เปิดตัวในไทยไปแล้วสำหรับ ASUS ROG Strix รุ่นใหม่ล่าสุดปี 2018 โดยบทความนี้จะพาเพื่อนๆ ไปรีวิวจัดเต็ม Gaming Notebook ที่เพื่อนๆ และเหล่าแฟนๆ ROG ให้ความสนใจพร้อมจับตามอง รวมถึงรอคอยกันอย่างล้นหลามอย่าง ASUS ROG Strix Hero Edition ที่เป็นการต่อยอดจากรุ่น GL503 ปกติ ทั้งดีไซน์ที่สวยงามและความคุ้มค่าต่อประสิทธิภาพ ศักยภาพเทียบเท่า Gaming Desktop แต่พกพาสะดวกสบายกว่าเยอะ สนนราคาอยู่ที่ 38,990 บาทเท่านั้น
ด้านสเปก ASUS ROG Strix Hero Edition เป็น Gaming Notebook ที่โดดเด่นด้วยหน้าจอขนาด 15.6″ ความละเอียด Full HD พาเนล VA ที่รองรับการแสดงผลที่ 120Hz ส่วนสเปกอื่นๆ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กันด้วยชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด และการ์ดจอ GTX 1050Ti 4GB นอกจากนี้ยังได้ SSD มาเป็นมาตรฐานพร้อมฮาร์ดดิสก์ปกติและ Windows 10 แท้ ใช้งานได้ทันที
Specification
สเปกเต็มๆ ของ ASUS ROG Strix Hero Edition ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-8750H (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด และประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti 4GB พร้อมฮาร์ดดิสก์ความจุ 1TB ที่ 7200 RPM และได้ติดตั้ง SSD NVME แบบ M.2 SATA 3 ความจุ 128GB ไว้ด้วย พร้อมฮาร์ดดิสก์ 1TB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB แบบ DDR4 หนึ่งแถว (อัพได้สูงสุด 32GB) ระบบปฎิบัติการเป็น Windows 10 แท้ พร้อมใช้งานตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก
ส่วนรุ่นเริ่มต้นจะต่างตรงที่ได้หน้าจอเป็น Full HD พาเนล VA ที่ 120Hz มุมมองการรับชมอาจจะเป็นรองพาเนล IPS แต่มีขอบเขตสี 99% sRGB ทีเดียว กราฟฟิการ์ดตัวยอดนิยอมอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050 Ti (4GB GDDR5) ที่ Overclock ไปแล้วจากทางโรงงาน แรงขึ้น 7% ที่นับว่าแรงใกล้เคียงกับ GTX 1060 ทำให้สามรถทำงานได้อย่างลื่นไหล รองรับเกมออนไลน์ได้เป็นอย่างดี
พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอลในตัว ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.1 Type-C , mini DisplayPort, HDMI, 3 x USB 3.0, Kensington lock slot , SD Card Reader, RJ-45 , Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.1 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac
สนนราคา ASUS ROG Strix GL503 รุ่นเริ่มต้นจะอยู่ที่ 38,990 บาท ส่วนการรับประกันแน่นอนว่าเป็น เวลา 2 ปี จาก ASUS Thailand เช่นกัน
Hardware / Design
ASUS ROG Strix Hero Edition ใช้พื้นฐานเดียวกับ ASUS ROG Strix GL503 รุ่นปกติ แต่มาพร้อมการออกแบบเป็นพิเศษให้เกมเมอส์สามารถกุมความได้เปรียบในเกมแนว Multiplayer Online Battle Area (MOBA) เช่น League of Legends และ Dota 2 ด้วยลวดลายฝาหลังและด้านในของตัวเครื่อง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากอสูรกายที่เหี้ยมโหด มีลวดลายมายันสีเงินอันดุดันที่ครอบคลุมดวงตาและเขี้ยวเล็บของอสูรกายเอาไว้ ราวกับอสูรกายที่น่าเกรงขามที่ปรากฏขึ้นในความมืด
ซึ่งฝาหลังและด้านในตัวเครื่องจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนชัดเจนแบบตัดกันแนวทะแยง ที่มีความโดดเด่นมากๆ อีกทั้งจัดว่าบางสุดๆ สำหรับ Gaming Notebook ด้วยน้ำหนัก 2.5 กิโลกรัม โดยมีความบางตัวเครื่องเพียง 24 มิลลิเมตรเท่านั้นเอง (หนาและหนักกว่า GL503 เล็กน้อย) ที่สำคัญชุดระบายความร้อนยังเป็นพัดลมแบบคู่ ช่วยระบายความร้อนได้ดีเช่นเคย พร้อมฟินสีแดงที่ดูสวยงามและโดดเด่น
ฝาหลังเป็นพลาสติกเกรดดีที่มีการสกรีนลายคุณภาพสูง โดยมีโลโก้ ROG มีไฟสีแดงติดขึ้นเมื่อเปิดเครื่องใช้งาน ส่วนหน้าจอของ ASUS ROG Strix Hero Edition จะเป็นแบบบานพับเดียวดูแล้วแข็งทนทานกางหน้าจอได้ประมาณนึง พร้อมเว้นขอบเอาไว้โชว์ไฟแสดงไฟ LED การทำงานต่างๆ ด้านหลังด้วยช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่แบบคู่สองพัดลม ครีบฟินที่แดงเน้นเรียบๆ โดยสามารถทำหน้าที่ช่วยลดความอุณหภูมิจากชิปประมวลผลและกราฟิการ์ดได้อย่างน่าประทับใจ ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสม
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องมียางรองกันลื่น 4 มุม ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น พร้อมอากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นอีก 2 ช่องด้านล่างใต้เครื่อง อีกทั้งยังมีช่องด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องดูดลมอีกช่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก ส่วนถ้าจะอัพเกรดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ขันน็อตตัวเดียว (อัพแรมได้ 1 แถว, SSD M.2 และฮาร์ดดิสก์) รวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง ASUS นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ นอกจากที่อัพเกรดได้ไม่ยากแล้ว ยังทำความสะอาดได้สะดวกสบาย โดยมีระบบป้องกันฝุ่น Anti-Dust Cooling เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
Keyboard / Touchpad
การควบคุมคีย์บอร์ดในการกดปุ่มสัมผัสพื้นฐานของ ASUS ROG Strix Hero Edition คีย์บอร์ดเรืองแสงหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ภายในแบ่งเป็น 4 โซน ให้ความสะดวกด้วยคีย์เวิร์คหลักของ QWER ตามสไตล์เกม MOBA ระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.8 มล. แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มล. พร้อมด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ยี่สิบล้านครั้งเพื่อยืดอายุการใช้งาน รวมถึงสามารถมีฟังก์ชั่นเพิ่มลดเสียง เปิดไมค์ และ Gaming Center ซึ่งตัวปุ่มต่างๆ ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์
ทัชแพดเองขนาดใหญ่มีลวดลายเส้นหยัก แบบซ่อนรวมปุ่มไม่แยกชิ้น ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้ารองรับฟีเจอร์ Multi-touch หรือ Smart Gesture ที่สามารถใช้งานควบคู่กับ Windows 10 ได้เป็นอย่างดี
Screen / Speaker
ASUS ROG Strix Hero Edition มีหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) ตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ปี 2017 พาเนลเป็น VA คุณภาพดี พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปหรือการเล่นเกมก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอ 120Hz ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่แค่ 60Hz
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ROG Strix Hero Edition ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS ทางทีมงานเลยถือโอกาสทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์ที่เราได้คาลิเบรทเอาไว้ ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่น
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 99% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันแค่พอใช้เท่านั้น ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 320 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางจอทางซ้ายเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่ 320 cd/m2 แต่สำหรับช่องขอบมุมด้านกลางขวา มุมขวา และกลางล่าง เหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปถึงระดับ 13% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 3.5 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องข้างๆ ซ้ายขวา SIDE-FIRING SPEAKERS ใช้ซอฟต์แวร์ Sonic Studio คุณภาพสูง รวมไปถึงยังมีระบบ Smart Amp เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยความที่เป็น 2 ชาแนล นเรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว
ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีไวกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นให้เคียงกัน ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีเพียงพอแบบสบายๆ แล้ว ส่วนใครจะเอาไปต่อกับหูฟังหรือลำโพงเพิ่ม ก็สามารถทำได้หากว่าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ASUS ROG Strix Hero Edition นี้จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีพอร์ทมาให้ครบครับใช้ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น USB 2.0 จำนวน 1 พอร์ต USB 3.0 จำนวน 3 พอร์ต, และ USB 3.1 Type-C อีกจำนวน 1 พอร์ตมาให้ด้วย พร้อมช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตร 1 ช่อง, SD Card Reader ขนาดมาตรฐาน, พอร์ท LAN ตัวเต็ม และ HDMI, Mini DisplayPort ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 4.1 และ Wireless Dual Band แบบ 802.11b/g/n/ac รุ่นล่าสุด ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้มีความสเถียรมากยิ่งขึ้น และรองรับสัญญาณความที่ถี่ 5 Ghz ได้
ส่วนการพกพาเองก็ถือว่า ASUS ROG Strix Hero Edition มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาตรฐานที่ 2.5 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊ค 15.6 นิ้วตัวอื่นๆ สเปกใกล้เคียงกันก็ถือว่าไม่หนีจากกันมากมายอะไร อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ในการพกพาไปไหนมาไหน แม้ว่าถ้ารวมอแดปเตอร์แล้วจะมีน้ำหนักประมาณ 2.8 กิโลกรัม ก็พอที่จะใส่กระเป๋าและเอาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ไม่ยากเย็นอะไร
Performance / Software
ASUS ROG Strix Hero Edition มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750HQ (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2018) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 แบบ 1 แถว ที่สามารถอัพเกรดเพิ่มได้อีก 1 แถวทันที สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน (ปกติ ASUS Gaming Notebook จะปิดเอาไว้ ส่วนตัวนี้เปิดเอาไว้เฉย)
อีกทั้งยังมีกราฟิกการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti พร้อมการ Overclock โดยทาง ASUS เคลมว่าแรงขึ้นอีก 7% ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ และแรงกว่า GTX 970M และแรงกว่า GTX 1050/1050Ti รุ่นปกติแบบรู้สึกได้ เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 128GB แบบ M.2 NVMe ตัวกลางๆ โดยเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1225MB/s และเขียนที่ 404.7MB/s
ทดสอบการทำงานฮาร์ดดิสก์ความจุอยู่ที่ 1 TB แบบความเร็ว 5400 รอบที่ติดตั้งมาให้ ด้วยโปรแกรม HD Tune แล้วพบว่าอัตราการถ่ายโอนข้อมูลน้อยสุดที่ 38.5 MB/s และสูงสุดที่ 137.5 MB/s ทำให้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 105.3 MB/s ด้วยกัน มีอัตราการเข้าถึงข้อมูลที่ 6.70 ms ซึ่งนับได้ว่าผลทดสอบที่ได้ออกมาอยู่นเกณฑ์กลางๆ ครับ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4,435 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti พร้อม OC ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 8GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง FF XV / FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
เกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 / Overwatch / PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 90 ขึ้นไปตลอด แต่ในส่วนของเกม PUBG อาจจะมีเฟรมเรทตกไปต่ำกว่า 60 บ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเป็นเกมออนไลน์ที่กินทรัพยากรพอตัวเหมือนกัน ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ อยู่
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ 120Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 120Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล
ซึ่งเมื่อเทียบกับผลการทดสอบในส่วนของ Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ จะเห็นได้ชัดว่าตัวท็อปสามารถทำเฟรมเรทได้ดียิ่งกว่า ประมาณ 3 – 10 + เฟรมเรท ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่แล้วแต่เกม แน่นอนว่าจากที่ทาง ASUS ได้ทำการเพิ่มประสิทธิภาพ ASUS ROG Strix Hero Edition ด้วยการ Overclock กราฟิกการ์ดเพิ่ม และปิดกราฟิกการ์ดออนบอร์ดไปเลยนั่นเอง
นอกเหนือจากนี้ทาง ASUS ยังมีซอฟต์แวร์ Utility โดยเป็นลักษณะของแอพพลิเคชั่นต่างๆ มากมาย ที่ช่วยเอื้ออำนวยในการปรับแต่งเพื่อการเล่นหรือทำงานโดยเฉพาะ อาทิเช่น AURA, MacroKey, GameFirst และ Sonic Radar อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ Gaming Notebook / Gaming PC ระดับสูงของทาง ASUS ROG เท่านั้น ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้จริงและใช้งานได้ง่ายด้วย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ROG Strix Hero Edition เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 3 ชั่วโมงโดยประมาณ
ทำให้เรียกได้ว่าเป็นข้อสังเกตในส่วนของอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ว่าได้ เพราะมีความจุต่ำกว่าเครื่องรุ่นอื่นๆ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการปิดกราฟิกการ์ดออนบอร์ด ทำให้ต้องใช้กราฟิกการ์ดแยกอย่างเดียว
ส่วนเรื่องอุณหภูมิในการใช้งานนั้น ASUS ROG Strix Hero Edition เมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 30 – 40 องศาเซลเซียส ส่วนกราฟิกการ์ดจะอยู่ที่ 37 – 45 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 28 – 32 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องอยู่ที่ไม่เกิน 95 องศาเซลเซียส ส่วนกราฟิกการ์ดจะอยู่ที่ 65 – 73 องศาเซลเซียสโดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีมาก เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้กลับมา สำหรับเสียงรบกวนในเวลาทำงานนั้นถือว่าดังประมาณนึง จากการที่เราสามารถเพิ่มรอบสูงสุดได้ด้วยซอฟต์แวร์จากปกติที่จะเป็นแบบ Auto เท่านั้น
Conclusion / Award
จาการที่สัมผัสและใช้งานจริงๆ ของ ASUS ROG Strix Hero Edition ทั้งการเล่นเกมหลากหลายเกม รวมไปถึงทำงานและความบันเทิงดูหนังฟังเพลง บอกได้อย่างเต็มปากเลยว่า ASUS ทำออกมาได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า ทั้งในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือชั้น รวมไปถึงระบบระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น การอัพเกรดที่ง่ายมากๆ มีสเปคประสิทธิภาพสูง ที่สำคัญคือได้หน้าจอพาเนล VA 120Hz และมี Windows 10 มาให้พร้อมใช้งานด้วย
รุ่นที่เราได้รับมารีวิวจะเป็นสเปกเ Core i7-8750H พร้อมด้วยการ์ดจอ GeForce GTX 1050Ti ซึ่งได้รับการ Overclock เพิ่มความแรงมา 7% และแรม DDR4 ขนาด 8GB อีกทั้งยังมี SSD แบบ M.2 ความจุ 256GB และฮาร์ดดิสก์ 1TB 7200 RPM มาให้พร้อมใช้งาน ครบครันกับการใช้งาน สมกับเป็น Gaming Notebook มีความเป็น ROG ที่ไม่ใช่แค่สวยงามดุดัน แต่เน้นประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตามแม้ไม่มีชิป NVIDIA G-Sync คอยช่วยทำงาน แต่เราก็สามารถเปิด V-Sync แทนที่ได้ เพื่อทำงานร่วมกับจอ 120Hz
เรื่องของการออกแบบที่ ASUS ROG Strix Hero Edition ทำได้ดีมาก ฉีกรูปแบบเดิมๆ ออกไป ด้วยดีไซน์สไตล์ ROG ที่เป็น Gaming Notebook ที่ดูดุดันจริงจังเกินราคา บวกกับฟีเจอร์อย่างคีย์บอร์ดมีไฟแบบพิเศษ ด้วยปุ่ม QWER เป็นไฟขอบใสโดดเด่น ระบบเสียง Smart Amp คุณภาพดี รวมถึงมี USB 3.1 Type-C 3.1 ติดตั้งมา ซึ่งก็ได้ตัด DVD Drive ออกไปแล้ว ทำให้ตัวเครื่องมีความบางเบาลงด้วย (แต่ก็หนาหนักกว่ารุ่น GL503 ปกติ)
นอกเหนือจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง คีย์บอร์ดไฟ AuraRGB ตามสไตล์ของซีรีส์ ASUS ROG Strix รวมไปถึงยังมีระบบ Smart Amp เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ที่สำคัญเครื่องนี้มีระบบป้องกันฝุ่น Anti-Dust Cooling (ADC) เหมาะกับกับ Gamer สายพันธุ์ eSport ของแท้ เพื่อการใช้งานที่ยาวนานและต่อเนื่องระดับมืออาชีพ อย่างไรก็ตามใช่ว่า ASUS ROG Strix Hero Edition จะไม่มีข้อสังเกตเสียทีเดียว แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น (จากปกติสเปกใกล้เคียงกันจะใช้งานได้ประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง)
สรุปแล้ว ASUS ROG Strix Hero Editionถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงทั้งด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดที่ OC แรงกว่าปกติ พร้อมจอพาเนล VA 120Hz ที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเบาลง ไม่แค่นั้นเรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดี ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา 38,990 เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
จุดเด่น
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์พันธุ์ ROG งานประกอบแน่นวัสดุดี
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผล Core i7 และการ์ดจอ GTX 1050Ti พร้อม OC
- ประสิทธิภาพในการเล่นเกมดีกว่ารุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงหรือเหมือนกัน
- ปุ่ม QWER เป็นไฟขอบใสโดดเด่น ตามสไตล์ของ Hero Edition
- ได้หน้าจอพาเนล VA คุณภาพดี พร้อมรองรับ 120Hz
- การอัพเกรดทำได้ง่ายมากๆ ด้วยฝาใต้เครื่องมีน็อตตัวเดียว
- คีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วย ROG AURA RGB
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที
- มีพอร์ต USB 3.1 Type-C มาให้แล้ว
- ลำโพงคุณภาพเสียงดี น่าประทับใจ
- การระบายความร้อนดีขึ้นกว่ารุ่น GL503 ปกติ
- มีระบบป้องกันฝุ่น Anti-Dust Cooling
ข้อสังเกต
- พาเนลเป็น VA เรื่องของสีสันมุมมองเป็นรอง IPS อยู่เล็กน้อย
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานเพียง 3 ชั่วโมง
- ติดตั้ง SSD M.2 NVMe มีความเร็วสูงกว่า SATA 3 เท่าตัว
- ไม่มีชิป NVIDIA G-Sync คอยช่วยทำงาน
- หนาและหนักกว่ารุ่น GL503 ปกติเล็กน้อย
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG Strix Hero Edition ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ASUS ROG โน๊ตบุ๊คสายคุ้มค่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน ASUS ROG Strix Hero Edition ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม โดยยิ่งถ้าชอบเล่นเกมสาย MOBA นี่ก็เข้ารีตสุดๆ ไป ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Performance
ด้วยสเปกชิปประมวลผล Intel Core i7 ตัวล่าสุด ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 8GB แบบ DDR4 และกราฟิกการ์ดยอดนิยมอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti 4GB ที่ Overclock มาแล้ว รวมไปถึง SSD M.2 ความเร็วสูงก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Specification
สเปกเต็มๆ ของ ASUS ROG Strix Hero Edition ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-8750H (2.20 – 4.10 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด และประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti 4GB พร้อมฮาร์ดดิสก์ความจุ 1TB ที่ 7200 RPM และได้ติดตั้ง SSD NVME แบบ M.2 SATA 3 ความจุ 128GB ไว้ด้วย พร้อมฮาร์ดดิสก์ 1TB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB แบบ DDR4 หนึ่งแถว (อัพได้สูงสุด 32GB) ระบบปฎิบัติการเป็น Windows 10 แท้ พร้อมใช้งานตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก
ส่วนรุ่นเริ่มต้นจะต่างตรงที่ได้หน้าจอเป็น Full HD พาเนล VA ที่ 120Hz มุมมองการรับชมอาจจะเป็นรองพาเนล IPS แต่มีขอบเขตสี 99% sRGB ทีเดียว กราฟฟิการ์ดตัวยอดนิยอมอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050 Ti (4GB GDDR5) ที่ Overclock ไปแล้วจากทางโรงงาน แรงขึ้น 7% ที่นับว่าแรงใกล้เคียงกับ GTX 1060 ทำให้สามรถทำงานได้อย่างลื่นไหล รองรับเกมออนไลน์ได้เป็นอย่างดี
พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอลในตัว ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง USB 3.1 Type-C , mini DisplayPort, HDMI, 3 x USB 3.0, Kensington lock slot , SD Card Reader, RJ-45 , Headset พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 4.1 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac
สนนราคา ASUS ROG Strix GL503 รุ่นเริ่มต้นจะอยู่ที่ 38,990 บาท ส่วนการรับประกันแน่นอนว่าเป็น เวลา 2 ปี จาก ASUS Thailand เช่นกัน
Hardware / Design
ASUS ROG Strix Hero Edition ใช้พื้นฐานเดียวกับ ASUS ROG Strix GL503 รุ่นปกติ แต่มาพร้อมการออกแบบเป็นพิเศษให้เกมเมอส์สามารถกุมความได้เปรียบในเกมแนว Multiplayer Online Battle Area (MOBA) เช่น League of Legends และ Dota 2 ด้วยลวดลายฝาหลังและด้านในของตัวเครื่อง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากอสูรกายที่เหี้ยมโหด มีลวดลายมายันสีเงินอันดุดันที่ครอบคลุมดวงตาและเขี้ยวเล็บของอสูรกายเอาไว้ ราวกับอสูรกายที่น่าเกรงขามที่ปรากฏขึ้นในความมืด
ซึ่งฝาหลังและด้านในตัวเครื่องจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนชัดเจนแบบตัดกันแนวทะแยง ที่มีความโดดเด่นมากๆ อีกทั้งจัดว่าบางสุดๆ สำหรับ Gaming Notebook ด้วยน้ำหนัก 2.5 กิโลกรัม โดยมีความบางตัวเครื่องเพียง 24 มิลลิเมตรเท่านั้นเอง (หนาและหนักกว่า GL503 เล็กน้อย) ที่สำคัญชุดระบายความร้อนยังเป็นพัดลมแบบคู่ ช่วยระบายความร้อนได้ดีเช่นเคย พร้อมฟินสีแดงที่ดูสวยงามและโดดเด่น
ฝาหลังเป็นพลาสติกเกรดดีที่มีการสกรีนลายคุณภาพสูง โดยมีโลโก้ ROG มีไฟสีแดงติดขึ้นเมื่อเปิดเครื่องใช้งาน ส่วนหน้าจอของ ASUS ROG Strix Hero Edition จะเป็นแบบบานพับเดียวดูแล้วแข็งทนทานกางหน้าจอได้ประมาณนึง พร้อมเว้นขอบเอาไว้โชว์ไฟแสดงไฟ LED การทำงานต่างๆ ด้านหลังด้วยช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่แบบคู่สองพัดลม ครีบฟินที่แดงเน้นเรียบๆ โดยสามารถทำหน้าที่ช่วยลดความอุณหภูมิจากชิปประมวลผลและกราฟิการ์ดได้อย่างน่าประทับใจ ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสม
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องมียางรองกันลื่น 4 มุม ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น พร้อมอากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นอีก 2 ช่องด้านล่างใต้เครื่อง อีกทั้งยังมีช่องด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องดูดลมอีกช่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก ส่วนถ้าจะอัพเกรดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ขันน็อตตัวเดียว (อัพแรมได้ 1 แถว, SSD M.2 และฮาร์ดดิสก์) รวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง ASUS นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ นอกจากที่อัพเกรดได้ไม่ยากแล้ว ยังทำความสะอาดได้สะดวกสบาย โดยมีระบบป้องกันฝุ่น Anti-Dust Cooling เพิ่มเข้ามาอีกด้วย
Keyboard / Touchpad
การควบคุมคีย์บอร์ดในการกดปุ่มสัมผัสพื้นฐานของ ASUS ROG Strix Hero Edition คีย์บอร์ดเรืองแสงหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ภายในแบ่งเป็น 4 โซน ให้ความสะดวกด้วยคีย์เวิร์คหลักของ QWER ตามสไตล์เกม MOBA ระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.8 มล. แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มล. พร้อมด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ยี่สิบล้านครั้งเพื่อยืดอายุการใช้งาน รวมถึงสามารถมีฟังก์ชั่นเพิ่มลดเสียง เปิดไมค์ และ Gaming Center ซึ่งตัวปุ่มต่างๆ ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์
