ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จัดว่าเป็น Gaming Notebook แบบบางพิเศษที่จะยกระดับการเล่นเกมสุดโหดขึ้นไปอีกขั้นด้วยด้วยกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ล่าสุด NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q ที่ประสานการทำงานกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 17 นิ้ว ที่มีรีเฟรชเรทสูง 144Hz และกรอบจอแบบบางเฉียบ รวมไปถึง NVIDIA G-SYNC และเทคโนโลยี Optimus ทำงานควบคู่กัน หน้าจอยังได้รับการรับรองโดย PANTONE Validated จึงให้เฉดสีที่สมจริงสำหรับการเล่นเกม หรือแม้แต่การสร้างคอนเทนต์ระดับสูง
โดย ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เป็นตัวต่อยอดมาจาก ZEPHYRUS GX501 และ ZEPHYRUS S GX531 กับการวางเป็นท็อปที่สุดในไลน์ของ ZEPHYRUS เรียกได้ทำให้เป็น Gaming Notebook สเปกแบบนี้ซึ่งได้ความบางที่สุดในโลก ได้ทั้งความแรงและน้ำหนักตัวเครื่องที่บางเบาไปพร้อมๆ กัน โดยบางสุดเพียง 18.7 มิลลิเมตร และเบาเพียง 2.7 กิโลกรัมเท่านั้น สนนราคาที่ 129,990 บาท
Unbox Preview
Specification
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H รุ่นยอดนิยม ทำงานความเร็ว 2.2 – 4.1 GHz แบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ที่สำคัญยังติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (DDR6 8GB) ให้ความแรงที่เหลือเฟือในการเล่นเกมทุกเกมบนโลกแบบลื่นไหล ส่วนของแรมมีขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz (8GB x 2) มีที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 NVMe PCIE 3.0 ความจุ 1TB หน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS รองรับ 144Hz ทำงานมืออาชีพได้ดี เล่นเกมตอบสนองได้เยี่ยม พร้อม
ความหนาของตัวเครื่อง 18.7 มิลลิเมตร และหนักเพียง 2.7 กิโลกรัม ถ้าลองย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อละว่าจะมี Gaming Notebook สเปกแรงระดับ Gaming Desktop ที่เบาและบางขนาดนี้ออกมาให้เราได้เห็นกัน โดยพอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1, USB Type-C, Mini DisplayPort, HDMI พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac (Wi-Fi 5) สนนราคา ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 อยู่ที่ 129,990 บาท ประกัน 2 ปี และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียน
สเปกเต็มๆ ของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 <<<
ASUS ROG Zephyrus S GX701 (GX701GX) |
|
Processor | Intel® Core™ i7-8750H |
Operating system | Windows 10 HomeWindows 10 Pro (ASUS recommends Windows 10 Pro) |
Display | 17.3” FHD (1920×1080) IPS-level panel, 144Hz, 3ms, 100% sRGB, Optimus, G-SYNC™, PANTONE® Validated |
Graphics | NVIDIA® GeForce RTX™ 2080 with Max-Q Design8GB GDDR6 VRAM |
Memory | DDR4 2666MHz SDRAMUp to 24GB (8GB on board memory) |
Storage | M.2 NVMe PCIe 3.0 x4 1TB SSDM.2 NVMe PCIe 3.0 x2 512GB / 1TB SSD |
Wireless | 802.11ac 2×2 WLANBluetooth® 5.0 (Version may vary as the OS upgrades) |
Connectivity | 1 x USB 3.1 Gen 2 Type-C™ with DisplayPort™ 1.4 and Power Delivery1 x USB 3.1 Gen 1 Type-C™
1 x USB 3.1 Gen 2 Type-A 2 x USB 3.1 Gen 1 Type-A 1 x HDMI 2.0b 1 x 3.5mm headphone and microphone combo jack 1 x Kensington lock |
Keyboard | Per-key RGB; backlit chiclet keyboardAura Sync
Support N key Hot keys: Ten-key Function / ROG Armoury Crate 1.4mm key travel |
Audio | 2 x 2.5W speaker with smart amp technologyArray microphone |
Software | Armoury CrateGameFirst
GameVisual Sonic Studio & Sonic Radar Aura Core XSplit Gamecaster (Free) Android / iOS App |
AC adapter | 230W power adaptorPlug Type: ø6.0 (mm)
Output: 19.5V DC, 11.8A, 230W Input: 100~240V AC, 50/60Hz universal |
Size | 399 (W) x 272 (D) x 187 (H) mm |
Weight | 2.7kg |
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มาพร้อมแรงบันดาลใจจาก ASUS ROG ZEPHYRUS GX501 และ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 โดดเด่นกว่าด้วยหน้าจอขนาด 17.3″ แต่ขนาดตัวเครื่องเทียบเท่าหน้าจอ 15.6″ จากการที่เป็นขอบจอบางเฉียบ แบบที่ไม่สามารถติดตั้งกล้อง Webcam แบบเดิมๆ ไว้ได้
มิติทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุผสมระหว่างอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม มาในโทนดำตัดกับสีเทาเข้ม (Armor Titanium) ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดีมีคำว่า ZEPHYRUS
โดยในส่วนขอบตัวเครื่องโดยรอบรวมไปถึงขอบด้านหลังใช้เป็นสีสันทองแดง (Plasma Copper) ทำให้ดูตัดกันเป็นอย่างสวยงาม ซึ่งฝาหลังจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนชัดเจนแบบตัดกันแนวทะแยง ที่มีความโดดเด่นมากๆ มาพร้อมโลโก้ ROG ที่ไฟสีแดง LED ที่จะติดก็ต่อเมื่อเปิดเครื่อง ถือว่าหลายส่วนนั้นเป็นคงเอกลักษณ์จาก ROG รุ่นก่อนหน้า แถมทำได้ดีกว่าเพราะเป็นการพัฒนาต่อยอด ด้วยชิ้นส่วนประกบทั้งด้านบนและล่างถูกขึ้นรูปอย่างบรรจงจากอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแกร่ง กระบวนการ CNC ที่สามารถหาได้ยากในโน๊ตบุ๊คทั่วไป
ระบบระบายอากาศของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จะใช้ชื่อว่า ROG Active Aerodynamic System (AAS) พร้อมพัดลมแบบ 83 ใบพัด ทำงานแบบ 12V บนฮีต์ไปป์ 5 แถว ซึ่งพาดผ่านตลอดทั้งซีพียูและการ์ดจอ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดบนดีไซน์บางเฉียบ โดยมีหลักการทำงานก็คือ ตัวเครื่องจะถูกยกขึ้นด้วยกลไล เรียกได้ว่ายกขึ้นทั้งฝาด้านล่าง โดยทั้ง 2 ฝั่ง พัดลม 2 ตัว นั้นก็ยังมาพร้อมกับไฟ LED แบบ RGB ที่เวลาใช้งานตัวเครื่องนั้นทำให้ดูน่าใช้งานแบบเทพๆ เข้าไปอีก
โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ที่เปิดช่องลมให้มากขึ้น พร้อมฟินนำพาความร้อนกว่า 250 แถว ที่บางเพียง 0.1 มิลลิเมตร ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับการออกแบบเดิมๆ
และด้วย 83 ใบพัดบนพัดลมคู่แบบ AeroAccelerator ความแรง 12V มีจำนวนใบพัดมากกว่าพัดลมของ ZEPHYRUS รุ่นแรกถึง 17% การไหลเวียนอากาศยังทำได้ดียิ่งขึ้นจากรูปทรงของใบพัดอลูมิเนียมซึ่งมีขอบใบพัดที่โค้งมนและยกปลายขอบเพื่อนำลมเข้าสู่บริเวณใบพัดได้มากยิ่งขึ้น ความเร็วในการหมุนถูกกำหนดด้วยชุดคำสั่งอัจริยะที่ถูกตั้งค่าเป็นโปรไฟล์สามรูปแบบ
โดยปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Overboost mode สำหรับประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับสูงสุด, Silent mode สำหรับเสียงรบกวนที่น้อยที่สุด, และ Balanced mode เพื่อความสมดุลในการใช้งาน
นอกจากนั้นแล้วยังมีลมไหลเวียนเข้าผ่านทางช่องคีย์บอร์ด และการวางตำแหน่งคีย์บอร์ดบริเวณด้านหน้าของตัวเครื่องยังช่วยให้มีพื้นที่ในการระบายความร้อนที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริงทีเดียว ที่สำคัญยังมีโลโก้ ROG ที่เป็นไฟ RGB อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ ZEPHYRUS Series เท่านั้น
จุดเด่นที่สุดซึ่งนั่นเป็นความภูมิใจของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ที่เป็น Gaming Notebook ตัวบางเบาแต่แรงก็คือ จากการติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q ที่โดยทั่วไปแล้วเราจะเห็นใน Gaming Notebook ตัวหนาๆ จะเป็น NVIDIA GeForce RTX 2080 เพราะมันจะปล่อยความร้อนค่อนข้างสูง แต่ Max-Q คือจะควบคุมความร้อนที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า
ซึ่งตัวเครื่องนั้นจะมีความบางอยู่ที่ 18.7 มิลลิเมตรเท่านั้น แถมน้ำหนักของตัวเครื่องก็อยู่ที่ 2.1 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน้ตบุ๊ตเล่นเกมการ์ดจอตัวแรงที่สามารถพกพาได้สะดวกมากๆ ไม่ต่างจากโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่เน้นการพกพาเลย แต่นี่ได้ความแรงกราฟิกแบบเหลือเฟือด้วย อย่างที่ Gaming Notebook สายบางเบา ไม่เคยให้ได้แบบสุดทาง
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook บางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก จากแต่ก่อนแทบเป็นไปไม่ได้ที่ความแรงระดับนี้ จะอยู่บนตัวเครื่องที่บางและเบาแบบนี้ แต่ตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในราคาที่จับสูงกว่ารุ่น ZEPHYRUS GX501 ที่เป็นตัวท็อปเพียง 10,000 บาทเท่านั้น
Keyboard / Touchpad
เมื่อเปิดฝาหน้าจอ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ขึ้นมามองภายในเราก็จะพบกับการวางตำแหน่งของคีย์บอร์ดที่แตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นทั่วไปอย่างชัดเจน จากการที่เลื่อนชุดแป้นคีย์บอร์ดมาไว้ด้านล่างสุด และขยับในส่วนของทัชแพดออกไปด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีพื้นที่ ซึ่งจริงๆ นั้นทาง ASUS ได้ติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบจัดเต็มเอาไว้ ซึ่งมีช่องขนาดเล็กทำหน้าที่ดูดลมเย็นลงไปให้ผ่านทางฮีต์ไปป์ แน่นอนว่าเป็นผลมาจากตัวเครื่องบาง
โดยแป้นพิมพ์ของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน สามารถทำได้แม่นยำไม่แพ้เกมมิ่งคีย์บอร์ดแยก บนเทคโนโลยี ASUS AURA RGB ทำให้เปลี่ยนสีได้ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ ROG Armory Crate ซึ่งความโดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Per-Key RGB ที่แต่ละปุ่มจะมีไฟ LED ทำให้เราไฟที่แสดงออกมามีความเรียบเนียนและสวยงามกว่าที่เคย
ดีไซน์ปุ่ม F1 – F4 นั้นจะอยู่แยกต่างหากในขณะที่ปุ่ม F5-F12 นั้นจะอยู่ติดกันไปหมดตรงนี้ต้องปรับตัวเล็กน้อย แต่ใช้สักพักก็จะชินไปเอง รวมไปถึงจะเห็นว่าไม่มีปุ่มปรับเสียงแล้ว เพราะ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เลือกใช้เป็นปุ่มแบบคลิกหมุนเอาซึ่งสะดวกกว่ารุ่นก่อนๆ ด้วยการหมุนไปมาเพื่อปรับเสียง หรือถ้าจะ Mute ก็กดปุ่มเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำได้เลย
ดีไซน์ทัชแพดนั้นก็ใช้เป็นแบบปุ่มแยกออกมา โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็มีความนุ่มและเด้งรับได้น่าประทับใจ การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก นอกเหนือจากนั้นทัชแพดยังสามารถเปลี่ยนไปใช้งานในรูปแบบของปุ่ม NumPad ได้ ซึ่งตรงจุดนี้นั้นถือว่า ASUS สามารถที่จะใช้พื้นที่ได้อย่างมีประโยชน์ที่สุด แต่มันก็อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก เพราะ Gaming Notebook ปกติจะแยกส่วนมาให้นั่นเอง ส่วนเหนือปุ่มทัชแพดจะมีปุ่ม ROG มาให้ เพื่อเรียก ROG Armory Crate อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานจริงๆ คงต้องปรับตัวซะหน่อยทั้งคีย์บอร์ดและทัชแพด เพราะข้อมือของเราต้องโดนขอบเครื่องตรงๆ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ลำบากกว่าคีย์บอร์ด Gaming Notebook ทั่วไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่เรียนรู้และปรับตัว
Screen / Speaker
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบ ทั้งขอบด้านข้างและด้านบน ขนาด 17.3 นิ้ว ทำให้ตัวเครื่องเทียบเท่าขนาด 15.6″ เท่านั้น บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนลเป็น IPS คุณภาพดี มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการใช้งานกราฟิกหรือการเล่นเกมก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ เชื่อมั่นได้จากมี PANTONE Validated ด้วย รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอ 144Hz และResponse Time 3ms (G2G) ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่แค่ 60Hz แบบเห็นได้ชัดเจน
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง เราใช้เครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่น
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 92% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันดีมากๆ เกือบ 100% ทีเดียว ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแถวกลางขวาของจอเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่สุด แต่สำหรับช่องแถวบนมุมซ้ายเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงแค่ระดับ 10% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องด้านหลังพร้อมยิงเสียงคุณภาพสูงมาด้านหน้าพร้อม Smart Amp เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ให้ขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะมีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม เรื่องของความดังของเสียงถือว่ามากกว่า 2 – 3 เท่า ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้
Connector / Thin And Weight
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จัดว่าเป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 17.3 นิ้ว ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันในระดับนึง โดยติดตั้งทั้งด้านซ้ายด้านขวาของตัวเครื่องไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 1 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง พร้อมรองรับ USB Power Delivery ในตัว, HDMI 1.4 อีกหนึ่งช่อง และ Mic-in/Headphone-out อย่างไรก็ตาม ส่วนด้านซ้ายจะมี USB 3.1 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง เรียกได้ว่าค่อนข้างให้มาเยอะทีเดียว แน่นอนว่ามีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac (Wi-Fi 5) ที่มาตรฐานล่าสุดและดีที่สุด
ในส่วนความบางของเครื่องอยู่ที่ 18.7 มิลลิเมตรตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอขนาด 17.3″ สเปกความแรงระดับ RTX 2080 Max-Q ที่บางที่สุดในโลกขณะนี้ อีกทั้งมีน้ำหนักแค่ 2.7 กิโลกรัมเท่านั้น ถือได้ว่าไม่เคยมีโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้ แต่เบาขนาดนี้มาก่อน เมื่อรวมกับอแดปเตอร์ก็มีน้ำหนักประมาณ 3.2 กิโลกรัมเท่านั้นเอง ในการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ก็สบายๆ เราสามารถใช้กระเป๋าโน๊ตบุ๊คเดิมๆ ที่เป็นขนาด 15.6″ มาใช้งานกับ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ได้ทันที
Performance / Software
โดย ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750H (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2018 – 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 Bus 2666 MHz แบบ 2 แถว Dual Channel รวมเป็น 16GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้ รวมไปถึงใช้งานหนักๆ หรือเปิดหลายโปรแกรมได้อย่างแบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ได้ถูกปิดลงไปเพื่อให้การ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ แรงกว่า GTX 1080 Max-Q ที่เป็นรุ่นก่อนหน้าแน่นนอน เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้เป็น 100 FPS แต่ด้วยเป็นรุ่น Max-Q จึงเน้นประหยัดพลังงาน โดยมีการลดความเร็วลง ทำให้ร้อนน้อยลง แต่ยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีอยู่
พร้อมกันนั้นยังมาเทคโนโลยี Ray Tracing ที่สามารถแสดงผลการติดตามแสงของวัตถุ และสภาพแวดล้อมในแบบเรียลไทม์ ระหว่างกระบวนการเรนเดอร์กราฟิกสามารถคำนวณการสะท้อน และหักเหแสงได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุมทั้งแสง และเงาทางกายภาพ ทำให้เกมนั้นสมจริงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เหนือชั้นกว่าการ์ดจอ GTX 10 Series ก่อนหน้านี้ทีเดียว ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหลแต่สวยสมจริงด้วย รวมไปถึงมีชิปช่วยประมวลผลภาพแยกอย่าง NVIDIA G-Sync ทำให้ลดภาระของซีพียูในเรื่องของการทำงานลดภาพฉีกขาดลงไปอีกขั้น (ดีกว่าไม่มีชิป NVIDIA G-Sync แน่นอน)
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB แบบ M.2 NVMe ระดับสูงของทาง Samsung แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3416MB/s และเขียนที่ 2311MB/s
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,852 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมาก
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (8GB) ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 16GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V / FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดยเกม Battlefield V โดดเด่นด้วการรองรับเทคโนโลยี Ray Tracing ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหล แต่สวยสมจริงกว่าที่เคยมีมาอีกด้วย แต่ในการเปิดปิดนั้นมีผลกับเฟรมเรทโดยตรง ซึ่งเมื่อเปิดเฟรมเรทจะหายไป 10 – 20 เฟรมทีเดียว
ส่วนเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 / Overwatch / PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด แต่ในส่วนของเกม PUBG มีเฟรมเรทไม่ต่ำไปกว่า 120 เลย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเป็นเกมออนไลน์ที่กินทรัพยากรพอตัวเหมือนกัน
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบ 144Hz พร้อมชิป NVIDIA G-Sync ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA หรือ FPS ระดับ 144 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่
ซึ่งการที่จะดันเฟรมเรทให้ได้สูงเพียงพอต่อความสามารถอันล้นเหลือของหน้าจอแสดงผลนั้น ทำให้ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จึงมาพร้อมกับกราฟิกการ์ดระดับสูงสุดถึง GeForce RTX 2080 แบบ Max-Q Design โดยสถาปัตยกรรม Turing แบบใหม่ที่มาพร้อมกับกลุ่มกราฟิกการ์ดสำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นล่าสุดจากทาง NVIDIA นั้นได้รวมเอาการเรนเดอร์ภาพแบบปกติเข้ากับเทคโนโลยี ray tracing แบบเรียลไทม์ และระบบปัญญาประดิษฐ์
เพื่อให้ได้ซึ่งความสมจริงที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น แกนประมวลผล CUDA แบบเดิมทำงานร่วมกับแกนประมวลผล RT สำหรับ Ray Tracing และแกนประมวลผล Tensor สำหรับ AI เพื่อให้แสง, เงา, และเอฟเฟคท์อื่นๆมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น พลังในการประมวลผลที่มีความหลากหลายเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้ในงานลักษณะอื่นๆได้อีกมากมาย ตั้งแต่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ ไปจนถึงการสร้างแบบจำลองสามมิติ หรือการเรียนรู้เชิงลึก (deep learning)
โดยเทคโนโลยี Ray Tracing คือเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลการให้แสงสำหรับเกมแบบ real-time จากที่ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาเกมจะต้องใช้วิธีการสร้าง geometries แบบสับซ้อนซึ่งทำให้การประมวลผลแสงในเกมให้เหมือนจริงที่ใช้กำลังของ GPU ค่อนข้างหนัก Ray Tracing นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ GPU นั้นทำงานน้อยลงและสามารถที่จะประมวลผลในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าการที่จะทำได้นั้นตัวเกมเองก็ต้องใช้เอนจิ้นที่รองรับเทคโนโลยี Ray Tracing นี้ด้วย
ปิดท้ายด้วยซอฟต์แวร์ติดเครื่องจากที่เคยเป็น ROG Game Center ตอนนี้ได้เปลี่ยนมาเป็น Armoury Crate ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆของระบบรวมไปถึงการปรับแต่งไฟด้วย Aura Sync นั้นทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว หรือผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้มากถึงสี่โปรไฟล์ — ซึ่งการตั้งค่าต่างๆจะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 3 ชั่วโมงโดยประมาณ แม้ว่าอาจจะใช้งานได้ไม่ยาวนานมาก แต่ก็ต้องเข้าใจว่ารุ่นนี้ปิดการ์ดจอออนบอร์ดลงไป ใช้เป็นการ์ดจอแยกพร้อมระบบ NVIDIA Optimus ช่วยจัดการแทน ทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ประมาณนี้ก็ถือยอมรับได้แล้ว
ที่สำคัญยังเป็น Gaming Notebook ที่รองรับ USB Power Delivery (พอร์ตทางขวาของตัวเครื่อง ฟอร์มคือ USB-C) ทำให้ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 สามาถชาร์จไฟจากอุปกรณ์สำรองไฟภายนอกได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปลั๊กไฟอีกต่อไป รองรับระบบชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จไฟกลับให้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นได้โดยมีกำลังไฟสูงสุดถึง 3A และยังสามารถพกพาไปทำงานได้ทุกวันด้วยอแดปเตอร์ 65W ขนาดเล็ก ที่เบาและสะดวกสบายยิ่งกว่า หรือแม้แต่ใช้ Power Bank ที่รองรับในการใช้ USB Power Delivery ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องอุณหภูมิในการใช้งานนั้น ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 35 – 45 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัดสุด ด้วยการเปิดโหมดพัดลม Fan Overboots ด้วยการกดปุ่ม F5 เพื่อให้พัดลมทำงาน 100%
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องอยู่ที่ไม่เกิน 89 – 96 องศาเซลเซียส โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้กลับมากับความบางเบาตัวเครื่องที่เน้นพกพา แน่นอนว่าดีกว่า Gaming Notebook ในสเปกเดียวกัน สำหรับเสียงรบกวนในเวลาทำงานนั้นถือว่าดังประมาณนึง จากการที่เราสามารถเพิ่มรอบสูงสุดได้ด้วยซอฟต์แวร์จากปกติที่จะเป็นแบบ Balance หรือ Silent เน้นเงียบก็สามารถทำได้ เงียบที่สุดที่ 41 dB เท่านั้น
Conclusion / Award
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 นั้นถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมเน้นความบางเบา โดยมีน้ำหนักแค่ 2.7 กิโลกรัมเท่านั้น อีกทั้งยังมีความบางตัวเครื่องเพียง 18.7 มิลลิเมตร ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถที่จะใช้งานได้ในระยะยาวโดยน่าจะรองรับกับเกมใหม่ๆ 2 – 3 ปีนี้ได้อย่างสบาย ด้วยการมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่เป็น Core i Gen 8 บนแรม DDR4 ที่ 16GB และ SSD NVMe ความเร็วสูง 1TB ที่รองรับงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ เพียงพอที่จะทำงานไปด้วยเล่นเกมไปด้วยได้เลย
ที่สำคัญก็คือ ได้การ์ดจอตัวเทพอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2018 Max-Q ที่แรงที่สุด รองมาจาก RTX 2080 ตัวธรรมดาเท่านั้น ซึ่งด้วยเทคโนโลยี RTX ray-tracing จะทำให้การเล่นเกมของเรานั้นไม่ใช่แค่ลื่นไหล แต่ได้ประสบการณ์ใช้งานเพิ่มยิ่งขึ้นด้วย จากความสวยงามและเรื่องแสงและเงา อย่างที่ GTX ไม่สามารถให้ได้มาก่อน และนั่นก็มีผลต่อควบคุมความร้อน ซึ่ง ASUS ทำออกมาได้อย่างมีเสถียรภาพผ่านชุดระบายความร้อน ROG Active Aerodynamic System พร้อมใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าประทับใจ
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เลือกใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม ด้วยเส้นสายที่ทันสมัยและการตกแต่งเสริมความพรีเมียม ระบบระบายความร้อนที่มีความล้ำหน้าทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมของทุกชิ้นส่วน จากคุณสมบัติที่รวมอยู่ใน Active Aerodynamic System (AAS) การออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ ZEPHYRUS Series
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงทั้งด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดที่แรงเพียงพอกับทุกเกมในตลาด พร้อมจอพาเนล IPS 144Hz ซึ่งเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดของ Gaming Notebook ในตลาดที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเบาลง ไม่แค่นั้นเรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดี ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา 129,990 บาท เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตามใช่ว่า ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จะไม่มีข้อสังเกตเสียทีเดียว ถ้าในพูดถึงคงเป็นเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อ ที่แม้จะเป็นมาตรฐาน USB Type-C แล้ว แต่ไม่ได้มาพร้อมเทคโนโลยี Thunderbolt 3 แต่อย่างใด ในมุมของ ASUS อาจจะมองว่า Thunderbolt 3 ไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่ เพราะแค่นี้พอร์ตก็รองรับการเชื่อมต่อทุกๆ อย่างแล้ว ซึ่งถ้าใครจะเอาไปต่อ eGPU เพื่อเพิ่มความแรงส่วนของการ์ดจอคงไม่มีแล้วล่ะ ส่วนเรื่องของการใช้งานคีย์บอร์ดและทัชแพดนั้น แม้อาจจะดูแปลกๆ ช่วงแรก แต่เราก็พอจะปรับตัวเข้าหาได้อยู่
รวมไปถึงในส่วนของกล้อง Webcam ใน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ก็ไม่ได้มีติดตั้งมาให้จากการที่ขอบจอบางเฉียบตามดีไซน์ตัวเครื่องที่เล็กกระทัดรัด ที่แม้ในต่างประเทศจะมีการบันเดิลมาให้ แต่ในไทยจะไม่มี ฉะนั้นแล้วถ้าใครต้องการใช้งาน VDO Call ก็คงจำเป็นต้องซื้อเองต่างหากเท่านั้น ส่วนจะซื้อรุ่นเฉพาะของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 หรือซื้อกล้อง Webcam ทั่วไปนั้นก็แล้วแต่สะดวกเลย
ปิดท้ายการรีวิวของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ก็คือ ถ้าใครต้องการที่สุดของ Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ที่เล็กกระทัดรัดและน้ำหนักเบา รวมไปถึงบางที่สุด และแรงที่สุดเท่าที่ในตลาด อีกทั้งมีฟีเจอร์ล้ำๆ มากมายล่ะก็ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดรุ่นนึงทีเดียว เชื่อมั่นใน ASUS ROG ได้เลย
จุดเด่น
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์พันธุ์ ROG งานประกอบแน่นวัสดุดี
- หน้าจอใช้งานจริงขนาด 17.3″ แต่ตัวเครื่องจริงๆ เล็กกระทัดรัดเทียบเท่า 15.6″ เท่านั้น
- สเปคสูงมากทั้ง Core i7-8750H และการ์ดจอ GeForce RTX 2080 Max-Q
- ส่วนของแรมก็ขนาด 16GB DDR4 พร้อม SSD ความเร็วสูง 512GB เหลือเฟือในการใช้งาน
- หน้าจอ IPS มุมมองกว้าง มี PANTONE Validated พร้อมรองรับ 144 Hz 3ms แสดงผลได้ลื่นไหล
- มีชิปประมวลผลภาพ NVIDIA G-Sync เป็นตัวกลางช่วยลดภาพฉีกขาดด้วย
- ตัวเครื่องมีความบางเบามากๆ เพียง 18.7 มิลลิเมตรและหนักเพียง 2.7 กิโลกรัม
- ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน
- คีย์บอร์ด โลโก้ด้านใน และช่องดูดลมเย็นมีไฟ LED ด้วย ROG AURA RGB
- ระบบเสียง ลำโพงคุณภาพเสียงดี เสียงดัง ด้วย Smart Amp
- ปุ่มปรับเสียงดีไซน์มาดี ใช้งานจริงๆ
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที
- รองรับ USB Power Delivery ทำให้ชาร์จไฟได้สะดวกยิ่งขึ้น
- ประสบการณ์ใช้งานจริงดีเยี่ยม ประทับใจมาก
- ประกัน 2 ปี ส่งศูนย์ พร้อมฝากส่งเคลม 7-11 พร้อมประกันอุบัติเหตุปีแรก
ข้อสังเกต
- กล้อง Webcam ติดตั้งแยก และในไทยต้องซื้อแยกเอง
- ไม่มีพอร์ต Thunderbolt 3 ติดตั้งมาให้
- แบตเตอรี่ใช้งานยาวนาน 3 ชั่วโมง
- คีย์บอร์ด ทัชแพด ใช้งานค่อนข้างที่จะใช้งานลำบากเล็กน้อย ต้องปรับตัว
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 17.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เป็น Gaming Notebook ที่มีความสดใหม่และเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย ดีไซน์ความบางตัวเครื่องที่เบาซึ่งและการ์ดจอ GeForce RTX 2080 ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน ตัวคีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วย ROG AURA RGB อีกทั้งมีนวัตกรรมอย่าง Active Aerodynamic System (AAS) โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน Zephyrus ที่เปิดช่องลมให้มากขึ้น ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้น
Best Performance
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มีสเปคที่ครบครัน ทั้งชิบประมวลผล Core i7-8750H และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q พร้อมแรมตัวเครื่องที่ให้มา 16GB มาตรฐานใหม่แบบ DDR4 Bus 2666 MHz และ SSD ความเร็วสูงแบบ NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 1TB ให้การเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วสูงถึง 3300MB/s ความเร็วสูงรองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงหน้าจอ IPS พร้อม Refresh Rate 144 Hz แสดงผลภาพดีมาก ทั้งทำงานหรือเล่นเกมก็สมบูรณ์แบบ
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ ASUS ROG ZEPHYRUS GX701 อยู่ในระดับที่ดีกว่า Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบที่ 18.7 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 2.7 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ รวมไปถึงแบตเตอรี่ยังใช้งานได้ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ถือว่าดีกว่ามาตรฐานในโน๊ตบุ๊คสเปกใกล้เคียงกัน
Best Durability
วัสดุตัวเครื่อง ASUS ROG ZEPHYRUS GX701 เป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม รังสรรค์รายละเอียดอันปราณีตและขนาดที่สมบูรณ์แบบ ได้มาซึ่งฝาประกบที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อแต่ยังคงไว้ซึ่งความบาง อีกทั้งยังช่วยทำให้ตัวเครื่องมีความทนทาน โดยเครื่องต้นแบบสำหรับการทดสอบได้ผ่านมาตรฐานความทนทานระดับทางการทหารต่อแรงสั่นสะเทือนและการกระแทก อุณหภูมิร้อนเย็น หรือความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง
Unbox Preview
Specification
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H รุ่นยอดนิยม ทำงานความเร็ว 2.2 – 4.1 GHz แบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ที่สำคัญยังติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (DDR6 8GB) ให้ความแรงที่เหลือเฟือในการเล่นเกมทุกเกมบนโลกแบบลื่นไหล ส่วนของแรมมีขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz (8GB x 2) มีที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 NVMe PCIE 3.0 ความจุ 1TB หน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS รองรับ 144Hz ทำงานมืออาชีพได้ดี เล่นเกมตอบสนองได้เยี่ยม พร้อม
ความหนาของตัวเครื่อง 18.7 มิลลิเมตร และหนักเพียง 2.7 กิโลกรัม ถ้าลองย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อละว่าจะมี Gaming Notebook สเปกแรงระดับ Gaming Desktop ที่เบาและบางขนาดนี้ออกมาให้เราได้เห็นกัน โดยพอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1, USB Type-C, Mini DisplayPort, HDMI พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac (Wi-Fi 5) สนนราคา ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 อยู่ที่ 129,990 บาท ประกัน 2 ปี และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียน
สเปกเต็มๆ ของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 <<<
ASUS ROG Zephyrus S GX701 (GX701GX) |
|
Processor | Intel® Core™ i7-8750H |
Operating system | Windows 10 HomeWindows 10 Pro (ASUS recommends Windows 10 Pro) |
Display | 17.3” FHD (1920×1080) IPS-level panel, 144Hz, 3ms, 100% sRGB, Optimus, G-SYNC™, PANTONE® Validated |
Graphics | NVIDIA® GeForce RTX™ 2080 with Max-Q Design8GB GDDR6 VRAM |
Memory | DDR4 2666MHz SDRAMUp to 24GB (8GB on board memory) |
Storage | M.2 NVMe PCIe 3.0 x4 1TB SSDM.2 NVMe PCIe 3.0 x2 512GB / 1TB SSD |
Wireless | 802.11ac 2×2 WLANBluetooth® 5.0 (Version may vary as the OS upgrades) |
Connectivity | 1 x USB 3.1 Gen 2 Type-C™ with DisplayPort™ 1.4 and Power Delivery1 x USB 3.1 Gen 1 Type-C™
1 x USB 3.1 Gen 2 Type-A 2 x USB 3.1 Gen 1 Type-A 1 x HDMI 2.0b 1 x 3.5mm headphone and microphone combo jack 1 x Kensington lock |
Keyboard | Per-key RGB; backlit chiclet keyboardAura Sync
Support N key Hot keys: Ten-key Function / ROG Armoury Crate 1.4mm key travel |
Audio | 2 x 2.5W speaker with smart amp technologyArray microphone |
Software | Armoury CrateGameFirst
GameVisual Sonic Studio & Sonic Radar Aura Core XSplit Gamecaster (Free) Android / iOS App |
AC adapter | 230W power adaptorPlug Type: ø6.0 (mm)
Output: 19.5V DC, 11.8A, 230W Input: 100~240V AC, 50/60Hz universal |
Size | 399 (W) x 272 (D) x 187 (H) mm |
Weight | 2.7kg |
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มาพร้อมแรงบันดาลใจจาก ASUS ROG ZEPHYRUS GX501 และ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX531 โดดเด่นกว่าด้วยหน้าจอขนาด 17.3″ แต่ขนาดตัวเครื่องเทียบเท่าหน้าจอ 15.6″ จากการที่เป็นขอบจอบางเฉียบ แบบที่ไม่สามารถติดตั้งกล้อง Webcam แบบเดิมๆ ไว้ได้
มิติทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุผสมระหว่างอะลูมิเนียมและแมกนีเซียม มาในโทนดำตัดกับสีเทาเข้ม (Armor Titanium) ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดีมีคำว่า ZEPHYRUS
โดยในส่วนขอบตัวเครื่องโดยรอบรวมไปถึงขอบด้านหลังใช้เป็นสีสันทองแดง (Plasma Copper) ทำให้ดูตัดกันเป็นอย่างสวยงาม ซึ่งฝาหลังจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนชัดเจนแบบตัดกันแนวทะแยง ที่มีความโดดเด่นมากๆ มาพร้อมโลโก้ ROG ที่ไฟสีแดง LED ที่จะติดก็ต่อเมื่อเปิดเครื่อง ถือว่าหลายส่วนนั้นเป็นคงเอกลักษณ์จาก ROG รุ่นก่อนหน้า แถมทำได้ดีกว่าเพราะเป็นการพัฒนาต่อยอด ด้วยชิ้นส่วนประกบทั้งด้านบนและล่างถูกขึ้นรูปอย่างบรรจงจากอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแกร่ง กระบวนการ CNC ที่สามารถหาได้ยากในโน๊ตบุ๊คทั่วไป
ระบบระบายอากาศของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จะใช้ชื่อว่า ROG Active Aerodynamic System (AAS) พร้อมพัดลมแบบ 83 ใบพัด ทำงานแบบ 12V บนฮีต์ไปป์ 5 แถว ซึ่งพาดผ่านตลอดทั้งซีพียูและการ์ดจอ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดบนดีไซน์บางเฉียบ โดยมีหลักการทำงานก็คือ ตัวเครื่องจะถูกยกขึ้นด้วยกลไล เรียกได้ว่ายกขึ้นทั้งฝาด้านล่าง โดยทั้ง 2 ฝั่ง พัดลม 2 ตัว นั้นก็ยังมาพร้อมกับไฟ LED แบบ RGB ที่เวลาใช้งานตัวเครื่องนั้นทำให้ดูน่าใช้งานแบบเทพๆ เข้าไปอีก
โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ที่เปิดช่องลมให้มากขึ้น พร้อมฟินนำพาความร้อนกว่า 250 แถว ที่บางเพียง 0.1 มิลลิเมตร ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับการออกแบบเดิมๆ
และด้วย 83 ใบพัดบนพัดลมคู่แบบ AeroAccelerator ความแรง 12V มีจำนวนใบพัดมากกว่าพัดลมของ ZEPHYRUS รุ่นแรกถึง 17% การไหลเวียนอากาศยังทำได้ดียิ่งขึ้นจากรูปทรงของใบพัดอลูมิเนียมซึ่งมีขอบใบพัดที่โค้งมนและยกปลายขอบเพื่อนำลมเข้าสู่บริเวณใบพัดได้มากยิ่งขึ้น ความเร็วในการหมุนถูกกำหนดด้วยชุดคำสั่งอัจริยะที่ถูกตั้งค่าเป็นโปรไฟล์สามรูปแบบ
โดยปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Overboost mode สำหรับประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับสูงสุด, Silent mode สำหรับเสียงรบกวนที่น้อยที่สุด, และ Balanced mode เพื่อความสมดุลในการใช้งาน
นอกจากนั้นแล้วยังมีลมไหลเวียนเข้าผ่านทางช่องคีย์บอร์ด และการวางตำแหน่งคีย์บอร์ดบริเวณด้านหน้าของตัวเครื่องยังช่วยให้มีพื้นที่ในการระบายความร้อนที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริงทีเดียว ที่สำคัญยังมีโลโก้ ROG ที่เป็นไฟ RGB อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ ZEPHYRUS Series เท่านั้น
จุดเด่นที่สุดซึ่งนั่นเป็นความภูมิใจของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ที่เป็น Gaming Notebook ตัวบางเบาแต่แรงก็คือ จากการติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q ที่โดยทั่วไปแล้วเราจะเห็นใน Gaming Notebook ตัวหนาๆ จะเป็น NVIDIA GeForce RTX 2080 เพราะมันจะปล่อยความร้อนค่อนข้างสูง แต่ Max-Q คือจะควบคุมความร้อนที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า
ซึ่งตัวเครื่องนั้นจะมีความบางอยู่ที่ 18.7 มิลลิเมตรเท่านั้น แถมน้ำหนักของตัวเครื่องก็อยู่ที่ 2.1 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน้ตบุ๊ตเล่นเกมการ์ดจอตัวแรงที่สามารถพกพาได้สะดวกมากๆ ไม่ต่างจากโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่เน้นการพกพาเลย แต่นี่ได้ความแรงกราฟิกแบบเหลือเฟือด้วย อย่างที่ Gaming Notebook สายบางเบา ไม่เคยให้ได้แบบสุดทาง
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook บางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก จากแต่ก่อนแทบเป็นไปไม่ได้ที่ความแรงระดับนี้ จะอยู่บนตัวเครื่องที่บางและเบาแบบนี้ แต่ตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในราคาที่จับสูงกว่ารุ่น ZEPHYRUS GX501 ที่เป็นตัวท็อปเพียง 10,000 บาทเท่านั้น
Keyboard / Touchpad
เมื่อเปิดฝาหน้าจอ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ขึ้นมามองภายในเราก็จะพบกับการวางตำแหน่งของคีย์บอร์ดที่แตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นทั่วไปอย่างชัดเจน จากการที่เลื่อนชุดแป้นคีย์บอร์ดมาไว้ด้านล่างสุด และขยับในส่วนของทัชแพดออกไปด้านข้าง ทำให้บริเวณด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีพื้นที่ ซึ่งจริงๆ นั้นทาง ASUS ได้ติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบจัดเต็มเอาไว้ ซึ่งมีช่องขนาดเล็กทำหน้าที่ดูดลมเย็นลงไปให้ผ่านทางฮีต์ไปป์ แน่นอนว่าเป็นผลมาจากตัวเครื่องบาง
โดยแป้นพิมพ์ของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน สามารถทำได้แม่นยำไม่แพ้เกมมิ่งคีย์บอร์ดแยก บนเทคโนโลยี ASUS AURA RGB ทำให้เปลี่ยนสีได้ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ ROG Armory Crate ซึ่งความโดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Per-Key RGB ที่แต่ละปุ่มจะมีไฟ LED ทำให้เราไฟที่แสดงออกมามีความเรียบเนียนและสวยงามกว่าที่เคย
ดีไซน์ปุ่ม F1 – F4 นั้นจะอยู่แยกต่างหากในขณะที่ปุ่ม F5-F12 นั้นจะอยู่ติดกันไปหมดตรงนี้ต้องปรับตัวเล็กน้อย แต่ใช้สักพักก็จะชินไปเอง รวมไปถึงจะเห็นว่าไม่มีปุ่มปรับเสียงแล้ว เพราะ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เลือกใช้เป็นปุ่มแบบคลิกหมุนเอาซึ่งสะดวกกว่ารุ่นก่อนๆ ด้วยการหมุนไปมาเพื่อปรับเสียง หรือถ้าจะ Mute ก็กดปุ่มเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำได้เลย
ดีไซน์ทัชแพดนั้นก็ใช้เป็นแบบปุ่มแยกออกมา โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็มีความนุ่มและเด้งรับได้น่าประทับใจ การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก นอกเหนือจากนั้นทัชแพดยังสามารถเปลี่ยนไปใช้งานในรูปแบบของปุ่ม NumPad ได้ ซึ่งตรงจุดนี้นั้นถือว่า ASUS สามารถที่จะใช้พื้นที่ได้อย่างมีประโยชน์ที่สุด แต่มันก็อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก เพราะ Gaming Notebook ปกติจะแยกส่วนมาให้นั่นเอง ส่วนเหนือปุ่มทัชแพดจะมีปุ่ม ROG มาให้ เพื่อเรียก ROG Armory Crate อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานจริงๆ คงต้องปรับตัวซะหน่อยทั้งคีย์บอร์ดและทัชแพด เพราะข้อมือของเราต้องโดนขอบเครื่องตรงๆ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ลำบากกว่าคีย์บอร์ด Gaming Notebook ทั่วไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่เรียนรู้และปรับตัว
Screen / Speaker
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบ ทั้งขอบด้านข้างและด้านบน ขนาด 17.3 นิ้ว ทำให้ตัวเครื่องเทียบเท่าขนาด 15.6″ เท่านั้น บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนลเป็น IPS คุณภาพดี มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการใช้งานกราฟิกหรือการเล่นเกมก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ เชื่อมั่นได้จากมี PANTONE Validated ด้วย รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอ 144Hz และResponse Time 3ms (G2G) ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่แค่ 60Hz แบบเห็นได้ชัดเจน
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง เราใช้เครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่น
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 92% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันดีมากๆ เกือบ 100% ทีเดียว ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแถวกลางขวาของจอเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่สุด แต่สำหรับช่องแถวบนมุมซ้ายเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงแค่ระดับ 10% เท่านั้น ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องด้านหลังพร้อมยิงเสียงคุณภาพสูงมาด้านหน้าพร้อม Smart Amp เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ให้ขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะมีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม เรื่องของความดังของเสียงถือว่ามากกว่า 2 – 3 เท่า ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้
Connector / Thin And Weight
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จัดว่าเป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 17.3 นิ้ว ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันในระดับนึง โดยติดตั้งทั้งด้านซ้ายด้านขวาของตัวเครื่องไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 1 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง พร้อมรองรับ USB Power Delivery ในตัว, HDMI 1.4 อีกหนึ่งช่อง และ Mic-in/Headphone-out อย่างไรก็ตาม ส่วนด้านซ้ายจะมี USB 3.1 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง เรียกได้ว่าค่อนข้างให้มาเยอะทีเดียว แน่นอนว่ามีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac (Wi-Fi 5) ที่มาตรฐานล่าสุดและดีที่สุด
ในส่วนความบางของเครื่องอยู่ที่ 18.7 มิลลิเมตรตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอขนาด 17.3″ สเปกความแรงระดับ RTX 2080 Max-Q ที่บางที่สุดในโลกขณะนี้ อีกทั้งมีน้ำหนักแค่ 2.7 กิโลกรัมเท่านั้น ถือได้ว่าไม่เคยมีโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้ แต่เบาขนาดนี้มาก่อน เมื่อรวมกับอแดปเตอร์ก็มีน้ำหนักประมาณ 3.2 กิโลกรัมเท่านั้นเอง ในการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ก็สบายๆ เราสามารถใช้กระเป๋าโน๊ตบุ๊คเดิมๆ ที่เป็นขนาด 15.6″ มาใช้งานกับ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ได้ทันที
Performance / Software
โดย ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750H (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2018 – 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 Bus 2666 MHz แบบ 2 แถว Dual Channel รวมเป็น 16GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้ รวมไปถึงใช้งานหนักๆ หรือเปิดหลายโปรแกรมได้อย่างแบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ได้ถูกปิดลงไปเพื่อให้การ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ แรงกว่า GTX 1080 Max-Q ที่เป็นรุ่นก่อนหน้าแน่นนอน เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้เป็น 100 FPS แต่ด้วยเป็นรุ่น Max-Q จึงเน้นประหยัดพลังงาน โดยมีการลดความเร็วลง ทำให้ร้อนน้อยลง แต่ยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีอยู่
พร้อมกันนั้นยังมาเทคโนโลยี Ray Tracing ที่สามารถแสดงผลการติดตามแสงของวัตถุ และสภาพแวดล้อมในแบบเรียลไทม์ ระหว่างกระบวนการเรนเดอร์กราฟิกสามารถคำนวณการสะท้อน และหักเหแสงได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุมทั้งแสง และเงาทางกายภาพ ทำให้เกมนั้นสมจริงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เหนือชั้นกว่าการ์ดจอ GTX 10 Series ก่อนหน้านี้ทีเดียว ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหลแต่สวยสมจริงด้วย รวมไปถึงมีชิปช่วยประมวลผลภาพแยกอย่าง NVIDIA G-Sync ทำให้ลดภาระของซีพียูในเรื่องของการทำงานลดภาพฉีกขาดลงไปอีกขั้น (ดีกว่าไม่มีชิป NVIDIA G-Sync แน่นอน)
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB แบบ M.2 NVMe ระดับสูงของทาง Samsung แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3416MB/s และเขียนที่ 2311MB/s
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,852 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมาก
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (8GB) ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 16GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V / FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดยเกม Battlefield V โดดเด่นด้วการรองรับเทคโนโลยี Ray Tracing ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหล แต่สวยสมจริงกว่าที่เคยมีมาอีกด้วย แต่ในการเปิดปิดนั้นมีผลกับเฟรมเรทโดยตรง ซึ่งเมื่อเปิดเฟรมเรทจะหายไป 10 – 20 เฟรมทีเดียว
ส่วนเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 / Overwatch / PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด แต่ในส่วนของเกม PUBG มีเฟรมเรทไม่ต่ำไปกว่า 120 เลย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเป็นเกมออนไลน์ที่กินทรัพยากรพอตัวเหมือนกัน
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบ 144Hz พร้อมชิป NVIDIA G-Sync ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA หรือ FPS ระดับ 144 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่
ซึ่งการที่จะดันเฟรมเรทให้ได้สูงเพียงพอต่อความสามารถอันล้นเหลือของหน้าจอแสดงผลนั้น ทำให้ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จึงมาพร้อมกับกราฟิกการ์ดระดับสูงสุดถึง GeForce RTX 2080 แบบ Max-Q Design โดยสถาปัตยกรรม Turing แบบใหม่ที่มาพร้อมกับกลุ่มกราฟิกการ์ดสำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นล่าสุดจากทาง NVIDIA นั้นได้รวมเอาการเรนเดอร์ภาพแบบปกติเข้ากับเทคโนโลยี ray tracing แบบเรียลไทม์ และระบบปัญญาประดิษฐ์
เพื่อให้ได้ซึ่งความสมจริงที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น แกนประมวลผล CUDA แบบเดิมทำงานร่วมกับแกนประมวลผล RT สำหรับ Ray Tracing และแกนประมวลผล Tensor สำหรับ AI เพื่อให้แสง, เงา, และเอฟเฟคท์อื่นๆมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น พลังในการประมวลผลที่มีความหลากหลายเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้ในงานลักษณะอื่นๆได้อีกมากมาย ตั้งแต่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ ไปจนถึงการสร้างแบบจำลองสามมิติ หรือการเรียนรู้เชิงลึก (deep learning)
โดยเทคโนโลยี Ray Tracing คือเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลการให้แสงสำหรับเกมแบบ real-time จากที่ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาเกมจะต้องใช้วิธีการสร้าง geometries แบบสับซ้อนซึ่งทำให้การประมวลผลแสงในเกมให้เหมือนจริงที่ใช้กำลังของ GPU ค่อนข้างหนัก Ray Tracing นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ GPU นั้นทำงานน้อยลงและสามารถที่จะประมวลผลในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าการที่จะทำได้นั้นตัวเกมเองก็ต้องใช้เอนจิ้นที่รองรับเทคโนโลยี Ray Tracing นี้ด้วย
ปิดท้ายด้วยซอฟต์แวร์ติดเครื่องจากที่เคยเป็น ROG Game Center ตอนนี้ได้เปลี่ยนมาเป็น Armoury Crate ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆของระบบรวมไปถึงการปรับแต่งไฟด้วย Aura Sync นั้นทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว หรือผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้มากถึงสี่โปรไฟล์ — ซึ่งการตั้งค่าต่างๆจะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 3 ชั่วโมงโดยประมาณ แม้ว่าอาจจะใช้งานได้ไม่ยาวนานมาก แต่ก็ต้องเข้าใจว่ารุ่นนี้ปิดการ์ดจอออนบอร์ดลงไป ใช้เป็นการ์ดจอแยกพร้อมระบบ NVIDIA Optimus ช่วยจัดการแทน ทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ประมาณนี้ก็ถือยอมรับได้แล้ว
ที่สำคัญยังเป็น Gaming Notebook ที่รองรับ USB Power Delivery (พอร์ตทางขวาของตัวเครื่อง ฟอร์มคือ USB-C) ทำให้ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 สามาถชาร์จไฟจากอุปกรณ์สำรองไฟภายนอกได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องปลั๊กไฟอีกต่อไป รองรับระบบชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จไฟกลับให้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นได้โดยมีกำลังไฟสูงสุดถึง 3A และยังสามารถพกพาไปทำงานได้ทุกวันด้วยอแดปเตอร์ 65W ขนาดเล็ก ที่เบาและสะดวกสบายยิ่งกว่า หรือแม้แต่ใช้ Power Bank ที่รองรับในการใช้ USB Power Delivery ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องอุณหภูมิในการใช้งานนั้น ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 35 – 45 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัดสุด ด้วยการเปิดโหมดพัดลม Fan Overboots ด้วยการกดปุ่ม F5 เพื่อให้พัดลมทำงาน 100%
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องอยู่ที่ไม่เกิน 89 – 96 องศาเซลเซียส โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้กลับมากับความบางเบาตัวเครื่องที่เน้นพกพา แน่นอนว่าดีกว่า Gaming Notebook ในสเปกเดียวกัน สำหรับเสียงรบกวนในเวลาทำงานนั้นถือว่าดังประมาณนึง จากการที่เราสามารถเพิ่มรอบสูงสุดได้ด้วยซอฟต์แวร์จากปกติที่จะเป็นแบบ Balance หรือ Silent เน้นเงียบก็สามารถทำได้ เงียบที่สุดที่ 41 dB เท่านั้น
Conclusion / Award
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 นั้นถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการเล่นเกมเน้นความบางเบา โดยมีน้ำหนักแค่ 2.7 กิโลกรัมเท่านั้น อีกทั้งยังมีความบางตัวเครื่องเพียง 18.7 มิลลิเมตร ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถที่จะใช้งานได้ในระยะยาวโดยน่าจะรองรับกับเกมใหม่ๆ 2 – 3 ปีนี้ได้อย่างสบาย ด้วยการมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่เป็น Core i Gen 8 บนแรม DDR4 ที่ 16GB และ SSD NVMe ความเร็วสูง 1TB ที่รองรับงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ เพียงพอที่จะทำงานไปด้วยเล่นเกมไปด้วยได้เลย
ที่สำคัญก็คือ ได้การ์ดจอตัวเทพอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2018 Max-Q ที่แรงที่สุด รองมาจาก RTX 2080 ตัวธรรมดาเท่านั้น ซึ่งด้วยเทคโนโลยี RTX ray-tracing จะทำให้การเล่นเกมของเรานั้นไม่ใช่แค่ลื่นไหล แต่ได้ประสบการณ์ใช้งานเพิ่มยิ่งขึ้นด้วย จากความสวยงามและเรื่องแสงและเงา อย่างที่ GTX ไม่สามารถให้ได้มาก่อน และนั่นก็มีผลต่อควบคุมความร้อน ซึ่ง ASUS ทำออกมาได้อย่างมีเสถียรภาพผ่านชุดระบายความร้อน ROG Active Aerodynamic System พร้อมใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าประทับใจ
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เลือกใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม ด้วยเส้นสายที่ทันสมัยและการตกแต่งเสริมความพรีเมียม ระบบระบายความร้อนที่มีความล้ำหน้าทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมของทุกชิ้นส่วน จากคุณสมบัติที่รวมอยู่ใน Active Aerodynamic System (AAS) การออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ ZEPHYRUS Series
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงทั้งด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดที่แรงเพียงพอกับทุกเกมในตลาด พร้อมจอพาเนล IPS 144Hz ซึ่งเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดของ Gaming Notebook ในตลาดที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเบาลง ไม่แค่นั้นเรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดี ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา 129,990 บาท เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตามใช่ว่า ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 จะไม่มีข้อสังเกตเสียทีเดียว ถ้าในพูดถึงคงเป็นเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อ ที่แม้จะเป็นมาตรฐาน USB Type-C แล้ว แต่ไม่ได้มาพร้อมเทคโนโลยี Thunderbolt 3 แต่อย่างใด ในมุมของ ASUS อาจจะมองว่า Thunderbolt 3 ไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่ เพราะแค่นี้พอร์ตก็รองรับการเชื่อมต่อทุกๆ อย่างแล้ว ซึ่งถ้าใครจะเอาไปต่อ eGPU เพื่อเพิ่มความแรงส่วนของการ์ดจอคงไม่มีแล้วล่ะ ส่วนเรื่องของการใช้งานคีย์บอร์ดและทัชแพดนั้น แม้อาจจะดูแปลกๆ ช่วงแรก แต่เราก็พอจะปรับตัวเข้าหาได้อยู่
รวมไปถึงในส่วนของกล้อง Webcam ใน ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ก็ไม่ได้มีติดตั้งมาให้จากการที่ขอบจอบางเฉียบตามดีไซน์ตัวเครื่องที่เล็กกระทัดรัด ที่แม้ในต่างประเทศจะมีการบันเดิลมาให้ แต่ในไทยจะไม่มี ฉะนั้นแล้วถ้าใครต้องการใช้งาน VDO Call ก็คงจำเป็นต้องซื้อเองต่างหากเท่านั้น ส่วนจะซื้อรุ่นเฉพาะของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 หรือซื้อกล้อง Webcam ทั่วไปนั้นก็แล้วแต่สะดวกเลย
ปิดท้ายการรีวิวของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ก็คือ ถ้าใครต้องการที่สุดของ Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ที่เล็กกระทัดรัดและน้ำหนักเบา รวมไปถึงบางที่สุด และแรงที่สุดเท่าที่ในตลาด อีกทั้งมีฟีเจอร์ล้ำๆ มากมายล่ะก็ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดรุ่นนึงทีเดียว เชื่อมั่นใน ASUS ROG ได้เลย
จุดเด่น
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์พันธุ์ ROG งานประกอบแน่นวัสดุดี
- หน้าจอใช้งานจริงขนาด 17.3″ แต่ตัวเครื่องจริงๆ เล็กกระทัดรัดเทียบเท่า 15.6″ เท่านั้น
- สเปคสูงมากทั้ง Core i7-8750H และการ์ดจอ GeForce RTX 2080 Max-Q
- ส่วนของแรมก็ขนาด 16GB DDR4 พร้อม SSD ความเร็วสูง 512GB เหลือเฟือในการใช้งาน
- หน้าจอ IPS มุมมองกว้าง มี PANTONE Validated พร้อมรองรับ 144 Hz 3ms แสดงผลได้ลื่นไหล
- มีชิปประมวลผลภาพ NVIDIA G-Sync เป็นตัวกลางช่วยลดภาพฉีกขาดด้วย
- ตัวเครื่องมีความบางเบามากๆ เพียง 18.7 มิลลิเมตรและหนักเพียง 2.7 กิโลกรัม
- ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน
- คีย์บอร์ด โลโก้ด้านใน และช่องดูดลมเย็นมีไฟ LED ด้วย ROG AURA RGB
- ระบบเสียง ลำโพงคุณภาพเสียงดี เสียงดัง ด้วย Smart Amp
- ปุ่มปรับเสียงดีไซน์มาดี ใช้งานจริงๆ
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที
- รองรับ USB Power Delivery ทำให้ชาร์จไฟได้สะดวกยิ่งขึ้น
- ประสบการณ์ใช้งานจริงดีเยี่ยม ประทับใจมาก
- ประกัน 2 ปี ส่งศูนย์ พร้อมฝากส่งเคลม 7-11 พร้อมประกันอุบัติเหตุปีแรก
ข้อสังเกต
- กล้อง Webcam ติดตั้งแยก และในไทยต้องซื้อแยกเอง
- ไม่มีพอร์ต Thunderbolt 3 ติดตั้งมาให้
- แบตเตอรี่ใช้งานยาวนาน 3 ชั่วโมง
- คีย์บอร์ด ทัชแพด ใช้งานค่อนข้างที่จะใช้งานลำบากเล็กน้อย ต้องปรับตัว
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 17.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 เป็น Gaming Notebook ที่มีความสดใหม่และเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย ดีไซน์ความบางตัวเครื่องที่เบาซึ่งและการ์ดจอ GeForce RTX 2080 ตัวเครื่องมีการยกตัวให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อน ตัวคีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วย ROG AURA RGB อีกทั้งมีนวัตกรรมอย่าง Active Aerodynamic System (AAS) โดยเมื่อยกหน้าจอของตัวเครื่องขึ้นก็จะเป็นการเปิดช่องลมพิเศษบริเวณด้านใต้ของตัวเครื่องเพื่อให้ดึงลมเย็นเข้าภายในได้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ AAS บน Zephyrus ที่เปิดช่องลมให้มากขึ้น ตลอดทั้งแนวด้านหลังของตัวเครื่องเพื่อให้ได้ปริมาณไหลเวียนของอากาศที่มากขึ้น
Best Performance
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX701 มีสเปคที่ครบครัน ทั้งชิบประมวลผล Core i7-8750H และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q พร้อมแรมตัวเครื่องที่ให้มา 16GB มาตรฐานใหม่แบบ DDR4 Bus 2666 MHz และ SSD ความเร็วสูงแบบ NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 1TB ให้การเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วสูงถึง 3300MB/s ความเร็วสูงรองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล รวมไปถึงหน้าจอ IPS พร้อม Refresh Rate 144 Hz แสดงผลภาพดีมาก ทั้งทำงานหรือเล่นเกมก็สมบูรณ์แบบ
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ ASUS ROG ZEPHYRUS GX701 อยู่ในระดับที่ดีกว่า Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบที่ 18.7 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 2.7 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ รวมไปถึงแบตเตอรี่ยังใช้งานได้ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ถือว่าดีกว่ามาตรฐานในโน๊ตบุ๊คสเปกใกล้เคียงกัน
Best Durability
วัสดุตัวเครื่อง ASUS ROG ZEPHYRUS GX701 เป็นโลหะทั้งหมดทำให้มีความแข็งแรงทนทานถึงระดับมาตรฐานทางการทหาร (military-grade) โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม รังสรรค์รายละเอียดอันปราณีตและขนาดที่สมบูรณ์แบบ ได้มาซึ่งฝาประกบที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อแต่ยังคงไว้ซึ่งความบาง อีกทั้งยังช่วยทำให้ตัวเครื่องมีความทนทาน โดยเครื่องต้นแบบสำหรับการทดสอบได้ผ่านมาตรฐานความทนทานระดับทางการทหารต่อแรงสั่นสะเทือนและการกระแทก อุณหภูมิร้อนเย็น หรือความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง