ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนั้นกราฟิกการ์ดที่มาพร้อมกับชิปกราฟิก GeForce RTX 2080 Ti จะสามารถที่ทำการเล่นเกมที่ความละเอียดได้ที่ระดับ 4K@120 FPS ได้แบบสบายๆ ทว่านั่นก็อาจจะยังไม่มากพอสำหรับนักเล่นเกมระดับเทพที่ต้องการการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K ครับ
ทว่าความฝันของนักเล่นเกมระดับเทพที่ต้องการเล่นเกมที่ระดับ 8K นั้น GeForce RTX 2080 Ti ยังคงไม่สามารถที่จะตอบสนองได้ดีมากเท่าไรนัก แต่ถ้าคุณมีงบประมาณมากพอล่ะก็การเลือกซื้อ GeForce RTX 2080 Ti และการเชื่อมต่อผ่าน NVLink นั้นจะช่วยให้คุณสามารถที่จะเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K@60 FPS ได้แบบสบายๆ ครับ
ก่อนอื่นคงต้องบอกเอาไว้ก่อนนะครับว่าการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K@60 FPS นั้นคุณจำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมต่อมอนิเตอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 4K@120 FPS จำนวน 2 ตัวด้วย(เนื่องจากว่าในปัจจุบันนั้นมอนิเตอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 8K โดยเฉพาะนั้นยังคงไม่มีการวางจำหน่าย) แน่นอนครับว่านั่นหมายความว่านอกจากจะต้องซื้อกราฟิกการ์ด GeForce RTX 2080 Ti จำนวน 2 ตัวแล้วคุณยังต้องซื้อมอนิเตอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 4K อีก 1 ตัวทำให้งบประมาณที่คุณจะใช้นั้นก็ต้องสูงมากขึ้นไปอีก แต่ถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหาของคุณแล้วนั้นเรื่องดังกล่าวนี้ก็คือว่าสบายๆ ครับ
ความละเอียดระดับ 8K นั้นจะมีเนื้อที่ในการแสดงผลมากกว่าความละเอียดระดับ 4K ถึง 1 เท่าตัวครับ ดังนั้นแล้วรายละเอียดในการแสดงผลต่างๆ นั้นบอกได้เลยครับว่ามันจะมากมายและละเอียดสุดๆ อย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน โดนหากเทียบกับความละเอียดอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นก็จะมีดังต่อไปนี้ครับ
- 480p – 720×480 – 345,600 pixels
- 720p – 1280×720 – 921,600 pixels
- 1080p – 1920×1080 – 2,073,600 pixels
- 1440p – 2560×1440 – 3,686,400 pixels
- 4K – 3840×2160 – 8,294,400 pixels
- 8K – 7680×4320 – 33,177,600 pixels
อย่างไรก็ตามแต่ครับ จริงๆ แล้วทาง TweakTown เองนั้นก็ได้บอกเอาไว้ว่าการที่จะรันเกมที่ความละเอียดระดับ 8K นั้น GeForce RTX 2080 ที่เชื่อมต่อกันแบบ NVLink นั้นก็สามารถที่จะทำได้เช่นเดียวกัน ทว่าในการทดสอบจริงนั้นพบว่ายังคงไม่สามารถที่จะรันเกมได้ราบลื่นทเมื่อเซ็ทแอฟเฟคของเกมไปเป็นแบบ Ultra แต่กับ GeForce RTX 2080 Ti นั้นแตกต่างออกไปเพราะสามารถที่จะเซ็ทแอฟเฟคของเกมที่ Ultra บนความละเอียดระดับ 8K ได้แบบสบายๆ สิ่งหนึ่งที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือการเชื่อมต่อแบบ NVLink หรือ SLI รุ่นใหม่นั้นถือได้ว่าเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ทำให้การเล่นเกมที่ความละเอียด 8K@60 FPS เป็นจริงขึ้นมาได้ครับ
สำหรับ NVLink นั้นทาง NVIDIA ได้เปลี่ยนมาใช่รูปแบบการเขื่อมต่อแบบเดียวกับที่ถูกใช้บนกราฟิกการ์ดสำหรับการทำงานในระดับมืออาชีพอย่าง Quadro RTX series รวมไปถึง Volta GV100 GPU ครับ ซึ่งนั่นเลยทำให้แบนด์วิดธ์ในการทำงานร่วมกันของ 2 กราฟิกการ์ดนั้นเพิ่มมาอยู่ที่ 25 GB/s หรือถ้าใช้กราฟิกการ์ดมากถึง 4 ตัวก็จะมีแบนด์วิดธ์สูงมากขึ้นเป็น 100 GB/s เลยทีเดียวครับ
อย่างไรก็ตามแต่ด้วยการที่ในกราฟิกการ์ดซีรีส์ RTX 2000 นั้นทาง NVIDIA ได้มีการแยกชิปกราฟิกอย่างชัดเจนเลยทำให้การใช้งานกราฟิกการ์ดอย่าง RTX 2080 Ti ที่มาพร้อมกับชิป TU102 นั้นจะมาพร้อมกับ two NVLink x8 ซึ่งทำให้ในแต่ละการเชื่อมต่อ NVLink นั้นจะมาพร้อมกับแบนด์วิดธ์สูงสุดที่ 100 GB/s (50 GB/s ต่อหนึ่งช่องทางการเชื่อมต่อ) ส่วนชิป TU104 ที่อยู่บน RTX 2080 นั้นจะมาพร้อมกับ single NVLink x8 ทำให้แบนด์วิดธ์สูงสุดจะอยู่ที่ 50 GB/s (25 GB/s ต่อหนึ่งช่องทางการเชื่อมต่อ) ครับ
หมายเหตุ – อย่างไรก็ตามแต่แล้วชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Turing นั้นจะรองรับการเชื่อมต่อ SLI ผ่าน NVLink สูงสุดที่ 2 ช่องทางการเชื่อมต่อเท่านั้นครับ
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นทาง NVIDIA ได้มีการวางจำหน่าย NVLink bridge เพียงแค่ 2 ขนาดเท่านั้นในปัจจุบันคือ 3-slot และ 4-slot โดยในการทดสอบของทาง TweakTown นั้นได้เลือกใช้ NVLink bridge แบบ 3-slot เท่านั้น โดยราคาในการวางจำหน่ายนั้น NVLink bridge แบบ 3-slot จะมีราคาอยู่ที่ $79 หรือประมาณ 2,580 บาทครับ
สำหรับในการทดสอบในครั้งนี้นั้นทาง TweakTown ได้ใช้สเปคดังต่อไปนี้ในการทดสอบครับ
- CPU: Intel Core i7-8700K @ 5GHz
- Cooler: Corsair Hydro Series H115i PRO
- MB: Z370 AORUS Gaming 7
- GPU: เป็นรุ่น Founders Edition ทั้ง RTX 2080 และ RTX 2080 Ti
- RAM: 16GB (2x8GB) HyperX Predator DDR4-2933
- SSD: 1TB OCZ RD400 NVMe M.2
- SSD: 512GB OCZ RD400 NVMe M.2
- PSU: InWin 1065W PSU
- Chassis: In Win X-Frame
- OS: Windows 10 Pro x64
ผลการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K มีดังต่อไปนี้
เริ่มต้นด้วยเกมที่มีการวางจำหน่ายออกมาแล้วในช่วงปี 2016 แต่ยังคงได้รับความนิยมอยู่กับ Rise of the Tomb Raider โดยใช้ DirectX 12 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ
ต่อด้วยเกม Middle-earth™: Shadow of War™ ที่วางจำหน่ายในปี 2017 และยังคงได้รับความนิยมอยู่อีกเช่นเดียวกันโดยใช้ DirectX 11 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ
ตามติดด้วยเกม Tom Clancy’s Rainbow Six® Siege ที่วางจำหน่ายในปี 2015 และยังคงได้รับความนิยมอยู่อีกเช่นเดียวกันโดยใช้ DirectX 11 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ
มาดูกันต่อกับเกม Far Cry 5 ที่ใช้เอนจิ้น Dunia สุดยอดเอนจิ้นที่ถูกพัฒนามาโดยตลอดโดยใน Fry Cry 5 นั้นเอนจิ้น Dunia เป็นเวอร์ชันพัฒนาต่อของ CRYENGINE วางจำหน่ายในปี 2018 และยังคงได้รับความนิยมอยู่อีกเช่นเดียวกันโดยใช้ DirectX 11 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ
ต่อกับเกบแข่งรถสุดมันอย่าง F1 2018 ที่มีเสียงตอบรับที่ดีมาอย่างยาวนาน(แต่ในเมืองไทยเรานั้นอาจจะมีผู้้ล่นที่ไม่ใช่กลุ่มใหญ่มากเท่าไรนัก) ตัวเกมใช้เอนจิ้น EGO game ซึ่งพัฒนามาจาก Neon game ที่ทาง Codemasters ร่วมพัฒนากับ Sony Computer Entertainment โดยตัวเกมนั้นได้เน้นในเรื่องของความสมจริงทางด้านฟิสิกส์มากขึ้นกว่าเดิม(เช่นการแสดงผลในเรื่องของการพังของตัวรถเป็นต้น) โดยผลการทดสอบนั้นจะมีดังต่อไปนี้ครับ
มาถึงเกมภาคต่อสุดมันอย่าง Shadow of the Tomb Raider ที่รองรับเทคโนโลยี RayTracking บนกราฟิกชิป RTX 2000 ซีรีส์ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการทดสอบนั้นจะมีผลดังต่อไปนี้ครับ
จากการทดสอบที่ความละเอียดระดับ 4K นั้นจะเห็นได้ครับว่าถึงแม้กราฟิกการ์ดในซีรีส์ RTX 2000 ที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันนั้นสามารถรองรับได้เป็นอย่างดี ทว่ากราฟิกการ์ดจาด Gen ก่อนหน้านี้อย่าง GTX 1080 Ti ก็ยังคงเล่นเกมต่างๆ ที่ความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย(รวมไปถึง Radeon RX Vega 64 Air จากทาง AMD ก็สามารถที่จะยังใช้งานได้อย่างดีเช่นกัน) คราวนี้มาดูในส่วนของการทดสอบกันรันเกมที่ความละเอียดระดับ 8K กันบ้างครับว่าจะเป็นอย่างไร
จะเห็นได้อย่างชัดเจนครับว่าในหลายๆ เกมนั้นเมื่อใช้ RTX 2080 Ti เชื่อมต่อผ่าน NVLink นั้นจะช่วยให้การรันเกมที่ความละเอียดระดับ 8K มีความราบรื่นมากขึ้นซึ่งจากการทดสอบด้วยเกมทั้งหมดนั้นสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ครับ
- Rise of the Tomb Raider – เร็วขึ้น 43% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI
- Shadow of War – เร็วขึ้น 45% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI
- Rainbow Six Siege – เร็วขึ้น 212% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI และเร็วขึ้น 85% เมื่อเทียบกับ RTX 2080 Ti ตัวเดียว
- Far Cry 5 – เร็วขึ้น 23% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI
- F1 2018 – เร็วขึ้น 45% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI และเร็วขึ้น 62% เมื่อเทียบกับ RTX 2080 Ti ตัวเดียว
- Shadow of the Tomb Raider – เร็วขึ้น 48% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI และเร็วขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับ RTX 2080 Ti ตัวเดียว
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะให้ความสำคัญก็คืออัตราการใช้พลังงานซึ่งเป็นที่รู้กันดีครับว่าการนำกราฟิกการ์ดมาเชื่อมต่อกันแบบคู่แล้วใช้ในการเล่นเกมเราจะพบได้ว่าอัตราการใช้พลังงานสูงขึ้นมากแต่ทว่าสำหรับ RTX 2080 และ RTX 2080 Ti นั้นกลับกลายเป็นว่าอัตราการใช้พลังงานนั้นไม่ได้สูงมากจนเกิดไปนักดังจะเห็นได้จากกราฟดังต่อไปนี้ครับ
อัตราการใช้พลังงานดังกราฟด้านบนนี้นั้นไม่ใช่อัตราการใช้พลังงานเฉพาะของตัวกราฟิกการ์ดนะครับ ทว่ามันเป็นอัตราการใช้พลังงานที่ทาง TweakTown วัดออกมาจากตัวระบบทั้งหมดดังนั้นหากจะว่าไปแล้วอัตราการใช้พลังงานโดยรวมโดยเฉพาะเมื่อใช้กราฟิกการ์ด RTX 2080 เชื่อมต่อผ่าน NVLink พอๆ กันกับ GTX 1080 Ti SLI และ Titan Xp SLi เป็นอย่างมาก ส่วน RTX 2080 Ti นั้นก็จะมีอัตราการใช้พลังงานอยู่ในช่วง 700 – 770 W ครับ
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของอุณหภูมิและเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นนั้นพบว่า RTX 2080 และ RTX 2080 Ti ที่เชื่อมต่อแบบ NVLink จะมีอุณหภูมิที่เกิดขึ้นรวมไปถึงเสียงรบกวนของพัดลมในการใช้งานน้อยกว่า Radeon RX Vega 56 และ 64 ที่เชื่อมต่อกันผ่าน CrossFire เป็นอย่างมากครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วคุณจะเห็นได้ครับว่าในการทดสอบที่ความละเอียดระดับ 8K นั้นทาง TweakTown ไม่ได้นำเอากราฟิกการ์ดจากทาง AMD มาเปรียบเทียบด้วย เหตุผลนั้นก็คือเมื่อเชื่อมต่อกราฟิกการ์ดของ AMD แบบ CF แล้วนั้น ตัวกราฟิกการ์ดจะไม่สามารถค้นพบหน้าจอ Dell UP3218K ตัวที่ 2 ได้เลยไม่ว่าทาง TweakTown จะเปลี่ยนไปใช้กราฟฟิกการ์ดของทาง AMD ในรุ่นใดก็ตาม โดยปัญหาดังกล่าวนี้นั้นทาง TweakTown ได้ติดต่อสอบถามไปยัง AMD แล้วทว่ายังคงไม่มีการตอบรับออกมาแต่อย่างใดครับ
โดยรวมแล้วนั้นเรียกได้ว่าการใช้งานกราฟิกการ์ด RTX 2080 Ti เชื่อมต่อแบบ NVLink นั้นสามารถที่จะเล่นเกมที่ความละเอียดในระดับ 8 K ได้จริงๆ ครับ ทว่าอย่างที่บอกไว้ในตอนต้นครับว่านี่อาจจะยังไม่ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่าไรนักในการเล่นเกมที่ความละเอียดที่ระดับ 8K เพราะงบประมาณที่ต้องใช้นั้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทั้งจากการซื่อกราฟิกการ์ด RTX 2080 Ti เพิ่มรวมไปถึงการซื้อมอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 4K เพิ่มอีก 1 ตัวเพราะในปัจจุบันนั้นยังคงไม่มีมอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 8K ออกมาอย่างเป็นทางการครับ
หมายเหตุ – แต่ถ้าเป็นการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K เองแล้วนั้น RTX 2080 Ti ตัวเดียวก็ถือว่าเอาอยู่แบบชิวๆ อย่างสบายๆ แล้วครับ
ที่มา : tweaktown