สำหรับเกมเมอร์แล้ว คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่า การมีเวลานั่งเล่นเกมสนุกๆ ในวันสบายๆ พร้อมกับเกมมิ่งเกียร์และคอมเครื่องโปรด เมาส์ คีย์บอร์ด หูฟังดีๆ สักชุด ยิ่งหากได้มีโอกาสออกไปช้อปเกมมิ่งเกียร์ใหม่ๆ ด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งฟินเข้าไปใหญ่ เช่นเดียวกับเกมมิ่งเมาส์รุ่นใหม่ Hyperx Pulsefire Surge ที่นำมาให้ชมในวันนี้ นอกจากตอบสนองไว ทนทาน ก็ยังมาพร้อมไฟ RGB อีกด้วย
HyperX Pulsefire Surge เป็นเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทาง HyperX เอามาวาดลวดลายในตลาดเกมเมอร์บ้านเรา หลังจากก่อนหน้านี้ได้ปล่อย Pulsefire FPS และรุ่น Pro ให้ได้ลองใช้กัน ซึ่งก็ดูจะได้การตอบรับที่ดีไม่น้อย ในแง่ของลูกเล่นและฟังก์ชั่น กับราคาค่าตัวที่ไม่สูงนัก เรียกว่าเบียดบี้กับคู่แข่งระดับเดียวกันในท้องตลาดได้ดี ซึ่งการมาของ Pulsefire Surge นี้ ไม่ใช่แค่เซ็นเซอร์ความละเอียดสูง รูปทรงที่ดุดัน รวมถึงแสงไฟ RGB แบบเดิมๆ ที่เห็นกันใน Pulsefire FPS
แต่ทาง HyperX ออกแบบให้ดูทันสมัย เซ็นเซอร์ใหม่ Pixart 3389 ที่ให้ความละเอียดสูงถึง 16,000DPI และปุ่มคลิกที่มีความทนทานถึง 50 ล้านครั้ง โดยมีซอฟต์แวร์ HyperX NGenuity สำหรับปรับแต่งไฟ ความละเอียด พร้อมการตั้งโพรไฟล์ในการเล่นแต่ละเกมได้ในตัวอีกด้วย ซึ่งการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามานี้ แต่ขยับราคากลับสูงกว่า Pulsefire FPS เพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น หากมองกันตามความคุ้มค่าแล้ว Pulsefire Surge น่าจะตอบโจทย์เกมเมอร์ได้ดีทีเดียวในราคาประมาณสองพันกว่าบาทเท่านั้น
Specification
- Lighting: 360 RGB Light Ring
- Buttons: 6
- Switch: Omron (50M)
- Sensor Type: Optical – Pixart 3389
- Max Resolution: 16000 DPI
- Max Speed: 450 IPS
- Max Acceleration: 50G
- Polling Rate: 1000 Hz (1 ms)
- Cable Type: Braided
- Weight (without cable): 100g
- Product Dimensions (WxLxH): 63 x 120 x 41mm
- Software Enabled: Yes (NGenuity)
รูปลักษณ์และการออกแบบ
หน้ากล่องของ HyperX Pulsefire Surge แม้จะมาในสไตล์ที่ดูแตกต่างไปบ้าง จากในรุ่นที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์เกมมิ่งเกียร์ของตนไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการใช้โทนสีแดงดำมาเป็นตัวหลัก แล้วเพิ่มสีสัน RGB เข้าไป
ด้านหลังกล่อง Hyperx pulsefire ก็คงรูปแบบเดิมเอาไว้ โดยมีรายละเอียดให้ดูเล็กน้อย ส่วนด้านในกล่อง นอกจากตัวเมาส์แล้ว ก็ยังมาพร้อมคู่มือ และ Quick start สำหรับการใช้งาน
ตัวเมาส์ค่อนข้างจะต่างจาก Pulsefire ที่เป็นอีกซีรีส์หนึ่งพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องขนาดที่ดูกระชับมากขึ้น และเน้นไปที่ความโค้งมนตามสรีระ ในขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก
บอดี้นั้นทาง HyperX เลือกให้เป็นวัสดุผิวเรียบ เป็นชิ้นเดียวตั้งแต่ ปุ่มคลิกซ้าย-ขวา ไปจนถึงที่วางมือด้านหลัง โดยมีแถบสีขาว ที่เป็นจุดแสดงไฟ RGB คาดตลอดทั้งตัว ส่วนปุ่มด้านบนใช้สำหรับปรับค่า DPI ซึ่งตั้งได้ตลอดแม้ช่วงอยู่ในเกมก็ตาม
ด้านข้างเป็นปุ่มสำหรับโปรแกรม 2 จุดตามมาตรฐาน เป็นปุ่มขนาดเล็กแบบลื่นๆ ที่มีจุดวางอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมกับนิ้ว
ด้านหลังมีเส้นไฟ RGB คาดตามมาด้วย ซึ่งทาง HyperX ให้คอนเซปต์ว่า Dynamic 360° RGB คือแสดงผลไฟ RGB ตลอดทั้งตัวนั่นเอง
มุมด้านข้างจะเห็นได้ชัดว่า ไม่มีส่วนที่เป็นกริ้ป เพื่อให้นิ้วยึดเกาะได้ดียิ่งขึ้น แต่ทาง HyperX ทำมาแบบเรียบลื่น ตรงจุดนี้อาจเป็นเพราะ Pulsefire RGB ทำมาในขนาดกระทัดรัด จึงเข้ากับรูปมือขนาดย่อมๆ ได้ดีกว่า
รูปเมาส์แบบเดิมๆ ยังไม่มีไฟ RGB ดูเรียบง่าย เรียกว่าธรรมดาไปด้วยซ้ำ แต่พอไฟ RGB ทำงานแล้ว แตกต่างไปคนละเรื่องกันเลย
หน้าตาเดิมๆ ของ HyperX Pulsefire RGB (รูปบน) มีความโดดเด่นขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อเปิดใช้งานไฟ RGB (รูปล่าง) ให้สีสันสดใส เมื่ออยู่ในพื้นที่มืด
ด้านใต้ของ HyperX Pulsefire RGB รุ่นนี้ มาพร้อมเซ็นเซอร์ Pixart 3389 ที่สามารถเพิ่มความละเอียดได้ถึง 16,000 DPI เลยทีเดียว โดยมีพื้นที่เป็นตัวรองหน้าสัมผัสขนาดใหญ่ทั้งด้านบนและล่าง เพื่อให้เคลื่อนไหวได้ลื่นขึ้น
โดยในครั้งนี้เราได้ลองกับแผ่นรองเมาส์ไซส์ยักษ์ Fury S ที่มาพร้อมหน้าสัมผัสแบบ Speed เพื่อใช้ลุยกับเกมต่างๆ โดยเฉพาะ
มาดูไฟ RGB ที่ด้านข้างเมาส์กันแบบชัดๆ อีกด้านหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าคุณปรับลูกเล่นไฟแบบใด ก็จะสามารถเห็นแสงสีได้ชัดรอบตัวเช่นกัน
แม้กระทั่งด้านหน้าของตัวเมาส์ ก็ยังมีแสงไฟ RGB อยู่ให้เห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน ดูเหมือนว่า HyperX จงใจใส่ลูกเล่นสีสันให้กับ Pulsefire RGB ให้ได้มากที่สุดเอาใจคนที่ชอบแสงสีเช่นนี้
ในส่วนของสีสัน RGB บน Hyperx pulsefire นี้ ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ถึง 5 รูปแบบด้วยกันคือ Solid, Breathing, Wave, Color Cycle และ Trigger
สีสันของเมาส์ดูจะเข้าคู่กับคีย์บอร์ด Alloy RGB ได้ลงตัวดีทีเดียว เล่นในไฟห้องสลัวๆ สุดจะฟิน
เปรียบเทียบกันระหว่างรุ่นพี่ที่ออกมาอย่าง HyperX Pulsefire FPS รุ่นก่อนหน้านี้ ด้านในและ Pulsefire RGB รุ่นใหม่ด้านหน้า
แน่นอนว่าถ้าเป็นไฟ RGB ก็ควรจะต้องปรับแต่งควบคุมได้ ไม่อย่างนั้นคงจะดูแปลก โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดโปรแกรม HyperX NGenuity จากเว็บไซต์มาใช้งานได้โดยตรง ซึ่งลูกเล่นปรับใช้มากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น
- Lighting: ปรับแสงสี ทั้งเรื่องของแสงสี และรูปแบบของไฟ ให้สอดคล้องกัน
- Performance: ตั้งค่า DPI สำหรับการเล่นเกม เลือกได้ถึง 16,000 DPI
- Macro: ตั้งค่าปุ่ม เพื่อใช้เป็นมาโครหรือคีย์ลัด ได้ถึง 6 ปุ่มด้วยกัน
- Profile: เก็บเป็นโพรไฟล์ เพื่อแยกการเล่นแต่ละเกมให้ต่างกันออกไป
Conclusion
ก่อนที่จะไปพูดันเรื่องแสงสี ก็น่าจะคุยกันถึงความสามารถที่มีและลูกเล่นที่มีอยู่ใน Pulsefire Surge RGB กันก่อน สิ่งที่เป็นหัวใจหลักของเมาส์รุ่นนี้ ที่สร้างความแตกต่างจากรุ่นพี่อย่าง Pulsefire FPS ซึ่งออกมาก่อนหน้านี้ อย่างแรกที่สัมผัสได้คือ ขนาดที่กระทัดรัด กระชับมือมากกว่า ด้วยมิติที่สั้นลง และออกแบบให้โค้งมนเข้ากับรูปมือของผู้ใช้ในบ้านเราได้ดี ต่างจากมิติที่ค่อนข้างใหญ่ของรุ่นที่แล้ว กับปลายนิ้วที่ให้วางได้พอดี
เรียกว่าอยู่ในระยะที่ตอบสนองกับนิ้วได้ไว ในกรณีที่เล่นเกมแนวแอ็คชั่น การปรับค่า DPI ทำได้ไว เพราะปุ่มอยู่ในระยะที่สามารถเปลี่ยนได้ทันที ส่วนการตั้งค่ามาโครต่างๆ ให้โปรแกรมเป็นตัวกลางในการจัดการ ทั้งในแง่ของความละเอียด ตั้งโพรไฟล์และการกำหนดใช้ฟีเจอร์ในแต่ละเกม ที่ดูเหมือนว่าเป็นอะไรที่เรียบง่าย ไม่ได้ดูยุ่งยาก เพราะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการทำความเข้าใจ เช่นเดียวกับในเรื่องแสงสีไฟ RGB ที่ปรับได้บน HyperX NGenuity เช่นเดียวกัน
ในภาพรวมของเกม อัตราตอบสนองนั้นทำได้ไวมากทีเดียว โดยเฉพาะการเคลื่อนไหว ที่ผู้เล่นมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ยิ่งหากได้เข้าคู่กับแผ่นรองเมาส์ดีๆ ไซส์ใหญ่หน่อย ยิ่งทำให้การเล่นเป็นไปอย่างอิสระมากกว่า ความแม่นยำ แม้จะบอกว่าปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับผู้เล่น แต่ด้วยเซ็นเซอร์คุณภาพนี้ ก็ทำให้การทำเฮดช็อตได้ไม่ยากนัก สำหรับมือใหม่
แต่อาจจะต้องปรับตัวกับน้ำหนักของเมาส์ที่เบาไปบ้าง ซึ่งทำให้การเล่นในจังหวะกระชั้นชิดติดขัดอยู่บ้างในช่วงต้น แต่สุดท้ายก็น่าจะลงตัวได้ในไม่ช้า ในภาพรวมถือว่า Pulsefire Surge RGB เป็นเมาส์อีกรุ่นหนึ่งที่น่าจะเข้ามาสร้างสีสันให้กับเกมเมอร์ในท้องตลาดได้ไม่น้อย กับสนนราคาประมาณ 2 พันกว่าบาท ที่คุณจะได้ทั้งเกมมิ่งเมาส์ ซอฟต์แวร์ปรับแต่งได้ และสีสันจาก RGB
จุดเด่น
- มาพร้อมไฟ RGB แบบรอบตัว
- มีซอฟต์แวร์ NGenuity สำหรับปรับแต่ง
- เคลื่อนไหวง่าย น้ำหนักตัวพอเหมาะ
ข้อสังเกต
- กริ๊ปข้างไม่มี Texture ในการยึดเกาะ
ราคา: ประมาณ 2,390 บาท
ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX Pulsefire Surge RGB