ในงาน IFA 2018 ที่ผ่านมานั้น Nubia หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อัจฉริยะได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ออกมาในชื่อรุ่น Nubia Alpha ครับ ทว่า ณ เวลานั้นไม่มีใครได้ทำการทดลองใช้งานเลยเนื่องจากเป็นเครื่องต้นแบบเท่านั้น เวลาผ่านไปเร็วจนมาถึงในงาน MWC 2019 นี้นั้นในที่สุดทาง Nubia ก็ได้ทำการเปิดตัว Nubia Alpha อย่างเป็นทางการพร้อมทั้งให้ผู้ที่เข้าชมงานสามารถที่จะทดสอบในการใช้งานได้อีกด้วยครับ มาดูกันครับว่า Nubia Alpha นั้นจะมีดีมากน้อยแค่ไหน
Nubia Alpha มาพร้อมกับหน้าจอพาเนล OLED แบบยืดหยุ่นได้โดยมีขนาดอยู่ที่ 4 นิ้ว ความละเอียดของหน้าจอนั้นอยู่ที่ 960 x 192 pixels มีอัตราส่วนหน้าจอ 5 : 1(หรือ 45 : 9) ตัวหน้าจอนั้นสามารถที่จะปรับให้โค้งงอได้ถึง 100,000 ครั้งดังนั้นแล้วจึงมั่นใจได้ว่าในการสวมใส่ตลอดอายุการใช้งานนั้นตัวหน้าจอจะไม่มีปัญหาให้กวนใจคุณแน่นอน(คิดซะว่าวันหนึ่งใส่ 1 ครั้ง ถอดออกอีก 1 ครั้งใส่ทุกวันความยืดหยุ่นของตัวหน้าจอก็จะสามารถอยู่ได้ยาวนานถึงเกือบ 137 ปีครับ) สำหรับสวเปคของ Nubia Alpha นั้นมีดังต่อไปนี้ครับ
- ชิปเซ็ท Snapdragon Wear 2100
- หน่วยความจำขนาด 1 GB
- แหล่งเก็บข้อมูลภายในความจุ 8 GB
- มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 5 MP
- มีลำโพงในตัว
- แบตเตอรี่ความจุ 500 mAh(ซึ่งทาง Nubia ยืนยันว่าสามารถที่จะใช้งานได้ยาวนาน 2 วันต่อการชาร์จ 1 ครับ)
- สำหรับโมเดลที่มีราคาสูงจะมาพร้อมกับ eSIM ส่วนโมเดลที่มีราคาถูกจะมีเฉพาะการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เท่านั้น
- มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการของทาง Nubia ที่มี Android เป็นพื้นฐาน(ไม่ได้พัฒนาต่อจาก Android Wear นะครับ)
ตัวเครื่องนั้นมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สำหรับการตรวจจับข้อมูลทางด้านสุขภาพต่างๆ เหมือนกับสมาร์ทวอทช์ทั่วไป นอกไปจากนั้น Nubia Alpha ยังรองรับการควบคุมด้วยท่าทาง(แต่จากการทดสอบของ The Verge ในสถานที่ที่มีแสงน้อยพบว่าจะไม่สามารถใช้การได้) และการควบคุมผ่านทางเสียง อีกทั้งยังรองรับการจ่ายเงินแบบเคลื่อนที่ทว่าจะรองรับเฉพาะระบบ Ali Pay เท่านั้น(ซึ่งนิยมใช้ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่)
ทั้งนี้ทาง Nubia จะพร้อมวางจำหน่าย Nubia Alpha ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาช่วงเดือนเมษายนนี้ซึ่งจะเป็นโมเดลที่มาพร้อมกับ Bluetooth เท่านั้น สนนราคาอยู่ที่ €449 หรือประมาณ 16,050 บาท สำหรับรุ่นที่มาพร้อมกับ eSIM นั้นจะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงไตรมาสที่ 3 สนนราคาอยู่ที่ €549 หรือประมาณ 19,620 บาทครับ
ที่มา : theverge