ทัชแพดเองขนาดใหญ่มีลวดลายเส้นหยัก แบบซ่อนรวมปุ่มไม่แยกชิ้น ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้ารองรับฟีเจอร์ Multi-touch หรือ Smart Gesture ที่สามารถใช้งานควบคู่กับ Windows 10 ได้เป็นอย่างดี
Screen / Speaker
ASUS ROG Strix Hero Edition มีหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) ตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ปี 2017 พาเนลเป็น VA คุณภาพดี พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปหรือการเล่นเกมก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอ 120Hz ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่แค่ 60Hz
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ ASUS ROG Strix Hero Edition ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS ทางทีมงานเลยถือโอกาสทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์ที่เราได้คาลิเบรทเอาไว้ ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น รวมไปถึงมีสีสันและอุณหภูมิสีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากโทนเย็นกลายเป็นโทนอุ่น
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 99% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันแค่พอใช้เท่านั้น ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 320 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางจอทางซ้ายเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ที่ 320 cd/m2 แต่สำหรับช่องขอบมุมด้านกลางขวา มุมขวา และกลางล่าง เหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปถึงระดับ 13% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 3.5 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องข้างๆ ซ้ายขวา SIDE-FIRING SPEAKERS ใช้ซอฟต์แวร์ Sonic Studio คุณภาพสูง รวมไปถึงยังมีระบบ Smart Amp เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยความที่เป็น 2 ชาแนล นเรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว
ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีไวกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นให้เคียงกัน ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีเพียงพอแบบสบายๆ แล้ว ส่วนใครจะเอาไปต่อกับหูฟังหรือลำโพงเพิ่ม ก็สามารถทำได้หากว่าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ASUS ROG Strix Hero Edition นี้จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีพอร์ทมาให้ครบครับใช้ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น USB 2.0 จำนวน 1 พอร์ต USB 3.0 จำนวน 3 พอร์ต, และ USB 3.1 Type-C อีกจำนวน 1 พอร์ตมาให้ด้วย พร้อมช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตร 1 ช่อง, SD Card Reader ขนาดมาตรฐาน, พอร์ท LAN ตัวเต็ม และ HDMI, Mini DisplayPort ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 4.1 และ Wireless Dual Band แบบ 802.11b/g/n/ac รุ่นล่าสุด ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้มีความสเถียรมากยิ่งขึ้น และรองรับสัญญาณความที่ถี่ 5 Ghz ได้
ส่วนการพกพาเองก็ถือว่า ASUS ROG Strix Hero Edition มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาตรฐานที่ 2.5 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊ค 15.6 นิ้วตัวอื่นๆ สเปกใกล้เคียงกันก็ถือว่าไม่หนีจากกันมากมายอะไร อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ในการพกพาไปไหนมาไหน แม้ว่าถ้ารวมอแดปเตอร์แล้วจะมีน้ำหนักประมาณ 2.8 กิโลกรัม ก็พอที่จะใส่กระเป๋าและเอาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ไม่ยากเย็นอะไร
Performance / Software
ASUS ROG Strix Hero Edition มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen อย่าง Intel Core i7-8750HQ (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2018) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.20 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.10 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads
ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Intel Core i7-7700HQ พอตัว มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 แบบ 1 แถว ที่สามารถอัพเกรดเพิ่มได้อีก 1 แถวทันที สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน (ปกติ ASUS Gaming Notebook จะปิดเอาไว้ ส่วนตัวนี้เปิดเอาไว้เฉย)
อีกทั้งยังมีกราฟิกการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti พร้อมการ Overclock โดยทาง ASUS เคลมว่าแรงขึ้นอีก 7% ที่ต้องบอกว่าแรงเทียบเท่าระดับพีซีแบบสบายๆ และแรงกว่า GTX 970M และแรงกว่า GTX 1050/1050Ti รุ่นปกติแบบรู้สึกได้ เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 128GB แบบ M.2 NVMe ตัวกลางๆ โดยเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1225MB/s และเขียนที่ 404.7MB/s
ทดสอบการทำงานฮาร์ดดิสก์ความจุอยู่ที่ 1 TB แบบความเร็ว 5400 รอบที่ติดตั้งมาให้ ด้วยโปรแกรม HD Tune แล้วพบว่าอัตราการถ่ายโอนข้อมูลน้อยสุดที่ 38.5 MB/s และสูงสุดที่ 137.5 MB/s ทำให้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 105.3 MB/s ด้วยกัน มีอัตราการเข้าถึงข้อมูลที่ 6.70 ms ซึ่งนับได้ว่าผลทดสอบที่ได้ออกมาอยู่นเกณฑ์กลางๆ ครับ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4,435 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยก ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-8750H ที่สามารถรีดพลัง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti พร้อม OC ออกมาได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับยังใช้แรม 8GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe ก็ส่งผลช่วยด้วย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง FF XV / FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
เกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 / Overwatch / PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 90 ขึ้นไปตลอด แต่ในส่วนของเกม PUBG อาจจะมีเฟรมเรทตกไปต่ำกว่า 60 บ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเป็นเกมออนไลน์ที่กินทรัพยากรพอตัวเหมือนกัน ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ อยู่
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ 120Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 120Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล
ซึ่งเมื่อเทียบกับผลการทดสอบในส่วนของ Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ จะเห็นได้ชัดว่าตัวท็อปสามารถทำเฟรมเรทได้ดียิ่งกว่า ประมาณ 3 – 10 + เฟรมเรท ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่แล้วแต่เกม แน่นอนว่าจากที่ทาง ASUS ได้ทำการเพิ่มประสิทธิภาพ ASUS ROG Strix Hero Edition ด้วยการ Overclock กราฟิกการ์ดเพิ่ม และปิดกราฟิกการ์ดออนบอร์ดไปเลยนั่นเอง
นอกเหนือจากนี้ทาง ASUS ยังมีซอฟต์แวร์ Utility โดยเป็นลักษณะของแอพพลิเคชั่นต่างๆ มากมาย ที่ช่วยเอื้ออำนวยในการปรับแต่งเพื่อการเล่นหรือทำงานโดยเฉพาะ อาทิเช่น AURA, MacroKey, GameFirst และ Sonic Radar อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ Gaming Notebook / Gaming PC ระดับสูงของทาง ASUS ROG เท่านั้น ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้จริงและใช้งานได้ง่ายด้วย
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ROG Strix Hero Edition เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 3 ชั่วโมงโดยประมาณ
ทำให้เรียกได้ว่าเป็นข้อสังเกตในส่วนของอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ว่าได้ เพราะมีความจุต่ำกว่าเครื่องรุ่นอื่นๆ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ โดยการปิดกราฟิกการ์ดออนบอร์ด ทำให้ต้องใช้กราฟิกการ์ดแยกอย่างเดียว
ส่วนเรื่องอุณหภูมิในการใช้งานนั้น ASUS ROG Strix Hero Edition เมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 30 – 40 องศาเซลเซียส ส่วนกราฟิกการ์ดจะอยู่ที่ 37 – 45 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 28 – 32 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องอยู่ที่ไม่เกิน 95 องศาเซลเซียส ส่วนกราฟิกการ์ดจะอยู่ที่ 65 – 73 องศาเซลเซียสโดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีมาก เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้กลับมา สำหรับเสียงรบกวนในเวลาทำงานนั้นถือว่าดังประมาณนึง จากการที่เราสามารถเพิ่มรอบสูงสุดได้ด้วยซอฟต์แวร์จากปกติที่จะเป็นแบบ Auto เท่านั้น
Conclusion / Award
จาการที่สัมผัสและใช้งานจริงๆ ของ ASUS ROG Strix Hero Edition ทั้งการเล่นเกมหลากหลายเกม รวมไปถึงทำงานและความบันเทิงดูหนังฟังเพลง บอกได้อย่างเต็มปากเลยว่า ASUS ทำออกมาได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า ทั้งในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือชั้น รวมไปถึงระบบระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น การอัพเกรดที่ง่ายมากๆ มีสเปคประสิทธิภาพสูง ที่สำคัญคือได้หน้าจอพาเนล VA 120Hz และมี Windows 10 มาให้พร้อมใช้งานด้วย
รุ่นที่เราได้รับมารีวิวจะเป็นสเปกเ Core i7-8750H พร้อมด้วยการ์ดจอ GeForce GTX 1050Ti ซึ่งได้รับการ Overclock เพิ่มความแรงมา 7% และแรม DDR4 ขนาด 8GB อีกทั้งยังมี SSD แบบ M.2 ความจุ 256GB และฮาร์ดดิสก์ 1TB 7200 RPM มาให้พร้อมใช้งาน ครบครันกับการใช้งาน สมกับเป็น Gaming Notebook มีความเป็น ROG ที่ไม่ใช่แค่สวยงามดุดัน แต่เน้นประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตามแม้ไม่มีชิป NVIDIA G-Sync คอยช่วยทำงาน แต่เราก็สามารถเปิด V-Sync แทนที่ได้ เพื่อทำงานร่วมกับจอ 120Hz
เรื่องของการออกแบบที่ ASUS ROG Strix Hero Edition ทำได้ดีมาก ฉีกรูปแบบเดิมๆ ออกไป ด้วยดีไซน์สไตล์ ROG ที่เป็น Gaming Notebook ที่ดูดุดันจริงจังเกินราคา บวกกับฟีเจอร์อย่างคีย์บอร์ดมีไฟแบบพิเศษ ด้วยปุ่ม QWER เป็นไฟขอบใสโดดเด่น ระบบเสียง Smart Amp คุณภาพดี รวมถึงมี USB 3.1 Type-C 3.1 ติดตั้งมา ซึ่งก็ได้ตัด DVD Drive ออกไปแล้ว ทำให้ตัวเครื่องมีความบางเบาลงด้วย (แต่ก็หนาหนักกว่ารุ่น GL503 ปกติ)
นอกเหนือจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง คีย์บอร์ดไฟ AuraRGB ตามสไตล์ของซีรีส์ ASUS ROG Strix รวมไปถึงยังมีระบบ Smart Amp เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ที่สำคัญเครื่องนี้มีระบบป้องกันฝุ่น Anti-Dust Cooling (ADC) เหมาะกับกับ Gamer สายพันธุ์ eSport ของแท้ เพื่อการใช้งานที่ยาวนานและต่อเนื่องระดับมืออาชีพ อย่างไรก็ตามใช่ว่า ASUS ROG Strix Hero Edition จะไม่มีข้อสังเกตเสียทีเดียว แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น (จากปกติสเปกใกล้เคียงกันจะใช้งานได้ประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง)
สรุปแล้ว ASUS ROG Strix Hero Editionถือว่าเป็น Gaming Notebook ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงทั้งด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดที่ OC แรงกว่าปกติ พร้อมจอพาเนล VA 120Hz ที่สำคัญตัวเครื่องยังบางเบาลง ไม่แค่นั้นเรื่องระบบระบายความร้อนก็ทำได้ดี ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคา 38,990 เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่า Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
จุดเด่น
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจเกมเมอร์พันธุ์ ROG งานประกอบแน่นวัสดุดี
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผล Core i7 และการ์ดจอ GTX 1050Ti พร้อม OC
- ประสิทธิภาพในการเล่นเกมดีกว่ารุ่นอื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงหรือเหมือนกัน
- ปุ่ม QWER เป็นไฟขอบใสโดดเด่น ตามสไตล์ของ Hero Edition
- ได้หน้าจอพาเนล VA คุณภาพดี พร้อมรองรับ 120Hz
- การอัพเกรดทำได้ง่ายมากๆ ด้วยฝาใต้เครื่องมีน็อตตัวเดียว
- คีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วย ROG AURA RGB
- มีซอฟต์แวร์มากมาย ที่ใช้ได้จริง มาช่วยปรับแต่ง
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที
- มีพอร์ต USB 3.1 Type-C มาให้แล้ว
- ลำโพงคุณภาพเสียงดี น่าประทับใจ
- การระบายความร้อนดีขึ้นกว่ารุ่น GL503 ปกติ
- มีระบบป้องกันฝุ่น Anti-Dust Cooling
ข้อสังเกต
- พาเนลเป็น VA เรื่องของสีสันมุมมองเป็นรอง IPS อยู่เล็กน้อย
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานเพียง 3 ชั่วโมง
- ติดตั้ง SSD M.2 NVMe มีความเร็วสูงกว่า SATA 3 เท่าตัว
- ไม่มีชิป NVIDIA G-Sync คอยช่วยทำงาน
- หนาและหนักกว่ารุ่น GL503 ปกติเล็กน้อย
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ROG Strix Hero Edition ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ASUS ROG โน๊ตบุ๊คสายคุ้มค่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน ASUS ROG Strix Hero Edition ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม โดยยิ่งถ้าชอบเล่นเกมสาย MOBA นี่ก็เข้ารีตสุดๆ ไป ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Performance
ด้วยสเปกชิปประมวลผล Intel Core i7 ตัวล่าสุด ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 8GB แบบ DDR4 และกราฟิกการ์ดยอดนิยมอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1050Ti 4GB ที่ Overclock มาแล้ว รวมไปถึง SSD M.2 ความเร็วสูงก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย