ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ปี 2019 จัดว่าเป็น Gaming Notebook สายบางเบาที่สุดในโลกรุ่นล่าสุดต่อยอดมาจากรุ่นปี 2018 ที่มีการอัพเดทสเปกการ์ดจอเป็น GeForce RTX 20 Series โดยล่าสุดทาง ASUS ประเทศไทยได้เคาะราคาออกมาแล้ว สนนเริ่มต้นอยู่ที่ 69,990 บาท ซึ่งในซีรีย์ ZEPHYRUS ที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสายบางเบา ในตอนนี้จะมีอยู่ 3 รุ่นด้วยกันคือ ZEPHYRUS, ZEPHYRUS M และ ZEPHYRUS S นั่นเอง
โดย ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ที่ทีมงาน NBS ได้รับมารีวิวมาพร้อมสเปก Intel ชิปประมวลผลรุ่นที่ 8 อย่างสถาปัตยกรรม Coffee Lake ที่สำคัญด้วยตัวเครื่องที่บางเบาก็ได้เลือกใช้การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q กับประสิทธิภาพความแรงที่พอตัว เล่นเกมได้ลื่นๆ ทุกเกมแน่นอน เรียกได้ทำให้เป็น Gaming Notebook ในฝันก็ว่าได้ ที่ได้ทั้งความแรงและน้ำหนักตัวเครื่องที่บางเบาไปพร้อมๆ กัน โดยบางสุดเพียง 14.9 มิลลิเมตร และเบาเพียง 2.1 กิโลกรัมเท่านั้น
Specification
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H รุ่นยอดนิยม ทำงานความเร็ว 2.2 – 4.1 GHz แบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด แตกต่างกันที่การติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2060 หรือ RTX 2070 Max-Q ให้ความแรงที่พอเพียงเหลือเฟือในการเล่นเกมทุกเกมบนโลกแบบลื่นไหล ส่วนของแรมมีขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz (8GB x 2) มีที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 NVMe PCIE 3.0 ความจุ 512GB หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS รองรับ 144Hz 3ms ทำงานมืออาชีพ เล่นเกมตอบสนอง
ความหนาของตัวเครื่อง 14.95 – 15.75 มิลลิเมตร และหนักเพียง 2.1 กิโลกรัม ถ้าลองย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อละว่าจะมี Gaming Notebook ที่เบาและบางขนาดนี้ออกมาให้เราได้เห็นกัน โดยพอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1, USB Type-C, Mini DisplayPort, HDMI พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac (Wi-Fi 5) สนนราคา ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 อยู่ที่ 69,990 – 79,990 บาท ประกัน 2 ปี สามารถเคลมฝากผ่านร้าน 7-11 ได้ และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียนในเว็บไซต์เท่านั้น
- Core i7-8750H + RTX 2060 + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 69,990 บาท
- Core i7-8750H + RTX 2070 Max-Q + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 79,990 บาท
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มาพร้อมแรงบันดาลใจจาก ASUS ROG ZEPHYRUS GX501 แต่มีความสดใหม่กว่า ตัวเครื่องนั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่าแทบไม่ม่ความโค้งเว้าใดๆ ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุผสมระหว่างอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม มาในโทนดำตัดกับสีเทาเข้ม (Armor Titanium) ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดีมีคำว่า ZEPHYRUS
โดยในส่วนใช้เป็นสีสันทองแดง (Plasma Copper) ทำให้ดูตัดกันเป็นอย่างสวยงาม ซึ่งฝาหลังจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนชัดเจนแบบตัดกันแนวทะแยง ที่มีความโดดเด่นมากๆ มาพร้อมโลโก้ ROG ที่ไฟสีแดง LED ที่จะติดก็ต่อเมื่อเปิดเครื่อง ถือว่าหลายส่วนนั้นเป็นการต่อยอดมาจาก ROG รุ่นก่อนหน้า แถมทำได้ดีกว่าเพราะเป็นการพัฒนาต่อยอด ด้วยชิ้นส่วนประกบทั้งด้านบนและล่างถูกขึ้นรูปอย่างบรรจงจากอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแกร่ง กระบวนการ CNC-milling
ระบบระบายอากาศของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 จะใช้ชื่อว่า ROG Active Aerodynamic System (AAS) พร้อมพัดลมแบบ 83 ใบพัด ทำงานแบบ 12V เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดบนดีไซน์บางเฉียบ โดยมีหลักการทำงานก็คือ ตัวเครื่องจะถูกยกขึ้นด้วยกลไล เรียกได้ว่ายกขึ้นทั้งฝาด้านล่าง โดยทั้ง 2 ฝั่ง พัดลม 2 ตัว นั้นก็ยังมาพร้อมกับไฟ LED แบบ RGB ที่เวลาใช้งานตัวเครื่องนั้นทำให้ดูน่าใช้งานแบบเทพๆ เข้าไปอีก
โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ที่เปิดช่องลมให้มากขึ้นถึง 5มม. ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับการออกแบบเดิมๆ
และด้วย 83 ใบพัดบนพัดลมคู่แบบ AeroAccelerator ความแรง 12V มีจำนวนใบพัดมากกว่าพัดลมของ Zephyrus รุ่นแรกถึง 17% การไหลเวียนอากาศยังทำได้ดียิ่งขึ้นจากรูปทรงของใบพัดอลูมิเนียมซึ่งมีขอบใบพัดที่โค้งมนและยกปลายขอบเพื่อนำลมเข้าสู่บริเวณใบพัดได้มากยิ่งขึ้น ความเร็วในการหมุนถูกกำหนดด้วยชุดคำสั่งอัจริยะที่ถูกตั้งค่าเป็นโปรไฟล์สามรูปแบบ
โดยปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Overboost mode สำหรับประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับสูงสุด, Silent mode สำหรับเสียงรบกวนที่น้อยที่สุด, และ Balanced mode เพื่อความสมดุลในการใช้งาน
นอกจากนั้นแล้วยังมีลมไหลเวียนเข้าผ่านทางช่องคีย์บอร์ด และการวางตำแหน่งคีย์บอร์ดบริเวณด้านหน้าของตัวเครื่องยังช่วยให้มีพื้นที่ในการระบายความร้อนที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่เรียบง่าย แต่ใช้งานได้จริงทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ Zephyrus Series เท่านั้น
จุดเด่นที่สุดซึ่งนั่นเป็นความภูมิใจของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ที่เป็น Gaming Notebook ตัวบางเบาแต่แรงก็คือ จากการติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q ที่มีความแรงระหว่าง RTX 2060 และ RTX 2070 รุ่นปกติ ซึ่งตัวเครื่องของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 นั้นจะมีความบางอยู่ที่ 14.95 มิลลิเมตรเท่านั้นเมื่อพับฝา
และจะสูงขึ้นเมื่อเปิดฝาโดยอยู่ที่ 15.75 มิลลิเมตรเท่านั้น แถมน้ำหนักของตัวเครื่องก็อยู่ที่ 2.1 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน้ตบุ๊ตเล่นเกมการ์ดจอตัวแรงที่สามารถพกพาได้สะดวกมากๆ ไม่ต่างจากโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่เน้นการพกพาเลย แต่นี่ได้ความแรงกราฟิกแบบเหลือเฟือด้วย อย่างที่โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ทั่วไปไม่เคยให้ได้มาก่อน
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ระดับ Military Standard ทั้งการทดสอบการตกกระแทกจากความสูงถึง 76 ซม. หลายๆ ครั้ง เพื่อให้ปลอดภัยจากความเสี่ยงในการใช้งานในชีวิตประจำวัน และยังผ่านมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD-810G ที่รองรับการสั่นสะเทือน แรงกระแทก และสภาพอากาศที่โหดร้ายได้ ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น รวมไปถึงความกดอากาศที่เปลี่ยนไป โดยมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่มำได้
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook บางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก จากแต่ก่อนแทบเป็นไปไม่ได้ที่ความแรงระดับนี้ จะอยู่บนตัวเครื่องที่บางและเบาแบบนี้ แต่ตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อีกทั้งรุ่นปี 2019 ให้ซอฟต์เคส ROG สุดเท่มาด้วย !!!
Keyboard / Touchpad
เมื่อเปิดฝาหน้าจอ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ขึ้นมามองภายในเราก็จะพบกับการวางตำแหน่งของคีย์บอร์ดที่แตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นทั่วไปอย่างชัดเจน จากการที่เลื่อนชุดแป้นคีย์บอร์ดมาไว้ด้านล่างสุด และขยับในส่วนของทัชแพดออกไปด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีพื้นที่ ซึ่งจริงๆ นั้นทาง ASUS ได้ติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบจัดเต็มเอาไว้ ซึ่งมีช่องขนาดเล็กทำหน้าที่ดูดลมเย็นลงไปให้ผ่านทางฮีต์ไปป์ แน่นอนว่าเป็นผลมาจากตัวเครื่องบาง
โดยแป้นพิมพ์ของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน สามารถทำได้แม่นยำไม่แพ้เกมมิ่งคีย์บอร์ดแยก บนเทคโนโลยี ASUS AURA RGB ทำให้เปลี่ยนสีได้ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ ROG Armory Crate ซึ่งความโดดเด่นจะอยู่บริเวณแป้นพิมพ์ WASD ที่ขอบปุ่มจะโปร่งแสง เรียกได้ว่าเน้นสำหรับเกม FPS ก็ว่าได้ ส่วนข้อสังเกตมีอยู่เล็กน้อยครับตรงที่ปุ่ม F1 – F4 นั้นจะอยู่แยกต่างหากในขณะที่ปุ่ม F5-F12 นั้นจะอยู่ติดกันไปหมดทำให้การใช้งานนั้นอาจจะลำบากไปสักนิดในตอนแรกๆ แต่เมื่อใช้งานไปสักพักก็จะเกิดความเคยชินทำให้การใช้งานตรงจุดนี้นั้นน่าจะไม่ค่อยมีปัญหามากเท่าไรนัก
ดีไซน์ทัชแพดนั้นก็ใช้เป็นแบบปุ่มแยกออกมา โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็มีความนุ่มและเด้งรับได้น่าประทับใจ การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก นอกเหนือจากนั้นทัชแพดยังสามารถเปลี่ยนไปใช้งานในรูปแบบของปุ่ม NumPad ได้ ซึ่งตรงจุดนี้นั้นถือว่า ASUS สามารถที่จะใช้พื้นที่ได้อย่างมีประโยชน์ที่สุด แต่มันก็อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก เพราะ Gaming Notebook ปกติจะแยกส่วนมาให้นั่นเอง ส่วนเหนือปุ่มทัชแพดจะมีปุ่ม ROG มาให้ เพื่อเรียก ROG Game Center อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานจริงๆ คงต้องปรับตัวซะหน่อยทั้งคีย์บอร์ดและทัชแพด เพราะข้อมือของเราต้องโดนขอบเครื่องตรงๆ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ลำบากกว่าคีย์บอร์ด Gaming Notebook ทั่วไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่เรียนรู้
Screen / Speaker
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบ ทั้งขอบด้านข้างและด้านบน ขนาด 15.6 นิ้ว ทำให้ตัวเครื่องเทียบเท่าขนาด 14 นิ้วเท่านั้น บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนลเป็น IPS คุณภาพดี มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปหรือการเล่นเกมก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอ 144Hz และResponse Time 3ms (G2G) ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่แค่ 60Hz
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง จึงได้ทำการทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่น
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 93% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันแค่พอใช้เท่านั้น ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแถงบนกลางจอเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่ 300 cd/m2 แต่สำหรับช่องแถวล่างด้านซ้ายเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงแค่ระดับ 15% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องด้านหลังพร้อมยิงเสียงคุณภาพสูงมาด้านหน้า เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ให้ขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะมีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม เรื่องของความดังของเสียงถือว่ามากกว่า 2 – 3 เท่า ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้
Connector / Thin And Weight
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 จัดว่าเป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้ว ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันในระดับนึง โดยติดตั้งทั้งด้านซ้ายด้านขวาของตัวเครื่องไม่ว่าจะเป็น USB 2.0 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-A Gen 2 จำนวน 1 ช่อง USB 3.1 Type-C จำนวน 2 ช่อง พร้อมรองรับ USB Power Delivery ในตัว, HDMI 1.4 อีกหนึ่งช่อง และ Mic-in/Headphone-out อย่างไรก็ตาม พอร์ตการเชื่อมต่ออาจจะชิดกันไปหน่อย เวลาเชื่อมต่อพร้อมๆ กันอาจจะติดกันได้ แน่นอนว่ามีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac (Wi-Fi 5) ที่มาตรฐานล่าสุดและดีที่สุด
ในส่วนความบางของเครื่องอยู่ที่ 14.95 มิลลิเมตรตลอดทั้งตัวเครื่องเมื่อปิดฝาจอ แต่เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะมีความหนาของด้านหลังตัวเครื่องที่มากยิ่งขึ้น โดยจะอยู่ที่ 15.75 มิลลิเมตร ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็น Gaming Notebook สเปกความแรงระดับ RTX 2070 Max-Q ที่บางที่สุดในโลกขณะนี้ อีกทั้งมีน้ำหนักแค่ 2.1 กิโลกรัมเท่านั้น ถือได้ว่าไม่เคยมีโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้ แต่เบาขนาดนี้มาก่อน เมื่อรวมกับอแดปเตอร์ก็มีน้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัมเท่านั้นเอง
Performance / Software
โดย ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750H (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 แบบ 2 แถว รวมเป็น 16GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน โดยมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 2070 Max-Q ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ แรงกว่า GTX 1070 แบบรู้สึกได้ เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้เป็น 100 FPS
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe ระดับสูง แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1553MB/s และเขียนที่ 973MB/s ส่วนตัวถ้าใส่ NVMe ที่เร็วระดับ 3xxx MB/s มาจะดีมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,464คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยกอย่าง RTX 2070 Max-Q ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากพอสมควร ระดับเทียบเท่า Desktop สบายๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 16GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิดฟีเจอร์เต็มที่ทั้ง DX12 / DLSS / Ray Tracing ทำให้ภาพสวยงามแบบสุดๆ ไปเลย แต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แบบไร้กังวล
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบ 144Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 144Hz ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมากลางๆ หน่อย
ซอฟต์แวร์จากที่เคยเป็น ROG Game Center ในปี 2018 ตอนนี้ปี 2019 ได้เปลี่ยนมาเป็น Armoury Crate ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆของระบบรวมไปถึงการปรับแต่งไฟด้วย Aura Sync นั้นทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว หรือผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้มากถึงสี่โปรไฟล์ — ซึ่งการตั้งค่าต่างๆจะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 4 ชั่วโมงโดยประมาณ ทำให้เรียกได้ว่าจุเด่นในส่วนของอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ว่าได้ เพราะมีระยะการใช้งานที่ยาวนานกว่าเครื่องรุ่นอื่นๆ ในสเปกใกล้เคียงกัน ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ต้องออกแบบตัวเครื่องและระบบต่างๆ ที่เน้นการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ด้วยในบางกรณี
ที่สำคัญยังเป็น Gaming Notebook ที่รองรับ USB Power Delivery (พอร์ตทางขวาของตัวเครื่อง ฟอร์มคือ USB-C) ทำให้ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 สามาถชาร์จไฟจากอุปกรณ์สำรองไฟภายนอกได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปลั๊กไฟอีกต่อไป รองรับระบบชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จไฟกลับให้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นได้โดยมีกำลังไฟสูงสุดถึง 3A และยังสามารถพกพาไปทำงานได้ทุกวันด้วยอแดปเตอร์ 65W ขนาดเล็ก ที่เบาและสะดวกสบายยิ่งกว่า หรือแม้แต่ใช้ Power Bank ที่รองรับในการใช้ USB Power Delivery ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องอุณหภูมิในการใช้งานนั้น ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 เมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 33 – 45 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัดสุด ด้วยการเปิดโหมดพัดลม Fan Overboots ด้วยการกดปุ่ม F5 เพื่อให้พัดลมทำงาน 100%
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของ CPU อยู่ที่ไม่เกิน 89 – 95 องศาเซลเซียส และ GPU อยู่ที่ 50 – 69 องศาเซลเซียส โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้กลับมากับความบางเบาตัวเครื่องที่เน้นพกพา แน่นอนว่าดีกว่า Gaming Notebook ในสเปกเดียวกัน สำหรับเสียงรบกวนในเวลาทำงานนั้นถือว่าดังประมาณนึง จากการที่เราสามารถเพิ่มรอบสูงสุดได้ด้วยซอฟต์แวร์จากปกติที่จะเป็นแบบ Balance หรือ Silent เน้นเงียบก็สามารถทำได้ เงียบที่สุดที่ 35 dB เท่านั้น
Conclusion / Award
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ปี 2019 นั้นถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมเน้นความบางเบาต่อยอดมาจากรุ่นปี 2019 โดยมีน้ำหนักแค่ 2.1 กิโลกรัมเท่านั้น อีกทั้งยังมีความบางตัวเครื่องเพียง 14.95 – 15.75 มิลลิเมตร ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถที่จะใช้งานได้ในระยะยาวโดยน่าจะรองรับกับเกมใหม่ๆ 2 – 3 ปีนี้ได้อย่างสบาย มีรายละเอียดต่างกันหลักๆ คือดีไซน์กล้องเว็บแคม รุ่นใหม่จะเหลี่ยมๆ รุ่นเก่าจะกลมๆ อีกทั้งรุ่นใหม่ปี 2019 ก็มีสติ๊กเกอร์ RTX อยู่นั่นเอง
การมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่เป็น Core i Gen 8 Coffee Lake บนแรม DDR4 ที่ 16GB และการ์ดจอตัวเทพ NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q ที่แรงพอตัว โดยอยู่ระหว่าง RTX 2060 และ RTX 2070 คือเน้นแรงแต่ร้อนน้อยกว่าปกติ เพราะตัวเครื่องบางเบา สำคัญคือควบคุมความร้อนได้แบบมีเสถียรภาพผ่านชุดระบายความร้อน ROG Active Aerodynamic System พร้อมใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าประทับใจ
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 เลือกใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม ด้วยเส้นสายที่ทันสมัยและการตกแต่งเสริมความพรีเมียม ระบบระบายความร้อนที่มีความล้ำหน้าทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมของทุกชิ้นส่วน ด้วยการออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ Zephyrus series
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงทั้งด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดที่แรงเพียงพอกับทุกเกมในตลาด พร้อมจอพาเนล IPS 144Hz ซึ่งเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดของ Gaming Notebook ในตลาดที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเบาลง ไม่แค่นั้นเรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดี ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา 69,990 – 79,990 บาทเหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตามใช่ว่า ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 จะไม่มีข้อสังเกตเสียทีเดียว ถ้าในพูดถึงคงเป็นเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อ ที่ยังมีการติดตั้ง USB 2.0 Type-A มาให้อยู่จำนวน 2 พอร์ต ทั้งๆ ที่ควรจะเป็น USB 3.1 Type-A หมดแล้ว ในมุมของ ASUS อาจจะมองว่าก็ให้ USB 3.1 ที่เป็นทั้ง Type-A และ Type-C มาแล้ว รวมเป็น 3 แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเป็น USB 3.1 ทั้งหมดไปเลย อีกทั้งถ้าเป็นไปได้ติดตั้ง Thunderbolt 3 มาให้เลยก็จะดีมากๆ ส่วนเรื่องของการใช้งานคีย์บอร์ดและทัชแพดนั้น แม้อาจจะดูแปลกๆ ช่วงแรก แต่เราก็พอจะปรับตัวเข้าหาได้อยู่
จุดเด่น
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์พันธุ์ ROG งานประกอบแน่นวัสดุดี
- มาตรฐานการทดสอบระดับ Military Standard ทนทานกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
- สเปคสูงมากทั้ง Core i7-8750H และการ์ดจอ GeForce RTX 2070 Max-Q
- ส่วนของแรมก็ขนาด 16GB DDR4 พร้อม SSD ความเร็วสูง 512GB เหลือเฟือในการใช้งาน
- หน้าจอ IPS มุมมองกว้าง พร้อม Refresh Rate 144 Hz 3ms แสดงผลได้ลื่นไหล
- ตัวเครื่องมีความบางเบามากๆ เพียง 14.95 มิลลิเมตรและหนักเพียง 2.1 กิโลกรัม
- ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน
- คีย์บอร์ดและช่องดูดลมเย็นมีไฟหลากสี ด้วย ROG AURA RGB
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที
- แบตเตอรี่ใช้งานยาวนาน 4 ชั่วโมง
- รองรับ USB Power Delivery ทำให้ชาร์จไฟได้สะดวกยิ่งขึ้น
- มนบันเดิลให้ซอฟต์เคส ROG สุดเท่มาด้วย
- ประสบการณ์ใช้งานดีเยี่ยม ประทับใจมาก
- ประกัน 2 ปี ส่งศูนย์ พร้อมฝากส่งเคลม 7-11 พร้อมประกันอุบัติเหตุปีแรก
ข้อสังเกต
- ยังมีการติดตั้ง USB 2.0 Type-A มาให้จำนวน 2 พอร์ต
- ไม่มีมาตรฐานพอร์ต Thunderbolt 3 ถ้ามีจะดีมากๆ
- น่าจะให้ SSD M.2 NVMe เกรดสูงกว่านี้ที่เป็นระดับ 3xxx MB/s มา
- คีย์บอร์ด ทัชแพด ใช้งานค่อนข้างที่จะใช้งานลำบากเล็กน้อย ต้องปรับตัว
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 ปี 2019 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 เป็น Gaming Notebook ที่มีความสดใหม่และเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย ดีไซน์ความบางตัวเครื่องที่เบาซึ่งและการ์ดจอ GeForce RTX 2070 Max-Q ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน ตัวคีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วย ROG AURA RGB อีกทั้งมีนวัตกรรมอย่าง Active Aerodynamic System (AAS) โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน Zephyrus Sที่เปิดช่องลมให้มากขึ้นถึง 5มม. ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้น
Best Performance
ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 มีสเปคที่ครบครัน ทั้งชิบประมวลผล Core i7-8750H และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q พร้อมแรมตัวเครื่องที่ให้มา 16GB มาตรฐานใหม่แบบ DDR4 Bus 2666 MHz และ SSD ความเร็วสูงแบบ NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 512GB ให้การเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วสูงรองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงหน้าจอ IPS พร้อม Refresh Rate 144 Hz แสดงผลภาพดีมาก ทั้งทำงานหรือเล่นเกมก็สมบูรณ์แบบ
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 อยู่ในระดับที่ดีกว่า Gaming Notebook ทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบที่ 14.95 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 2.1 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ รวมไปถึงแบตเตอรี่ยังใช้งานได้ยาวนานกว่า 4 ชั่วโมง ถือว่าดีกว่ามาตรฐานในโน๊ตบุ๊คสเปกใกล้เคียงกัน
Best Durability
วัสดุตัวเครื่อง ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 เป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม รังสรรค์รายละเอียดอันปราณีตและขนาดที่สมบูรณ์แบบ ได้มาซึ่งฝาประกบที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อแต่ยังคงไว้ซึ่งความบาง อีกทั้งยังช่วยทำให้ตัวเครื่องมีความทนทาน โดยเครื่องต้นแบบสำหรับการทดสอบได้ผ่านมาตรฐานความทนทานระดับทางการทหารต่อแรงสั่นสะเทือนและการกระแทก อุณหภูมิร้อนเย็น หรือความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง
Specification
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H รุ่นยอดนิยม ทำงานความเร็ว 2.2 – 4.1 GHz แบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด แตกต่างกันที่การติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2060 หรือ RTX 2070 Max-Q ให้ความแรงที่พอเพียงเหลือเฟือในการเล่นเกมทุกเกมบนโลกแบบลื่นไหล ส่วนของแรมมีขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz (8GB x 2) มีที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 NVMe PCIE 3.0 ความจุ 512GB หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS รองรับ 144Hz 3ms ทำงานมืออาชีพ เล่นเกมตอบสนอง
ความหนาของตัวเครื่อง 14.95 – 15.75 มิลลิเมตร และหนักเพียง 2.1 กิโลกรัม ถ้าลองย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อละว่าจะมี Gaming Notebook ที่เบาและบางขนาดนี้ออกมาให้เราได้เห็นกัน โดยพอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1, USB Type-C, Mini DisplayPort, HDMI พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac (Wi-Fi 5) สนนราคา ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 อยู่ที่ 69,990 – 79,990 บาท ประกัน 2 ปี สามารถเคลมฝากผ่านร้าน 7-11 ได้ และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียนในเว็บไซต์เท่านั้น
- Core i7-8750H + RTX 2060 + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 69,990 บาท
- Core i7-8750H + RTX 2070 Max-Q + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 79,990 บาท
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มาพร้อมแรงบันดาลใจจาก ASUS ROG ZEPHYRUS GX501 แต่มีความสดใหม่กว่า ตัวเครื่องนั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่าแทบไม่ม่ความโค้งเว้าใดๆ ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุผสมระหว่างอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม มาในโทนดำตัดกับสีเทาเข้ม (Armor Titanium) ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดีมีคำว่า ZEPHYRUS
โดยในส่วนใช้เป็นสีสันทองแดง (Plasma Copper) ทำให้ดูตัดกันเป็นอย่างสวยงาม ซึ่งฝาหลังจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนชัดเจนแบบตัดกันแนวทะแยง ที่มีความโดดเด่นมากๆ มาพร้อมโลโก้ ROG ที่ไฟสีแดง LED ที่จะติดก็ต่อเมื่อเปิดเครื่อง ถือว่าหลายส่วนนั้นเป็นการต่อยอดมาจาก ROG รุ่นก่อนหน้า แถมทำได้ดีกว่าเพราะเป็นการพัฒนาต่อยอด ด้วยชิ้นส่วนประกบทั้งด้านบนและล่างถูกขึ้นรูปอย่างบรรจงจากอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแกร่ง กระบวนการ CNC-milling
ระบบระบายอากาศของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 จะใช้ชื่อว่า ROG Active Aerodynamic System (AAS) พร้อมพัดลมแบบ 83 ใบพัด ทำงานแบบ 12V เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดบนดีไซน์บางเฉียบ โดยมีหลักการทำงานก็คือ ตัวเครื่องจะถูกยกขึ้นด้วยกลไล เรียกได้ว่ายกขึ้นทั้งฝาด้านล่าง โดยทั้ง 2 ฝั่ง พัดลม 2 ตัว นั้นก็ยังมาพร้อมกับไฟ LED แบบ RGB ที่เวลาใช้งานตัวเครื่องนั้นทำให้ดูน่าใช้งานแบบเทพๆ เข้าไปอีก
โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ที่เปิดช่องลมให้มากขึ้นถึง 5มม. ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับการออกแบบเดิมๆ
และด้วย 83 ใบพัดบนพัดลมคู่แบบ AeroAccelerator ความแรง 12V มีจำนวนใบพัดมากกว่าพัดลมของ Zephyrus รุ่นแรกถึง 17% การไหลเวียนอากาศยังทำได้ดียิ่งขึ้นจากรูปทรงของใบพัดอลูมิเนียมซึ่งมีขอบใบพัดที่โค้งมนและยกปลายขอบเพื่อนำลมเข้าสู่บริเวณใบพัดได้มากยิ่งขึ้น ความเร็วในการหมุนถูกกำหนดด้วยชุดคำสั่งอัจริยะที่ถูกตั้งค่าเป็นโปรไฟล์สามรูปแบบ
โดยปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Overboost mode สำหรับประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับสูงสุด, Silent mode สำหรับเสียงรบกวนที่น้อยที่สุด, และ Balanced mode เพื่อความสมดุลในการใช้งาน
นอกจากนั้นแล้วยังมีลมไหลเวียนเข้าผ่านทางช่องคีย์บอร์ด และการวางตำแหน่งคีย์บอร์ดบริเวณด้านหน้าของตัวเครื่องยังช่วยให้มีพื้นที่ในการระบายความร้อนที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่เรียบง่าย แต่ใช้งานได้จริงทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ Zephyrus Series เท่านั้น
จุดเด่นที่สุดซึ่งนั่นเป็นความภูมิใจของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ที่เป็น Gaming Notebook ตัวบางเบาแต่แรงก็คือ จากการติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q ที่มีความแรงระหว่าง RTX 2060 และ RTX 2070 รุ่นปกติ ซึ่งตัวเครื่องของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 นั้นจะมีความบางอยู่ที่ 14.95 มิลลิเมตรเท่านั้นเมื่อพับฝา
และจะสูงขึ้นเมื่อเปิดฝาโดยอยู่ที่ 15.75 มิลลิเมตรเท่านั้น แถมน้ำหนักของตัวเครื่องก็อยู่ที่ 2.1 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน้ตบุ๊ตเล่นเกมการ์ดจอตัวแรงที่สามารถพกพาได้สะดวกมากๆ ไม่ต่างจากโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่เน้นการพกพาเลย แต่นี่ได้ความแรงกราฟิกแบบเหลือเฟือด้วย อย่างที่โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ทั่วไปไม่เคยให้ได้มาก่อน
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ระดับ Military Standard ทั้งการทดสอบการตกกระแทกจากความสูงถึง 76 ซม. หลายๆ ครั้ง เพื่อให้ปลอดภัยจากความเสี่ยงในการใช้งานในชีวิตประจำวัน และยังผ่านมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD-810G ที่รองรับการสั่นสะเทือน แรงกระแทก และสภาพอากาศที่โหดร้ายได้ ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น รวมไปถึงความกดอากาศที่เปลี่ยนไป โดยมีเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่มำได้
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook บางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก จากแต่ก่อนแทบเป็นไปไม่ได้ที่ความแรงระดับนี้ จะอยู่บนตัวเครื่องที่บางและเบาแบบนี้ แต่ตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อีกทั้งรุ่นปี 2019 ให้ซอฟต์เคส ROG สุดเท่มาด้วย !!!
Keyboard / Touchpad
เมื่อเปิดฝาหน้าจอ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ขึ้นมามองภายในเราก็จะพบกับการวางตำแหน่งของคีย์บอร์ดที่แตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นทั่วไปอย่างชัดเจน จากการที่เลื่อนชุดแป้นคีย์บอร์ดมาไว้ด้านล่างสุด และขยับในส่วนของทัชแพดออกไปด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีพื้นที่ ซึ่งจริงๆ นั้นทาง ASUS ได้ติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบจัดเต็มเอาไว้ ซึ่งมีช่องขนาดเล็กทำหน้าที่ดูดลมเย็นลงไปให้ผ่านทางฮีต์ไปป์ แน่นอนว่าเป็นผลมาจากตัวเครื่องบาง
โดยแป้นพิมพ์ของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน สามารถทำได้แม่นยำไม่แพ้เกมมิ่งคีย์บอร์ดแยก บนเทคโนโลยี ASUS AURA RGB ทำให้เปลี่ยนสีได้ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ ROG Armory Crate ซึ่งความโดดเด่นจะอยู่บริเวณแป้นพิมพ์ WASD ที่ขอบปุ่มจะโปร่งแสง เรียกได้ว่าเน้นสำหรับเกม FPS ก็ว่าได้ ส่วนข้อสังเกตมีอยู่เล็กน้อยครับตรงที่ปุ่ม F1 – F4 นั้นจะอยู่แยกต่างหากในขณะที่ปุ่ม F5-F12 นั้นจะอยู่ติดกันไปหมดทำให้การใช้งานนั้นอาจจะลำบากไปสักนิดในตอนแรกๆ แต่เมื่อใช้งานไปสักพักก็จะเกิดความเคยชินทำให้การใช้งานตรงจุดนี้นั้นน่าจะไม่ค่อยมีปัญหามากเท่าไรนัก
ดีไซน์ทัชแพดนั้นก็ใช้เป็นแบบปุ่มแยกออกมา โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็มีความนุ่มและเด้งรับได้น่าประทับใจ การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก นอกเหนือจากนั้นทัชแพดยังสามารถเปลี่ยนไปใช้งานในรูปแบบของปุ่ม NumPad ได้ ซึ่งตรงจุดนี้นั้นถือว่า ASUS สามารถที่จะใช้พื้นที่ได้อย่างมีประโยชน์ที่สุด แต่มันก็อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก เพราะ Gaming Notebook ปกติจะแยกส่วนมาให้นั่นเอง ส่วนเหนือปุ่มทัชแพดจะมีปุ่ม ROG มาให้ เพื่อเรียก ROG Game Center อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานจริงๆ คงต้องปรับตัวซะหน่อยทั้งคีย์บอร์ดและทัชแพด เพราะข้อมือของเราต้องโดนขอบเครื่องตรงๆ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ลำบากกว่าคีย์บอร์ด Gaming Notebook ทั่วไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่เรียนรู้
Screen / Speaker
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบ ทั้งขอบด้านข้างและด้านบน ขนาด 15.6 นิ้ว ทำให้ตัวเครื่องเทียบเท่าขนาด 14 นิ้วเท่านั้น บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนลเป็น IPS คุณภาพดี มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปหรือการเล่นเกมก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอ 144Hz และResponse Time 3ms (G2G) ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่แค่ 60Hz
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง จึงได้ทำการทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่น
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 93% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันแค่พอใช้เท่านั้น ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแถงบนกลางจอเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่ 300 cd/m2 แต่สำหรับช่องแถวล่างด้านซ้ายเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงแค่ระดับ 15% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องด้านหลังพร้อมยิงเสียงคุณภาพสูงมาด้านหน้า เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ให้ขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะมีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม เรื่องของความดังของเสียงถือว่ามากกว่า 2 – 3 เท่า ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้
Connector / Thin And Weight
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 จัดว่าเป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้ว ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันในระดับนึง โดยติดตั้งทั้งด้านซ้ายด้านขวาของตัวเครื่องไม่ว่าจะเป็น USB 2.0 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-A Gen 2 จำนวน 1 ช่อง USB 3.1 Type-C จำนวน 2 ช่อง พร้อมรองรับ USB Power Delivery ในตัว, HDMI 1.4 อีกหนึ่งช่อง และ Mic-in/Headphone-out อย่างไรก็ตาม พอร์ตการเชื่อมต่ออาจจะชิดกันไปหน่อย เวลาเชื่อมต่อพร้อมๆ กันอาจจะติดกันได้ แน่นอนว่ามีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac (Wi-Fi 5) ที่มาตรฐานล่าสุดและดีที่สุด
ในส่วนความบางของเครื่องอยู่ที่ 14.95 มิลลิเมตรตลอดทั้งตัวเครื่องเมื่อปิดฝาจอ แต่เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะมีความหนาของด้านหลังตัวเครื่องที่มากยิ่งขึ้น โดยจะอยู่ที่ 15.75 มิลลิเมตร ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็น Gaming Notebook สเปกความแรงระดับ RTX 2070 Max-Q ที่บางที่สุดในโลกขณะนี้ อีกทั้งมีน้ำหนักแค่ 2.1 กิโลกรัมเท่านั้น ถือได้ว่าไม่เคยมีโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้ แต่เบาขนาดนี้มาก่อน เมื่อรวมกับอแดปเตอร์ก็มีน้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัมเท่านั้นเอง
Performance / Software
โดย ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750H (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 แบบ 2 แถว รวมเป็น 16GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน โดยมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 2070 Max-Q ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ แรงกว่า GTX 1070 แบบรู้สึกได้ เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้เป็น 100 FPS
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe ระดับสูง แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1553MB/s และเขียนที่ 973MB/s ส่วนตัวถ้าใส่ NVMe ที่เร็วระดับ 3xxx MB/s มาจะดีมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,464คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยกอย่าง RTX 2070 Max-Q ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากพอสมควร ระดับเทียบเท่า Desktop สบายๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 16GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิดฟีเจอร์เต็มที่ทั้ง DX12 / DLSS / Ray Tracing ทำให้ภาพสวยงามแบบสุดๆ ไปเลย แต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แบบไร้กังวล
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบ 144Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 144Hz ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมากลางๆ หน่อย
ซอฟต์แวร์จากที่เคยเป็น ROG Game Center ในปี 2018 ตอนนี้ปี 2019 ได้เปลี่ยนมาเป็น Armoury Crate ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆของระบบรวมไปถึงการปรับแต่งไฟด้วย Aura Sync นั้นทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว หรือผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้มากถึงสี่โปรไฟล์ — ซึ่งการตั้งค่าต่างๆจะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 4 ชั่วโมงโดยประมาณ ทำให้เรียกได้ว่าจุเด่นในส่วนของอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ว่าได้ เพราะมีระยะการใช้งานที่ยาวนานกว่าเครื่องรุ่นอื่นๆ ในสเปกใกล้เคียงกัน ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ต้องออกแบบตัวเครื่องและระบบต่างๆ ที่เน้นการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ด้วยในบางกรณี
ที่สำคัญยังเป็น Gaming Notebook ที่รองรับ USB Power Delivery (พอร์ตทางขวาของตัวเครื่อง ฟอร์มคือ USB-C) ทำให้ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 สามาถชาร์จไฟจากอุปกรณ์สำรองไฟภายนอกได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปลั๊กไฟอีกต่อไป รองรับระบบชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จไฟกลับให้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นได้โดยมีกำลังไฟสูงสุดถึง 3A และยังสามารถพกพาไปทำงานได้ทุกวันด้วยอแดปเตอร์ 65W ขนาดเล็ก ที่เบาและสะดวกสบายยิ่งกว่า หรือแม้แต่ใช้ Power Bank ที่รองรับในการใช้ USB Power Delivery ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องอุณหภูมิในการใช้งานนั้น ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 เมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 33 – 45 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัดสุด ด้วยการเปิดโหมดพัดลม Fan Overboots ด้วยการกดปุ่ม F5 เพื่อให้พัดลมทำงาน 100%
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของ CPU อยู่ที่ไม่เกิน 89 – 95 องศาเซลเซียส และ GPU อยู่ที่ 50 – 69 องศาเซลเซียส โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้กลับมากับความบางเบาตัวเครื่องที่เน้นพกพา แน่นอนว่าดีกว่า Gaming Notebook ในสเปกเดียวกัน สำหรับเสียงรบกวนในเวลาทำงานนั้นถือว่าดังประมาณนึง จากการที่เราสามารถเพิ่มรอบสูงสุดได้ด้วยซอฟต์แวร์จากปกติที่จะเป็นแบบ Balance หรือ Silent เน้นเงียบก็สามารถทำได้ เงียบที่สุดที่ 35 dB เท่านั้น
Conclusion / Award
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ปี 2019 นั้นถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมเน้นความบางเบาต่อยอดมาจากรุ่นปี 2019 โดยมีน้ำหนักแค่ 2.1 กิโลกรัมเท่านั้น อีกทั้งยังมีความบางตัวเครื่องเพียง 14.95 – 15.75 มิลลิเมตร ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถที่จะใช้งานได้ในระยะยาวโดยน่าจะรองรับกับเกมใหม่ๆ 2 – 3 ปีนี้ได้อย่างสบาย มีรายละเอียดต่างกันหลักๆ คือดีไซน์กล้องเว็บแคม รุ่นใหม่จะเหลี่ยมๆ รุ่นเก่าจะกลมๆ อีกทั้งรุ่นใหม่ปี 2019 ก็มีสติ๊กเกอร์ RTX อยู่นั่นเอง
การมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่เป็น Core i Gen 8 Coffee Lake บนแรม DDR4 ที่ 16GB และการ์ดจอตัวเทพ NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q ที่แรงพอตัว โดยอยู่ระหว่าง RTX 2060 และ RTX 2070 คือเน้นแรงแต่ร้อนน้อยกว่าปกติ เพราะตัวเครื่องบางเบา สำคัญคือควบคุมความร้อนได้แบบมีเสถียรภาพผ่านชุดระบายความร้อน ROG Active Aerodynamic System พร้อมใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าประทับใจ
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 เลือกใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม ด้วยเส้นสายที่ทันสมัยและการตกแต่งเสริมความพรีเมียม ระบบระบายความร้อนที่มีความล้ำหน้าทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมของทุกชิ้นส่วน ด้วยการออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ Zephyrus series
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 ถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงทั้งด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดที่แรงเพียงพอกับทุกเกมในตลาด พร้อมจอพาเนล IPS 144Hz ซึ่งเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดของ Gaming Notebook ในตลาดที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเบาลง ไม่แค่นั้นเรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดี ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา 69,990 – 79,990 บาทเหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตามใช่ว่า ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 จะไม่มีข้อสังเกตเสียทีเดียว ถ้าในพูดถึงคงเป็นเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อ ที่ยังมีการติดตั้ง USB 2.0 Type-A มาให้อยู่จำนวน 2 พอร์ต ทั้งๆ ที่ควรจะเป็น USB 3.1 Type-A หมดแล้ว ในมุมของ ASUS อาจจะมองว่าก็ให้ USB 3.1 ที่เป็นทั้ง Type-A และ Type-C มาแล้ว รวมเป็น 3 แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเป็น USB 3.1 ทั้งหมดไปเลย อีกทั้งถ้าเป็นไปได้ติดตั้ง Thunderbolt 3 มาให้เลยก็จะดีมากๆ ส่วนเรื่องของการใช้งานคีย์บอร์ดและทัชแพดนั้น แม้อาจจะดูแปลกๆ ช่วงแรก แต่เราก็พอจะปรับตัวเข้าหาได้อยู่
จุดเด่น
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์พันธุ์ ROG งานประกอบแน่นวัสดุดี
- มาตรฐานการทดสอบระดับ Military Standard ทนทานกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
- สเปคสูงมากทั้ง Core i7-8750H และการ์ดจอ GeForce RTX 2070 Max-Q
- ส่วนของแรมก็ขนาด 16GB DDR4 พร้อม SSD ความเร็วสูง 512GB เหลือเฟือในการใช้งาน
- หน้าจอ IPS มุมมองกว้าง พร้อม Refresh Rate 144 Hz 3ms แสดงผลได้ลื่นไหล
- ตัวเครื่องมีความบางเบามากๆ เพียง 14.95 มิลลิเมตรและหนักเพียง 2.1 กิโลกรัม
- ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน
- คีย์บอร์ดและช่องดูดลมเย็นมีไฟหลากสี ด้วย ROG AURA RGB
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที
- แบตเตอรี่ใช้งานยาวนาน 4 ชั่วโมง
- รองรับ USB Power Delivery ทำให้ชาร์จไฟได้สะดวกยิ่งขึ้น
- มนบันเดิลให้ซอฟต์เคส ROG สุดเท่มาด้วย
- ประสบการณ์ใช้งานดีเยี่ยม ประทับใจมาก
- ประกัน 2 ปี ส่งศูนย์ พร้อมฝากส่งเคลม 7-11 พร้อมประกันอุบัติเหตุปีแรก
ข้อสังเกต
- ยังมีการติดตั้ง USB 2.0 Type-A มาให้จำนวน 2 พอร์ต
- ไม่มีมาตรฐานพอร์ต Thunderbolt 3 ถ้ามีจะดีมากๆ
- น่าจะให้ SSD M.2 NVMe เกรดสูงกว่านี้ที่เป็นระดับ 3xxx MB/s มา
- คีย์บอร์ด ทัชแพด ใช้งานค่อนข้างที่จะใช้งานลำบากเล็กน้อย ต้องปรับตัว
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 ปี 2019 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 เป็น Gaming Notebook ที่มีความสดใหม่และเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย ดีไซน์ความบางตัวเครื่องที่เบาซึ่งและการ์ดจอ GeForce RTX 2070 Max-Q ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน ตัวคีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วย ROG AURA RGB อีกทั้งมีนวัตกรรมอย่าง Active Aerodynamic System (AAS) โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน Zephyrus Sที่เปิดช่องลมให้มากขึ้นถึง 5มม. ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้น
Best Performance
ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 มีสเปคที่ครบครัน ทั้งชิบประมวลผล Core i7-8750H และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2070 Max-Q พร้อมแรมตัวเครื่องที่ให้มา 16GB มาตรฐานใหม่แบบ DDR4 Bus 2666 MHz และ SSD ความเร็วสูงแบบ NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 512GB ให้การเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วสูงรองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงหน้าจอ IPS พร้อม Refresh Rate 144 Hz แสดงผลภาพดีมาก ทั้งทำงานหรือเล่นเกมก็สมบูรณ์แบบ
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 อยู่ในระดับที่ดีกว่า Gaming Notebook ทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบที่ 14.95 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 2.1 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ รวมไปถึงแบตเตอรี่ยังใช้งานได้ยาวนานกว่า 4 ชั่วโมง ถือว่าดีกว่ามาตรฐานในโน๊ตบุ๊คสเปกใกล้เคียงกัน
Best Durability
วัสดุตัวเครื่อง ASUS ROG ZEPHYRUS GX531 เป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม รังสรรค์รายละเอียดอันปราณีตและขนาดที่สมบูรณ์แบบ ได้มาซึ่งฝาประกบที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อแต่ยังคงไว้ซึ่งความบาง อีกทั้งยังช่วยทำให้ตัวเครื่องมีความทนทาน โดยเครื่องต้นแบบสำหรับการทดสอบได้ผ่านมาตรฐานความทนทานระดับทางการทหารต่อแรงสั่นสะเทือนและการกระแทก อุณหภูมิร้อนเย็น หรือความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง