เชื่อว่าในตอนนี้ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่ไม่ค่อยรู้เรื่องของหูฟังมากนัก อาจจะมองแค่ว่าราคาถูกกับใช้งาได้ก็พอ ส่วนคนที่พอมีความรู้เรื่องหูฟังบ้างนั้นก็อาจจะอยากได้หูฟังเสียงดี ๆ ราคาไม่แพง ซึ่งเดิมทีแล้วเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก ทว่าในปัจจุบันนี้หูฟังเสียงดี เสียงเทพ ในราคาไม่แพงเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในบทความนี้จะมาแนะนำวิธีเลือกซื้อรวมถึงยกตัวอย่างหูฟังเสียงดีๆ ในราคาไม่สูงมากไว้เป็นตัวอย่างกันครับ
วิธีการเลือกซื้อหูฟัง
1.กำหนดจุดประสงค์หลักในการใช้หูฟัง
ลำดับแรกเลยต้องมาดูกันก่อนว่าหูฟังที่เรากำลังมองหาอยู่นั้นเราต้องการนำมาใช้งานในส่วนใดเช่น อยากได้หูฟังเอาไว้ฟังเพลง, เล่นเกมส์ หรือดูหนัง เนื่องจากหูฟังแต่ละประเภทนั้นถูกออกแบบมาไม่เหมือนกัน บางรุ่นเหมาะสำหรับฟังเพลง บางรุ่นเหมาะสำหรับเล่นเกมส์ หรือบางรุ่นเหมาะสำหรับดูหนัง ข้อนี้เราจึงจำเป็นต้องตอบตัวเองให้ได้เสียก่อนว่าสิ่งใดคือจุดมุ่งหมายในการที่เราจะซื้อหูฟังไปใช้ เพราะถ้าเราไม่กำหนดทิศทางเหล่านี้อาจจะได้หูฟังที่ไม่ตรงกับความต้องการส่วนใหญ่ของเราก็เป็นได้ครับ
2.ทำความรู้จักกับหูฟังแต่ละประเภท และเลือกประเภทของหูฟังให้เหมาะกับ Lifestyle ของตัวเอง
โดยหูฟังนั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Earbuds, In-Ear ,On-Ear และ Full-Size
1. in-ear
เป็นหูฟังที่สะดวกต่อการพกพาอย่างมากด้วยขนาดตัวหูฟังที่มีขนาดเล็กจึงทำให้สามารถสอดเข้าไปในหูได้ โดยหูฟังประเภทนี้เหมาะกับการนำเอาไปฟังเพลง เพราะเป็นหูฟังที่ให้รายละเอียดเสียงได้ดีมาก อีกทั้งยังให้มิติของเสียงดีที่สุดด้วยเมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ ด้วยความที่เป็นหูฟังแบบแยงหู จึงทำให้ลดเสียงรบกวนภายนอกได้อย่างดี ทว่าด้วยความที่ลดเสียงรบกวนได้ดีเลยทำให้ไม่สามารถได้ยินเสียงจากสภาพแวดล้อมรอบตัวได้เลย
2. earbud
เป็นหูฟังที่สะดวกต่อการพกพาอย่างมาก ราคาจับต้องได้ง่าย หาซื้อได้ทั่วไป เก็บรายละเอียดเสียงได้ดี(ไม่เท่า in-ear) เสียงค่อนข้างโปร่ง ฟังสบาย แต่หูฟังประเภท earbud จะไม่สามารถกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้เลย แต่ก็ทำให้สามารถได้ยินเสียงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ ทว่า earbud นี้เวลาเครื่อนไหวเร็วๆ จะหลุดง่ายมาก
3. on-ear
เป็นหูฟัง Full-size ขนาดเล็ก โดยเวลาใส่ตัวฟองน้ำหูฟังจะแนบพอดีที่ใบหู จุดเด่นของหูฟังประเภทนี้คือให้เสียงที่กว้างขวาง ฟังสบายตามลักษณะของหูฟัง Full-size ถึงแม้จะทำให้เสียงด้อยลงมาบ้างแต่ก็แลกมากับความสามารถในการพกพาด้วยน้ำหนักที่เบากว่า Full-size แต่ด้วยความที่ตัวฟองน้ำแนบหูพอใส่ไปนาน ๆ อาจจะทำให้เกิดอาการร้อนใบหู หรือเหงื่อชุ่มหูได้เช่นกัน
4. Full-Size
เป็นหูฟังที่นัก Audiophile(นักฟังเพลงหูทอง) ชื่นชอบกันมาก โดยสวมใส่แบบครอบหูจึงทำให้ใส่สบาย ฟังนาน ๆ ได้ ตัวหูฟังส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ บางตัวใหญ่มากจนไม่สะดวกต่อการพกพา แน่นอนว่าสิ่งที่แลกกับขนาดที่ใหญ่มากนั้นคือคุณภาพของเสียงที่เป็นธรรมชาติ สมจริง ฟังสบาย นักเล่นหูฟังหลายต่อหลายคนเมื่อได้มาลองใช้หูฟัง Full-Size แล้วมักจะติดใจในคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยม ดังนั้นหูฟังประเภทนี้จึงเหมาะกับการใช้งานอยู่กับที่มากกว่า
3. กำหนดช่วงราคา และไปทดลองฟังด้วยตนเอง
ตัวเรานั้นต้องกำหนดช่วงราคาที่เราต้องการจะเลือกซื้อ ว่าอยากจะได้หูฟังที่อยู่ในช่วงราคา 100-500, 1,000-3,000 บาท, 5,000-10,000 บาท หรือ 12,000-20,000 บาท อันนี้ก็แล้วแต่ว่าเราจะกำหนดช่วงราคาของตัวเองเอาไว้มากน้อยแค่ไหน
โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้หลัก 3 ข้อนี้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อ ซึ่งหากอยากรู้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้ตัดสินได้ง่ายสามารถเข้าไปอ่านบทความสอนอ่านสเปคหูฟังได้เลยครับ
สำหรับหูฟังในแต่ละประเภทที่มีราคาไม่แพงแต่คุณภาพเสียงดี จะทำการยกตัวอย่างโดยแยกเป็นประเภท ๆ ละ 1 ตัวดังต่อไปนี้
earbud – โปรเจกละมุน ของ เบสหนัก.คอม โดยแนวเสียงจะเน้นความโปร่งฟังสบาย เบสกระชับ ไม่แหลมบาดหู
in-ear – KZ ZSR มาพร้อม Dynamic Driver 1 ตัว และ Balance Amateur Driver 2 ตัว โดยแนวเสียงจะเน้นความนุ่มฟังสบาย เบสกระชับ ไม่แหลมบาดหู เก็บลายละเอียดได้ดี
on-ear – Sony MDR-ZX310AP เป็นหูฟังที่ให้เสียงกลางๆ ค่อนไปทางเสียงเบสแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ดังจนไปกลบเสียงย่านอื่นมากเกินไป
Full-Size – Logitech G431 เป็นหูฟังเกมมิ่งที่มีช่วงเสียงต่ำและกลางกระหึ่มและจัดเต็ม มี DTX 2.0 ที่ช่วยในเรื่องของการแบ่งเสียงออกเป็นมิติต่าง ๆ และระบุเสียงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น