ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นโน๊ตบุ๊คที่เน้นความกะทัดรัด พกพาสะดวก นอกเหนือจากจะทำเครื่องให้บางเบาแล้ว การลดขนาดตัวเครื่องด้วยการใช้จอขอบบางก็เริ่มได้รับความนิยมเช่นกัน ด้วยจุดเด่นในด้านความกะทัดรัด จากการใช้จอ 13.3″ ขอบบางแบบ NanoEdge ซึ่งทำให้ ZenBook รุ่นนี้กลายเป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 13.3″ ที่เล็กที่สุดในโลก โดยมีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 อีกด้วย เบาสุดเพียงแค่ 1.19 กิโลกรัมเท่านั้น
แรงบันดาลใจของสี Burgundy Red มาจากความงามของท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงยามพระอาทิตย์ตกดิน เป็นโทนสีนำสมัยที่สะท้อนความน่าหลงใหล ความซับซ้อน รวมถึงความเป็นปัจเจกบุคคล เกิดจากทดลองชุบผิวสีแดงกว่า 50 เฉดสี ใช้เวลามากกว่าชั่วโมงในการหาโทนสีแต่ละชิ้นที่เหมาะสมที่สุดที่สามารถแมตช์ได้ทั้งกลุ่มผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งยังดึงดูดสายตา บ่งบอกความมีสไตล์ของผู้ใช้ สี Burgundy Red ให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่มากกว่าสีแดงโทนอื่นๆ ดูสงบและสะท้อนจิตวิญญาณความเป็น ZenBook
Specification
โดย ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ที่เราได้รับมารีวิวในครั้งนี้ มาพร้อมชิปประมวลผล Intel Core i7-8565U ที่เป็นชิป 4 คอร์ 8 เธรด ความเร็ว 1.8 GHz สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้เป็น 4.6 GHz ทำงานร่วมกับแรม DDR3L ขนาด 8 GB ส่วนพลังกราฟิกก็มีทั้งส่วนของออนบอร์ด Intel UHD Graphics 620 สำหรับใช้งานทั่วไป ส่วนงานที่ต้องอาศัยพลังกราฟิกเช่นการเล่นเกม ก็จะมีชิปกราฟิกอย่าง NVIDIA GeForce MX150 ที่มีแรม GDDR5 ในตัวมาให้ใช้งาน 2 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลก็ใช้เป็น SSD แบบ PCIe ความจุ 512 GB ทำให้สเปคโดยรวมนั้นลงตัวมาก ๆ สำหรับการใช้งานทั่วไป เล่นเว็บ ทำเอกสาร ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมออนไลน์ได้สบาย ส่วนเกมออฟไลน์ใหม่ ๆ ก็ยังไหวเลย
อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือหน้าจอ โดย ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ใช้หน้าจอขนาด 13.3″ ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080) อัตราส่วน 16:9 ขอบจอบางแบบ NanoEdge พาเนลจอแบบ IPS ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา ซึ่งจัดว่าเป็นสเปคจอที่เหมาะสำหรับการใช้งานแทบทุกรูปแบบ มาพร้อม Windows 10 Home Single Language และซอฟต์แวร์จากทาง ASUS อีกเล็กน้อย
พอร์ตเชื่อมต่อก็มาพร้อมพอร์ตจำเป็นค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-C, USB 3.1, USB 2.0 มีพอร์ตเชื่อมต่อจอ HDMI แบบเต็ม รวมถึงยังมีช่องอ่านการ์ด MicroSD มาให้อีก 1 ช่อง เนื่องด้วยตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะใส่ช่องอ่านการ์ด SD เข้ามา นอกจากนี้ยังมีกล้อง IR สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนใบหน้าได้อีกด้วย ส่วนสเปคเต็ม ๆ ของแต่ละรุ่นย่อยของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ก็ตามนี้เลย (ต่างกันแค่ซีพียู)
- ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red สเปก i5 ราคา 29,900 บาท
- ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red สเปก i7 ราคา 35,900 บาท
Hardware / Design
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red นับได้ว่ามีขนาดตัวเครื่องเล็กที่สุดในโลก (เล็กกว่าคู่แข่งทุกยี่ห้
จุดที่โดดเด่นที่สุดของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ก็คือหน้าจอขอบบางแบบ NanoEdge ที่มีขอบจอด้านข้างบางสุดเพียง 2.8 มิลลิเมตร ส่วนขอบจอด้านบนก็เพียงแค่ 5.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่งผลทำให้ขนาดตัวเครื่องโดยรวมนั้นเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 13.3 นิ้วทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด อย่างในภาพด้านขวาบนก็จะเห็นว่าขนาดตัวเครื่องเมื่อเปิดจอขึ้นมาแล้ว ยังมีความสูงเท่า ๆ กับแก้วกาแฟเท่านั้นเอง
ส่วนถ้าลองเทียบกับกระดาษ A4 หรือนิตยสาร ก็จะเห็นชัดเลยว่า ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 จริง ๆ ทำให้สามารถพกพาเครื่องไปใช้นอกสถานที่ได้สะดวกมาก ส่วนถ้าใครกังวลว่าด้วยตัวเครื่องเล็กขนาดนี้ จะไปหาซองใส่เครื่องได้จากที่ไหน อันนี้ไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะในกล่องจะมีแถมซองหนังจาก ASUS มาให้ด้วย
วัสดุภายนอกของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red หลัก ๆ แล้วจะใช้เป็นอลูมิเนียม และมีพลาสติกในบางส่วน ซึ่งตัวเครื่องเองก็ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีการทดสอบในหลากหลายด้าน เช่น ทดสอบการตกหล่น ทดสอบการสั่นสะเทือน ทดสอบการทำงานในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถใช้งาน ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เครื่องนี้ได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน
ในด้านดีไซน์ ฝาหลังก็ยังคงใช้ลวดลายเป็นวงกลมล้อมรอบโลโก้ ASUS เช่นเดิม แต่ยังมีอีกจุดที่ทำมาได้น่าสนใจมากคือบานพับแบบ ErgoLift ที่เมื่อกางหน้าจอออก ตัวบานพับก็จะหนุนเครื่องให้ลาดเอียงขึ้นไปอีก 3 องศา ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการใช้พิมพ์งาน รวมถึงยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน และช่วยเพิ่มพลังเสียงให้กับลำโพงภายในได้อีกด้วย ด้านหลังก็จะมีคำว่า ZENBOOK SERIES อยู่ ตรงสันของหน้าจอ ส่วนช่องระบายอากาศก็จะมีอยู่ทั้งสองฝั่งของสันเครื่อง โดยเป็นช่องที่ใช้ระบายความร้อนจากภายใน ส่วนช่องระบายลมจากภายนอกเข้าไปข้างในจะอยู่ที่ฝาด้านล่างของตัวเครื่อง
