เปิดตัวและวางจำหน่ายออกมาได้สักพักแล้วครับกับ MacBook Air 2018 ที่ได้รับการอัพเกรดมาใหม่ ในวันนี้นั้นเพื่อที่จะเป็นข้อมูลให้ท่านที่สนใจอยากได้ Apple MacBook Air 2018 เอาไว้มาใช้ทำงานสักเครื่องหรือต้องการอัพเกรดมาเป็นรุ่น 2018 จากรุ่นเดิม เราจึงขอนำเอารีวิวจากทาง The Verge มาให้คุณๆ ได้ดูกันครับว่ามันจะคุ้มค่ากับราคาหรือไม่ ว่าแล้วก็ไปติดตามกันได้เลยครับ
จุดแรกนั้นที่ต้องคุยกันเลยนั้นก็คือเรื่องของราคาครับ โดยราคาของ Apple MacBook Air 2018 รุ่นที่ถูกที่สุดนั้นจะอยู่ที่ 42,900 บาทครับ ด้วยราคานี้นั้นคุณจะได้รับสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผลที่ใช้รุ่นใหม่ล่าสุด, หน้าจอรุ่นใหม่, ขอบหน้าจอที่บางลงกว่าเดิม, Touch ID, T2 security chip, trackpad ที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมและตัวเครื่องที่เล็กลงกว่าเดิมครับ ซึ่งสิ่งที่เพิ่มใหม่ทั้งหมดทั้งมวลนี้นั้นก็ได้รับมาจากรุ่นพี่ที่ได้มีการอัพเกรดกันไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเองครับ
สำหรับท่านที่ตั้งใจจะซื้อ MacBook อยู่แล้วนั้นสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องพิจารณาก่อนเลยครับนั่นก็คือเรื่องของราคาเพราะว่าหากคุณเพิ่มเงินอีก 5,000 บาทแล้วนั้นคุณจะสามารถอัพเกรดไปซื้อ MacBook Pro 2018 ขนาดจอ 13 นิ้วได้แล้วซึ่งแน่นอนครับว่ามันย่อมคุ้มค่ากว่าแน่นอนเนื่องจากสเปคที่คุณจะได้รับเพิ่มขึ้นมานั้นก็ถือว่าดีกว่ากันมากแถมน้ำหนักของตัวเครื่องนั้นก็ต่างกันที่ราวๆ 122.47 g เท่านั้น หรือหากท่านอยากได้เครื่องที่เล็กกว่านี้ละก็ MacBook 2018 ขนาดจอ 12 นิ้วก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะราคานั้นจะเพิ่มจาก MacBook Air 2018 อยู่ที่ราวๆ 5,000 บาทเท่ากันแต่ก็ได้ในส่วนของแหล่งเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเป็น 256 GB ทว่าสเปคนั้นก็ต่ำกว่าอยู่หน่อยครับ
เอาล่ะครับหากคุณคิดว่า MacBook Air 2018 ยังเป็นสิ่งที่คุณต้องการแล้วล่ะก็เราก็มาดูกันเลยทีละส่วนดีกว่าครับว่าเจ้า MacBook Air 2018 นั้นจะเป็นอย่างไรบ้างโดยเริ่มต้นกันที่พอร์ตการเชื่อมต่อที่ MacBook Air 2018 นั้นได้ตัดเอาพอร์ตที่ชาร์จ MagSafe ออกไปแล้วเหมือนรุ่นพี่แล้วเปลี่ยนมาชาร์จผ่านพอร์ต USB Type-C ของตัวเครื่องแทน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมเลยก็คือบน MacBook Air 2018 นั้นจะมีพอร์ตมาให้แค่ 2 พอร์ตคือ USB Type-C ทั้งคู่ดังนั้นหากคุณทำการชาร์จตัวเครื่องไปใช้งานไปด้วยแล้วนั้นคุณจะเหลือพอร์ตสำหรับการเชื่อมต่ออีกเพียงแค่พอร์ตเดียวเท่านั้นครับ
ที่ชาร์จของ MacBook Air 2018 นั้นมาพร้อมกับสายชาร์จแบบใหม่ที่จะไม่มีการหลุดเกิดขึ้นถ้าคุณเผลอย้ายเครื่องแล้วไม่ได้ดูสายชาร์จให้ดีก่อนซึ่งถือว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียครับเพราะหากพลาดแล้วงานนี้อาจจะมีสะดุดสายกันเข้าให้ได้ล่ะครับ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำใจไว้เลยก็คือคุณต้องซื้อ dongle adapters มาใช้ด้วยอย่างแน่นอนเพราะความที่ MacBook Air 2018 ไม่มีพอร์ตอื่นใดเพิ่มเข้ามาให้เลยดังนั้นคุณจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมี dongle เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ของคุณครับไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่ 2, อุปกรณ์ที่มาพร้อมกับรูปแบบการเชื่อมต่อ USB Type-A รวมไปถึง SD Card เป็นต้นครับ
หมายเหตุ – โชคยังดีครับที่บน MacBook Air 2018 นั้นมีพอร์ตการเชื่อมต่อ 3.5 mm audio jack มาให้คุณอยู่ครับ
ต่อมานั้นเรามาดูกันที่ส่วนของหน้าจอซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายๆ ท่านหันมาสนใจ MacBook กันเนื่องจากว่ามันมีความสวยงามในการแสดงสีสันเป็นอย่างมากครับ และบน MacBook Air 2018 นั้นก็มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Retina Display ซึ่งมีความละเอียดของหน้าจออยู่ที่ 2560 x 1600 pixels ซึ่งทำให้คุณมีพื้นที่ในการใช้งานบนหน้าจอมากว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียดแบบ Full HD ครับ ตัวหน้าจอนั้นยังได้รับการออกแบบมาแบบขอบบางทำให้ตัวเครื่องนั้นเวลาใช้งานดูสวยงามมากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ(แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอขอบบางที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows นะครับเรียกว่าไม่แตกต่างกันมากจะดีกว่าครับ)
สิ่งหนึ่งที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไรสำหรับตัวหน้าจอของ MacBook Air 2018 นั้นก็คือความสว่างของหน้าจอที่สูงสุดอยู่ที่ 300 nits ตามสเปคเท่านั้น ทว่าในการใช้งานจริงนั้นหากคุณนำไปใช้ในที่ๆ มีแสงจากสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมากคุณมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดความสว่างหน้าจอ 100% ถึงจะยังทำให้คุณได้เห็นสีสันและรายละเอียดของหน้าจอดังเดิมอยู่ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมที่คุณนำเอา MacBook Air 2018 ไปใช้งานนั้นมีความสว่างภายนอกค่อนข้างมากงานนี้ต่อให้ปรับยังไงก็เห็นไม่ชัดเหมือนใช้งานในที่แสงน้อยครับ
หมายเหตุ – หน้าจอของ MacBook Air 2018 นั้นไม่มีรุ่นที่รองรับการสัมผัสมาให้ใช้งานนะครับ ดังนั้นแล้วหากคุณอยากจะใช้งานเพื่อการออกแบบโดยใช้ Pen วาดบนหน้าจอแล้วล่ะก็มองข้าม MacBook Air 2018 ไปได้เลยครับ
มาต่อกันที่คีย์บอร์ดครับ สำหรับ MacBook Air 2018 นั้นมาพร้อมกับคีย์บอร์ดดีไซน์ “butterfly” รุ่นล่าสุดของทาง Apple ซึ่งมีระยะของแป้นพิมพ์ค่อนข้างที่จะติดกับตัวปุ่มทางด้านล่างเป็นอย่างมากทำให้เป็นการยากที่ฝุ่นนั้นจะเข้าไปอยู่ที่ใต้แป้นพิมพ์ของคีย์บอร์ด แต่ทว่ามันก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่าสำหรับผู้ที่พึ่งจะมาใช้ใหม่(รวมไปถึงเปลี่ยนมาจากรุ่นอื่น) อาจจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ ถึงจะชินกับแป้นพิมพ์ของ MacBook Air 2018 และยังมีเรื่องของเสียงรบกวนแค๊กๆ เวลากดแป้นพิมพ์เล็กน้อยอีกด้วยครับ
ถัดมาเป็นเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยและ Touch ID ที่ทำออกมาได้ดีเอามากๆ ความถูกต้องและแม่นยำนั้นสามารถทำให้คุณแทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังทำการปลดล๊อคตัวเครื่องอยู่ โดยถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถสู้กับ Face ID ได้แต่ทว่ามันก็มีความสะดวกสบายมากพอที่จะทำให้คุณรู้สึกดีเวลาปลดล๊อคตัวเครื่อง หนำซ้ำแล้วนั้น Touch ID ของ MacBook Air 2018 ยังให้ความรู้สึกดีกว่าการใช้งาน Touch ID บน Touch Bar ของ MacBook Pro อีกด้วยครับ
ยังไม่หมดแค่เพียงเท่านั้นนะครับด้วยชิปรักษาความปลอดภัยอย่าง Apple T2 นั้นจะยิ่งทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของผู้ไม่ประสงค์ดีทำได้ยากมากขึ้น นอกจากเจ้า T2 จะช่วยในส่วนของ Touch ID แล้วนั้นมันยังช่วยในเรื่องของการเข้ารหัสไฟล์ในแหล่งเก็บข้อมูลของคุณด้วยอีกต่างหากโดยที่การเข้ารหัสไฟล์บนแหล่งเก็บข้อมูลนั้นก็ไม่ไปแย่งทรัพยากรในส่วนของหน่วยประมวลผลของตัวเครื่องอีกด้วยเรียกได้ว่าตรงจุดนี้นนั้น Apple ทำออกมาได้ดีมากจริงๆ ครับ
หมายเหตุ – เจ้า T2 ยังช่วยในการปิดไมค์โครโฟนของตัวเครื่องขณะที่เครื่องล๊อคให้คุณด้วยเรียกได้ว่าสกัดสั้นได้ดีจริงๆ ครับ
หมายเหตุ 2 – ความสามารถของ T2 ยังเข้ามาช่วยในการประมวลผลในการเข้ารหัสไฟล์วีดีโอและการประมวลผลของเสียงได้อีกทำให้หน่วยประมวลผลไม่ต้องทำงานหนักมาก และที่จะลืมไปไม่ได้เลยนั้นเสียงที่ได้ออกมานั้นทำได้ดีมากๆ ซึ่งต้องขอบคุณ Apple ที่ให้ลำโพงคุณภาพดีติดมากับ MacBook Air 2018 ด้วยครับ
ตามมาติดๆ กับ TrackPad ที่ได้รับกสนอัพเกรดแบบยกเครื่องใหม่ซึ่งสิ่งแรกที่คุณจะเห็นได้เลยนั้นก็คือขนาดของตัว TrackPad นั้นใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ใหญ่มากจนเกินไปเรียกได้ว่าพอเหมาะกับการใช้งาน(ไม่ใหญ่เท่ารุ่น MacBook Pro) นอกไปจากนั้นแล้วมันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อย่าง “Force Touch” อีกด้วยต่างหากโดยเวลาที่คุณใช้นิ้วจิ้มลงไปบน TrackPad นั้นคุณจะได้รับแรงตอบกลับเบาๆ เสมือนกับว่าคุณกำลังคลิ๊กเมาส์แบบเชื่อมต่อภายนอกอยู่
สำหรับจุดสุดท้ายนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องขององค์ประกอบโดยรวมของตัวเครื่องที่มาในครั้งนี้นั้น Apple ยังคงความเป็น Apple ได้เช่นเดิมกับงานประกอบของตัวเครื่อง MacBook Air 2018 ที่ดูแล้วสวยงามมีความแข็งแรง แถมถึงแม้ว่าจะมีขนาดหน้าจอเท่ากับ MacBook Air รุ่นเก่าทว่าในส่วนของตัวเครื่องนั้นก็เล็กกว่าแบบที่วางเทียบกันจะเห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งจุดนี้คงต้องขอบคุณดีไซน์ใหม่ของตัวเครื่องที่มาพร้อมกับขอบจอแบบบางเอามากๆ(เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม) น้ำหนักของตัวเครื่องนั้นก็ลดลงพอสมควรทำให้การพกพาไปไหนมาไหนสะดวกสบายมากขึ้นครับ
เอาล่ะครับเราเข้ามาถึงจุดสุดท้ายของการรีวิวของทาง The Verge ในครั้งนี้แล้วกับเรื่องของสเปคและประสิทธิภาพในการทำงานซึ่งตัวเครื่องที่ทาง The Verge นำมารีวิวนั้นจะมีสเปคดังต่อไปนี้ครับ
- Display: 13.3-inch Retina Display, 2560 x 1600, 300 nits max brightness
- Security: Touch ID, T2 chip
- Processor: 8th Gen Intel Core dual-core i5 Y-Series, 1.6GHz
- Storage: 128GB เพิ่มความจุได้สูงสุดที่ 1.5TB
- RAM: 8GB เพิ่มได้สูงสุดถึง 16GB โดยเป็นหน่วยความจำแบบ LPDDR3
- Battery: 50.3Wh สามารถใช้งาน web browsing ได้ต่อเนื่องยาวนาน 12 ชั่วโมง
- Ports: 2 Thunderbolt 3 USB-C, headphone jack
- Dimensions: 0.61 x 11.97 x 8.36 inches
- Weight: 2.75 pounds หรือ 1.25 kg
สำหรับสิ่งหนึ่งที่จะต้องสนใจเป็นพิเศษเลยนั้นก็คือหน่วยประมวลผลของตัวเครื่องนั้นเป็น Core i5 ที่อยู่ในซีรีส์ Y ครับ นั่นหมายความว่าประสิทธิภาพในการประมวลผลของมันนั้นคงไม่สามารถเทียบเท่ากับ Core i5 ในซีรีส์ที่สูงกว่าได้ ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะซื้อเครื่องเพื่อใช้สำหรับการประมวลผลหนักอย่างเช่นกันรัน macro ใน excel หลายๆ macro แล้วนั้น MacBook Pro 2018 ขนาดจอ 13 นิ้วดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอย่างมาก แต่ถ้าคุณคิดจะนำมาใช้เพื่อการเข้าเว็บ, พิมพ์เอกสารทั่วไปและการทำงานอื่นๆ ที่ไม่ต้องใช้พลังในการประมวลผลมากนัก MacBook Air 2018 ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่งครับ
ในส่วนของหน่วยความจำที่เครื่องรุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับหน่วยความจำขนาด 8 GB นั้นถือว่ารองรับการใช้งานได้เป็นอย่างดีครับ แต่ส่วนที่ต้องคำนึงถึงมากหน่อยก็คือแหล่งเก็บข้อมูลที่ให้มาเพียง 128 GB เท่านั้นซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นแบบ SSD แต่ว่าหากพิจารณาสื่อต่างๆ ในปัจจุบันนั้นดูเหมือนว่าขนาดความจุของแหล่งเก็บข้อมูลที่ 128 GB นั้นจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานเท่าไรแล้วครับ เป็นไปได้แล้วคุณควรจะเลือกเพิ่มขนาดแหล่งเก็บข้อมูลให้มีอย่างน้อยก็ 256 GB ขึ้นไปทว่านั่นก็จะทำให้งบประมาณของคุณบานปลายครับ
ท้ายที่สุดแล้วครับกับเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ทาง Apple โฆษณาเอาไว้ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 12 ชั่วโมงในการเข้าชมเว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ ซึ่งจากการใช้งานจริงของทาง The Verge นั้นพบว่าในการเข้าใช้งานทั่วไปไม่ว่าจะเป็นดู YouTube, ตอบเมล ฯลฯ ตัวเครื่อง MacBook Air 2018 นั้นจะสามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องที่ราวๆ 7 ชั่วโมงกว่าๆ โดยเวลาในการใช้งานนั้นจะขึ้นอยู่กับความสว่างของหน้าจอที่คุณปรับใช้ด้วยครับ
โดยรวมแล้วนั้น MacBook Air 2018 สามารถที่จะเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการใช้งานที่เข้าถึงทุกคนได้ครับ ด้วยตัวเครื่องที่เล็กและเบารวมทั้งอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เรียกได้ว่าสามารถใช้งาน 1 วันได้สบายๆ นั้นก็เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับราคา ทว่าหากคุณต้องการเครื่องที่มีพลังในการประมวลผลที่แรงกว่าเพื่อให้เข้ากับงานชั้นสูงกว่าอย่างเช่นคุณตัดต่อวีดีโอหรือภาพเป็นอาชีพแล้วล่ะก็การเพิ่มงบอีก 5,000 บาทเพื่อที่จะหันไปซื้อ MacBook Pro รุ่นขนาดจอ 13 นิ้วดูจะเป็นตัวเลื่อกที่ดีกว่าครับ
ที่มา : theverge