Comet Lake ที่ 14 นาโนเมตร ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ให้ความแรงที่ทรงพลังเทียบเท่า Core i Gen 9 ตระกูล H ได้การ์ดจอรุ่นใหม่อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q (4GB GDDR 5) แรม 16GB พร้อม SSD NVMe ความจุ 512GB พร้อม Windows 10 ในราคาเพียง 43,900 บาท (มีบันเดิลเมาส์ไร้สาย MSI Prestige สุดพรีเมียมมาให้ด้วย)
สเปกหน้าจอขนาด 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ประทับใจอย่างสุดๆ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางเฉียบโดยมีพื้นที่แสดงผลกว่า 90% จอเป็นแบบด้านที่ให้เรื่องสีสันสดใส รองรับใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ 180 องศา ทำให้นำเสนองานได้อย่างเต็มที่และง่ายขึ้นกว่าเดิม
พร้อมด้วยฟีเจอร์ True Color เพื่อให้สีสันมีความแม่นยำตรงกับใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ด้วยมาตรฐาน 100% AdobeRGB ทำให้การแสดงผลของสีที่มีมิติมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานความแม่นยำของสีที่เป็นที่ยอมรับกันในอุตสาหกรรมชั้นนำอย่าง Delta-E<2 ที่จะช่วยการันตีว่าสีที่ได้นั้น มีความถูกต้องและแม่นยำแน่นอน หน้าจอ True Pixel ทั้งหมดของ MSI นั้น ยังได้รับประกันคุณภาพจากการตรวจสอบของมาตรฐานระดับโลกอย่าง CalMAN เพื่อการแสดงผลของภาพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
สเปกที่จัดเต็มตอบโจทย์การใช้งานแบบสุดๆ แทบไม่ต้องอัพเกรดอะไรเลย ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็ครบครันด้วย Wi-Fi 6 AX (แรงกว่า AC สามเท่า) และ Bluetooth 5.0 ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อก็มีทุกรูปแบบรวมไปถึงได้ Thunderbolt 3 เป็นมาตรฐานอีกด้วยพร้อมซอฟต์แวร์ Creator Center ช่วยปรับแต่งการทำงาน พร้อมการรับประกัน 2 ปี ตามมาตรฐานของ MSI
นอกจากนี้ยังมีรุ่นหน้าจอ 15.6″ อย่าง MSI Prestige 15 โดยตัวเครื่องมีนำหนักเพียง 1.6 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งได้สเปกเหมือน MSI Prestige 14 แต่มีราคาสูงกว่าอยู่ที่ 47,900 บาท (เหนือกว่าที่ได้ SSD 1TB) แต่ถ้ารุ่นท็อปสุด จะได้เป็นแรม 32GB และ SSD 1TB พร้อมหน้าจอ 4K Ultra HD ราคาก็จะอยู่ที่ 59,900 เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊ค เบาสุด ในขนาดหน้าจอ 15.6″ แต่ก็แรงสุดด้วย ในงบประมาณที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก
- Prestige 15 : i7-10710U / GTX 1650 Max-Q / RAM 16GB / SSD 1TB / 15.6″ Full HD ราคา 47,900 บาท
- Prestige 15 : i7-10710U / GTX 1650 Max-Q / RAM 32GB / SSD 1TB / 15.6″ Ultra HD ราคา 59,900 บาท
Hardware / Design
สำหรับ MSI Prestige 14 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงแต่บางเบาขนาดหน้าจอ 14″ รุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่งที่ครบเครื่อง ถูกต่อยอดมาจาก MSI Prestige รุ่นก่อนๆ ในเรื่องของการดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก โดยยังรักษาความเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัม ทำให้ถือมือเดียวได้สบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมตัดขอบเพชรเพิ่มความหรูหรา พร้อมความทนทานระดับ Military Standard ด้วยการผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด
โดยฝาหลังและดีไซน์ทั้งหมดมีการเลือกใช้ให้มีความเข้ากันอย่างที่สุด กับพื้นผิวส่วนของฝาหลังและตัวเครื่องเป็นลักษณะแบบด้าน พร้อมกับใช้สี Carbon Gray กับตัวเครื่องด้านนอกและสีเทากับตัวเครื่องด้านใน พร้อมตกแต่งรายละเอียดบริเวณขอบด้วยเทคโนโลยี diamond-cutting สีฟ้าสดใสตลอดทั้งตัวเครื่อง ตั้งแต่โลโก้ ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่โน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพต้องดูดำๆ ดีไซน์โบราณ ให้กลายเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูน้อยแต่เรียบหรูแทนนั่นเอง
ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดที่ 5.6 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ซึ่งการใช้งานจริงมุมมองมันก็จะดู เป็นปกติกว่าโน๊ตบุ๊คบางรุ่นที่ย้ายไปติดตั้งที่อื่น ส่วนความบางตัวเครื่องอยู่ที่ 15.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ถือว่า MSI นำเสนอโน๊ตบุ๊คที่ทั้งเบามากๆ แถมยังบางสุดๆ ท้าชนกับแบรนด์อื่นๆ ได้อย่างสบายๆ เลยครับ สำหรับการเปิดปิดฝาของหน้าจอก็ทำได้ง่ายเพราะขอบตัวเครื่องด้านหน้าได้มีการเว้นร่องเว้าเอาไว้สวยงาม
ส่งผลให้ตลอดทั้งตัวเครื่องมีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงกว่าโน๊ตบุ๊คทำงานหน้าจอ 14″ ทั่วไป ซึ่งโดยรวมแล้ว MSI Prestige 14 ไม่ใช่แค่บางเบาและสเปกดีแต่ในประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในโน๊ตบุ๊คสายบางเบาเน้นพกพา แต่มาพร้อมการ์ดจอระดับ GTX 1650 Max-Q สเปกอื่นๆ ก็จัดเต็ม ช่วงงบประมาณ 4x,xxx บาทก็ว่าได้เลย ที่แม้ราคาอาจจะสูงกว่าพวก Gaming Notebook แต่ได้น้ำหนักที่เบาและตัวเครื่องที่ดูหรูมาแทน
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะอยู่มุมขวาบนของชุดคีย์บอร์ด พร้อมบริเวณบานพับก็เป็นช่องระบายความร้อน 1 ช่อง ที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างเรียบเนียน ภายในติดตั้งพัดลม 1 ตัว ที่แม้ MSI Prestige 14 จะไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Cooler Boost ที่มี Heat Pipes หลายเส้นและพัดลม 2 ตัว แบบรุ่นพี่ MSI Prestige 15 แต่ก็ถูกดีไซน์ชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนของ CPU และ GPU เป็นอย่างดี ในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
ด้านฐานล่างตัวเครื่องจากรุ่นก่อนใช้วัสดุโลหะชิ้นเดียวตลอดทั้งชิ้น ลักษณะเป็นอลูมิเนียมที่มีช่องดูดลมเย็นดีไซน์สวยล้ำ พร้อมมียางรองจำนวน 2 เส้นลากยาว ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี พร้อม Ergonomics View Design ที่ช่วยยกตัวให้สูงขึ้นจากพื้นที่ 5 องศา ส่งผลให้พัดลมสามารถดูดลมเย็นเข้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งการเอียงของตัวเครื่องเล็กน้อยนั้น ก็ทำให้พิมพ์สัมผัสได้ถนัดมือยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ MSI Prestige 14 เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นของทาง MSI ก็จริง แต่ให้ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ที่ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน มีระยะกดที่ 1.5 มิลลิเมตร ด้วยการที่รูปแบบปุ่มมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าคีย์บอร์ด MSI แบบเดิมๆ ที่สำคัญด้วยไฟ LED สีขาวสวยงาม เข้ากับตัวปุ่มสีเงินเทาเป็นอย่างดี ดูแล้วสะอาดตา พรีเมียมสุดๆ แน่นอนว่าไม่มีชุด Numpad อยู่แล้ว จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่ลงตัวนั่นเอง จากการใช้งานจริงถือว่าปุ่มเด้งรับกับนิ้วดีมากๆ รวมไปถึงมี Hotkey แถวบน พร้อมมีปุ่มเรียก Creator Center ใช้งานสะดวกด้วย
ทัชแพดมีขนาดใหญ่และกว้างเป็นพิเศษ ลักษณะเป็นผืนผ้ายาวดูเป็นเนื้อแบบกระจก ซึ่งมีตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด ให้สัมผัสที่ลื่นติดมือมากๆ โดยมีการตัดขอบด้านบนดูโค้งมน เข้ากับตัวเครื่องสวยงามลงตัว นอกเหนือจากนี้ยังมีฟีเจอร์อย่างสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ไว้ให้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อที่จะเข้าใช้งานตัวเครื่องเพื่อความปลอดภัยแบบไม่ต้องใส่รหัสไปมาทุกครั้งอีกด้วย ส่วนการใช้งานก็ตอบสนองได้รวดเร็วไม่แพ้มือถือในปัจจุบันเลยล่ะ
Screen / Speaker
MSI Prestige 14 ได้ติดตั้งหน้าจอขนาด 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD ได้พาเนล IPS คุณภาพสูงกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ค่อนข้างน่าประทับใจ ทั้งเรื่องสีสันและมุมมองที่กว้างพิเศษ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก เรียกได้ว่ากำลังพอดีทีเดียว และด้วยความที่จอเป็นแบบด้านแต่ก็ยังให้เรื่องสีสันสดใส ตอนสนองการทำงานของเราได้เป็นอย่างดี เมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกม
ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางฉียบเพียง 5.6 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งให้พื้นที่แสดงผลทั้งหมดกว่า 90% เลยทีเดียว แต่ก็ยังสามารถติดตั้งกล้องเว็บแคมพร้อมไมโครโฟนแบบคู่ไว้ที่ขอบจอด้านบนได้ปกติอยู่ ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ถึง 180 องศา ช่วยให้การนำเสนองานกับคนที่นั่งตรงข้ามกันง่ายยิ่งขึ้นด้วย
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอเครื่องมือ Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์ที่เราได้คาลิเบรทเอาไว้ ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่นเล็กน้อย
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 92% และค่า AdobeRGB อยู่ที่ 71% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอที่ดีกว่าในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไปแน่นอน หรือถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องบนขวาจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปที่ 9% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 จากคะแนนเต็ม 5 ถือว่าน่าประทับใจ
ลำโพงยังจัดวางมาในตำแหน่งส่วนของขอบตัวเครื่องด้านหน้าในส่วนด้านใต้เครื่อง แบบขนาด 2W x 2 คุณภาพเสียงเบสให้แน่นลึกยิ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป เพราะชุดลำโพงข้างในขยับได้เมื่อต้องการเสียงทุ่ม สำหรับคุณภาพเสียงการใช้งานต่าง ๆ สามารถทำออกมาได้ดี น่าประทับใจให้เสียงที่ดังพอตัว เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแน่นอน
Connector / Thin And Weight
MSI Prestige 14 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานบางเบาหน้าจอ 14″ ซึ่งมีไซส์และมิติโดยรวมเล็กกระทัดรัดกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น 2 x Thunderbolt 3 / 2 x USB 3.1 Type-A / 1 x HDMI 1.4 / micro-SD Card Reader และ Mic-in/Headphone-out ให้ความครบเครื่องมากกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ ทั่วไป โดดเด่นด้วย Thunderbolt 3 ถึง 2 พอร์ตด้วยกัน รองรับการชาร์จไฟด้วย เพราะอแดปเตอร์ก็เป็น USB-C แล้ว อีกทั้งมีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX พร้อมใช้งานตามมาตรฐานโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สเปก Core i Gen 10 ปลายปี 2019
ส่วนของการพกพาของ MSI Prestige 14 ก็ถือว่าทำได้เยี่ยมยอดเมื่อเทียบกับสเปก ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น ดีกว่าตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คค่ายอื่นๆ ที่ใช้สเปกนี้มาก ที่สำคัญอแดปเตอร์จ่ายไฟที่ 90 Watt นั้น มีขนาดที่เล็กและเบากว่าปกติ ทำให้การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากๆ น้ำหนักโดยรวมแล้วอยูที่ประมาณ 1.5 กิโลกรัมนิดๆ นับว่า MSI Prestige 14 เป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊คสายทำงานจริงจังที่เหมาะสมกับเหล่า ยูทูปเบอร์, ช่างภาพ, อนิเมเตอร์ และนักดนตรี ที่เน้นพกพาพมากที่สุดเลยทีเดียว
Performance / Software
MSI Prestige 14 ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง ได้ชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดระดับสูงอย่าง Intel Core i7-10710U สถาปัตยกรรม Comet Lakeใหม่ล่าสุด ทำงานแบบ 6 Core / 12 Thread ความเร็ว 1.10 – 4.70 GHz เทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 10 – 15 – 25Watt ที่เน้นความแรงกว่า Ice Lake 10 นาโนเมตร รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบายๆ ส่วนแรมก็ให้มาเป็นแบบ 16GB ที่เพียงพอต่อการใช้งานทันที อีกทั้งได้ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่ได้ทั้งขนาดที่ใหญ่ใส่ไฟล์ได้เยอะ
โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home Single Language มาตั้งแต่แกะกล่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์ Windows เลยครับ ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 620 ไม่ต่างจาก Core i Gen 8 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่ก็รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงได้แบบไม่มีปัญหา
อีกทั้งยังมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงที่เน้นความคุ้มค่าอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ และแรงกว่า GTX 1050 Ti แบบรู้สึกได้จากการที่สามารถขับเฟรมเรทได้ลื่นไหล โดยเป็นรอง GTX 1650 รุ่นปกติเล็กน้อย เพราะเน้นประหยัดพลังงานและปลดปล่อยความร้อนที่น้อยกว่า และแม้ไม่มีฟีเจอร์อย่างที่ใน RTX Series มี แต่ก็ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรุ่นแรงอย่าง Core i5-9300H ก็จัดว่ามีคะแนนใกล้เคียงกัน รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงพอตัวอยู่แล้ว เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนตระกูล U ของ Intel Core i Gen 10 ในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe ระดับกลางๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1607 MB/s และเขียนที่ 1028 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจ อาจจะไม่แรงสุดๆ ที่ 3,xxx MB/s ก็ตาม
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5002 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยกอย่าง GTX 1650 Max-Q ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากพอสมควร ระดับเทียบเท่า Desktop สบายๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-10710U ทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ทำให้ประสิทธิภาพออกมาได้ดีเยี่ยม เทียบเท่า Gaming Notebook ตัวแรงแบบสบายๆ ทีเดียว
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิด DX12 ทำให้ภาพสวยงาม แต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แบบไร้กังวล แต่เฟรมเรทก็น้อยกว่ารุ่น MSI Prestige 15 อยู่เล็กน้อย หลายเกมด้วยกัน ชนะอยู่เกมเดียวคือ PUBG
ที่สำคัญยังมี Creator Center เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบและพัฒนาโดย MSI ซึ่งคล้ายกับ Dragon Center เป็นโปรแกรมที่เป็นจุดเด่นของ Gaming MSI ก็ถูกมาปรับใช้ใน MSI Prestige 14 นี้ด้วย จุดเด่นคือใช้งานง่ายและสามารถช่วยเหลือ และ จัดการการปรับแต่งตั้งค่า MSI Notebook ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลน์ของทาง MSI ก็ว่าได้ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าเมนูมีอาทิเช่น
- Creator Mode : ศูนย์รวมโปรแกรม ที่ใช้งานในงานสร้างสรรค์ต่างๆ ที่เรามี
- System Monitoring : ตรวจสอบสถานะเครื่อง (ประสิทธิภาพ,ความเร็วของพัดลม,ความร้อน)
- System Tuner : ปรับแต่งตั้งค่าการใช้งานต่างๆของ MSI Notebook
- Battery Master : ปรับแต่งการชาร์จแบตเตอรี่ให้เหมาะกับการใช้งาน
- Tools & Help : ติดต่อ MSI และ ฟังก์ชั่นช่วยเหลือต่างๆ ที่จำเป็น
หรือจะย่อเป็นหน้าต่างโปรแกรมเล็กๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน ก็ดูเก๋ๆ ไปอีกแบบ สะดวกใช้งานด้วย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน MSI Prestige 14 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ เกือบ 12 ชั่วโมงโดยประมาณ ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ไม่ยาวนานอย่างที่เคลมเอาไว้ว่าที่ 16 ชั่วโมง แต่โดยส่วนตัวก็ถือว่ายอมรับได้ (ใช้ได้นานมากแล้ว) จากการที่น้ำหนักเบาตัวเครื่องบาง พกพาอแดปเตอร์ไปอีกตัวก็พอไหวอยู่ พร้อมความสามารถ PD ที่ชาร์จไฟกลับเข้าไป 15 นาที เครื่องก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน 2 ชั่งโมงแล้ว
สำหรับอุณหภูมิทดสอบด้วยโปรแกรม Hardware Monitor ยังไม่สามารถตรวจสอบในส่วนของชิปประมวลผลได้ แต่จากการทดสอบเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 35 – 43 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 27 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ประสิทธิภาพโดยรวมยังลื่นไหลอยู่ ซึ่งในส่วนของการ์ดจอจะร้อนสุดอยู่ที่ 74 องศาเซลเซียส ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่มีฟีเจอร์ Cooler Boots แต่ถ้าใช้งานทั่วไป พัดลมแทบไม่มีเสียงเลย
Conclusion / Award
MSI ได้มีความตั้งใจในการนำเสนอโน้คบุ๊คสายทำงานมืออาชีพออกมาใหม่เรื่อยๆ จากการที่ปกติเราจะเห็นแต่สาย Gaming ถึงเวลาที่ MSI จะต้องออกผลิตภัณฑ์ตระกูล Prestige ตัวใหม่ สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ที่ใหม่ล่าสุด พร้อมนำมาประยุกต์เข้ากับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และตัวเองถนัด อย่างการนำข้อดีต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ตระกูล Gaming มาทำให้มีความเป็นมืออาชีพ เหมาะสำหรับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาพ และงานกราฟฟิกต่าง ๆ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการโน๊ตบุ๊คไว้ใช้ทำงานเป็นหลัก แล้วก็อาจจะไปนำเล่นเกมได้บ้าง
MSI Prestige 14 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสเปก Core i Gen 10 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ เหมาะสำหรับมืออาชีพสายต่างๆ อาทิ ยูทูปเบอร์, ช่างภาพ, อนิเมเตอร์ และนักดนตรี ด้วยหน้าจอ 14″ สุดบางเฉียบ ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นเรื่องความบางเบา เน้นพกพายิ่งกว่ารุ่นหน้าจอ 15.6″ และมีประสิทธิภาพเยี่ยม ทำให้มันกลายมาเป็น Ultrabook ที่มีขนาดกระทัดรัด ดีไซน์ภายนอกจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเงิน เพื่อให้มีความเรียบหรูมากขึ้น และมาพร้อมกับไฟคีย์บอร์ดสีขาว ทัชแพดก็มีขนาดที่ใหญ่โตมากๆ มีที่สแกนลายนิ้วมือด้วย โดยที่วัสดุตัวเครื่องจะทำมาจากอลูมิเนียม และมีน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัม เบามาก!!
โดยเฉพาะในแง่ของการดีไซน์ MSI Prestige 14 มีเอกลักษณ์แต่ทันสมัยและแต่ต่างจากรุ่นก่อนหน้า ด้วยโลหะวัสดุอลูมิเนียมและสีสัน Carbon Gray และยังมาพร้อมความบาง เบาพกพาง่ายมาก ทั้งราคาและสเปกภายในถือว่ามีความคุ้มค่ามากๆ ได้ทั้งการ์ดจอที่แรงระดับ Gaming อย่าง GeForce GTX 1650 Max-Q และแรมที่ขนาด 16GB พร้อม SSD ความจุ 512GB ที่แรงกว่า ยังไงใครต้องการโน๊ตบุ๊คพกพาเน้นทำงานเป็นหลัก หรือจะเล่นเกมบ้างก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว นักเรียนนักศึกษาคนทำงานจัดได้หมด หนุ่มๆ น่าจะชอบ หรือสาวๆ ก็จะดูเท่ไปอีกแบบ
ในส่วนของหน้าจอก็จัดได้ว่าเป็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยค่าขอบเขตสี sRGB ที่ 92% และค่า AdobeRGB อยู่ที่ 71% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ ขอบหน้าจอก็บางเฉียบตัวเครื่องก็เล็กกระทัดรัด เน้นพกพาสุดๆโดยแบตเตอรี่จากการใช้งานจริงๆ ทดสอบได้ที่เกือบ 12 ชั่วโมง นับได้ว่าแทบไม่ต้องพกอแดปเตอร์ออกไปด้วยแล้ว แต่จะพกพาไปด้วยก็ไม่เป็นไรเพราะก็ไม่ใหญ่โตมาก พร้อมทั้งตัวเครื่องยังมีพอร์ต Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต ซึ่งเป็น USB-C ที่ต้องบอกว่าเป็นพอร์ตที่ดีที่สุดแล้ว นอกจากนี้การเชื่อมต่อไร้สายยังเป็น Wi-Fi 6 AX ที่ปลอดภัยและแรงกว่าเดิม 3 เท่าอีกด้วย
สรุปแล้วสำหรับ MSI Prestige 14 เหมาะสำหรับคนหรือใครที่กำลังมองหาโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ สเปก Core i Gen 10 ที่ดีที่สุดบางเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในงบประมาณที่สี่หมื่นบาทต้นๆ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไป หรือหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือถ้าจะเล่นเกมบ้างก็สามารถทำได้ดีลื่นไหล ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคาค่าตัว เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คสเปกทั่วไป หรือกรณีที่อยากได้สเปกแรงแต่ไม่อยากได้ดีไซน์แบบ Gaming Notebook
แต่ๆ ถ้าเล่นเกมจริงจังยังไงลองดูเป็น MSI GL65 ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกว่า แม้ตัวเครื่องจะหนักกว่า ที่สำคัญคือได้ฟีเจอร์รวมๆ แล้วเค้าออกแบบมาให้ Gamer จริงๆ นั่นเอง อาทิ หน้าจอ ชุดระบายความร้อน ไฟคีย์บอร์ด เป็นต้น หรือถ้าเลือกให้จอใหญ่เป็น MSI Prestige 15 ก็จะได้ประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นจากพัดลมระบายความร้อน 2 ตัว พร้อม SSD 1TB ที่ทั้งใหญ่และเร็วกว่า แต่แบตเตอรี่ก็จะน้อยลงกว่าหน่อย เอาว่าสนใจลองไปดูตามหน้าร้านได้เลย
ข้อดี
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจ งานประกอบแน่นวัสดุดี แนวเรียบหรู
- ตัวเครื่องบางเฉียบ เล็กกระชับกว่าเดิม โดยมีน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น
- Ergonomics View Design ที่ช่วยยกตัวให้สูงขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น
- สเปคแรง Core i7-10710U และการ์ดจอ GTX 1650 Max-Q เทียบเท่า Gaming Notebook
- หน้าจอแสดงผลกางได้ 180 องศา ขอบจอบางเฉียบขนาด 15.6″ ขอบเขตสี sRGB 92%
- จัดเต็มเรื่องแรมที่ 16GB และ SSD M.2 NVMe ที่ 512GB ไม่ต้องอัพเกรดอะไรแล้ว
- มี Windows 10 แท้ พร้อมซอฟ์ตแวร์ที่ดี ใช้งานได้ทันที
- ประสิทธิภาพดีทั้งการทำงานและการเล่นเกม
- คีย์บอร์ดใช้งานได้ดี มีไฟส่องสว่างใช้งานได้จริง
- มีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Wi-Fi 6 AX ใหม่ล่าสุด
- การจัดการความร้อนในส่วนของการ์ดจอทำได้ดี
- ให้พอร์ต Thunderbolt มา 2 พอร์ต รองรับการชาร์จไฟ
- อแดปเตอร์มีขนาดที่เล็กและเบา พอร์ตเป็น USB-C PD ชาร์จมือถือก็ได้
- ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปกและฟีเจอร์
ข้อสังเกต
- การแกะงัดทำได้ไม่ง่าย ไม่แนะนำให้ทำเองเพื่ออัปเกรดหรือทำความสะอาด
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 12 ชั่วโมง ไม่เหมือนที่เคลมไว้ 16 ชั่วโมง แต่ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
- ประสิทธิภาพเป็นรองรุ่น MSI Prestige 15 เล็กน้อย จากการที่มีพัดลมระบายความร้อนตัวเดียว
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ ด้วยกัน ซึ่ง MSI Prestige 14 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
ชิปประมวลผลเป็น Inte Core i7-10710U ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพแรงระดับ Core i Gen 9 ตระกูล H พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ที่ทั้ง 2 อย่างนี้แรงเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไป มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ MSI Prestige 14 อยู่ในระดับที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 1.29 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมอแดปเตอร์ก็เบาและเล็กกว่าปกติมากๆ ถือว่ามีการพัฒนาไปในทุกส่วน รวมแล้วหนักแค่ 1.5 กิโลกรัมนิดๆ เท่านั้น โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ แม้แบตอาจจะใช้งานได้ไม่ถึง 16 ชั่วโมงจริงๆ ตามที่เคลมไว้ก็ตาม แต่ 12 ชั่วโมงก็ถือว่าใช้งานแบตได้นานมากแล้ว
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ MSI ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน MSI Prestige 14 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวในมิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ขอบจอบางเฉียบ แต่มีการออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ออกแนวพรีเมียมและเรียบหรูมากยิ่งขึ้นพ ร้อมกับใช้สี Carbon Gray กับตัวเครื่องด้านนอกและสีเทากับตัวเครื่องด้านในตลอดทั้งตัวเครื่อง การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง อีกทั้งยังใช้ diamond-cutting สีฟ้าสดใสตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาเชื่อได้ว่าหลายๆ คนส่วนมากต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
Specification
MSI Prestige 14 เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความโดดเด่นออกมาจากผลิตภัณฑ์ Gaming Notebook แบบปกติของ MSI ด้วยความบาง 15.9 มม. และน้ำหนักที่เบาเพียง 1.29 กิโลกรัม รูปแบบโน๊ตบุ๊คบางเบาเรียกได้ว่าถือมือเดียวได้สบายๆ พกพาไปใช้งานนอกบ้านได้อย่างสะดวก มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-10710U รุ่นใหม่แรงสุดในรุ่น สถาปัตยกรรม Comet Lake ที่ 14 นาโนเมตร ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ให้ความแรงที่ทรงพลังเทียบเท่า Core i Gen 9 ตระกูล H ได้การ์ดจอรุ่นใหม่อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q (4GB GDDR 5) แรม 16GB พร้อม SSD NVMe ความจุ 512GB พร้อม Windows 10 ในราคาเพียง 43,900 บาท (มีบันเดิลเมาส์ไร้สาย MSI Prestige สุดพรีเมียมมาให้ด้วย)
สเปกหน้าจอขนาด 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ประทับใจอย่างสุดๆ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางเฉียบโดยมีพื้นที่แสดงผลกว่า 90% จอเป็นแบบด้านที่ให้เรื่องสีสันสดใส รองรับใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ 180 องศา ทำให้นำเสนองานได้อย่างเต็มที่และง่ายขึ้นกว่าเดิม
พร้อมด้วยฟีเจอร์ True Color เพื่อให้สีสันมีความแม่นยำตรงกับใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ด้วยมาตรฐาน 100% AdobeRGB ทำให้การแสดงผลของสีที่มีมิติมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานความแม่นยำของสีที่เป็นที่ยอมรับกันในอุตสาหกรรมชั้นนำอย่าง Delta-E<2 ที่จะช่วยการันตีว่าสีที่ได้นั้น มีความถูกต้องและแม่นยำแน่นอน หน้าจอ True Pixel ทั้งหมดของ MSI นั้น ยังได้รับประกันคุณภาพจากการตรวจสอบของมาตรฐานระดับโลกอย่าง CalMAN เพื่อการแสดงผลของภาพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
สเปกที่จัดเต็มตอบโจทย์การใช้งานแบบสุดๆ แทบไม่ต้องอัพเกรดอะไรเลย ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็ครบครันด้วย Wi-Fi 6 AX (แรงกว่า AC สามเท่า) และ Bluetooth 5.0 ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อก็มีทุกรูปแบบรวมไปถึงได้ Thunderbolt 3 เป็นมาตรฐานอีกด้วยพร้อมซอฟต์แวร์ Creator Center ช่วยปรับแต่งการทำงาน พร้อมการรับประกัน 2 ปี ตามมาตรฐานของ MSI
นอกจากนี้ยังมีรุ่นหน้าจอ 15.6″ อย่าง MSI Prestige 15 โดยตัวเครื่องมีนำหนักเพียง 1.6 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งได้สเปกเหมือน MSI Prestige 14 แต่มีราคาสูงกว่าอยู่ที่ 47,900 บาท (เหนือกว่าที่ได้ SSD 1TB) แต่ถ้ารุ่นท็อปสุด จะได้เป็นแรม 32GB และ SSD 1TB พร้อมหน้าจอ 4K Ultra HD ราคาก็จะอยู่ที่ 59,900 เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊ค เบาสุด ในขนาดหน้าจอ 15.6″ แต่ก็แรงสุดด้วย ในงบประมาณที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก
- Prestige 15 : i7-10710U / GTX 1650 Max-Q / RAM 16GB / SSD 1TB / 15.6″ Full HD ราคา 47,900 บาท
- Prestige 15 : i7-10710U / GTX 1650 Max-Q / RAM 32GB / SSD 1TB / 15.6″ Ultra HD ราคา 59,900 บาท
Hardware / Design
สำหรับ MSI Prestige 14 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงแต่บางเบาขนาดหน้าจอ 14″ รุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่งที่ครบเครื่อง ถูกต่อยอดมาจาก MSI Prestige รุ่นก่อนๆ ในเรื่องของการดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก โดยยังรักษาความเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัม ทำให้ถือมือเดียวได้สบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมตัดขอบเพชรเพิ่มความหรูหรา พร้อมความทนทานระดับ Military Standard ด้วยการผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด
โดยฝาหลังและดีไซน์ทั้งหมดมีการเลือกใช้ให้มีความเข้ากันอย่างที่สุด กับพื้นผิวส่วนของฝาหลังและตัวเครื่องเป็นลักษณะแบบด้าน พร้อมกับใช้สี Carbon Gray กับตัวเครื่องด้านนอกและสีเทากับตัวเครื่องด้านใน พร้อมตกแต่งรายละเอียดบริเวณขอบด้วยเทคโนโลยี diamond-cutting สีฟ้าสดใสตลอดทั้งตัวเครื่อง ตั้งแต่โลโก้ ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่โน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพต้องดูดำๆ ดีไซน์โบราณ ให้กลายเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูน้อยแต่เรียบหรูแทนนั่นเอง
ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดที่ 5.6 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ซึ่งการใช้งานจริงมุมมองมันก็จะดู เป็นปกติกว่าโน๊ตบุ๊คบางรุ่นที่ย้ายไปติดตั้งที่อื่น ส่วนความบางตัวเครื่องอยู่ที่ 15.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ถือว่า MSI นำเสนอโน๊ตบุ๊คที่ทั้งเบามากๆ แถมยังบางสุดๆ ท้าชนกับแบรนด์อื่นๆ ได้อย่างสบายๆ เลยครับ สำหรับการเปิดปิดฝาของหน้าจอก็ทำได้ง่ายเพราะขอบตัวเครื่องด้านหน้าได้มีการเว้นร่องเว้าเอาไว้สวยงาม
ส่งผลให้ตลอดทั้งตัวเครื่องมีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงกว่าโน๊ตบุ๊คทำงานหน้าจอ 14″ ทั่วไป ซึ่งโดยรวมแล้ว MSI Prestige 14 ไม่ใช่แค่บางเบาและสเปกดีแต่ในประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในโน๊ตบุ๊คสายบางเบาเน้นพกพา แต่มาพร้อมการ์ดจอระดับ GTX 1650 Max-Q สเปกอื่นๆ ก็จัดเต็ม ช่วงงบประมาณ 4x,xxx บาทก็ว่าได้เลย ที่แม้ราคาอาจจะสูงกว่าพวก Gaming Notebook แต่ได้น้ำหนักที่เบาและตัวเครื่องที่ดูหรูมาแทน
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะอยู่มุมขวาบนของชุดคีย์บอร์ด พร้อมบริเวณบานพับก็เป็นช่องระบายความร้อน 1 ช่อง ที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างเรียบเนียน ภายในติดตั้งพัดลม 1 ตัว ที่แม้ MSI Prestige 14 จะไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Cooler Boost ที่มี Heat Pipes หลายเส้นและพัดลม 2 ตัว แบบรุ่นพี่ MSI Prestige 15 แต่ก็ถูกดีไซน์ชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนของ CPU และ GPU เป็นอย่างดี ในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
ด้านฐานล่างตัวเครื่องจากรุ่นก่อนใช้วัสดุโลหะชิ้นเดียวตลอดทั้งชิ้น ลักษณะเป็นอลูมิเนียมที่มีช่องดูดลมเย็นดีไซน์สวยล้ำ พร้อมมียางรองจำนวน 2 เส้นลากยาว ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี พร้อม Ergonomics View Design ที่ช่วยยกตัวให้สูงขึ้นจากพื้นที่ 5 องศา ส่งผลให้พัดลมสามารถดูดลมเย็นเข้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งการเอียงของตัวเครื่องเล็กน้อยนั้น ก็ทำให้พิมพ์สัมผัสได้ถนัดมือยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ MSI Prestige 14 เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นของทาง MSI ก็จริง แต่ให้ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ที่ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน มีระยะกดที่ 1.5 มิลลิเมตร ด้วยการที่รูปแบบปุ่มมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าคีย์บอร์ด MSI แบบเดิมๆ ที่สำคัญด้วยไฟ LED สีขาวสวยงาม เข้ากับตัวปุ่มสีเงินเทาเป็นอย่างดี ดูแล้วสะอาดตา พรีเมียมสุดๆ แน่นอนว่าไม่มีชุด Numpad อยู่แล้ว จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่ลงตัวนั่นเอง จากการใช้งานจริงถือว่าปุ่มเด้งรับกับนิ้วดีมากๆ รวมไปถึงมี Hotkey แถวบน พร้อมมีปุ่มเรียก Creator Center ใช้งานสะดวกด้วย
ทัชแพดมีขนาดใหญ่และกว้างเป็นพิเศษ ลักษณะเป็นผืนผ้ายาวดูเป็นเนื้อแบบกระจก ซึ่งมีตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด ให้สัมผัสที่ลื่นติดมือมากๆ โดยมีการตัดขอบด้านบนดูโค้งมน เข้ากับตัวเครื่องสวยงามลงตัว นอกเหนือจากนี้ยังมีฟีเจอร์อย่างสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ไว้ให้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อที่จะเข้าใช้งานตัวเครื่องเพื่อความปลอดภัยแบบไม่ต้องใส่รหัสไปมาทุกครั้งอีกด้วย ส่วนการใช้งานก็ตอบสนองได้รวดเร็วไม่แพ้มือถือในปัจจุบันเลยล่ะ
Screen / Speaker
MSI Prestige 14 ได้ติดตั้งหน้าจอขนาด 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD ได้พาเนล IPS คุณภาพสูงกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ค่อนข้างน่าประทับใจ ทั้งเรื่องสีสันและมุมมองที่กว้างพิเศษ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก เรียกได้ว่ากำลังพอดีทีเดียว และด้วยความที่จอเป็นแบบด้านแต่ก็ยังให้เรื่องสีสันสดใส ตอนสนองการทำงานของเราได้เป็นอย่างดี เมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกม
ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางฉียบเพียง 5.6 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งให้พื้นที่แสดงผลทั้งหมดกว่า 90% เลยทีเดียว แต่ก็ยังสามารถติดตั้งกล้องเว็บแคมพร้อมไมโครโฟนแบบคู่ไว้ที่ขอบจอด้านบนได้ปกติอยู่ ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ถึง 180 องศา ช่วยให้การนำเสนองานกับคนที่นั่งตรงข้ามกันง่ายยิ่งขึ้นด้วย
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอเครื่องมือ Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์ที่เราได้คาลิเบรทเอาไว้ ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่นเล็กน้อย
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 92% และค่า AdobeRGB อยู่ที่ 71% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอที่ดีกว่าในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไปแน่นอน หรือถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องบนขวาจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปที่ 9% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 จากคะแนนเต็ม 5 ถือว่าน่าประทับใจ
ลำโพงยังจัดวางมาในตำแหน่งส่วนของขอบตัวเครื่องด้านหน้าในส่วนด้านใต้เครื่อง แบบขนาด 2W x 2 คุณภาพเสียงเบสให้แน่นลึกยิ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป เพราะชุดลำโพงข้างในขยับได้เมื่อต้องการเสียงทุ่ม สำหรับคุณภาพเสียงการใช้งานต่าง ๆ สามารถทำออกมาได้ดี น่าประทับใจให้เสียงที่ดังพอตัว เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแน่นอน
Connector / Thin And Weight
MSI Prestige 14 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานบางเบาหน้าจอ 14″ ซึ่งมีไซส์และมิติโดยรวมเล็กกระทัดรัดกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น 2 x Thunderbolt 3 / 2 x USB 3.1 Type-A / 1 x HDMI 1.4 / micro-SD Card Reader และ Mic-in/Headphone-out ให้ความครบเครื่องมากกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ ทั่วไป โดดเด่นด้วย Thunderbolt 3 ถึง 2 พอร์ตด้วยกัน รองรับการชาร์จไฟด้วย เพราะอแดปเตอร์ก็เป็น USB-C แล้ว อีกทั้งมีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 AX พร้อมใช้งานตามมาตรฐานโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สเปก Core i Gen 10 ปลายปี 2019
ส่วนของการพกพาของ MSI Prestige 14 ก็ถือว่าทำได้เยี่ยมยอดเมื่อเทียบกับสเปก ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น ดีกว่าตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คค่ายอื่นๆ ที่ใช้สเปกนี้มาก ที่สำคัญอแดปเตอร์จ่ายไฟที่ 90 Watt นั้น มีขนาดที่เล็กและเบากว่าปกติ ทำให้การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากๆ น้ำหนักโดยรวมแล้วอยูที่ประมาณ 1.5 กิโลกรัมนิดๆ นับว่า MSI Prestige 14 เป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊คสายทำงานจริงจังที่เหมาะสมกับเหล่า ยูทูปเบอร์, ช่างภาพ, อนิเมเตอร์ และนักดนตรี ที่เน้นพกพาพมากที่สุดเลยทีเดียว
Performance / Software
MSI Prestige 14 ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง ได้ชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดระดับสูงอย่าง Intel Core i7-10710U สถาปัตยกรรม Comet Lakeใหม่ล่าสุด ทำงานแบบ 6 Core / 12 Thread ความเร็ว 1.10 – 4.70 GHz เทคโนโลยีการผลิตที่ 14 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 10 – 15 – 25Watt ที่เน้นความแรงกว่า Ice Lake 10 นาโนเมตร รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบายๆ ส่วนแรมก็ให้มาเป็นแบบ 16GB ที่เพียงพอต่อการใช้งานทันที อีกทั้งได้ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่ได้ทั้งขนาดที่ใหญ่ใส่ไฟล์ได้เยอะ
โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home Single Language มาตั้งแต่แกะกล่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์ Windows เลยครับ ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 620 ไม่ต่างจาก Core i Gen 8 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่ก็รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงได้แบบไม่มีปัญหา
อีกทั้งยังมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงที่เน้นความคุ้มค่าอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ และแรงกว่า GTX 1050 Ti แบบรู้สึกได้จากการที่สามารถขับเฟรมเรทได้ลื่นไหล โดยเป็นรอง GTX 1650 รุ่นปกติเล็กน้อย เพราะเน้นประหยัดพลังงานและปลดปล่อยความร้อนที่น้อยกว่า และแม้ไม่มีฟีเจอร์อย่างที่ใน RTX Series มี แต่ก็ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรุ่นแรงอย่าง Core i5-9300H ก็จัดว่ามีคะแนนใกล้เคียงกัน รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงพอตัวอยู่แล้ว เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนตระกูล U ของ Intel Core i Gen 10 ในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe ระดับกลางๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1607 MB/s และเขียนที่ 1028 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจ อาจจะไม่แรงสุดๆ ที่ 3,xxx MB/s ก็ตาม
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5002 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยกอย่าง GTX 1650 Max-Q ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากพอสมควร ระดับเทียบเท่า Desktop สบายๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-10710U ทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ทำให้ประสิทธิภาพออกมาได้ดีเยี่ยม เทียบเท่า Gaming Notebook ตัวแรงแบบสบายๆ ทีเดียว
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิด DX12 ทำให้ภาพสวยงาม แต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แบบไร้กังวล แต่เฟรมเรทก็น้อยกว่ารุ่น MSI Prestige 15 อยู่เล็กน้อย หลายเกมด้วยกัน ชนะอยู่เกมเดียวคือ PUBG
ที่สำคัญยังมี Creator Center เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบและพัฒนาโดย MSI ซึ่งคล้ายกับ Dragon Center เป็นโปรแกรมที่เป็นจุดเด่นของ Gaming MSI ก็ถูกมาปรับใช้ใน MSI Prestige 14 นี้ด้วย จุดเด่นคือใช้งานง่ายและสามารถช่วยเหลือ และ จัดการการปรับแต่งตั้งค่า MSI Notebook ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลน์ของทาง MSI ก็ว่าได้ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าเมนูมีอาทิเช่น
- Creator Mode : ศูนย์รวมโปรแกรม ที่ใช้งานในงานสร้างสรรค์ต่างๆ ที่เรามี
- System Monitoring : ตรวจสอบสถานะเครื่อง (ประสิทธิภาพ,ความเร็วของพัดลม,ความร้อน)
- System Tuner : ปรับแต่งตั้งค่าการใช้งานต่างๆของ MSI Notebook
- Battery Master : ปรับแต่งการชาร์จแบตเตอรี่ให้เหมาะกับการใช้งาน
- Tools & Help : ติดต่อ MSI และ ฟังก์ชั่นช่วยเหลือต่างๆ ที่จำเป็น
หรือจะย่อเป็นหน้าต่างโปรแกรมเล็กๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน ก็ดูเก๋ๆ ไปอีกแบบ สะดวกใช้งานด้วย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน MSI Prestige 14 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ เกือบ 12 ชั่วโมงโดยประมาณ ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ไม่ยาวนานอย่างที่เคลมเอาไว้ว่าที่ 16 ชั่วโมง แต่โดยส่วนตัวก็ถือว่ายอมรับได้ (ใช้ได้นานมากแล้ว) จากการที่น้ำหนักเบาตัวเครื่องบาง พกพาอแดปเตอร์ไปอีกตัวก็พอไหวอยู่ พร้อมความสามารถ PD ที่ชาร์จไฟกลับเข้าไป 15 นาที เครื่องก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน 2 ชั่งโมงแล้ว
สำหรับอุณหภูมิทดสอบด้วยโปรแกรม Hardware Monitor ยังไม่สามารถตรวจสอบในส่วนของชิปประมวลผลได้ แต่จากการทดสอบเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 35 – 43 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 27 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ประสิทธิภาพโดยรวมยังลื่นไหลอยู่ ซึ่งในส่วนของการ์ดจอจะร้อนสุดอยู่ที่ 74 องศาเซลเซียส ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่มีฟีเจอร์ Cooler Boots แต่ถ้าใช้งานทั่วไป พัดลมแทบไม่มีเสียงเลย
Conclusion / Award
MSI ได้มีความตั้งใจในการนำเสนอโน้คบุ๊คสายทำงานมืออาชีพออกมาใหม่เรื่อยๆ จากการที่ปกติเราจะเห็นแต่สาย Gaming ถึงเวลาที่ MSI จะต้องออกผลิตภัณฑ์ตระกูล Prestige ตัวใหม่ สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ที่ใหม่ล่าสุด พร้อมนำมาประยุกต์เข้ากับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และตัวเองถนัด อย่างการนำข้อดีต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ตระกูล Gaming มาทำให้มีความเป็นมืออาชีพ เหมาะสำหรับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาพ และงานกราฟฟิกต่าง ๆ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการโน๊ตบุ๊คไว้ใช้ทำงานเป็นหลัก แล้วก็อาจจะไปนำเล่นเกมได้บ้าง
MSI Prestige 14 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสเปก Core i Gen 10 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ เหมาะสำหรับมืออาชีพสายต่างๆ อาทิ ยูทูปเบอร์, ช่างภาพ, อนิเมเตอร์ และนักดนตรี ด้วยหน้าจอ 14″ สุดบางเฉียบ ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นเรื่องความบางเบา เน้นพกพายิ่งกว่ารุ่นหน้าจอ 15.6″ และมีประสิทธิภาพเยี่ยม ทำให้มันกลายมาเป็น Ultrabook ที่มีขนาดกระทัดรัด ดีไซน์ภายนอกจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเงิน เพื่อให้มีความเรียบหรูมากขึ้น และมาพร้อมกับไฟคีย์บอร์ดสีขาว ทัชแพดก็มีขนาดที่ใหญ่โตมากๆ มีที่สแกนลายนิ้วมือด้วย โดยที่วัสดุตัวเครื่องจะทำมาจากอลูมิเนียม และมีน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัม เบามาก!!
โดยเฉพาะในแง่ของการดีไซน์ MSI Prestige 14 มีเอกลักษณ์แต่ทันสมัยและแต่ต่างจากรุ่นก่อนหน้า ด้วยโลหะวัสดุอลูมิเนียมและสีสัน Carbon Gray และยังมาพร้อมความบาง เบาพกพาง่ายมาก ทั้งราคาและสเปกภายในถือว่ามีความคุ้มค่ามากๆ ได้ทั้งการ์ดจอที่แรงระดับ Gaming อย่าง GeForce GTX 1650 Max-Q และแรมที่ขนาด 16GB พร้อม SSD ความจุ 512GB ที่แรงกว่า ยังไงใครต้องการโน๊ตบุ๊คพกพาเน้นทำงานเป็นหลัก หรือจะเล่นเกมบ้างก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว นักเรียนนักศึกษาคนทำงานจัดได้หมด หนุ่มๆ น่าจะชอบ หรือสาวๆ ก็จะดูเท่ไปอีกแบบ
ในส่วนของหน้าจอก็จัดได้ว่าเป็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยค่าขอบเขตสี sRGB ที่ 92% และค่า AdobeRGB อยู่ที่ 71% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ ขอบหน้าจอก็บางเฉียบตัวเครื่องก็เล็กกระทัดรัด เน้นพกพาสุดๆโดยแบตเตอรี่จากการใช้งานจริงๆ ทดสอบได้ที่เกือบ 12 ชั่วโมง นับได้ว่าแทบไม่ต้องพกอแดปเตอร์ออกไปด้วยแล้ว แต่จะพกพาไปด้วยก็ไม่เป็นไรเพราะก็ไม่ใหญ่โตมาก พร้อมทั้งตัวเครื่องยังมีพอร์ต Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต ซึ่งเป็น USB-C ที่ต้องบอกว่าเป็นพอร์ตที่ดีที่สุดแล้ว นอกจากนี้การเชื่อมต่อไร้สายยังเป็น Wi-Fi 6 AX ที่ปลอดภัยและแรงกว่าเดิม 3 เท่าอีกด้วย
สรุปแล้วสำหรับ MSI Prestige 14 เหมาะสำหรับคนหรือใครที่กำลังมองหาโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ สเปก Core i Gen 10 ที่ดีที่สุดบางเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในงบประมาณที่สี่หมื่นบาทต้นๆ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไป หรือหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือถ้าจะเล่นเกมบ้างก็สามารถทำได้ดีลื่นไหล ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคาค่าตัว เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คสเปกทั่วไป หรือกรณีที่อยากได้สเปกแรงแต่ไม่อยากได้ดีไซน์แบบ Gaming Notebook
แต่ๆ ถ้าเล่นเกมจริงจังยังไงลองดูเป็น MSI GL65 ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกว่า แม้ตัวเครื่องจะหนักกว่า ที่สำคัญคือได้ฟีเจอร์รวมๆ แล้วเค้าออกแบบมาให้ Gamer จริงๆ นั่นเอง อาทิ หน้าจอ ชุดระบายความร้อน ไฟคีย์บอร์ด เป็นต้น หรือถ้าเลือกให้จอใหญ่เป็น MSI Prestige 15 ก็จะได้ประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นจากพัดลมระบายความร้อน 2 ตัว พร้อม SSD 1TB ที่ทั้งใหญ่และเร็วกว่า แต่แบตเตอรี่ก็จะน้อยลงกว่าหน่อย เอาว่าสนใจลองไปดูตามหน้าร้านได้เลย
ข้อดี
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจ งานประกอบแน่นวัสดุดี แนวเรียบหรู
- ตัวเครื่องบางเฉียบ เล็กกระชับกว่าเดิม โดยมีน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น
- Ergonomics View Design ที่ช่วยยกตัวให้สูงขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น
- สเปคแรง Core i7-10710U และการ์ดจอ GTX 1650 Max-Q เทียบเท่า Gaming Notebook
- หน้าจอแสดงผลกางได้ 180 องศา ขอบจอบางเฉียบขนาด 15.6″ ขอบเขตสี sRGB 92%
- จัดเต็มเรื่องแรมที่ 16GB และ SSD M.2 NVMe ที่ 512GB ไม่ต้องอัพเกรดอะไรแล้ว
- มี Windows 10 แท้ พร้อมซอฟ์ตแวร์ที่ดี ใช้งานได้ทันที
- ประสิทธิภาพดีทั้งการทำงานและการเล่นเกม
- คีย์บอร์ดใช้งานได้ดี มีไฟส่องสว่างใช้งานได้จริง
- มีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Wi-Fi 6 AX ใหม่ล่าสุด
- การจัดการความร้อนในส่วนของการ์ดจอทำได้ดี
- ให้พอร์ต Thunderbolt มา 2 พอร์ต รองรับการชาร์จไฟ
- อแดปเตอร์มีขนาดที่เล็กและเบา พอร์ตเป็น USB-C PD ชาร์จมือถือก็ได้
- ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปกและฟีเจอร์
ข้อสังเกต
- การแกะงัดทำได้ไม่ง่าย ไม่แนะนำให้ทำเองเพื่ออัปเกรดหรือทำความสะอาด
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 12 ชั่วโมง ไม่เหมือนที่เคลมไว้ 16 ชั่วโมง แต่ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
- ประสิทธิภาพเป็นรองรุ่น MSI Prestige 15 เล็กน้อย จากการที่มีพัดลมระบายความร้อนตัวเดียว
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ ด้วยกัน ซึ่ง MSI Prestige 14 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
ชิปประมวลผลเป็น Inte Core i7-10710U ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพแรงระดับ Core i Gen 9 ตระกูล H พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ที่ทั้ง 2 อย่างนี้แรงเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไป มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ MSI Prestige 14 อยู่ในระดับที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 1.29 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมอแดปเตอร์ก็เบาและเล็กกว่าปกติมากๆ ถือว่ามีการพัฒนาไปในทุกส่วน รวมแล้วหนักแค่ 1.5 กิโลกรัมนิดๆ เท่านั้น โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ แม้แบตอาจจะใช้งานได้ไม่ถึง 16 ชั่วโมงจริงๆ ตามที่เคลมไว้ก็ตาม แต่ 12 ชั่วโมงก็ถือว่าใช้งานแบตได้นานมากแล้ว
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ MSI ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน MSI Prestige 14 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวในมิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ขอบจอบางเฉียบ แต่มีการออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ออกแนวพรีเมียมและเรียบหรูมากยิ่งขึ้นพ ร้อมกับใช้สี Carbon Gray กับตัวเครื่องด้านนอกและสีเทากับตัวเครื่องด้านในตลอดทั้งตัวเครื่อง การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง อีกทั้งยังใช้ diamond-cutting สีฟ้าสดใสตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาเชื่อได้ว่าหลายๆ คนส่วนมากต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน