MSI Prestige 14 / Prestige 15 เป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับประสิทธิภาพและฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกมากมาย ซึ่ง CPU ใช้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 รุ่นล่าสุดอย่าง Core i7-10710U ผสานการทำงานร่วมกับการ์ดจอตัวแรง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ส่งให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ทรงพลังอย่างที่สุด สนับสนุนทั้งทำงานและเล่นเกมที่เหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบารุ่นอื่นๆ
พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ True Pixel มาตรฐานความละเอียดสูงสุดเป็น 4K Ultra HD ที่จะช่วยให้เหล่าครีเอเตอร์ได้เติมเต็มประสบการณ์ในด้านการสร้างสรรค์ผลงานได้มากยิ่งขึ้น จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้แล้ว อีกทั้งได้ฟีเจอร์อื่นๆ ที่ครบครันตามสไตล์ของ MSI ที่จัดเต็ม ไม่เกรงใจใคร โดยเร็วๆ นี้ได้พบรีวิวเต็มของ MSI Prestige 14 / Prestige 15 กันแน่นอน
MSI Prestige 14 / Prestige 15 เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความโดดเด่นออกมาจากผลิตภัณฑ์ Gaming Notebook แบบปกติของ MSI ด้วยความบาง 15.9 มม. และน้ำหนักที่เบาเพียง 1.2 / 1.6 กิโลกรัมตามลำดับ รูปแบบโน๊ตบุ๊คบางเบาเรียกได้ว่าถือมือเดียวได้สบายๆ พกพาไปใช้งานนอกบ้านได้อย่างสะดวก มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-10710U รุ่นใหม่ สถาปัตยกรรม Comet Lake ที่ 14 นาโนเมตร ให้ความแรงที่ทรงพลังเทียบเท่า Core i Gen 9 ตระกูล H ได้การ์ดจอรุ่นใหม่อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q (4GB GDDR 5) แรม 16 – 32GB พร้อม SSD NVMe ความจุ 512GB – 1TB พร้อม Windows 10 ในราคาเริ่มต้นเพียง 43,900 บาท จนไปถึง 59,900 บาท
- Prestige 14 : i7-10710U / GTX 1650 Max-Q / RAM 16GB / SSD 512GB / 14″ Full HD ราคา 43,900 บาท
- Prestige 15 : i7-10710U / GTX 1650 Max-Q / RAM 16GB / SSD 1TB / 15.6″ Full HD ราคา 47,900 บาท
- Prestige 15 : i7-10710U / GTX 1650 Max-Q / RAM 32GB / SSD 1TB / 15.6″ Ultra HD ราคา 59,900 บาท
สเปกที่จัดเต็มให้ทั้ง 3 รุ่น ตอบโจทย์การใช้งานแบบสุดๆ แทบไม่ต้องอัพเกรดอะไรเลย ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็ครบครันด้วย Wi-Fi 6 AX (แรงกว่า AC สามเท่า) และ Bluetooth 5.0 ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อก็มีทุกรูปแบบรวมไปถึงได้ Thunderbolt 3 เป็นมาตรฐานอีกด้วยในส่วนของกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน VDO Call ติดตั้งไว้ใต้หน้าจอ เพราะขอบจอบางมากๆ รวมถึงติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้มาใช้งานได้ทันทีในการเปิดเครื่องครั้งแรก พร้อมซอฟต์แวร์ Ceadtor Center ช่วยปรับแต่งการทำงาน พร้อมการรับประกัน 2 ปี ตามมาตรฐานของ MSI
มีความแปลกใหม่จากเดิมคือ ดีไซน์การออกแบบที่ดูทันสมัยและแตกต่างจาก MSI แบบเดิมๆ พร้อม Finger Scan ที่จะช่วยให้โน๊ตบุ๊คของเรามีความปลอดภัย ที่สำคัญขอบหน้าจอก็มีความบางมากๆ แทบจะไร้ขอบทีเดียว ทำให้จอ 15.6″ แต่ตัวเครื่องเทียบเท่า 14″ หรือรุ่นหน้าจอ 14″ ก็จะเทียบเท่ากับ 13.3″ อีกทั้งด้วยที่เป็นพาเนล IPS ช่วยให้มุมมองในการมองเห็นเพิ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมขอบเขตสีที่กว้างกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป เรียกได้ว่าทั้งสเปก ฟีเจอร์ วัสดุ เหนือกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ ค่าย อีกทั้งได้ความแรงแบบสุดๆ อีกด้วย
สำหรับ MSI Prestige 14 / Prestige 15 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงแต่บางเบาขนาดหน้าจอ 14″ / 15.6″ รุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่งที่ครบเครื่อง ถูกต่อยอดมาจาก MSI Prestige รุ่นก่อนๆ ในเรื่องของการดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก โดยยังรักษาความเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.2 / 1.6 กิโลกรัม ทำให้ถือมือเดียวได้สบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอะลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมตัดขอบเพชรเพิ่มความหรูหรา
โดยฝาหลังและดีไซน์ทั้งหมดมีการเลือกใช้ให้มีความเข้ากันอย่างที่สุด กับพื้นผิวส่วนของฝาหลังและตัวเครื่องเป็นลักษณะแบบด้าน พร้อมกับใช้สีน้ำเงิน Carbon Gray กับตัวเครื่องด้านนอกและสีเทากับตัวเครื่องด้านในตลอดทั้งตัวเครื่อง ตั้งแต่โลโก้ ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน พร้อมตกแต่งรายละเอียดบริเวณขอบด้วยเทคโนโลยี diamond-cutting สีฟ้าสดใส ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่โน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพต้องดูดำๆ ดีไซน์โบราณ ให้กลายเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูน้อยแต่เรียบหรูแทนนั่นเอง
ด้านฐานล่างตัวเครื่องจากรุ่นก่อนใช้วัสดุผ้าอะลูมิเนียมชิ้นเดียวตลอดทั้งชิ้น ลักษณะเป็นอลูมิเนียมเรียบๆ แตกต่างจากฝาหลังและตัวเครื่องด้านใน พร้อมมียางรองจำนวน 5 จุด ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ทาง MSI ใส่ใจเป็นพิเศษอยู่แล้วไม่แพ้ฝั่ง Gaming Notebook เลย
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะอยู่ตรงกลางเหนือชุดคีย์บอร์ด พร้อมบริเวณรอบๆ ก็เป็นช่องระบายความร้อนที่ที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างเรียบเนียน ทีสำคัญ MSI Prestige 14 / Prestige 15 ใช้เทคโนโลยี Cooler Boost แบบพัดลม 2 ตัวอยู่ทางด้านหลังของตัวเครื่อง ยิงเป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 1 ตัว) ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 3 เส้น โดยแยกฝั่ง CPU และ GPU ออกจากกัน ในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดให้พื้นที่หน้าจอกว่า 90% ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ซึ่งการใช้งานจริงมุมมองมันก็จะดู เป็นปกติกว่าโน๊ตบุ๊คบางรุ่นที่ย้ายไปติดตั้งที่อื่น ส่วนความบางตัวเครื่องอยู่ที่ 15.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ถือว่า MSI นำเสนอโน๊ตบุ๊คที่ทั้งเบามากๆ แถมยังบางสุดๆ ท้าชนกับแบรนด์อื่นๆ ได้อย่างสบายๆ เลยครับ สำหรับการเปิดปิดฝาของหน้าจอก็ทำได้ง่ายเพราะขอบตัวเครื่องด้านหน้าได้มีการเว้นร่องเว้าเอาไว้สวยงาม
รวมถึงระยะเวลาในการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานสูงสุดถึง 16 ชั่วโมง จากการใช้งานในโหมด Super battery ECO โดยการผู้ทำงานด้านการออกแบบส่วนใหญ่ บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้งานของโน๊ตบุ๊คสำหรับพวกเขานั้นก็คือ ระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานของแบตเตอรี่ ที่ไว้มีโอกาสในส่วนนี้คงต้องบอกทดสอบกันในสถานการณ์จริงๆ กันอีกที
คีย์บอร์ดของ MSI Prestige 14 / Prestige 15 เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นอื่นๆ ของทาง MSI แบบสิ้นเชิง ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด ด้วยการที่รูปแบบปุ่มมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าคีย์บอร์ด MSI แบบเดิมๆ ที่สำคัญด้วยไฟ LED สีขาวสวยงาม เข้ากับตัวปุ่มสีเงินเทาเป็นอย่างดี ดูแล้วสะอาดตา พรีเมียมสุดๆ แน่นอนว่าไม่มีชุด Numpad อยู่แล้ว จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่ลงนั่นเอง ที่นับว่าเป็นข้อจำกัดที่รับได้อยู่แลกกับตัวเครื่องโดยรวมมีมิติที่เล็กลงกว่าโน๊ตบุ๊คยุคก่อนมากๆ
ทัชแพดมีขนาดใหญ่มากๆ ลักษณะเป็นฝืนผ้ายาว โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด วัสดุที่ใช้ทำจากกระจกคุณภาพดี ทำให้การใช้งานมีความเรียบลื่น พร้อมกับพื้นที่ในการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น 35% รองรับการใช้งานแบบมัลติทัช การใช้งานโดยจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับทัชแพดรุ่นก่อนๆ มีการตัดขอบด้านบนดูโค้งมน เข้ากับตัวเครื่องโดยรวม พร้อมมีฟีเจอร์อย่างสแกนลายนิ้วมือ Finger Print ไว้ให้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อที่จะเข้าใช้งานตัวเครื่องเพื่อความปลอดภัยแบบไม่ต้องใส่รหัสไปมาทุกครั้งอีกด้วย ส่วนการใช้งานก็ตอบสนองได้รวดเร็วไม่แพ้มือถือในปัจจุบันเลยล่ะ
MSI Prestige 14 / Prestige 15 ได้ติดตั้งหน้าจอขนาด 14″ / 15.6″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD หรือ 3840 x 2160 พิกเซล Ultra HD 4K ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ประทับใจอย่างสุดๆ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางเฉียบโดยมีพื้นที่แสดงผลกว่า 90% จอเป็นแบบด้านที่ให้เรื่องสีสันสดใส รองรับใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ถึง 180 องศา ทำให้นำเสนองานได้อย่างเต็มที่และง่ายขึ้นกว่าเดิม
พร้อมด้วยฟีเจอร์ True Color เพื่อให้สีสันมีความแม่นยำตรงกับใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ด้วยมาตรฐาน 100% AdobeRGB ทำให้การแสดงผลของสีที่มีมิติมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานความแม่นยำของสีที่เป็นที่ยอมรับกันในอุตสาหกรรมชั้นนำอย่าง Delta-E<2 ที่จะช่วยการันตีว่าสีที่ได้นั้น มีความถูกต้องและแม่นยำแน่นอน หน้าจอ True Pixel ทั้งหมดของ MSI นั้น ยังได้รับประกันคุณภาพจากการตรวจสอบของมาตรฐานระดับโลกอย่าง CalMAN เพื่อการแสดงผลของภาพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
สรุปพรีวิวนับได้ว่า MSI Prestige 14 และ 15 เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานด้านคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากที่สุดเครื่องหนึ่งในปัจจุบัน ทำให้ MSI ซีรี่ส์ Prestige ใหม่ล่าสุดนี้ จะทำให้คุณได้สัมผัสกับช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ที่ไร้ที่ติ ไว้ยังไงเร็วๆ นี้มีโอกาสแอดมินโป้งจะมารีวิว MSI Prestige 14 และ 15 กันเต็มๆ อีกทีครับ แต่จะเป็นรุ่นไหนสเปกใด รอติดตามกันอีกที บอกได้เลยว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้แล้ว ทำให้มีความน่าสนใจที่สุด ณ ตอนนี้ก็ว่าได้