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการโน๊ตบุ๊คบางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยขอบจอบางทำให้มิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด กลายเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3″ ที่เล็กที่สุดในโลก
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red จัดว่าอยู่ในขนาดเทียบเท่ากับโน๊ตบุ๊ค 13.3 นิ้วโดยทั่วไป มีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ซึ่งให้สัมผัสในการกด การเด้งของปุ่มที่ดี จะมีติดก็แค่ตำแหน่งของปุ่ม Shift ฝั่งขวาที่มีขนาดเล็กมาก และไปวางอยู่ข้างปุ่มลูกศรชี้ขึ้น ซึ่งส่วนตัวผมต้องใช้เวลาในการปรับตัวมือให้ชินอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน ส่วนไฟ LED ที่คีย์บอร์ดก็จะเป็นสีขาวจากใต้ปุ่ม ซึ่งสามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับเท่านั้น ด้านของทัชแพดก็มีให้มาในขนาดกะทัดรัดตามขนาดเครื่อง มีแบ่งปุ่มคลิกซ้ายคลิกขวาอยู่ด้านล่าง การใช้งานก็ลื่นไหลดี แต่อาจจะมีขนาดเล็กไปนิดนึง
แต่ส่วนที่เป็นไฮไลท์ที่สุดก็คือ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red มีแผงปุ่มตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในทัชแพดครับ โดยใช้ชื่อเรียกว่า NumberPad ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะไอคอนตรงมุมขวาบนของทัชแพดค้างไว้ 1 วินาที เส้นไฟสำหรับแบ่งพื้นที่ของแต่ละปุ่มก็จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเป็น Numpad ได้ทันที ซึ่งแม้ว่าจะมีปุ่มขึ้นมาแล้ว ผู้ใช้ก็ยังสามารถใช้ทัชแพดในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้อยู่ แต่หากมีการจิ้มลงบนพื้นที่ของแต่ละปุ่มเพื่อคลิกซ้าย ก็จะเปรียบเสมือนการกดปุ่มตัวเลขด้วย
Screen / Speaker
จอของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นจอกระจกพาเนล IPS ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา ที่ให้ภาพคมชัด สวยงามทุกมุมมอง เมื่อประกอบกับขอบจอที่บางเฉียบ กว่า 95% เป็นหน้าจอแสดงผล ทำให้ไม่ว่าจะการใช้งานทั่วไป การเปิดหน้าเว็บ การชมภาพยนตร์ ซีรีส์ รวมถึงการเล่นเกมดูเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น ส่วนขอบจอด้านบนจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า รวมถึงยังมีหลอดไฟ LED สำหรับแสดงสถานะว่ากล้องทำงานอยู่ และก็มีกล้องอินฟราเรดสีแดงอีก 2 ตัว ที่ทำให้สามารถสแกนใบหน้าในที่ที่มีแสงน้อยได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10
อย่างไรก็ตาม จอกระจกของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เองก็ยังมีเงาสะท้อนที่เกิดขึ้นอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อใช้งานกลางแจ้ง หรือเมื่อมีแสงอยู่ในมุมตรงกับจอภาพ ซึ่งอาจทำให้ไม่สะดวกกับการใช้งานอยู่บ้างเหมือนกัน ทางแก้ก็คืออาจจะต้องพยายามเลี่ยงมุมที่อาจเกิดแสงสะท้อนกับจอได้ก็จะเป็นการดีที่สุด อย่างเช่นในร้านกาแฟก็จะไฟประเยอะ ก็ต้องเลือกมุมดีๆ หน่อย แต่ก็ไม่ลำบากอะไรมากมาย
ให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 93% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันแค่พอใช้เท่านั้น ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแถวกลางขวาของจอเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่สุด แต่สำหรับช่องแถวล่างมุมขวาเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงแค่ระดับ 10% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ลำโพงของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red จะถูกวางไว้ที่ขอบเครื่องด้านล่าง ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาในลักษณะของลำโพงสเตอริโอ ซึ่งเมื่อกางบานพับจอแบบ ErgoLift ออกมา ฐานเครื่องก็จะยกขึ้นเพื่อให้เสียงจากลำโพงสะท้อนกับพื้นได้ดีขึ้นด้วย ทำให้ได้เสียงที่กังวานมากยิ่งขึ้น เมื่อประกอบกับระบบเสียงจาก Harman Kardon เข้าไปอีก ทำให้เสียงที่ได้จากลำโพงของตัวเครื่องมีพลังมากยิ่งขึ้น โดยจากเท่าที่ผมลองใช้ฟังเพลงดู โทนเสียงกลางจะเด่นขึ้นมาตามสไตล์ของลำโพงโน๊ตบุ๊คเครื่องบางเบา รวม ๆ แล้วอยู่ในระดับกลางครับ ใช้ฟังเพลงเพลิน ๆ ได้
Connector / Thin And Weight
แม้เมื่อดูผ่าน ๆ ตัวเครื่องของASUS ZenBook UX333 Burgundy Red จะดูเหมือนลักษณะเป็นลิ่ม แต่ที่จริงแล้วความบางด้านข้างเครื่องจะเท่ากันแทบทั้งหมดครับ โดยส่วนที่เว้าเข้าไปจะเป็นตำแหน่งใกล้ ๆ กับลำโพง ซึ่งช่วยให้เสียงสะท้อนกับพื้นขึ้นมาหาผู้ใช้งานได้ดีขึ้น ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อและส่วนแสดงสถานะต่าง ๆ ไล่จากฝั่งขวาของเครื่องก็ได้แก่ ไฟแสดงสถานะการทำงาน ไฟแสดงสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ ถัดเข้ามาก็เป็นช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ช่อง USB 2.0 และก็ช่องเสียบ MicroSD
สำหรับอีกด้านก็จะมีช่องเสียบสายชาร์จจากอะแดปเตอร์ พอร์ต HDMI พอร์ต USB 3.1 และก็พอร์ต USB 3.1 Gen 2 Type-C ซึ่งจากที่ผมทดลอง พบว่าช่องนี้ไม่สามารถชาร์จไฟจากอะแดปเตอร์และสายชาร์จที่เป็นแบบ Power Delivery (PD) ได้นะครับ ถ้าจะชาร์จไฟ ต้องใช้ผ่านช่อง DC IN เท่านั้น รวมถึงช่องนี้ยังไม่รองรับ Thunderbolt ได้แค่รับส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงสุด 10 Gbps ซึ่งสามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่เป็น USB-C รวมถึงใช้ถ่ายโอนข้อมูลกับสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย ส่วนถ้าผู้ใช้ต้องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยสายแลน ในกล่องก็จะมีตัวแปลงจาก USB 3.0 มาเป็นพอร์ตแลนให้อีกเส้นนึง
Performance / Software
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home Single Language มาตั้งแต่แกะกล่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์ Windows เลยครับ ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลยครับ โดย ASUS ZenBook UX333FN-A4130T เลือกใช้ชิป Intel Core i7-8565U ที่มี 4 คอร์ 8 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วพื้นฐานอยู่ที่ 1.8 GHz มีค่า TDP ในการปลดปล่อยความร้อนสูงสุดแค่ 15W เท่านั้น ซึ่งจัดว่าต่ำมากสำหรับชิป Core i7 ในโน๊ตบุ๊ค ทำให้ตัวเครื่องโดยรวมไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 14 นาโนเมตรเท่านั้น
ส่วนชิปกราฟิกก็จะมีด้วยกัน 2 ตัวครับ อันดับแรกก็คือ Intel UHD Graphics 620 ที่รวมอยู่ในแพ็คเกจเดียวกับ CPU ซึ่งใช้สำหรับการทำงานพื้นฐาน ส่วนชิปกราฟิกแยกที่มีมาให้ด้วยก็คือ NVIDIA GeForce MX150 ที่ออกแบบมาสำหรับโน๊ตบุ๊คบางเบา ซึ่งตัวชิปเองก็มีประสิทธิภาพในระดับที่เล่นเกมออนไลน์ได้สบายมาก รวมถึงฝั่งเกมออฟไลน์ใหม่ ๆ ก็ยังรองรับไหวอยู่เหมือนกัน โดยจะมีหน่วยความจำแบบ GDDR5 แยกออกมาให้ 2 GB สำหรับงานกราฟิกด้วย ไม่ได้แชร์หน่วยความจำจากแรมของตัวเครื่อง
ด้านของ Storage เป็น SSD มาตรฐาน NVMe ที่ทำการทดสอบด้วยโปรแกรม CrystalDiskMark ก็พบว่าความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 1,793 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนก็อยู่ที่ 966 MB/s ด้านของความเร็วในการอ่านเขียนไฟล์ขนาด 4K ก็จัดว่าอยู่ในระดับที่โอเค สามารถใช้งานทั่วไปได้ดี ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ
ส่วนการทดสอบพลังประมวลผลด้วยโปรแกรม Cinebench ก็ให้ผลคะแนนในส่วนของ CPU ได้ดีตามระดับของ Core i7 ในรหัส U ส่วนด้านของ OpenGL ก็คะแนนพุ่งกว่าเครื่องที่ใช้ชิปออนบอร์ดทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นประหยัดพลังงาน ที่ใกล้เคียงกับตระกูล H ทีเดียว
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 3951 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ไม่มีการ์ดจอแยกนั่นเอง
ต่อไปก็เป็นผลการทดสอบเกมกันบ้าง เริ่มด้วยเกม อาทิ DOTA 2, Overwatch, PUBG เริ่มจาก DOTA 2 โดยทดสอบด้วยความละเอียด Full HD ตัวเลขเฟรมเรตที่ได้นั้นค่อนข้างแกว่งไปที่ 30 – 60 บางช่วงก็ขึ้นไปสูงร่วม 60+ บางช่วงก็ตกลงมาเหลือสิบกว่า ๆ เท่านั้น โดยเฉพาะช่วงที่เป็นจังหวะบวกปะทะเยอะๆ เข้าใจว่า Unit หรือเอฟเฟคต่างๆ นั้นค่อนข้างกินทรัพยากร โดยรวมแล้วก็ถือว่าพอเล่นได้ แต่ก็ไม่ได้ลื่นตลอดเวลา
โดยอาการกระตุกนั้น ตอนที่เปิดเกมขึ้นมาใหม่ ๆ จะยังไม่พบอาการดังกล่าวนะครับ แต่พอเปิดเกมมาได้ซักระยะ แม้ว่าตัวเลขเฟรมเรตจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 30 fps ก็ตาม แต่ตัวละครและฉากจะเริ่มมีอาการกระตุกเป็นช่วง ๆ จากนั้นอีกซักพัก ตัวเลขเฟรมเรตก็จะลดลงมาอย่างเห็นได้ชัดเลย อันนี้ผมตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะเกิดจากการที่ GPU ปรับลดความเร็วลงเพื่อควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงจนเกินไป ทำให้ภาพในเกมกระตุก
ต่อกันที่เกมแนว FPS อย่าง Overwatch ครับ เกมนี้ผมทดสอบด้วยความละเอียดระดับ Full HD แล้วปรับคุณภาพของภาพในเกมเป็นระดับ Low พบว่าเฟรมเรตที่ได้จะอยู่ในระดับ 30 fps ขึ้นไป มีแกว่งลงมาบ้างบางช่วง แต่อย่างไรก็ตาม อาการที่ภาพในเกมกระตุกเป็นช่วง ๆ แบบที่พบในเกม GTA V ก็ยังพบอยู่เช่นเคยครับ รวมถึงแม้ว่าจะปรับความละเอียดจอลงมาที่ 720p ก็ยังคงพบปัญหาเดิมเช่นกัน
เกมต่อมาก็คือ PUBG ซึ่งผมได้ลองเล่นทั้ง PUBG เวอร์ชันปกติ รวมถึง PUBG Lite ที่กินสเปคเครื่องน้อยกว่าด้วย สำหรับเกมซีรีส์นี้ แนะนำว่าปรับคุณภาพของภาพในเกมเป็นระดับ Low หรือ Very Low จะชัวร์ที่สุดครับ สำหรับ PUBG Lite อาจจะปรับความละเอียดภาพเป็น Full HD ก็ยังไหว ชิปกราฟิก MX150 สามารถปั่นเฟรมเรตได้เกิน 30fps อยู่เหมือนกัน และหลังจากเล่นไปซักพัก ก็ยังพบอาการกระตุกเป็นช่วง ๆ อยู่เช่นเคย
สังเกตอาการกระตุกที่เกิดขึ้นในแต่ละเกม พร้อมกับดูค่าอุณหภูมิที่ได้จากโปรแกรม MSI Afterburner ตรงมุมซ้ายบนของจอ สิ่งที่ผมสังเกตได้ก็คือ เมื่ออุณหภูมิของ GPU ขึ้นมาแตะระดับสูงกว่า 70 องศาได้ซักระยะ ภาพในเกมจะเริ่มมีอาการกระตุก และเฟรมเรตก็เริ่มลดลงตามลำดับ หลังจากนั้น อุณหภูมิของ GPU ก็จะแกว่ง ๆ อยู่ในช่วง 60 ปลาย ๆ ถึง 70 กว่า ๆ ไปตลอดเลย รวมถึงความเร็วของ GPU เองก็ลดจาก 1,2xx MHz ลงมาเหลือแค่ 1xx MHz เท่านั้น ซึ่งก็คือกระบวนการที่ตัว GPU ปรับลดความเร็วลง เพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการถนอมตัวฮาร์ดแวร์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นนั่นเอง (แต่อาจจะไม่ค่อยโอเคกับการเล่นเกมเท่าไหร่)
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ตัวแบตเตอรี่มีขนาด ประมาณ 4,600 mAh สามารถทำงานต่อเนื่องยาวนานประมาณ 5 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบดู YouTube ผ่าน Wi-Fi ถือได้ว่าเป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3″ อีกรุ่นหนึ่งเลยที่มีแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนานในระดับนึง แต่ก็ไม่ถึง 10 ชั่วโมงตามที่ได้เคลมเอาไว้
มาถึงอีกส่วนสำคัญของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red คือเรื่องการระบายความร้อน โดยหนึ่งสิ่งที่เป็นฟีเจอร์ไฮไลท์ของเครื่องนี้ก็คือพัดลมระบายความร้อนที่เงียบ ซึ่งจากที่ผมทดสอบด้วยการใช้งานจริงดู หากเป็นการใช้งานพื้นฐาน เปิดเว็บ ทำงานเอกสาร แต่งภาพด้วย Lightroom อันนี้คือจะไม่ได้ยินเสียงพัดลมเลยจริง ๆ ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก แต่ถ้าเริ่มมีการใช้งานที่กินประสิทธิภาพหนัก ๆ เช่น เล่นเกม หรือการทำงานที่ต้องใช้การประมวลผลหนักกว่าปกติ เสียงพัดลมจะดังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ แต่ก็ยอมรับเหมือนกันว่าสามารถระบายความร้อนออกมาได้เร็วจริงเหมือนกัน
ด้านบนนี้คือผลการตรวจสอบอุณหภูมิขณะเครื่องทำงานปกติ มีเปิดโปรแกรมทำงานอยู่ด้วยบางส่วน โดยทดสอบเมื่ออยู่ในห้องแอร์อุณหภูมิประมาณ 26 องศา พบว่าความร้อนของชิปประมวลผลจะอยู่ในช่วง 53-55 องศา ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับปกติของโน๊ตบุ๊คบางเบาที่ใช้ชิป Core i7 ส่วนถ้าเป็นอุณหภูมิ CPU ขณะ idle นั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 45 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิหลังจากเล่นเกม DOTA 2 แบบปรับสุด จะเห็นว่าอุณหภูมิสูงสุดของ CPU นั้นพุ่งไปสูงสุดที่ 94 องศา ซึ่งก็เป็นอุณหภูมิปกติของชิประดับ Core i7 ส่วนชิปกราฟิกก็ขึ้นมาสูงสุดราว ๆ 81 องศา โดยถ้าร้อนกว่านี้เครื่องจะปรับความเร็วในการทำงานลดลงมา เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้ไม่ร้อนจนเกินไป
อย่างไรก็ตามช่องดูดลมเข้าไปในเครื่องจะอยู่ที่ฝาปิดด้านล่าง ดังนั้น แนะนำว่าระหว่างใช้งาน อย่าหาของไปปิดกั้นช่องนี้นะ หรือถ้าต้องการหาแท่นระบายความร้อนที่มีพัดลมอยู่ใต้เครื่อง ก็ควรเลือกแท่นที่มาพร้อมพัดลมเป่าลมขึ้นมายังตัวเครื่องนะครับ เพื่อจะได้ให้ลมเย็นสามารถไหลเข้าไปภายในได้เร็วขึ้นด้วย
Conclusion / Award
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นสีใหม่ล่าสุดที่วางขาย หลังจากก่อนหน้านี้ที่มีวางจำหน่ายสองสี คือ Royal blue และ Icicle silver มาพร้อมดีไซน์การตกแต่งใหม่บริเวณด้านบนคีย์บอร์ด เป็นสี Rose gold และดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของโน๊ตบุ๊คตระกูล ZenBook (ตรงฝาถ้าสังเกต จะเห็นว่ามันเป็นวง อารมณ์ประมาณสวน Zen และรอยกระเพื่อมน้ำเป็นวงๆ)
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ยังมาพร้อมความพิเศษสุดกับนวัตกรรม ‘NumberPad’ ที่จะเปลี่ยนทัชแพดแบบเดิมเป็นแป้นพิมพ์ตัวเลขมีไฟ LED ที่สามารถใช้งานพิมพ์ตัวเลขมากๆอย่างสะดวกสบาย เพียงเลือกกดเปิด – ปิดที่ไอคอนมุมขวาบนของทัชแพด โดย ZenBook Burgundy Red นับเป็นสีพิเศษที่ทุกรุ่นซีพียู จะมาพร้อม NumberPad
นอกจากนี้ยังนำเสนอหน้าจอความคมชัดระดับ Full HD พร้อมนวัตกรรมขอบจอบางทั้ง 4 ด้าน หรือ ‘4-sided NanoEdge display’ ช่วยเพิ่มอัตราส่วนหน้าจอต่อเครื่องได้กว่า 95% นำหน้าคู่แข่งในตลาด ทั้งยังช่วยให้การออกแบบตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง นับเป็นโน๊ตบุ๊คขนาดเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คอื่นๆในขนาดเดียวกัน และมีขนาดเล็กยิ่งกว่ากระดาษ A4 รวมไปถึงยังติดตั้งกล้องอินฟราเรดสีแดงอีก 2 ดวงที่ทำให้สามารถสแกนใบหน้าในที่ที่มีแสงน้อยได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็วแม่นยำมากๆ
เรียกได้ว่า ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นโน๊ตบุ๊คอีกรุ่นที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว ทั้งในด้านของความกะทัดรัดของตัวเครื่อง ที่มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 น้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัมนิด ๆ ขอบจอบางเฉียบที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม บานพับ ErgoLift ที่ช่วยยกตัวเครื่องขึ้นมาให้สามารถใช้งานคีย์บอร์ดได้ง่ายขึ้น ส่วนประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องก็ยังครบครันทั้งแง่ของชิปประมวลผล Core i7 ชิปกราฟิกแยก MX150 รวมถึงแรม 8 GB และ SSD ในเครื่องอีก 512 GB ที่ทำให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ตอบโจทย์ทั้งการทำงานทั่วไป การใช้งานเพื่อความบันเทิง รวมถึงยังเล่นเกมในยามว่างได้อีกด้วย
จุดเด่น
- โดดเด่นด้วยสีสัน Burgundy Red สุดเอ็กซ์คลูซีฟ
- ตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด เล็กกว่ากระดาษ A4 ช่วยให้พกพาได้สะดวก
- หน้าจอขอบบางแบบ NanoEdge กว่า 95% เป็นพื้นที่แสดงผล
- บานพับ ErgoLift ช่วยยกเครื่องให้สามารถใช้คีย์บอร์ดได้สะดวกขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วย
- รุ่นที่มาพร้อมชิป Core i7 จะมาแผงปุ่ม NumberPad ที่ทัชแพดให้ใช้งานด้วย
- สเปคจัดว่าเป็น Ultrabook ที่แรง เล่นเกมก็ได้ ใช้งานทั่วไปก็ดี
- วัสดุตัวเครื่องผ่านการทดสอบตามมาตรฐานระดับกองทัพสหรัฐฯ
- มีกล้องอินฟราเรดสำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ได้
ข้อสังเกต
- เมื่อเล่นเกมได้ซักระยะ GPU จะพยายามควบคุมความร้อนด้วยการปรับลดความเร็วลง ทำให้เกมกระตุกเป็นช่วง ๆ
- ปุ่ม Shift ด้านขวาของคีย์บอร์ดมีขนาดเล็กไปนิด
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับโน๊ตบุ๊คในกลุ่มเครื่องบางเบา ขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว ซึ่ง ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ได้รับรางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Ultrabook
ถ้านับในแง่ของ Ultrabook ต้องบอกว่า ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะในแง่ของความบางเบาและประสิทธิภาพ ประกอบกับราคาในช่วงสามหมื่นกลาง ๆ ทำให้เป็น Ultrabook ที่ลงตัวมาก ๆ สำหรับผู้ที่มองหาโน๊ตบุ๊คบางเบาซักเครื่องมาใช้งานในระดับจริงจัง
ความบางเบาคือจุดเด่นที่สุดของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ด้วยตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 ความบางสุดเพียง 1.69 เซนติเมตร และน้ำหนักเริ่มต้นเพียงแค่ 1.19 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และนอกจากความบางเบา ยังมีความแข็งแกร่งอีกด้วย จากการใช้วัสดุที่ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานระดับกองทัพ ดังนั้นจึงหายห่วงเรื่องความทนทานได้เลย
ปัจจัยสำคัญของด้าน mobility ก็คือขนาดที่กะทัดรัด แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน และการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ครอบคลุม ซึ่ง ASUS ZenBook UX333FN ตอบโจทย์ทั้งสามด้านได้อย่างครบถ้วนครับ กับตัวเครื่องบางเบา และการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่รองรับทั้ง WiFi 802.11ac ทั้ง 2.4 และ 5 GHz รวมถึง Bluetooth 5.0 หรือหากต้องการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ตัวเครื่องก็ยังมีพอร์ตที่ครบครันสำหรับการใช้งานทั่วไปด้วยเช่นกัน
ดีไซน์โดยรวมของA SUS ZenBook UX333 Burgundy Red มีความโดดเด่นเรื่องสีสัน รวมถึงหน้าจอขอบบางแบบ NanoEdge ที่ทำให้สามารถใช้งานจอขนาด 13.3 นิ้วภายในตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้จอขนาดเดียวกัน ไปจนถึงบานพับ ErgoLift ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานได้เป็นอย่างดี และที่ขาดไม่ได้ก็คือแผงปุ่มตัวเลข NumberPad ที่รวมอยู่ในทัชแพด ซึ่งนอกเหนือจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีประโยชน์กับการใช้งานจริงอีกด้วย
Specification
โดย ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ที่เราได้รับมารีวิวในครั้งนี้ มาพร้อมชิปประมวลผล Intel Core i7-8565U ที่เป็นชิป 4 คอร์ 8 เธรด ความเร็ว 1.8 GHz สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้เป็น 4.6 GHz ทำงานร่วมกับแรม DDR3L ขนาด 8 GB ส่วนพลังกราฟิกก็มีทั้งส่วนของออนบอร์ด Intel UHD Graphics 620 สำหรับใช้งานทั่วไป ส่วนงานที่ต้องอาศัยพลังกราฟิกเช่นการเล่นเกม ก็จะมีชิปกราฟิกอย่าง NVIDIA GeForce MX150 ที่มีแรม GDDR5 ในตัวมาให้ใช้งาน 2 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลก็ใช้เป็น SSD แบบ PCIe ความจุ 512 GB ทำให้สเปคโดยรวมนั้นลงตัวมาก ๆ สำหรับการใช้งานทั่วไป เล่นเว็บ ทำเอกสาร ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมออนไลน์ได้สบาย ส่วนเกมออฟไลน์ใหม่ ๆ ก็ยังไหวเลย
อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือหน้าจอ โดย ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ใช้หน้าจอขนาด 13.3″ ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080) อัตราส่วน 16:9 ขอบจอบางแบบ NanoEdge พาเนลจอแบบ IPS ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา ซึ่งจัดว่าเป็นสเปคจอที่เหมาะสำหรับการใช้งานแทบทุกรูปแบบ มาพร้อม Windows 10 Home Single Language และซอฟต์แวร์จากทาง ASUS อีกเล็กน้อย
พอร์ตเชื่อมต่อก็มาพร้อมพอร์ตจำเป็นค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-C, USB 3.1, USB 2.0 มีพอร์ตเชื่อมต่อจอ HDMI แบบเต็ม รวมถึงยังมีช่องอ่านการ์ด MicroSD มาให้อีก 1 ช่อง เนื่องด้วยตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะใส่ช่องอ่านการ์ด SD เข้ามา นอกจากนี้ยังมีกล้อง IR สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนใบหน้าได้อีกด้วย ส่วนสเปคเต็ม ๆ ของแต่ละรุ่นย่อยของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ก็ตามนี้เลย (ต่างกันแค่ซีพียู)
- ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red สเปก i5 ราคา 29,900 บาท
- ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red สเปก i7 ราคา 35,900 บาท
Hardware / Design
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red นับได้ว่ามีขนาดตัวเครื่องเล็กที่สุดในโลก (เล็กกว่าคู่แข่งทุกยี่ห้
จุดที่โดดเด่นที่สุดของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ก็คือหน้าจอขอบบางแบบ NanoEdge ที่มีขอบจอด้านข้างบางสุดเพียง 2.8 มิลลิเมตร ส่วนขอบจอด้านบนก็เพียงแค่ 5.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่งผลทำให้ขนาดตัวเครื่องโดยรวมนั้นเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 13.3 นิ้วทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด อย่างในภาพด้านขวาบนก็จะเห็นว่าขนาดตัวเครื่องเมื่อเปิดจอขึ้นมาแล้ว ยังมีความสูงเท่า ๆ กับแก้วกาแฟเท่านั้นเอง
ส่วนถ้าลองเทียบกับกระดาษ A4 หรือนิตยสาร ก็จะเห็นชัดเลยว่า ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 จริง ๆ ทำให้สามารถพกพาเครื่องไปใช้นอกสถานที่ได้สะดวกมาก ส่วนถ้าใครกังวลว่าด้วยตัวเครื่องเล็กขนาดนี้ จะไปหาซองใส่เครื่องได้จากที่ไหน อันนี้ไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะในกล่องจะมีแถมซองหนังจาก ASUS มาให้ด้วย
วัสดุภายนอกของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red หลัก ๆ แล้วจะใช้เป็นอลูมิเนียม และมีพลาสติกในบางส่วน ซึ่งตัวเครื่องเองก็ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810G ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีการทดสอบในหลากหลายด้าน เช่น ทดสอบการตกหล่น ทดสอบการสั่นสะเทือน ทดสอบการทำงานในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถใช้งาน ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เครื่องนี้ได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน
ในด้านดีไซน์ ฝาหลังก็ยังคงใช้ลวดลายเป็นวงกลมล้อมรอบโลโก้ ASUS เช่นเดิม แต่ยังมีอีกจุดที่ทำมาได้น่าสนใจมากคือบานพับแบบ ErgoLift ที่เมื่อกางหน้าจอออก ตัวบานพับก็จะหนุนเครื่องให้ลาดเอียงขึ้นไปอีก 3 องศา ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการใช้พิมพ์งาน รวมถึงยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน และช่วยเพิ่มพลังเสียงให้กับลำโพงภายในได้อีกด้วย ด้านหลังก็จะมีคำว่า ZENBOOK SERIES อยู่ ตรงสันของหน้าจอ ส่วนช่องระบายอากาศก็จะมีอยู่ทั้งสองฝั่งของสันเครื่อง โดยเป็นช่องที่ใช้ระบายความร้อนจากภายใน ส่วนช่องระบายลมจากภายนอกเข้าไปข้างในจะอยู่ที่ฝาด้านล่างของตัวเครื่อง
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานที่ต้องการโน๊ตบุ๊คบางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยขอบจอบางทำให้มิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด กลายเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3″ ที่เล็กที่สุดในโลก
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red จัดว่าอยู่ในขนาดเทียบเท่ากับโน๊ตบุ๊ค 13.3 นิ้วโดยทั่วไป มีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ซึ่งให้สัมผัสในการกด การเด้งของปุ่มที่ดี จะมีติดก็แค่ตำแหน่งของปุ่ม Shift ฝั่งขวาที่มีขนาดเล็กมาก และไปวางอยู่ข้างปุ่มลูกศรชี้ขึ้น ซึ่งส่วนตัวผมต้องใช้เวลาในการปรับตัวมือให้ชินอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน ส่วนไฟ LED ที่คีย์บอร์ดก็จะเป็นสีขาวจากใต้ปุ่ม ซึ่งสามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับเท่านั้น ด้านของทัชแพดก็มีให้มาในขนาดกะทัดรัดตามขนาดเครื่อง มีแบ่งปุ่มคลิกซ้ายคลิกขวาอยู่ด้านล่าง การใช้งานก็ลื่นไหลดี แต่อาจจะมีขนาดเล็กไปนิดนึง
แต่ส่วนที่เป็นไฮไลท์ที่สุดก็คือ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red มีแผงปุ่มตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในทัชแพดครับ โดยใช้ชื่อเรียกว่า NumberPad ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะไอคอนตรงมุมขวาบนของทัชแพดค้างไว้ 1 วินาที เส้นไฟสำหรับแบ่งพื้นที่ของแต่ละปุ่มก็จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเป็น Numpad ได้ทันที ซึ่งแม้ว่าจะมีปุ่มขึ้นมาแล้ว ผู้ใช้ก็ยังสามารถใช้ทัชแพดในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้อยู่ แต่หากมีการจิ้มลงบนพื้นที่ของแต่ละปุ่มเพื่อคลิกซ้าย ก็จะเปรียบเสมือนการกดปุ่มตัวเลขด้วย
Screen / Speaker
จอของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นจอกระจกพาเนล IPS ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา ที่ให้ภาพคมชัด สวยงามทุกมุมมอง เมื่อประกอบกับขอบจอที่บางเฉียบ กว่า 95% เป็นหน้าจอแสดงผล ทำให้ไม่ว่าจะการใช้งานทั่วไป การเปิดหน้าเว็บ การชมภาพยนตร์ ซีรีส์ รวมถึงการเล่นเกมดูเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น ส่วนขอบจอด้านบนจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า รวมถึงยังมีหลอดไฟ LED สำหรับแสดงสถานะว่ากล้องทำงานอยู่ และก็มีกล้องอินฟราเรดสีแดงอีก 2 ตัว ที่ทำให้สามารถสแกนใบหน้าในที่ที่มีแสงน้อยได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10
อย่างไรก็ตาม จอกระจกของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เองก็ยังมีเงาสะท้อนที่เกิดขึ้นอยู่พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อใช้งานกลางแจ้ง หรือเมื่อมีแสงอยู่ในมุมตรงกับจอภาพ ซึ่งอาจทำให้ไม่สะดวกกับการใช้งานอยู่บ้างเหมือนกัน ทางแก้ก็คืออาจจะต้องพยายามเลี่ยงมุมที่อาจเกิดแสงสะท้อนกับจอได้ก็จะเป็นการดีที่สุด อย่างเช่นในร้านกาแฟก็จะไฟประเยอะ ก็ต้องเลือกมุมดีๆ หน่อย แต่ก็ไม่ลำบากอะไรมากมาย
ให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 93% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันแค่พอใช้เท่านั้น ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแถวกลางขวาของจอเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่สุด แต่สำหรับช่องแถวล่างมุมขวาเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงแค่ระดับ 10% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ลำโพงของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red จะถูกวางไว้ที่ขอบเครื่องด้านล่าง ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาในลักษณะของลำโพงสเตอริโอ ซึ่งเมื่อกางบานพับจอแบบ ErgoLift ออกมา ฐานเครื่องก็จะยกขึ้นเพื่อให้เสียงจากลำโพงสะท้อนกับพื้นได้ดีขึ้นด้วย ทำให้ได้เสียงที่กังวานมากยิ่งขึ้น เมื่อประกอบกับระบบเสียงจาก Harman Kardon เข้าไปอีก ทำให้เสียงที่ได้จากลำโพงของตัวเครื่องมีพลังมากยิ่งขึ้น โดยจากเท่าที่ผมลองใช้ฟังเพลงดู โทนเสียงกลางจะเด่นขึ้นมาตามสไตล์ของลำโพงโน๊ตบุ๊คเครื่องบางเบา รวม ๆ แล้วอยู่ในระดับกลางครับ ใช้ฟังเพลงเพลิน ๆ ได้
Connector / Thin And Weight
แม้เมื่อดูผ่าน ๆ ตัวเครื่องของASUS ZenBook UX333 Burgundy Red จะดูเหมือนลักษณะเป็นลิ่ม แต่ที่จริงแล้วความบางด้านข้างเครื่องจะเท่ากันแทบทั้งหมดครับ โดยส่วนที่เว้าเข้าไปจะเป็นตำแหน่งใกล้ ๆ กับลำโพง ซึ่งช่วยให้เสียงสะท้อนกับพื้นขึ้นมาหาผู้ใช้งานได้ดีขึ้น ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อและส่วนแสดงสถานะต่าง ๆ ไล่จากฝั่งขวาของเครื่องก็ได้แก่ ไฟแสดงสถานะการทำงาน ไฟแสดงสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ ถัดเข้ามาก็เป็นช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ช่อง USB 2.0 และก็ช่องเสียบ MicroSD
สำหรับอีกด้านก็จะมีช่องเสียบสายชาร์จจากอะแดปเตอร์ พอร์ต HDMI พอร์ต USB 3.1 และก็พอร์ต USB 3.1 Gen 2 Type-C ซึ่งจากที่ผมทดลอง พบว่าช่องนี้ไม่สามารถชาร์จไฟจากอะแดปเตอร์และสายชาร์จที่เป็นแบบ Power Delivery (PD) ได้นะครับ ถ้าจะชาร์จไฟ ต้องใช้ผ่านช่อง DC IN เท่านั้น รวมถึงช่องนี้ยังไม่รองรับ Thunderbolt ได้แค่รับส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงสุด 10 Gbps ซึ่งสามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่เป็น USB-C รวมถึงใช้ถ่ายโอนข้อมูลกับสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย ส่วนถ้าผู้ใช้ต้องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยสายแลน ในกล่องก็จะมีตัวแปลงจาก USB 3.0 มาเป็นพอร์ตแลนให้อีกเส้นนึง
Performance / Software
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home Single Language มาตั้งแต่แกะกล่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์ Windows เลยครับ ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลยครับ โดย ASUS ZenBook UX333FN-A4130T เลือกใช้ชิป Intel Core i7-8565U ที่มี 4 คอร์ 8 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วพื้นฐานอยู่ที่ 1.8 GHz มีค่า TDP ในการปลดปล่อยความร้อนสูงสุดแค่ 15W เท่านั้น ซึ่งจัดว่าต่ำมากสำหรับชิป Core i7 ในโน๊ตบุ๊ค ทำให้ตัวเครื่องโดยรวมไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 14 นาโนเมตรเท่านั้น
ส่วนชิปกราฟิกก็จะมีด้วยกัน 2 ตัวครับ อันดับแรกก็คือ Intel UHD Graphics 620 ที่รวมอยู่ในแพ็คเกจเดียวกับ CPU ซึ่งใช้สำหรับการทำงานพื้นฐาน ส่วนชิปกราฟิกแยกที่มีมาให้ด้วยก็คือ NVIDIA GeForce MX150 ที่ออกแบบมาสำหรับโน๊ตบุ๊คบางเบา ซึ่งตัวชิปเองก็มีประสิทธิภาพในระดับที่เล่นเกมออนไลน์ได้สบายมาก รวมถึงฝั่งเกมออฟไลน์ใหม่ ๆ ก็ยังรองรับไหวอยู่เหมือนกัน โดยจะมีหน่วยความจำแบบ GDDR5 แยกออกมาให้ 2 GB สำหรับงานกราฟิกด้วย ไม่ได้แชร์หน่วยความจำจากแรมของตัวเครื่อง
ด้านของ Storage เป็น SSD มาตรฐาน NVMe ที่ทำการทดสอบด้วยโปรแกรม CrystalDiskMark ก็พบว่าความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 1,793 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนก็อยู่ที่ 966 MB/s ด้านของความเร็วในการอ่านเขียนไฟล์ขนาด 4K ก็จัดว่าอยู่ในระดับที่โอเค สามารถใช้งานทั่วไปได้ดี ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ
ส่วนการทดสอบพลังประมวลผลด้วยโปรแกรม Cinebench ก็ให้ผลคะแนนในส่วนของ CPU ได้ดีตามระดับของ Core i7 ในรหัส U ส่วนด้านของ OpenGL ก็คะแนนพุ่งกว่าเครื่องที่ใช้ชิปออนบอร์ดทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นประหยัดพลังงาน ที่ใกล้เคียงกับตระกูล H ทีเดียว
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 3951 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ไม่มีการ์ดจอแยกนั่นเอง
ต่อไปก็เป็นผลการทดสอบเกมกันบ้าง เริ่มด้วยเกม อาทิ DOTA 2, Overwatch, PUBG เริ่มจาก DOTA 2 โดยทดสอบด้วยความละเอียด Full HD ตัวเลขเฟรมเรตที่ได้นั้นค่อนข้างแกว่งไปที่ 30 – 60 บางช่วงก็ขึ้นไปสูงร่วม 60+ บางช่วงก็ตกลงมาเหลือสิบกว่า ๆ เท่านั้น โดยเฉพาะช่วงที่เป็นจังหวะบวกปะทะเยอะๆ เข้าใจว่า Unit หรือเอฟเฟคต่างๆ นั้นค่อนข้างกินทรัพยากร โดยรวมแล้วก็ถือว่าพอเล่นได้ แต่ก็ไม่ได้ลื่นตลอดเวลา
โดยอาการกระตุกนั้น ตอนที่เปิดเกมขึ้นมาใหม่ ๆ จะยังไม่พบอาการดังกล่าวนะครับ แต่พอเปิดเกมมาได้ซักระยะ แม้ว่าตัวเลขเฟรมเรตจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 30 fps ก็ตาม แต่ตัวละครและฉากจะเริ่มมีอาการกระตุกเป็นช่วง ๆ จากนั้นอีกซักพัก ตัวเลขเฟรมเรตก็จะลดลงมาอย่างเห็นได้ชัดเลย อันนี้ผมตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะเกิดจากการที่ GPU ปรับลดความเร็วลงเพื่อควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงจนเกินไป ทำให้ภาพในเกมกระตุก
ต่อกันที่เกมแนว FPS อย่าง Overwatch ครับ เกมนี้ผมทดสอบด้วยความละเอียดระดับ Full HD แล้วปรับคุณภาพของภาพในเกมเป็นระดับ Low พบว่าเฟรมเรตที่ได้จะอยู่ในระดับ 30 fps ขึ้นไป มีแกว่งลงมาบ้างบางช่วง แต่อย่างไรก็ตาม อาการที่ภาพในเกมกระตุกเป็นช่วง ๆ แบบที่พบในเกม GTA V ก็ยังพบอยู่เช่นเคยครับ รวมถึงแม้ว่าจะปรับความละเอียดจอลงมาที่ 720p ก็ยังคงพบปัญหาเดิมเช่นกัน
เกมต่อมาก็คือ PUBG ซึ่งผมได้ลองเล่นทั้ง PUBG เวอร์ชันปกติ รวมถึง PUBG Lite ที่กินสเปคเครื่องน้อยกว่าด้วย สำหรับเกมซีรีส์นี้ แนะนำว่าปรับคุณภาพของภาพในเกมเป็นระดับ Low หรือ Very Low จะชัวร์ที่สุดครับ สำหรับ PUBG Lite อาจจะปรับความละเอียดภาพเป็น Full HD ก็ยังไหว ชิปกราฟิก MX150 สามารถปั่นเฟรมเรตได้เกิน 30fps อยู่เหมือนกัน และหลังจากเล่นไปซักพัก ก็ยังพบอาการกระตุกเป็นช่วง ๆ อยู่เช่นเคย
สังเกตอาการกระตุกที่เกิดขึ้นในแต่ละเกม พร้อมกับดูค่าอุณหภูมิที่ได้จากโปรแกรม MSI Afterburner ตรงมุมซ้ายบนของจอ สิ่งที่ผมสังเกตได้ก็คือ เมื่ออุณหภูมิของ GPU ขึ้นมาแตะระดับสูงกว่า 70 องศาได้ซักระยะ ภาพในเกมจะเริ่มมีอาการกระตุก และเฟรมเรตก็เริ่มลดลงตามลำดับ หลังจากนั้น อุณหภูมิของ GPU ก็จะแกว่ง ๆ อยู่ในช่วง 60 ปลาย ๆ ถึง 70 กว่า ๆ ไปตลอดเลย รวมถึงความเร็วของ GPU เองก็ลดจาก 1,2xx MHz ลงมาเหลือแค่ 1xx MHz เท่านั้น ซึ่งก็คือกระบวนการที่ตัว GPU ปรับลดความเร็วลง เพื่อลดความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการถนอมตัวฮาร์ดแวร์ให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้นนั่นเอง (แต่อาจจะไม่ค่อยโอเคกับการเล่นเกมเท่าไหร่)
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ตัวแบตเตอรี่มีขนาด ประมาณ 4,600 mAh สามารถทำงานต่อเนื่องยาวนานประมาณ 5 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบดู YouTube ผ่าน Wi-Fi ถือได้ว่าเป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3″ อีกรุ่นหนึ่งเลยที่มีแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนานในระดับนึง แต่ก็ไม่ถึง 10 ชั่วโมงตามที่ได้เคลมเอาไว้
มาถึงอีกส่วนสำคัญของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red คือเรื่องการระบายความร้อน โดยหนึ่งสิ่งที่เป็นฟีเจอร์ไฮไลท์ของเครื่องนี้ก็คือพัดลมระบายความร้อนที่เงียบ ซึ่งจากที่ผมทดสอบด้วยการใช้งานจริงดู หากเป็นการใช้งานพื้นฐาน เปิดเว็บ ทำงานเอกสาร แต่งภาพด้วย Lightroom อันนี้คือจะไม่ได้ยินเสียงพัดลมเลยจริง ๆ ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก แต่ถ้าเริ่มมีการใช้งานที่กินประสิทธิภาพหนัก ๆ เช่น เล่นเกม หรือการทำงานที่ต้องใช้การประมวลผลหนักกว่าปกติ เสียงพัดลมจะดังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ แต่ก็ยอมรับเหมือนกันว่าสามารถระบายความร้อนออกมาได้เร็วจริงเหมือนกัน
ด้านบนนี้คือผลการตรวจสอบอุณหภูมิขณะเครื่องทำงานปกติ มีเปิดโปรแกรมทำงานอยู่ด้วยบางส่วน โดยทดสอบเมื่ออยู่ในห้องแอร์อุณหภูมิประมาณ 26 องศา พบว่าความร้อนของชิปประมวลผลจะอยู่ในช่วง 53-55 องศา ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับปกติของโน๊ตบุ๊คบางเบาที่ใช้ชิป Core i7 ส่วนถ้าเป็นอุณหภูมิ CPU ขณะ idle นั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 45 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิหลังจากเล่นเกม DOTA 2 แบบปรับสุด จะเห็นว่าอุณหภูมิสูงสุดของ CPU นั้นพุ่งไปสูงสุดที่ 94 องศา ซึ่งก็เป็นอุณหภูมิปกติของชิประดับ Core i7 ส่วนชิปกราฟิกก็ขึ้นมาสูงสุดราว ๆ 81 องศา โดยถ้าร้อนกว่านี้เครื่องจะปรับความเร็วในการทำงานลดลงมา เพื่อควบคุมอุณหภูมิให้ไม่ร้อนจนเกินไป
อย่างไรก็ตามช่องดูดลมเข้าไปในเครื่องจะอยู่ที่ฝาปิดด้านล่าง ดังนั้น แนะนำว่าระหว่างใช้งาน อย่าหาของไปปิดกั้นช่องนี้นะ หรือถ้าต้องการหาแท่นระบายความร้อนที่มีพัดลมอยู่ใต้เครื่อง ก็ควรเลือกแท่นที่มาพร้อมพัดลมเป่าลมขึ้นมายังตัวเครื่องนะครับ เพื่อจะได้ให้ลมเย็นสามารถไหลเข้าไปภายในได้เร็วขึ้นด้วย
Conclusion / Award
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นสีใหม่ล่าสุดที่วางขาย หลังจากก่อนหน้านี้ที่มีวางจำหน่ายสองสี คือ Royal blue และ Icicle silver มาพร้อมดีไซน์การตกแต่งใหม่บริเวณด้านบนคีย์บอร์ด เป็นสี Rose gold และดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของโน๊ตบุ๊คตระกูล ZenBook (ตรงฝาถ้าสังเกต จะเห็นว่ามันเป็นวง อารมณ์ประมาณสวน Zen และรอยกระเพื่อมน้ำเป็นวงๆ)
ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ยังมาพร้อมความพิเศษสุดกับนวัตกรรม ‘NumberPad’ ที่จะเปลี่ยนทัชแพดแบบเดิมเป็นแป้นพิมพ์ตัวเลขมีไฟ LED ที่สามารถใช้งานพิมพ์ตัวเลขมากๆอย่างสะดวกสบาย เพียงเลือกกดเปิด – ปิดที่ไอคอนมุมขวาบนของทัชแพด โดย ZenBook Burgundy Red นับเป็นสีพิเศษที่ทุกรุ่นซีพียู จะมาพร้อม NumberPad
นอกจากนี้ยังนำเสนอหน้าจอความคมชัดระดับ Full HD พร้อมนวัตกรรมขอบจอบางทั้ง 4 ด้าน หรือ ‘4-sided NanoEdge display’ ช่วยเพิ่มอัตราส่วนหน้าจอต่อเครื่องได้กว่า 95% นำหน้าคู่แข่งในตลาด ทั้งยังช่วยให้การออกแบบตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง นับเป็นโน๊ตบุ๊คขนาดเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คอื่นๆในขนาดเดียวกัน และมีขนาดเล็กยิ่งกว่ากระดาษ A4 รวมไปถึงยังติดตั้งกล้องอินฟราเรดสีแดงอีก 2 ดวงที่ทำให้สามารถสแกนใบหน้าในที่ที่มีแสงน้อยได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็วแม่นยำมากๆ
เรียกได้ว่า ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red เป็นโน๊ตบุ๊คอีกรุ่นที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว ทั้งในด้านของความกะทัดรัดของตัวเครื่อง ที่มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 น้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัมนิด ๆ ขอบจอบางเฉียบที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยม บานพับ ErgoLift ที่ช่วยยกตัวเครื่องขึ้นมาให้สามารถใช้งานคีย์บอร์ดได้ง่ายขึ้น ส่วนประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องก็ยังครบครันทั้งแง่ของชิปประมวลผล Core i7 ชิปกราฟิกแยก MX150 รวมถึงแรม 8 GB และ SSD ในเครื่องอีก 512 GB ที่ทำให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ตอบโจทย์ทั้งการทำงานทั่วไป การใช้งานเพื่อความบันเทิง รวมถึงยังเล่นเกมในยามว่างได้อีกด้วย
จุดเด่น
- โดดเด่นด้วยสีสัน Burgundy Red สุดเอ็กซ์คลูซีฟ
- ตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด เล็กกว่ากระดาษ A4 ช่วยให้พกพาได้สะดวก
- หน้าจอขอบบางแบบ NanoEdge กว่า 95% เป็นพื้นที่แสดงผล
- บานพับ ErgoLift ช่วยยกเครื่องให้สามารถใช้คีย์บอร์ดได้สะดวกขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้วย
- รุ่นที่มาพร้อมชิป Core i7 จะมาแผงปุ่ม NumberPad ที่ทัชแพดให้ใช้งานด้วย
- สเปคจัดว่าเป็น Ultrabook ที่แรง เล่นเกมก็ได้ ใช้งานทั่วไปก็ดี
- วัสดุตัวเครื่องผ่านการทดสอบตามมาตรฐานระดับกองทัพสหรัฐฯ
- มีกล้องอินฟราเรดสำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ได้
ข้อสังเกต
- เมื่อเล่นเกมได้ซักระยะ GPU จะพยายามควบคุมความร้อนด้วยการปรับลดความเร็วลง ทำให้เกมกระตุกเป็นช่วง ๆ
- ปุ่ม Shift ด้านขวาของคีย์บอร์ดมีขนาดเล็กไปนิด
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับโน๊ตบุ๊คในกลุ่มเครื่องบางเบา ขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว ซึ่ง ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ได้รับรางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Ultrabook
ถ้านับในแง่ของ Ultrabook ต้องบอกว่า ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะในแง่ของความบางเบาและประสิทธิภาพ ประกอบกับราคาในช่วงสามหมื่นกลาง ๆ ทำให้เป็น Ultrabook ที่ลงตัวมาก ๆ สำหรับผู้ที่มองหาโน๊ตบุ๊คบางเบาซักเครื่องมาใช้งานในระดับจริงจัง
ความบางเบาคือจุดเด่นที่สุดของ ASUS ZenBook UX333 Burgundy Red ด้วยตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 ความบางสุดเพียง 1.69 เซนติเมตร และน้ำหนักเริ่มต้นเพียงแค่ 1.19 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และนอกจากความบางเบา ยังมีความแข็งแกร่งอีกด้วย จากการใช้วัสดุที่ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานระดับกองทัพ ดังนั้นจึงหายห่วงเรื่องความทนทานได้เลย
ปัจจัยสำคัญของด้าน mobility ก็คือขนาดที่กะทัดรัด แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน และการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ครอบคลุม ซึ่ง ASUS ZenBook UX333FN ตอบโจทย์ทั้งสามด้านได้อย่างครบถ้วนครับ กับตัวเครื่องบางเบา และการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่รองรับทั้ง WiFi 802.11ac ทั้ง 2.4 และ 5 GHz รวมถึง Bluetooth 5.0 หรือหากต้องการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ตัวเครื่องก็ยังมีพอร์ตที่ครบครันสำหรับการใช้งานทั่วไปด้วยเช่นกัน
ดีไซน์โดยรวมของA SUS ZenBook UX333 Burgundy Red มีความโดดเด่นเรื่องสีสัน รวมถึงหน้าจอขอบบางแบบ NanoEdge ที่ทำให้สามารถใช้งานจอขนาด 13.3 นิ้วภายในตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้จอขนาดเดียวกัน ไปจนถึงบานพับ ErgoLift ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานได้เป็นอย่างดี และที่ขาดไม่ได้ก็คือแผงปุ่มตัวเลข NumberPad ที่รวมอยู่ในทัชแพด ซึ่งนอกเหนือจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีประโยชน์กับการใช้งานจริงอีกด้วย