MSI GS75 Stealth นี้เป็นการต่อยอดมาจาก Gaming Notebook รูปแบบ Thin & Light รุ่นก่อนๆ เสริมด้วย GPUรุ่นใหม่ล่าสุดจาก GeForce RTX 2080 ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพกับความสมจริงกว่าที่เคยมีมา เทียบเท่ากับ Gaming Desktop PC ที่ใช้ GeForce RTX 2080 ภายใต้ตัวเครื่องที่เบา 2.25 กิโลกรัม และบางเฉียบเพียง 18.95 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าแรงเกินตัวจริงๆ
แม้ MSI GS75 Stealth จะมีหน้าจอขนาดใหญ่ 17.3″ แต่กลับมีความเล็กลงจากมิติตัวเครื่องเล็กลงถึง 60% (ใกล้เคียงกับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ได้เลย) ผนวกกับหน้าจอ IPS และอัตรารีเฟรชเรทที่สูงถึง 144Hz จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญในการมอบประสบการณ์ใหม่ๆในการเล่นเกมแบบเต็มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก ได้มีการเพิ่มอลูมิเนียมสีทองบริเวณขอบของฝาพับทั้งสองข้างเพื่อเน้นย้ำถึงความหรูหราและพรีเมี่ยมของตัวเครื่อง
Unbox Preview
Specification
MSI GS75 8RF Stealth Thin ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7- 8750HQ (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 2080 Max-Q (8GB GDDR6) ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Desktop มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แบบ DDR4 แบบ Dual Channel แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล
นอกจากนี้มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 17.3 นิ้ว ที่ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS ที่เทคโนโลยี Wide Viewing Angle Display ให้จอแสดงผลมีมุมมองกว้าง พร้อมเทคโนโลยี MSI True Color Technology ปรับโปรไฟล์สีให้ตรงกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ที่สำคัญต่างจากรุ่นก่อนหน้าก็คือการรองรับ 144Hz ส่งผลให้เล่นเกมได้ลื่นไหลสุดๆ และตัวเครื่องยังมีลำโพงจากแบรนด์ Dynaudio พร้อมซอฟแวร์เสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 ขับเสียงได้ดียิ่งกว่า มาพร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที
พร้อมการรับประกันมาตรฐาน MSI จำนวน 2 ปี สนนราคา MSI GS75 8RF Stealth Thin อยู่ที่ 99,900 บาท ส่วนอีกรุ่นจะเป็น MSI GS75 8RE Stealth Thin ราคา 85,900 บาท ที่จะมีความต่างกันในส่วนของการ์ดจอที่เป็น GTX 2070 Max-Q (8GB GDDR8) ส่วนสเปกอื่นๆ รวมไปถึงดีไซน์นั้นเหมือนกันหมด ไม่ต่างกันเลย อันนี้ก็อยู่ที่เพื่อนๆ จะเลือกแบบไหนมาใช้งานกัน เพราะราคาก็ต่างระดับหมื่นบาท
MSI GS65 Stealth Thin 8SE 203TH ราคา 73,900 บาท
i7-8750H / RTX2060 / RAM16GB / SSD 512GB / 15.6″ 144Hz / Windows 10
MSI GS75 Stealth 8SF006TH ราคา 85,900 บาท
i7-8750H / RTX2070 Max-Q / RAM16GB / SSD 512GB / 17.3″ 144Hz / Windows 10
MSI GS75 Stealth 8SG-003TH ราคา 99,900 บาท
i7-8750H / RTX2080 Max-Q / RAM16GB / SSD 512GB / 17.3″ 144Hz / Windows 10
Hardware / Design
สำหรับ MSI GS75 Stealth ใช้พื้นฐานเดียวกันมาจาก MSI GS65 Stealth Thin ที่เคยรีวิวไปแล้ว โดยถือว่าเป็น Gaming Notebook มาตรฐานใหม่ที่มีความเบาบาง ขอบจอบางที่ได้ความแรงไม่แพง Gaming Notebook เครื่องหนักๆ หนาๆ แบบแต่ก่อน โดดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ที่เพกพาได้สะดวก ที่รักษาความเป็นเกมเมอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 2.25 กิโลกรัม บางที่ 18.95 มิลลิเมตร (หนักและหนากว่า GS65 เล็กน้อย) ทำให้ถือมือเดียวได้ หรือหยิบใส่กระเป๋าแบบสบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลังด้วยวัสดุอะลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง
โดยฝาหลังและดีไซน์ทั้งหมดมีการปรับให้เรียบหรูขึ้น กับพื้นผิวเรียบๆ พร้อมกับใช้สีทองในการประกอบกับสีดำของตัวเครื่อง ตั้งแต่โลโก้ ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบสมัยก่อน ที่ต้องเป็นสีแดง Gaming จ๋าๆ โดยเปลี่ยนจากที่แดงเดิมๆให้กลายเป็นสีทองบางๆ ที่ความน้อยเรื่องของรายละเอียดแต่มากด้วยความเท่นั่นเอง
ด้านฐานล่างตัวเครื่อง MSI GS75 Stealth รุ่นนี้เป็นอะลูมิเนียมเรียบๆ พร้อมมียางรองขนาดเล็กทั้งหมด 9 จุด ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี ส่วนงานประกอบก็เนียบเหมือนเดิม เรื่องนี้ไว้ใจทาง MSI เค้าได้เลย
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่อง MSI GS75 Stealth ถูกติดตั้งบริเวณเหนือคีย์บอร์ด พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน โดยอยู่ตรงกลางเหนือคีย์บอร์ด พร้อมการติดตั้งช่องลมโปร่งขนาดใหญ่เพื่อให้ช่วยระบายความร้อนที่ดีกว่าเดิม ซึ่งตรงบริเวณนี้ตรงขอบบนมุมขวาจะเป็นโลโก้ลำโพงของ DYNAUDIO ส่วนมุมขวาล่างจะเป็นโลโก้คีย์บอร์ด SteelSeries ที่การันตีว่าของดีแน่นอน เรียกได้ว่าใส่ทุกรายละเอียดสมกับเป็น GS Series ที่เน้นความพรีเมียม
MSI GS75 Stealth ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อน Cooler Boost Trinity ใช้พัดลม 3 ตัว ตัวละ 47 ใบพัดขนาด 0.2 มิลลิเมตร ซึ่งมีช่องระบายอากาศถึง 5 จุด อยู่ทางด้านหลังและด้านข้างของตัวเครื่อง เป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 2 ตัว) ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 7 เส้น ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ หายห่วงได้เลยในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะเล่นเกมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
ส่วนที่พักมือและเนื้องานรอบแป้นพิมม์ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมแบบสีดำด้านที่สวยงาม อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตอย่างเมื่อเราออกแรงกดลงไปนิดหน่อยจะมีอาการยุบเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการใช้งาน ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดที่ 4.9 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ดูได้จากกล้องเว็บแคมถูกติดตั้งลงไปบนขอบที่บางมากๆ
ส่งผลให้ตลอดทั้งตัวเครื่องมีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงกว่า Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ทั่วไป ซึ่งโดยรวมแล้ว MSI GS75 Stealth Thin ไม่ใช่แค่แรงแต่ในประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสายบางเบาช่วงงบประมาณ 80,000 บาท + ก็ว่าได้เลย ที่แม้ราคาดูสูงแต่จัดเต็มทุกฟีเจอร์จริงๆ อย่างที่ Gaming Notebook ทั่วไปไม่สามารถให้ได้
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ MSI GS75 Stealth เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ แบบสิ้นเชิง จากการที่ใช้ Per-Key RGB Gaming Keyboard ที่ร่วมพัฒนากับแบรนด์ SteelSeries ซึ่งมีการพัฒนาและออกแบบมาให้ MSI โดยเฉพาะ ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน นอกจากนี้เวลาเรากดปุ่ม Fn ยังเหนือชั้นกว่าแบรนด์อื่นๆ ก็คือ จะมีไฟติดปุ่มที่ใช้งานร่วมกันขึ้นมา อาทิ เพิ่มเสียง ลดแสง ให้เราเห็นอย่างชัดเจน
ที่สำคัญในคราวนี้ไฟ LED ที่เป็น RGB สามารถเปลี่ยนสีทีละปุ่ม ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ และยังปรับแต่ง Macrokeys บนคีย์บอร์ดเพื่อใช้ในเกมหรือซอฟแวร์ต่างๆ ผ่าน Steelseries Engine 3 ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้รองรับการแสดงผลไฟ LED แต่ละเกมที่รองรับต่างกันออกไป ส่วน Numpad ยังคงมีอยู่ปกติ ที่แม้ว่าตัวเครื่องมีมิติที่เล็กลงก็จริง แต่ด้วยความเป็นหน้าจอขนาด 17.3″ ทำให้มีพื้นที่มาพอที่จะติดตั้งมาอยู่ต่างจาก GS65 ที่จำเป็นต้องตัดออกไป
ทัชแพดมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้นพิเศษ โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด พร้อมพื้นผิวกระจกที่เรียบลื่นซึ่งช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อการใช้งานได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก หรือเล่นในร้านกาแฟ โดยการควบคุมมีการตอบสนองได้ดี มีการตัดขอบเส้นสีทองที่ขอบนอก เข้ากับตัวเครื่องโดยรวม
Screen / Speaker
MSI GS75 Stealth มีหน้าจอแสดงผลขนาด 17.3″ รองรับที่ความถี่ 144Hz ทำให้ภาพปรากฏออกมามีความลื่นไหลแบบสุดๆ กว่าที่ตาเราเห็น เพราะหน้าจอปกตินั้นจะแสดงได้สูงสุด 60Hz เท่านั้น พร้อมใช้พาเนลคุณภาพสูง IPS โดดเด่นในของเรื่องมุมภาพที่กว้างแบบสีสันไม่เพี้ยน เมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเล่นเกมก็เทพทำงานก็เยี่ยม ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นพร้อมกางได้ถึง 180 องศา
Spyder5Elite เป็นเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 94% และ Adobe RGB ที่ 70% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันที่เยี่ยมยอกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องแถวกลางทางขวาเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องแถวล่างทางขวามีแสงสว่างที่ลดลงไปที่ 5% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite จัดเป็นหน้าจอที่มีคุณภาพเหนือมาตรฐานโน๊ตบุ๊คทั่วไป
ระบบเสียงก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ด้วยลำโพง DYNAUDIO แบบสเตอริโอ โดยมีซอฟแวร์ปรับแต่งเสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 สู่ระบบเสียงที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมจากฝรั่งเศส ทำให้มีการปรับแต่งเสียงที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปอย่างชัดเจน สนับสนุน VR และ 3D เต็มรูปแบบใช้เล่นเกมนี่บันเทิงได้เต็มอารมณ์ ยิ่งถ้าต่อหูฟังเสียบผ่าน Audio Boost ยิ่งได้อรรถรสในการเล่นเกมได้ดีขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการที่เป็นแจ๊คแบบชุบทองคำ จะช่วยเพิ่มรายละเอียดของคุณภาพเสียงอีกด้วย พร้อมมีฟีเจอร์ Hi-Res Audio ด้วยชิปประมวลต่างหาก
ด้วยการดีไซน์รูปแบบใหม่ของลำโพง ทำให้ MSI GS75 Stealth สามารถส่งมอบเสียงเบสให้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และให้เอฟเฟกต์เสียงที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมในตัวเครื่องของ Gaming Notebook รูปแบบ Thin & Light ที่มีขีดจำกัดในเรื่องของขนาดลำโพงนั่นเอง
Connector / Thin And Weight
MSI GS75 Stealth จัดว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 17.3 นิ้วซึ่งไซส์เล็กกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.1, 2 x USB Type-C (1 x Thunderbolt 3) , 1 x HDMI 1.4, 1 x miniDisplayPort 1.2, RJ45 (Killer E2400 Gigabit Ethernet with Killer Shield) และ Mic-in/Headphone-out และ microSD Card Reader อย่างไรก็ตามพอร์ตการเชื่อมต่ออาจจะชิดกันไปหน่อย เวลาเชื่อมต่อพร้อมๆ กันอาจจะติดกันได้
มีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac ผ่าน Killer ac ระบบเน็ตเวิร์คสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะลดกาารกระตุกช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นๆ ลดค่าปิงต่ำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Matrix Display ช่วยให้ต่อจอเล่นเกม ได้หลากหลายจอแบบรอบทิศทาง จากทั้ง Thunderbolt 3, HDMI และ miniDisplayPort ส่วนของการพกพา ก็ถือว่าทำได้ดั ด้วยน้ำหนัก 2.25 กิโลกรัม ตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ที่สำคัญอแดปเตอร์จ่ายไฟที่ 230 Watt นั้น มีขนาดที่เล็กและเบาลงกว่าเดิมพอตัว
Performance / Software
MSI GS75 Stealth มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750HQ (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2018 – 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 32 GB DDR4 Bus 2666 แบบ 16GB x 2 ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ ซึ่งใครอยากอัพแรมเป็น 64GB สูงสุดก็สามารถทำได้ แต่ต้องถอดของเดิมออกก่อน เพราะในเครื่องรองรับการอัพเกรดที่ 2 แถว ตามาตรฐานของโน๊ตบุ๊คปกติ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน
โดยมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (8GB GDDR6) ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ และแรงกว่า GTX 1080 แต่ด้วยเป็นรุ่น Max-Q จึงเน้นประหยัดพลังงาน โดยมีการลดความเร็วลง ทำให้ร้อนน้อยลง แต่ยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีอยู่
พร้อมกันนั้นยังมาเทคโนโลยี“ Ray Tracing” ที่สามารถแสดงผลการติดตามแสงของวัตถุ และสภาพแวดล้อมในแบบเรียลไทม์ ระหว่างกระบวนการเรนเดอร์กราฟิกสามารถคำนวณการสะท้อน และหักเหแสงได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุมทั้งแสง และเงาทางกายภาพ ทำให้เกมนั้นสมจริงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เหนือชั้นกว่าการ์ดจอ GTX 10 Series ก่อนหน้านี้ทีเดียว ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหลแต่สวยสมจริงด้วย
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับ SSD แบบ SATA3 ปกติ ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3436MB/s และเขียนที่ 3303MB/s ซึ่งถ้าใครอยากเร็วแรงกว่านี้ก็สามารถซื้อ SSD M.2 NVMe มาทำ Raid เพิ่มได้อีก 1 ตัว ความเร็วก็จะทะลุยิ่งขึ้นไปอีก หรือจะเอา SSD M.2 SATA 3 มาเพิ่มความจุก็แล้วแต่ ด้วยการที่ภายในมีช่อง M.2 ทั้งหมด 3 ช่องด้วยกัน
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,336 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมาก
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 5 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (8GB) ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 32GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V / FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดยเกม Battlefield V โดดเด่นด้วการรองรับเทคโนโลยี “Ray Tracing” ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหล แต่สวยสมจริงกว่าที่เคยมีมาอีกด้วย
ส่วนเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 / Overwatch / PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด แต่ในส่วนของเกม PUBG มีเฟรมเรทไม่ต่ำไปกว่า 100 เลย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเป็นเกมออนไลน์ที่กินทรัพยากรพอตัวเหมือนกัน
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ 144Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล สรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้เหนือชั้นเทียบเท่าพีซีประกอบแรงๆ เลย แถมหน้าจอยังเทพมากๆ อีกด้วย
โดยเทคโนโลยี RTX ray-tracing คือเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลการให้แสงสำหรับเกมแบบ real-time จากที่ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาเกมจะต้องใช้วิธีการสร้าง geometries แบบสับซ้อนซึ่งทำให้การประมวลผลแสงในเกมให้เหมือนจริงที่ใช้กำลังของ GPU ค่อนข้างหนัก RTX ray-tracing นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ GPU นั้นทำงานน้อยลงและสามารถที่จะประมวลผลในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าการที่จะทำได้นั้นตัวเกมเองก็ต้องใช้เอนจิ้นที่รองรับเทคโนโลยี RTX ray-tracing นี้ด้วย
MSI DRAGON CENTER Version 2 เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบและพัฒนาโดย MSI ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ต่อยอดมาจากรุ่นก่อนหน้า จุดเด่นคือใช้งานง่ายและสามารถช่วยเหลือ และ จัดการการปรับแต่งตั้งค่า MSI Gaming Notebook ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลน์ของทาง MSI ก็ว่าได้ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าเมนูมีอาทิเช่น
- System Monitoring : ตรวจสอบสถานะเครื่อง (ประสิทธิภาพ,ความเร็วของพัดลม,ความร้อน)
- System Tuner : ปรับแต่งตั้งค่าการใช้งานต่างๆของ MSI Gaming Notebook
- LED Wizard : ปรับแต่งไฟคีย์บอร์ด RGB ตามความต้องการ
- Gaming Mode : ตรวจสอบว่าเครื่องมีเกมไหนอยู่ พร้อมปรับแต่งเล่นเกมให้
- Voice Wizard : ปรับแต่งด้านเสียง หรือเร่งคุณภาพเสียง
- Mobile Center : ทำการเชื่อมต่อกับมือถือ
- Tools & Help : ติดต่อ MSI และ ฟังก์ชั่นช่วยเหลือต่างๆ ที่จำเป็น
หรือจะย่อเป็นหน้าต่างโปรแกรมเล็กๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน ก็ดูเก๋ๆ ไปอีกแบบ สะดวกใช้งานด้วย
นอกเหนือจากนี้ยังมีในส่วน SteelSeries Engine 3 ที่ช่วยในการปรับแต่งการใช้งานของอุปกรณ์ต่อพ่วง Gaming Gear ต่างๆ ของ SteelSeries แน่นอนว่าในส่วนของคีย์บอร์ด SteelSeries Per-Key RGB ตัวเครื่องก็สามารถปรับแต่งได้ผ่านทางโปรแกรมนี้ เรียกได้ว่าจะปรับไฟให้ตะมุตะมิแค่ไหนก็สามารถทำได้เลย หรือจะได้พรีเซ็ทต่างๆ ที่มีมาแล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนตัวใช้แล้วชอบมากๆ
ยิ่งปรับโปรไฟล์สีผ่านซอฟแวร์ MSI True Color เทคโนโลยีที่ให้ค่าสีที่สมจริง ใกล้เคียงกับ 100% sRGB พร้อมโหมดพรีเซ็ทปรับได้อีก 6 อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ANTI-BLUE, sRGB, DESIGNER, OFFICE, MOVIE, GAMER ก็แจ่มและใช้งานได้จริง จัดว่าเป็นอีกหนึ่งการตั้งค่าที่หาไม่ได้ทั่วไปใน Gaming Notebook
ปิดท้ายด้วยระบบเสียงจาก MSI GS65 8RF Stealth Thin มาพร้อมกับระบบเสียงที่อัพเกรดขึ้นกว่าเดิม คือ Nahimic v3 ที่ทำให้สุดยอด ที่ว่าสุดยอดอยู่แล้วนั้น ทำงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก ด้วยซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาให้มีระบบเสียง ไม่ว่าจะเสียงคนพูด, เสียงเบส และเสียงที่มีย่านความถี่ต่ำ ระบบเสียง Nahimic และระบบเสียงอันสุดยอดของ MSI ก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเยี่ยมยอด (พบได้บน MSI G Series ทุกรุ่น)
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน MSI GS75 Stealth เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราว 5 – 6 ชั่วโมงโดยประมาณ ดังนั้นเวลาใช้งานจริงโดยปรับความสว่างหน้าจอและเสียงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้แบตเตอรี่มีระยะเวลาใช้งานยาวนานน้อยกว่านี้ ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับอุณหภูมิเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 38 – 43 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 28 – 32 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องสำหรับซีพียู อยู่ที่ไม่เกิน 90 – 99 องศาเซลเซียส ที่แม้ว่าดูค่อนข้างสูงแต่ก็ทำงานได้อย่างปกติดี ส่วนที่เป็นการ์ดจอจะอยู่ที่ 65 – 71 องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่ามีความเย็นมากๆ จากกที่เป็นการ์ดจอรุ่นใหม่ตระกูล Max-Q ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่เปิดฟีเจอร์ CoolerBoots เพิ่มรอบพัดลมเป็น 6,000 รอบต่อวินาที จากการที่มีพัดลม 3 ตัว แต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกมอยู่แล้ว โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง
Conclusion / Award
Gaming Notebook น้ำหนักเบาถือเป็นสิ่งหนึ่งที่เกมเมอร์หลายคนต้องการจับจองเป็นเจ้าของ ซึ่งปกติแล้วโน๊ตบุ๊คเล่นเกมแรงๆ แต่ละรุ่นมักจะมีน้ำหนักที่เยอะ พกพาลำบาก เวลาใส่กระเป๋าแบกไปไหนมาไหนปวดหลังปวดไหล่กันสุดๆ แต่ว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นกับ MSI GS75 Stealth แน่นอน เพราะด้วยตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาเพียง 2.25 กิโลกรัมเท่านั้น คือน้ำหนักเบาเท่ากับรุ่นหน้าจอ 15.6″ แบบก่อนๆ เลย แถมได้สเปคสุดแรง Intel Core i Gen 8 ล่าสุดกับ i7-8750H + RTX 2080 Max-Q บอกเลยสวยงามตามท้องเรื่อง ที่ได้ทั้งความบางเบา ประสิทธิภาพ และความสวยงามในเครื่องเดียว
ดีไซน์ตัวเครื่องออกแบบมาใหม่หมด บอดี้เป็นอลูมิเนียมอัลลอยสีดำขอบทอง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นอื่นก่อนหน้านี้ที่จะเป็นสีดำขอบแดง โดย MSI GS75 Stealth จะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว Full HD IPS รองรับที่ 144 Hz ขอบเขตสี sRGB ใกล้เคียง 100% คีย์บอร์ด Steelseries RGB แบบใหม่ที่ตัด Numpad ทิ้ง ลำโพงเลือกใช้ของ Dynaudio ระบบเสียง Nahimic 3 รองรับระบบเสียงแบบ Hi-res จัดเต็ม ที่สำคัญเหนือกว่า Gaming Notebook ทั่วไปด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 5 ชั่วโมง ในการทดสอบจริงๆ
การระบายความร้อนตัวเครื่องเป็นแบบ Cooler Boost Trinity ที่มีพัดลม 3 ตัว ฮีทไปป์ 7 เส้น ขนาดใหญ่ ช่องระบายความร้อน 4 ช่องหมดห่วงเรื่องตัวเครื่องร้อน ส่วนแรมตัวเครื่องให้มา 32GB DDR4 ความจุ SSD 512GB m.2 NVMe ตัวแรง แถมตัวเครื่องยังสามารถใส่ SSD m.2 ได้เพิ่มอีกหนึ่งช่อง (มี m.2 3 ช่อง) นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับ Windows 10 แท้พร้อมใช้งานอีกด้วย
ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อก็มีมาให้ครบครันหายห่วงทั้ง Thunderbolt 3, USB 3.1 Type-A x3, RJ45, HDMI, Mini-DisplayPort รูหูฟังกับไมค์แบบแยกออกจากกัน แต่น่าเสียดายที่ตัดช่อง SD Card Reader ออกไปด้วย ซึ่งเข้าใจว่าไม่เหลือที่แล้ว เปลี่ยนเป็นแบบ microSD แทน โดยราคาของ MSI GS75 Stealth สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 85,900 บาท สำหรับรุ่นการ์ดจอ RTX 2070 Max-Q และรุ่นที่ทดสอบจะเป็น RTX 2080 Max-Q ด้วยราคาอยู่ที่ 99,000 บาท สเปกอื่นๆ เหมือนกันหมด พร้อมประกัน 2 ปีเต็ม
เปรียบเทียบกับสเปค ฟีเจอร์ และการออกแบบสไตล์ Gaming Notebook โดนใจเกมเมอร์ หรือคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คแรงๆ เบาๆ ซักเครื่อง สำหรับหลายๆ คนที่มีงบประมาณในการซื้อที่สูงซักหน่อย เพราะเอาเข้าจริงในสเปกที่ใกล้เคียงกันบางแบรนด์สามารถทำได้ราคาได้ดีกว่า แต่ก็นั่นแหละ ฟีเจอร์หรือคุณสมบัติต่างๆ ก็คงไม่ครบครันขนาดนี้ หรือใครจะเอางบขนาดนี้ไปแยกซื้อโน๊ตบุ๊คกับคอมประกอบก็ไม่ว่ากัน เอาว่าเพื่อนๆ ท่านไหนที่สนใจ Gaming Notebook ระดับสูงรุ่นนี้หรือรุ่นอื่นๆ จาก MSI สามารถสอบถามไปที่ MSI Gaming Shop หรือร้านจำหน่ายโน๊ตบุ๊คชั้นนำทั่วประเทศกันได้เลย
สรุปคือ เครื่องเดียวจบครบในตัวเดียว ประสิทธิภาพแรงลื่นไหล จอสวยเทพ 144Hz บางเบา ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด ทั้งทำงานและเล่นเกมตอบโจทย์ได้ลงตัว ถ้าให้ซื้อ Gaming Notebook บางเบาแต่แรงที่สุด MSI GS75 Stealth คือคำตอบที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง ได้ประสบการณ์ใช้งานระดับ Desktop ตัวเทพ ที่สามารถพกพาไปใช้งานที่ไหนก็ได้ ถ้าคุณจ่าย 100,000 ทอน 100 บาทได้ ไม่งั้นก็ดูเป็นรุ่น RTX 2070 Max-Q ก็ได้ ถูกลงมาอีกหน่อย
ข้อดี
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์ งานประกอบแน่นวัสดุดี แนวเรียบหรู
- ตัวเครื่องบางเฉียบ เล็กกระชับกว่าเดิม โดยมีน้ำหนักเพียง 2.25 กิโลกรัมเท่านั้น
- สเปคสูงมากทั้ง Core i7-8750H และการ์ดจอ GeForce RTX 2080 Max-Q
- หน้าจอแสดงผลขนาด 17.3″ รองรับที่ความถี่ 144Hz ขอบเขตสี sRGB 95%
- พอร์ตเชื่อมต่อครบครันทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 3.1, HDMI และ Mini DisplayPort 1.2
- อีกทั้งยังมาพร้อมพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt 3 ที่เป็นฟอร์ม USB-C
- มาพร้อมลำโพง Dynaudio ชาแนลพร้อมระบบเสียง Nahimic 3 ให้เสียงที่ดี
- รองรับไดร์ฟ SSD แบบ NVMe M.2 ให้การเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วสูง
- ระบบระบายความร้อน Cooler Boost Trinity มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง ให้สนุกยิ่งขึ้น
- คีย์บอร์ด SteelSeries Per-key RGB ปรับเปลี่ยนสีไฟตามปุ่ม ทำงานร่วมกับเกมได้
- อแดปเตอร์จ่ายไฟ มีขนาดที่เล็กและเบากว่า เป็นภาระน้อยลงไปชัดเจน
ข้อสังเกต
- ความร้อนอาจจะดูสูงไปนิด เมื่อใช้งานเต็มที่ แต่ในการใช้งานจริงไม่มีปัญหาอะไร
- พอร์ตการเชื่อมต่อชิดกันไปนิด SD Card Reader ถูกตัดออกไป
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานตามจริงที่ 5 -6 ชั่วโมง
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 17.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง MSI GS75 Stealth ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Multimedia
MSI GS75 Stealth เป็น Gaming Notebook ที่มีความสดใหม่และเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย อาทิเช่น หน้าจอ 144Hz sRGB 94%, NVMe M.2, Nahimic 3, DDR4, Steelseries Keyboard, Killer Network, Thunderbolt 3 รวมไปถึงซอฟต์แวร์ MSI Dragon Center V.3 ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง และอื่นๆ อีกมากมาย สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสำหรับคนงบเยอะ ต้องการอะไรที่ครบที่สุด ถือได้ว่าเป็นผู้นำในตลาด Gaming Notebook ยิ่งเทียบในระดับเดียวกันยิ่งหาตัวจับยาก
Best Performance
ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7- 8750HQ (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Desktop มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต และ M.2 SATA 3 อีก 1 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ DDR4 แบบ Dual Channel แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ MSI GS75 Stealth อยู่ในระดับที่ดีกว่า Gaming Notebook ทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 2.25 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมอแดปเตอร์ก็เบาและเล็กกว่าปกติมากๆ ถือว่ามีการพัฒนาไปในทุกส่วน รวมแล้วหนักแค่ 2 กิโลกรัมกลางๆ เท่านั้น โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ รวมถึงแบตอาจจะใช้งานได้ 5 ชั่วโมงจริงๆ ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีของ Gaming Notebook จอ 17.3″
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ MSI Gaming มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน MSI GS75 Stealth ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวในมิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ขอบจอบางเฉียบ แต่มีการออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ออกแนวดุดันและเรียบหรูมากยิ่งขึ้น เครื่องบางเพียง 18.95 มิลลิเมตร ด้วยการใช้การตัดสีดำกับทอง รวมไปถึงไฟคีย์บอร์ดก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วย Per-key RGB ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาเชื่อได้ว่าหลายๆ คนที่เป็นเกมเมอร์ต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
Unbox Preview
Specification
MSI GS75 8RF Stealth Thin ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7- 8750HQ (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 2080 Max-Q (8GB GDDR6) ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Desktop มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แบบ DDR4 แบบ Dual Channel แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล
นอกจากนี้มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 17.3 นิ้ว ที่ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS ที่เทคโนโลยี Wide Viewing Angle Display ให้จอแสดงผลมีมุมมองกว้าง พร้อมเทคโนโลยี MSI True Color Technology ปรับโปรไฟล์สีให้ตรงกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ที่สำคัญต่างจากรุ่นก่อนหน้าก็คือการรองรับ 144Hz ส่งผลให้เล่นเกมได้ลื่นไหลสุดๆ และตัวเครื่องยังมีลำโพงจากแบรนด์ Dynaudio พร้อมซอฟแวร์เสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 ขับเสียงได้ดียิ่งกว่า มาพร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที
พร้อมการรับประกันมาตรฐาน MSI จำนวน 2 ปี สนนราคา MSI GS75 8RF Stealth Thin อยู่ที่ 99,900 บาท ส่วนอีกรุ่นจะเป็น MSI GS75 8RE Stealth Thin ราคา 85,900 บาท ที่จะมีความต่างกันในส่วนของการ์ดจอที่เป็น GTX 2070 Max-Q (8GB GDDR8) ส่วนสเปกอื่นๆ รวมไปถึงดีไซน์นั้นเหมือนกันหมด ไม่ต่างกันเลย อันนี้ก็อยู่ที่เพื่อนๆ จะเลือกแบบไหนมาใช้งานกัน เพราะราคาก็ต่างระดับหมื่นบาท
MSI GS65 Stealth Thin 8SE 203TH ราคา 73,900 บาท
i7-8750H / RTX2060 / RAM16GB / SSD 512GB / 15.6″ 144Hz / Windows 10
MSI GS75 Stealth 8SF006TH ราคา 85,900 บาท
i7-8750H / RTX2070 Max-Q / RAM16GB / SSD 512GB / 17.3″ 144Hz / Windows 10
MSI GS75 Stealth 8SG-003TH ราคา 99,900 บาท
i7-8750H / RTX2080 Max-Q / RAM16GB / SSD 512GB / 17.3″ 144Hz / Windows 10
Hardware / Design
สำหรับ MSI GS75 Stealth ใช้พื้นฐานเดียวกันมาจาก MSI GS65 Stealth Thin ที่เคยรีวิวไปแล้ว โดยถือว่าเป็น Gaming Notebook มาตรฐานใหม่ที่มีความเบาบาง ขอบจอบางที่ได้ความแรงไม่แพง Gaming Notebook เครื่องหนักๆ หนาๆ แบบแต่ก่อน โดดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ที่เพกพาได้สะดวก ที่รักษาความเป็นเกมเมอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 2.25 กิโลกรัม บางที่ 18.95 มิลลิเมตร (หนักและหนากว่า GS65 เล็กน้อย) ทำให้ถือมือเดียวได้ หรือหยิบใส่กระเป๋าแบบสบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลังด้วยวัสดุอะลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง
โดยฝาหลังและดีไซน์ทั้งหมดมีการปรับให้เรียบหรูขึ้น กับพื้นผิวเรียบๆ พร้อมกับใช้สีทองในการประกอบกับสีดำของตัวเครื่อง ตั้งแต่โลโก้ ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบสมัยก่อน ที่ต้องเป็นสีแดง Gaming จ๋าๆ โดยเปลี่ยนจากที่แดงเดิมๆให้กลายเป็นสีทองบางๆ ที่ความน้อยเรื่องของรายละเอียดแต่มากด้วยความเท่นั่นเอง
ด้านฐานล่างตัวเครื่อง MSI GS75 Stealth รุ่นนี้เป็นอะลูมิเนียมเรียบๆ พร้อมมียางรองขนาดเล็กทั้งหมด 9 จุด ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี ส่วนงานประกอบก็เนียบเหมือนเดิม เรื่องนี้ไว้ใจทาง MSI เค้าได้เลย
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่อง MSI GS75 Stealth ถูกติดตั้งบริเวณเหนือคีย์บอร์ด พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน โดยอยู่ตรงกลางเหนือคีย์บอร์ด พร้อมการติดตั้งช่องลมโปร่งขนาดใหญ่เพื่อให้ช่วยระบายความร้อนที่ดีกว่าเดิม ซึ่งตรงบริเวณนี้ตรงขอบบนมุมขวาจะเป็นโลโก้ลำโพงของ DYNAUDIO ส่วนมุมขวาล่างจะเป็นโลโก้คีย์บอร์ด SteelSeries ที่การันตีว่าของดีแน่นอน เรียกได้ว่าใส่ทุกรายละเอียดสมกับเป็น GS Series ที่เน้นความพรีเมียม
MSI GS75 Stealth ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อน Cooler Boost Trinity ใช้พัดลม 3 ตัว ตัวละ 47 ใบพัดขนาด 0.2 มิลลิเมตร ซึ่งมีช่องระบายอากาศถึง 5 จุด อยู่ทางด้านหลังและด้านข้างของตัวเครื่อง เป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 2 ตัว) ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 7 เส้น ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ หายห่วงได้เลยในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะเล่นเกมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
ส่วนที่พักมือและเนื้องานรอบแป้นพิมม์ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมแบบสีดำด้านที่สวยงาม อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตอย่างเมื่อเราออกแรงกดลงไปนิดหน่อยจะมีอาการยุบเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการใช้งาน ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดที่ 4.9 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ดูได้จากกล้องเว็บแคมถูกติดตั้งลงไปบนขอบที่บางมากๆ
ส่งผลให้ตลอดทั้งตัวเครื่องมีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงกว่า Gaming Notebook หน้าจอ 17.3″ ทั่วไป ซึ่งโดยรวมแล้ว MSI GS75 Stealth Thin ไม่ใช่แค่แรงแต่ในประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสายบางเบาช่วงงบประมาณ 80,000 บาท + ก็ว่าได้เลย ที่แม้ราคาดูสูงแต่จัดเต็มทุกฟีเจอร์จริงๆ อย่างที่ Gaming Notebook ทั่วไปไม่สามารถให้ได้
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ MSI GS75 Stealth เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ แบบสิ้นเชิง จากการที่ใช้ Per-Key RGB Gaming Keyboard ที่ร่วมพัฒนากับแบรนด์ SteelSeries ซึ่งมีการพัฒนาและออกแบบมาให้ MSI โดยเฉพาะ ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน นอกจากนี้เวลาเรากดปุ่ม Fn ยังเหนือชั้นกว่าแบรนด์อื่นๆ ก็คือ จะมีไฟติดปุ่มที่ใช้งานร่วมกันขึ้นมา อาทิ เพิ่มเสียง ลดแสง ให้เราเห็นอย่างชัดเจน
ที่สำคัญในคราวนี้ไฟ LED ที่เป็น RGB สามารถเปลี่ยนสีทีละปุ่ม ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ และยังปรับแต่ง Macrokeys บนคีย์บอร์ดเพื่อใช้ในเกมหรือซอฟแวร์ต่างๆ ผ่าน Steelseries Engine 3 ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้รองรับการแสดงผลไฟ LED แต่ละเกมที่รองรับต่างกันออกไป ส่วน Numpad ยังคงมีอยู่ปกติ ที่แม้ว่าตัวเครื่องมีมิติที่เล็กลงก็จริง แต่ด้วยความเป็นหน้าจอขนาด 17.3″ ทำให้มีพื้นที่มาพอที่จะติดตั้งมาอยู่ต่างจาก GS65 ที่จำเป็นต้องตัดออกไป
ทัชแพดมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้นพิเศษ โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด พร้อมพื้นผิวกระจกที่เรียบลื่นซึ่งช่วยเพิ่มการตอบสนองต่อการใช้งานได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก หรือเล่นในร้านกาแฟ โดยการควบคุมมีการตอบสนองได้ดี มีการตัดขอบเส้นสีทองที่ขอบนอก เข้ากับตัวเครื่องโดยรวม
Screen / Speaker
MSI GS75 Stealth มีหน้าจอแสดงผลขนาด 17.3″ รองรับที่ความถี่ 144Hz ทำให้ภาพปรากฏออกมามีความลื่นไหลแบบสุดๆ กว่าที่ตาเราเห็น เพราะหน้าจอปกตินั้นจะแสดงได้สูงสุด 60Hz เท่านั้น พร้อมใช้พาเนลคุณภาพสูง IPS โดดเด่นในของเรื่องมุมภาพที่กว้างแบบสีสันไม่เพี้ยน เมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเล่นเกมก็เทพทำงานก็เยี่ยม ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นพร้อมกางได้ถึง 180 องศา
Spyder5Elite เป็นเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 94% และ Adobe RGB ที่ 70% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันที่เยี่ยมยอกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องแถวกลางทางขวาเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องแถวล่างทางขวามีแสงสว่างที่ลดลงไปที่ 5% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite จัดเป็นหน้าจอที่มีคุณภาพเหนือมาตรฐานโน๊ตบุ๊คทั่วไป
ระบบเสียงก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ด้วยลำโพง DYNAUDIO แบบสเตอริโอ โดยมีซอฟแวร์ปรับแต่งเสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 สู่ระบบเสียงที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมจากฝรั่งเศส ทำให้มีการปรับแต่งเสียงที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปอย่างชัดเจน สนับสนุน VR และ 3D เต็มรูปแบบใช้เล่นเกมนี่บันเทิงได้เต็มอารมณ์ ยิ่งถ้าต่อหูฟังเสียบผ่าน Audio Boost ยิ่งได้อรรถรสในการเล่นเกมได้ดีขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการที่เป็นแจ๊คแบบชุบทองคำ จะช่วยเพิ่มรายละเอียดของคุณภาพเสียงอีกด้วย พร้อมมีฟีเจอร์ Hi-Res Audio ด้วยชิปประมวลต่างหาก
ด้วยการดีไซน์รูปแบบใหม่ของลำโพง ทำให้ MSI GS75 Stealth สามารถส่งมอบเสียงเบสให้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และให้เอฟเฟกต์เสียงที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมในตัวเครื่องของ Gaming Notebook รูปแบบ Thin & Light ที่มีขีดจำกัดในเรื่องของขนาดลำโพงนั่นเอง
Connector / Thin And Weight
MSI GS75 Stealth จัดว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 17.3 นิ้วซึ่งไซส์เล็กกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.1, 2 x USB Type-C (1 x Thunderbolt 3) , 1 x HDMI 1.4, 1 x miniDisplayPort 1.2, RJ45 (Killer E2400 Gigabit Ethernet with Killer Shield) และ Mic-in/Headphone-out และ microSD Card Reader อย่างไรก็ตามพอร์ตการเชื่อมต่ออาจจะชิดกันไปหน่อย เวลาเชื่อมต่อพร้อมๆ กันอาจจะติดกันได้
มีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac ผ่าน Killer ac ระบบเน็ตเวิร์คสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะลดกาารกระตุกช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นๆ ลดค่าปิงต่ำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Matrix Display ช่วยให้ต่อจอเล่นเกม ได้หลากหลายจอแบบรอบทิศทาง จากทั้ง Thunderbolt 3, HDMI และ miniDisplayPort ส่วนของการพกพา ก็ถือว่าทำได้ดั ด้วยน้ำหนัก 2.25 กิโลกรัม ตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ที่สำคัญอแดปเตอร์จ่ายไฟที่ 230 Watt นั้น มีขนาดที่เล็กและเบาลงกว่าเดิมพอตัว
Performance / Software
MSI GS75 Stealth มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750HQ (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2018 – 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 32 GB DDR4 Bus 2666 แบบ 16GB x 2 ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ ซึ่งใครอยากอัพแรมเป็น 64GB สูงสุดก็สามารถทำได้ แต่ต้องถอดของเดิมออกก่อน เพราะในเครื่องรองรับการอัพเกรดที่ 2 แถว ตามาตรฐานของโน๊ตบุ๊คปกติ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน
โดยมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (8GB GDDR6) ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ และแรงกว่า GTX 1080 แต่ด้วยเป็นรุ่น Max-Q จึงเน้นประหยัดพลังงาน โดยมีการลดความเร็วลง ทำให้ร้อนน้อยลง แต่ยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีอยู่
พร้อมกันนั้นยังมาเทคโนโลยี“ Ray Tracing” ที่สามารถแสดงผลการติดตามแสงของวัตถุ และสภาพแวดล้อมในแบบเรียลไทม์ ระหว่างกระบวนการเรนเดอร์กราฟิกสามารถคำนวณการสะท้อน และหักเหแสงได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุมทั้งแสง และเงาทางกายภาพ ทำให้เกมนั้นสมจริงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เหนือชั้นกว่าการ์ดจอ GTX 10 Series ก่อนหน้านี้ทีเดียว ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหลแต่สวยสมจริงด้วย
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับ SSD แบบ SATA3 ปกติ ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3436MB/s และเขียนที่ 3303MB/s ซึ่งถ้าใครอยากเร็วแรงกว่านี้ก็สามารถซื้อ SSD M.2 NVMe มาทำ Raid เพิ่มได้อีก 1 ตัว ความเร็วก็จะทะลุยิ่งขึ้นไปอีก หรือจะเอา SSD M.2 SATA 3 มาเพิ่มความจุก็แล้วแต่ ด้วยการที่ภายในมีช่อง M.2 ทั้งหมด 3 ช่องด้วยกัน
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5,336 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมาก
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 5 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q (8GB) ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 32GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V / FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดยเกม Battlefield V โดดเด่นด้วการรองรับเทคโนโลยี “Ray Tracing” ที่ไม่ใช่แค่ลื่นไหล แต่สวยสมจริงกว่าที่เคยมีมาอีกด้วย
ส่วนเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 / Overwatch / PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด แต่ในส่วนของเกม PUBG มีเฟรมเรทไม่ต่ำไปกว่า 100 เลย ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเป็นเกมออนไลน์ที่กินทรัพยากรพอตัวเหมือนกัน
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ 144Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล สรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้เหนือชั้นเทียบเท่าพีซีประกอบแรงๆ เลย แถมหน้าจอยังเทพมากๆ อีกด้วย
โดยเทคโนโลยี RTX ray-tracing คือเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความสามารถในการประมวลผลการให้แสงสำหรับเกมแบบ real-time จากที่ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาเกมจะต้องใช้วิธีการสร้าง geometries แบบสับซ้อนซึ่งทำให้การประมวลผลแสงในเกมให้เหมือนจริงที่ใช้กำลังของ GPU ค่อนข้างหนัก RTX ray-tracing นั้นจะเข้ามาช่วยทำให้ GPU นั้นทำงานน้อยลงและสามารถที่จะประมวลผลในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม ทว่าการที่จะทำได้นั้นตัวเกมเองก็ต้องใช้เอนจิ้นที่รองรับเทคโนโลยี RTX ray-tracing นี้ด้วย
MSI DRAGON CENTER Version 2 เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบและพัฒนาโดย MSI ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ต่อยอดมาจากรุ่นก่อนหน้า จุดเด่นคือใช้งานง่ายและสามารถช่วยเหลือ และ จัดการการปรับแต่งตั้งค่า MSI Gaming Notebook ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลน์ของทาง MSI ก็ว่าได้ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าเมนูมีอาทิเช่น
- System Monitoring : ตรวจสอบสถานะเครื่อง (ประสิทธิภาพ,ความเร็วของพัดลม,ความร้อน)
- System Tuner : ปรับแต่งตั้งค่าการใช้งานต่างๆของ MSI Gaming Notebook
- LED Wizard : ปรับแต่งไฟคีย์บอร์ด RGB ตามความต้องการ
- Gaming Mode : ตรวจสอบว่าเครื่องมีเกมไหนอยู่ พร้อมปรับแต่งเล่นเกมให้
- Voice Wizard : ปรับแต่งด้านเสียง หรือเร่งคุณภาพเสียง
- Mobile Center : ทำการเชื่อมต่อกับมือถือ
- Tools & Help : ติดต่อ MSI และ ฟังก์ชั่นช่วยเหลือต่างๆ ที่จำเป็น
หรือจะย่อเป็นหน้าต่างโปรแกรมเล็กๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน ก็ดูเก๋ๆ ไปอีกแบบ สะดวกใช้งานด้วย
นอกเหนือจากนี้ยังมีในส่วน SteelSeries Engine 3 ที่ช่วยในการปรับแต่งการใช้งานของอุปกรณ์ต่อพ่วง Gaming Gear ต่างๆ ของ SteelSeries แน่นอนว่าในส่วนของคีย์บอร์ด SteelSeries Per-Key RGB ตัวเครื่องก็สามารถปรับแต่งได้ผ่านทางโปรแกรมนี้ เรียกได้ว่าจะปรับไฟให้ตะมุตะมิแค่ไหนก็สามารถทำได้เลย หรือจะได้พรีเซ็ทต่างๆ ที่มีมาแล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนตัวใช้แล้วชอบมากๆ
ยิ่งปรับโปรไฟล์สีผ่านซอฟแวร์ MSI True Color เทคโนโลยีที่ให้ค่าสีที่สมจริง ใกล้เคียงกับ 100% sRGB พร้อมโหมดพรีเซ็ทปรับได้อีก 6 อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ANTI-BLUE, sRGB, DESIGNER, OFFICE, MOVIE, GAMER ก็แจ่มและใช้งานได้จริง จัดว่าเป็นอีกหนึ่งการตั้งค่าที่หาไม่ได้ทั่วไปใน Gaming Notebook
ปิดท้ายด้วยระบบเสียงจาก MSI GS65 8RF Stealth Thin มาพร้อมกับระบบเสียงที่อัพเกรดขึ้นกว่าเดิม คือ Nahimic v3 ที่ทำให้สุดยอด ที่ว่าสุดยอดอยู่แล้วนั้น ทำงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก ด้วยซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาให้มีระบบเสียง ไม่ว่าจะเสียงคนพูด, เสียงเบส และเสียงที่มีย่านความถี่ต่ำ ระบบเสียง Nahimic และระบบเสียงอันสุดยอดของ MSI ก็สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเยี่ยมยอด (พบได้บน MSI G Series ทุกรุ่น)
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน MSI GS75 Stealth เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราว 5 – 6 ชั่วโมงโดยประมาณ ดังนั้นเวลาใช้งานจริงโดยปรับความสว่างหน้าจอและเสียงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้แบตเตอรี่มีระยะเวลาใช้งานยาวนานน้อยกว่านี้ ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับอุณหภูมิเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 38 – 43 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 28 – 32 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องสำหรับซีพียู อยู่ที่ไม่เกิน 90 – 99 องศาเซลเซียส ที่แม้ว่าดูค่อนข้างสูงแต่ก็ทำงานได้อย่างปกติดี ส่วนที่เป็นการ์ดจอจะอยู่ที่ 65 – 71 องศาเซลเซียสเท่านั้น นับว่ามีความเย็นมากๆ จากกที่เป็นการ์ดจอรุ่นใหม่ตระกูล Max-Q ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่เปิดฟีเจอร์ CoolerBoots เพิ่มรอบพัดลมเป็น 6,000 รอบต่อวินาที จากการที่มีพัดลม 3 ตัว แต่ก็ไม่ถือว่ารบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกมอยู่แล้ว โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้อย่างไม่น่าเป็นห่วง
Conclusion / Award
Gaming Notebook น้ำหนักเบาถือเป็นสิ่งหนึ่งที่เกมเมอร์หลายคนต้องการจับจองเป็นเจ้าของ ซึ่งปกติแล้วโน๊ตบุ๊คเล่นเกมแรงๆ แต่ละรุ่นมักจะมีน้ำหนักที่เยอะ พกพาลำบาก เวลาใส่กระเป๋าแบกไปไหนมาไหนปวดหลังปวดไหล่กันสุดๆ แต่ว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นกับ MSI GS75 Stealth แน่นอน เพราะด้วยตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาเพียง 2.25 กิโลกรัมเท่านั้น คือน้ำหนักเบาเท่ากับรุ่นหน้าจอ 15.6″ แบบก่อนๆ เลย แถมได้สเปคสุดแรง Intel Core i Gen 8 ล่าสุดกับ i7-8750H + RTX 2080 Max-Q บอกเลยสวยงามตามท้องเรื่อง ที่ได้ทั้งความบางเบา ประสิทธิภาพ และความสวยงามในเครื่องเดียว
ดีไซน์ตัวเครื่องออกแบบมาใหม่หมด บอดี้เป็นอลูมิเนียมอัลลอยสีดำขอบทอง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นอื่นก่อนหน้านี้ที่จะเป็นสีดำขอบแดง โดย MSI GS75 Stealth จะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 17.3 นิ้ว Full HD IPS รองรับที่ 144 Hz ขอบเขตสี sRGB ใกล้เคียง 100% คีย์บอร์ด Steelseries RGB แบบใหม่ที่ตัด Numpad ทิ้ง ลำโพงเลือกใช้ของ Dynaudio ระบบเสียง Nahimic 3 รองรับระบบเสียงแบบ Hi-res จัดเต็ม ที่สำคัญเหนือกว่า Gaming Notebook ทั่วไปด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 5 ชั่วโมง ในการทดสอบจริงๆ
การระบายความร้อนตัวเครื่องเป็นแบบ Cooler Boost Trinity ที่มีพัดลม 3 ตัว ฮีทไปป์ 7 เส้น ขนาดใหญ่ ช่องระบายความร้อน 4 ช่องหมดห่วงเรื่องตัวเครื่องร้อน ส่วนแรมตัวเครื่องให้มา 32GB DDR4 ความจุ SSD 512GB m.2 NVMe ตัวแรง แถมตัวเครื่องยังสามารถใส่ SSD m.2 ได้เพิ่มอีกหนึ่งช่อง (มี m.2 3 ช่อง) นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมาพร้อมกับ Windows 10 แท้พร้อมใช้งานอีกด้วย
ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อก็มีมาให้ครบครันหายห่วงทั้ง Thunderbolt 3, USB 3.1 Type-A x3, RJ45, HDMI, Mini-DisplayPort รูหูฟังกับไมค์แบบแยกออกจากกัน แต่น่าเสียดายที่ตัดช่อง SD Card Reader ออกไปด้วย ซึ่งเข้าใจว่าไม่เหลือที่แล้ว เปลี่ยนเป็นแบบ microSD แทน โดยราคาของ MSI GS75 Stealth สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 85,900 บาท สำหรับรุ่นการ์ดจอ RTX 2070 Max-Q และรุ่นที่ทดสอบจะเป็น RTX 2080 Max-Q ด้วยราคาอยู่ที่ 99,000 บาท สเปกอื่นๆ เหมือนกันหมด พร้อมประกัน 2 ปีเต็ม
เปรียบเทียบกับสเปค ฟีเจอร์ และการออกแบบสไตล์ Gaming Notebook โดนใจเกมเมอร์ หรือคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คแรงๆ เบาๆ ซักเครื่อง สำหรับหลายๆ คนที่มีงบประมาณในการซื้อที่สูงซักหน่อย เพราะเอาเข้าจริงในสเปกที่ใกล้เคียงกันบางแบรนด์สามารถทำได้ราคาได้ดีกว่า แต่ก็นั่นแหละ ฟีเจอร์หรือคุณสมบัติต่างๆ ก็คงไม่ครบครันขนาดนี้ หรือใครจะเอางบขนาดนี้ไปแยกซื้อโน๊ตบุ๊คกับคอมประกอบก็ไม่ว่ากัน เอาว่าเพื่อนๆ ท่านไหนที่สนใจ Gaming Notebook ระดับสูงรุ่นนี้หรือรุ่นอื่นๆ จาก MSI สามารถสอบถามไปที่ MSI Gaming Shop หรือร้านจำหน่ายโน๊ตบุ๊คชั้นนำทั่วประเทศกันได้เลย
สรุปคือ เครื่องเดียวจบครบในตัวเดียว ประสิทธิภาพแรงลื่นไหล จอสวยเทพ 144Hz บางเบา ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด ทั้งทำงานและเล่นเกมตอบโจทย์ได้ลงตัว ถ้าให้ซื้อ Gaming Notebook บางเบาแต่แรงที่สุด MSI GS75 Stealth คือคำตอบที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง ได้ประสบการณ์ใช้งานระดับ Desktop ตัวเทพ ที่สามารถพกพาไปใช้งานที่ไหนก็ได้ ถ้าคุณจ่าย 100,000 ทอน 100 บาทได้ ไม่งั้นก็ดูเป็นรุ่น RTX 2070 Max-Q ก็ได้ ถูกลงมาอีกหน่อย
ข้อดี
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์ งานประกอบแน่นวัสดุดี แนวเรียบหรู
- ตัวเครื่องบางเฉียบ เล็กกระชับกว่าเดิม โดยมีน้ำหนักเพียง 2.25 กิโลกรัมเท่านั้น
- สเปคสูงมากทั้ง Core i7-8750H และการ์ดจอ GeForce RTX 2080 Max-Q
- หน้าจอแสดงผลขนาด 17.3″ รองรับที่ความถี่ 144Hz ขอบเขตสี sRGB 95%
- พอร์ตเชื่อมต่อครบครันทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 3.1, HDMI และ Mini DisplayPort 1.2
- อีกทั้งยังมาพร้อมพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt 3 ที่เป็นฟอร์ม USB-C
- มาพร้อมลำโพง Dynaudio ชาแนลพร้อมระบบเสียง Nahimic 3 ให้เสียงที่ดี
- รองรับไดร์ฟ SSD แบบ NVMe M.2 ให้การเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วสูง
- ระบบระบายความร้อน Cooler Boost Trinity มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง ให้สนุกยิ่งขึ้น
- คีย์บอร์ด SteelSeries Per-key RGB ปรับเปลี่ยนสีไฟตามปุ่ม ทำงานร่วมกับเกมได้
- อแดปเตอร์จ่ายไฟ มีขนาดที่เล็กและเบากว่า เป็นภาระน้อยลงไปชัดเจน
ข้อสังเกต
- ความร้อนอาจจะดูสูงไปนิด เมื่อใช้งานเต็มที่ แต่ในการใช้งานจริงไม่มีปัญหาอะไร
- พอร์ตการเชื่อมต่อชิดกันไปนิด SD Card Reader ถูกตัดออกไป
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานตามจริงที่ 5 -6 ชั่วโมง
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 17.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง MSI GS75 Stealth ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Multimedia
MSI GS75 Stealth เป็น Gaming Notebook ที่มีความสดใหม่และเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย อาทิเช่น หน้าจอ 144Hz sRGB 94%, NVMe M.2, Nahimic 3, DDR4, Steelseries Keyboard, Killer Network, Thunderbolt 3 รวมไปถึงซอฟต์แวร์ MSI Dragon Center V.3 ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง และอื่นๆ อีกมากมาย สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสำหรับคนงบเยอะ ต้องการอะไรที่ครบที่สุด ถือได้ว่าเป็นผู้นำในตลาด Gaming Notebook ยิ่งเทียบในระดับเดียวกันยิ่งหาตัวจับยาก
Best Performance
ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7- 8750HQ (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2080 Max-Q ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Desktop มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต และ M.2 SATA 3 อีก 1 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ DDR4 แบบ Dual Channel แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ MSI GS75 Stealth อยู่ในระดับที่ดีกว่า Gaming Notebook ทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 2.25 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมอแดปเตอร์ก็เบาและเล็กกว่าปกติมากๆ ถือว่ามีการพัฒนาไปในทุกส่วน รวมแล้วหนักแค่ 2 กิโลกรัมกลางๆ เท่านั้น โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ รวมถึงแบตอาจจะใช้งานได้ 5 ชั่วโมงจริงๆ ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีของ Gaming Notebook จอ 17.3″
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ MSI Gaming มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน MSI GS75 Stealth ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวในมิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ขอบจอบางเฉียบ แต่มีการออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ออกแนวดุดันและเรียบหรูมากยิ่งขึ้น เครื่องบางเพียง 18.95 มิลลิเมตร ด้วยการใช้การตัดสีดำกับทอง รวมไปถึงไฟคีย์บอร์ดก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วย Per-key RGB ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาเชื่อได้ว่าหลายๆ คนที่เป็นเกมเมอร์ต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน