ณ ปัจจุบันนี้นั้นอุปกรณ์สวมศรีษะเพื่อสร้างภาพเสมือนจริง(VR) และเสริมความเสมือนจริง(AR) นั้นเริ่มเข้ามามีความสำคัญมากขึ้นแถมราคาก็เริ่มจะถูกลงจนอยู่ในระดับที่เราๆ ท่านๆ สามารถที่จะสรรหามาใช้งานแล้วครับ นอกไปจากนั้นแล้วบริษัททางด้านเทคโนโลยีใหญ่ๆ หลายๆ บริษัทก็เริ่มพัฒนาอุปกรณ์ VR และ AR เป็นของตัวเอง ล่าสุดนั้นทาง Leap Motion ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอุปกรณ์ตรวจจับการเครื่องไหวระดับโลกได้ประกาศถึงโครงการ “Project North Star” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนา AR ที่ราคานั้นอยู่ที่ประมาณ 3,200 บาทเท่านั้นครับ
อย่างไรก็ตามต้องบอกไว้ก่อนล่วงหน้านะครับว่าเจ้าอุปกรณ์ AR ของทาง Leap Motion ที่อยู่ในโครงการ “Project North Star” นั้นทาง Leap Motion จะไม่ได้เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเองแต่อย่างใดเพราะตามข้อมูลนั้นทาง Leap Motion จะเป็นแค่ผู้ดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีในโครงการ “Project North Star” เท่านั้น หลังจากนั้นก็จะขายสิทธิ์เพื่อที่จะให้บริษัทอื่นๆ นำไปผลิตและจัดจำหน่ายต่อไปในอนาคต ราคาที่ $100 หรือประมาณ 3,200 บาทนี้นั้นเป็นราคาที่ได้รับการประเมินออกมาจากทาง Leap Motion เท่านั้นซึ่งผู้ผลิตที่นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อาจจะมีการปรับราคากันเองก็เป็นได้ครับ
มาดูกันที่สเปคบ้างครับ “Project North Star” นั้นจะพร้อมกับหน้าจอ 2 จอที่มีความสว่างสูงและมีความติดตาต่ำโดยหน้าจอทั้งคู่นั้นจะมีความละเอียดอยู่ที่ 1,600 x 1,440 pixels และหน้าจอแต่ละอันนั้นสามารถรันภาพได้ที่ความเร็ว 120 FPS พร้อมทั้งยังมีมุมมองในการใช้งานถึง 100 องศาซึ่งตามสเปคนี้นั้นเรียกได้ว่าสูงกว่า Oculus Rift และ HTC Vive อีกด้วยครับ
สิ่งที่น่าสนใจของ “Project North Star” ยังไม่หมดแค่เพียงเท่านี้นะครับเพราะ “Project North Star” นั้นยังมาพร้อมกับระบบตรวจจัดการเคลื่อนไหวของมือผู้ใช้งานที่เป็นเทคโนโลยีชื่อดังของทาง Leap Motion เองด้วยอีกต่างหากโดยมันสามารถที่จะตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือได้กว้างสุดถึง 180 องศาด้วยกัน งานนี้เรียกได้ว่าเครื่องเดียวจบเพราะไม่ว่าจะเป็นการใช้งานมือเพื่อที่จะทำอะไรนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้คอนโทรลเลอร์แยกต่างหากมาใช้งานครับ
หมายเหตุ – แต่ว่ามันก็มีข้อเสียตรงที่ว่าคุณจะไม่ได้รับแรงตอบกลับเวลาใช้มือของคุณในการควบคุมครับ
ทั้งนี้แล้วนั้นในช่วงอาทิตย์หน้านี้(หลังสงกรานบ้านเรา) ทาง Leap Motion จะได้มีการเปิดตัว “Project North Star” อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเราน่าจะได้เห็นสเปคและการใช้งานแบบเต็มๆ ของมัน ส่วนที่เหลือนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตรายอื่นว่าจะนำเอา “Project North Star” ไปประยุกต์ใช้อย่างไร ที่แน่ๆ นั้นก็ต้องมาลุ้นในเรื่องของราคาครับว่าเมื่อผู้ผลิตรายอื่นนำเทคโนโลยี “Project North Star” ไปผลิตแล้วนั้นราคาของมันจะสูงกว่าที่ทาง Leap Motion ตั้งเอาไว้มากน้อยแค่ไหน
ที่มา : mashableasia