อุปกรณ์สายเกมมิ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน Computex 2019 ปีนี้เลยก็ว่าได้ครับ โดยแต่ละแบรนด์ก็จัดเต็มทั้งในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และเปิดตัวนวัตกรรมต่าง ๆ ของตนเอง ซึ่งทาง HyperX เองก็จัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากมายเลยทีเดียว จะมีอะไรบ้าง มาชมกันในบทความนี้ได้เลยครับ
คอนเซ็ปท์ของ HyperX ประจำปีนี้ก็คือ “We’re All Gamers” ที่สื่อถึงว่าทุก ๆ คนสามารถเป็นเกมเมอร์ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าแต่ละคนจะชอบสไตล์ไหน ชอบเล่นเกมแนวใด จะเล่นเกมพีซีหรือคอนโซล จะมีฝีมือระดับมือโปรหรือเล่นแบบเน้นความสนุก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเกมเมอร์กันทั้งนั้น ซึ่ง HyperX เองก็มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของเกมเมอร์แต่ละคนได้เป็นอย่างดี
กลุ่มแรกที่พบในงานนี้ก็คือผลิตภัณฑ์ซีรีส์ HyperX Fury ที่มีทั้งแรมสำหรับเครื่องเดสก์ท็อปอย่าง HyperX Fury DDR4 RGB และ SSD อย่าง HyperX Fury RGB SSD โดยผลิตภัณฑ์ในซีรีส์จะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความคุ้มค่าของประสิทธิภาพต่อราคาที่ดี สามารถหาซื้อมาใช้งานหรืออัพเกรดเครื่องเดิมได้ในงบประมาณที่ไม่บานปลาย แต่ยังได้ประสิทธิภาพระดับสูง แถมยังมีไฟ RGB สวย ๆ ยั่ว ๆ สำหรับแต่งเครื่องอีกด้วย
ที่น่าสนใจของแรม HyperX Fury DDR4 RGB ก็คือความสามารถในการปรับแต่งสีไฟ RGB ผ่านซอฟต์แวร์ NGenuity ได้อย่างง่ายดาย จะเปลี่ยนสี เปลี่ยนรูปแบบของไฟ เปลี่ยนความเร็วของการกระพริบก็ทำได้สะดวกมาก ๆ
ผลิตภัณฑ์ซีรีส์ต่อมาก็คือ HyperX Predator DDR4 RGB ที่เป็นแรมสำหรับเครื่องเดสก์ท็อปที่มีประสิทธิภาพและฟังก์ชันมากกว่าซีรีส์ Fury ด้วยจุดเด่นต่าง ๆ เช่น
- ประสิทธิภาพสูง มีความเร็วให้เลือกอย่างหลากหลาย
- รองรับ XMP
- มีอินฟราเรดสำหรับช่วยซิงค์การทำงานของไฟ RGB ระหว่างแรมแต่ละแท่งให้ทำงานตรงกัน
ซึ่งเจ้าฟังก์ชันหลังสุดนี้น่าสนใจมากครับ เพราะน่าจะมีหลาย ๆ คนเคยเจอปัญหาว่าแรม RGB ที่ใช้อยู่ เมื่อใช้งานไปซักระยะหนึ่ง ความเร็วของการกระพริบ และการเปลี่ยนสีไฟจะเริ่มไม่เท่ากัน จนอาจต้องเข้าไปตั้งค่าสีไฟใหม่เพื่อให้จังหวะกลับมาตรงกันอีกครั้ง
แต่สำหรับแรม HyperX Predator DDR4 RGB แต่ละแท่งจะมีชุดเซ็นเซอร์รับส่งสัญญาณอินฟราเรดอยู่ ซึ่งเมื่อใช้งาน แรมแต่ละแท่งก็จะมีการส่งข้อมูลการทำงานของชุดไฟ RGB ถึงกันและกัน แล้วทำการปรับให้จังหวะตรงกันโดยอัตโนมัติ
และนอกเหนือจากอินฟราเรดที่ช่วยซิงค์ไฟ RGB แล้ว ประสิทธิภาพของ HyperX Predator DDR4 RGB ก็ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย อย่างในภาพนี้ก็เป็นเครื่องเดโมที่ทำการโอเวอร์คล็อกแรมขึ้นไปได้ความเร็วถึง 5000 MHz พร้อมค่า CL อยู่ที่ 19-21-21-42
ผลิตภัณฑ์กลุ่มต่อมาของ HyperX ก็จะเป็นกลุ่ม peripherals ที่มีทั้งหูฟัง เมาส์ คีย์บอร์ด และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ มากมาย
อย่างหูฟังที่มีโชว์ในงานก็เช่น HyperX Cloud Alpha ที่เป็นโทนสีใหม่แบบม่วง-ขาว
HyperX Cloud MIX ก็เป็นหูฟังเกมมิ่งที่รองรับระบบเสียงระดับ Hi-Res รวมถึงยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth อีกด้วย น่าสนใจสำหรับทั้งใช้ในการเล่นเกม ดูหนัง และฟังเพลงมาก ๆ
ต่อมาก็คือ HyperX Cloud Alpha S ที่มาพร้อมระบบเสียง 7.1 รอบทิศทาง และยังมีรีโมทสำหรับปรับการทำงานมาให้ด้วย โดยตัวรีโมทก็จะมีทั้งปุ่มเปิด/ปิดการจำลองเสียง 7.1 ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง และก็ปุ่มสำหรับช่วยในการปรับระดับเสียงจากในเกม และเสียงสนทนาในระหว่างการเล่นเกมให้เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละสถานการณ์
หูฟังรุ่นสุดท้ายที่จัดว่าเป็นไฮไลท์ที่สุดของ HyperX ในงานนี้ก็คือ HyperX Cloud Orbit S ที่อัดคุณสมบัติมาแน่น ๆ เลย ได้แก่
- ไดรเวอร์ขับเสียงคุณภาพสูงจาก Audeze ขนาด 100 มม.
- ระบบเสียง Wave NX 3D Audio ที่ช่วยจำลองประสบการณ์เสียงชั้นยอด
- ระบบเสียง Wave NX head tracking ที่จะจำลองทิศทางของเสียงตามการหันศีรษะของผู้ใช้
สำหรับข้อสุดท้าย อันนี้จะมีบูทเดโมให้ได้ลองกันด้วยครับ โดยจะเป็นเกมขับรถที่เมื่อใส่หูฟังแล้วลองหันศีรษะไปตามทิศทางต่าง ๆ ตัวหูฟังก็จะปรับสมดุลเสียงให้เหมาะสมด้วย เช่น เมื่อหันหน้าไปด้านข้าง เสียงเครื่องยนต์ก็จะเปลี่ยนทิศทางไป เสมือนว่ากำลังนั่งขับรถอยู่จริง ช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งานได้อีกขั้น ต่างจากระบบเสียงรอบทิศทางในหูฟังรุ่นอื่น ๆ ที่ก็จะยังคงให้เสียงรอบทิศทางอยู่ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็ตาม
นอกเหนือจากหูฟังเกมมิ่งแล้ว HyperX เองก็มีไมค์อย่าง QuadCast ด้วยครับ เรื่องของฟังก์ชัน คุณสมบัติต่าง ๆ บอกได้เลยว่าเหมาะกับแคสเตอร์กับ Youtuber มาก ๆ แต่สำหรับในไทยอาจจะต้องรอดูกันอีกทีครับว่าจะมีมาวางจำหน่ายหรือไม่ เพราะทาง HyperX แจ้งว่าขนาดในไต้หวันเองยังขายดีจนผลิตกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว
ส่วนด้านล่างนี้ก็จะมาดูกันตรงกลุ่มของคีย์บอร์ดกันต่อครับ ตัวแรกนี่บอกเลยว่าเป็นไฮไลท์จริง ๆ
คีย์บอร์ดที่เป็นไฮไลท์ของ HyperX ในงาน Computex 2019 นี้ก็คือ HyperX Alloy Origins ที่นับเป็นจุดกำเนิดอีกครั้งของ HyperX เนื่องจากเป็นคีย์บอร์ดรุ่นแรกที่มาพร้อมกับสวิทช์ปุ่มกดแบบแมคคานิคัลที่ทาง HyperX พัฒนาขึ้นมาเอง จุดเด่นของ HyperX Alloy Origins และสวิทช์HyperX ตัวนี้ก็คือ
- การวางไฟ LED แบบ DIP ที่ตัวหลอดไฟจะถูกวางแยกออกมาจากตัวสวิทช์
- การตอบสนองที่รวดเร็ว
- ระยะในการกดที่น้อย (เพียง 3.8 มม.)
ซึ่งจากที่ผมลองกดดู ส่วนตัวผมรู้สึกว่าตัวปุ่มจะใช้แรงกดที่น้อยกว่าคีย์บอร์ดที่ใช้สวิทช์ Cherry MX Red อยู่เล็กน้อย และระยะในการกดก็น้อยจริง ๆ เพียงแค่กดลงไปนิดเดียวก็สามารถป้อนคำสั่งได้แล้ว ส่วนจะวางขายในไทยเมื่อไหร่นั้น คงต้องติดตามกันต่ออีกทีครับ
ส่วนคีย์บอร์ดรุ่นอื่น ๆ ที่โชว์ในงานก็อาจจะคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น HyperX Alloy Elite RGB, HyperX Alloy Core RGB และก็ HyperX Alloy FPS RGB ที่วางจำหน่ายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ชุดภาพด้านบนนี้ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่นะครับ แต่เป็นหูฟังของทาง HyperX ที่ประดับด้วยคริสตัลจาก Swarovski ที่ใช้สำหรับตั้งโชว์ในงานเท่านั้น
ส่วนคีย์บอร์ดกับเมาส์ข้างบนนี้ก็ได้รับการประดับด้วยคริสตัลเช่นกัน
เดินเข้ามาในอีกห้องหนึ่งจะมีการตกแต่งเป็นแบบห้องสำหรับเล่นเกมครับ แต่ก็ยังอุตส่าห์มีผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ชมด้วย นั่นคือชุด keycap แบบสีทูโทน โดยจะมีทั้ง ขาวทึบ-ขาวขุ่น และดำทึบ-ขาวขุ่น นับเป็น keycap สำหรับตกแต่งคีย์บอร์ดที่มีสไตล์ไม่ซ้ำใคร และอาจจะมีเข้ามาจำหน่ายในไทยในอนาคตด้วย
ปิดท้ายด้วยกลุ่มของผลิตภัณฑ์สำหรับเครื่องเกมคอนโซลไม่ว่าจะเป็นเครื่อง PS4 หรือ Nintendo Switch ทาง HyperX ก็มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้วยเช่นกัน เช่น หูฟังเกมมิ่งทั้งแบบมีสายและไร้สาย หูฟังแบบ Earbuds แท่นชาร์จจอยคอนโทรลเลอร์ รวมถึงยังมีการ์ด microSD อีกด้วยครับ (แต่ตอนนี้ยังไม่มีในไทยนะ)
ก็จบไปแล้วครับ สำหรับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากทาง HyperX ที่ครอบคลุมความต้องการของเหล่าเกมเมอร์อย่างครบครัน ไม่ว่าจะชาวเกมพีซี คอนโซล มือโปร หรือมือสมัครเล่น ก็สามารถใช้งานผลิตภัณฑ์จาก HyperX เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ และประสบการณ์การเล่นเกมได้ทั้งนั้น ก็เหลือแต่ตัวคุณแล้วครับ ว่าพร้อมสำหรับการเข้าสู่โลกแห่งเกมไปกับ HyperX หรือยัง
ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ HyperX ก็สามารถตามไปดูต่อได้ที่นี่เลย: http://bit.ly/2XarOnX