เมื่อไม่นานมานี้ทาง Dell ประเทศไทย ได้ประกาศเปิดตัว Dell XPS 13 (9370) รุ่นใหม่ล่าสุด ปี 2018 ออกมา กับโน๊ตบุ๊คประเภท Ultrabook ระดับบน ขั้น Ultimate ด้วยขนาดเล็กกะทัดรัด พร้อมรูปลักษณ์เพรียว เบา บางเฉียบยิ่งขึ้น ด้วยจอแสดงผลแบบ InfinityEdge ขอบจอบางเฉียบ มีให้เลือกใช้เท่ๆ ใน 2 สไตล์ 2 สีสัน ได้แก่ Platinum Silver และ Black มาพร้อม Rose Gold และ Alpine White อันเจิดจรัส (ในไทยจะตามมาภายหลัง)
Dell XPS 13 (9370) เลือกใช้ชิประมวลผลรุ่นล่าสุดจากทาง Intel ด้วย Core i Gen 8 ที่มีให้เลือกทั้ง Core i5 และ Core i7 ที่เป็นตระกูล U ที่เป็นรุ่นประหยัดพลังงานพิเศษ โดยมีหน้าจอความละเอียดสูงระดับ 1920 x 1080 พิกเซล Full HD และความละเอียดแบบสุดๆ ที่ 3840×2160 พิกเซล 4K Ultra HD ส่งผลให้เราได้พบประสบการณ์ใช้งานที่เหนือชั้นกว่า Ultrabook ทั่วๆ ไปในตลาดทีเดียว สนนราคาเริ่มต้นที่ 59,990 บาท ไปจนถึง 69,990 บาท พร้อมประกันเทพ 3 ปี ซ่อมฟรีถึงบ้าน อีกทั้ง Dell XPS 13 (9370) เพิ่งได้รับรับรางวัลอันทรงเกียรติล่าสุดจาก CES 2018 Innovation Award มาช่วงต้นปีนี้เอง การันตีความเจ๋งได้เลย
Specification
ในเรื่องของสเปก Dell XPS 13 (9370) นั้น เครื่องที่เราได้มารีวิวเป็นเครื่องตัวท็อป ที่ใช้ชิปประมวลผลเป็นIntel Core i7-8550U ที่มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.8 GHz และเร่งความเร็วด้วย TurboBoost ได้เป็น 4.0 GHz ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด ส่วนการ์ดจอก็แน่นอนว่าต้องเป็น Intel Graphic UHD 620 ที่ติดมาในตระกูล Kaby Lake R แรมก็ให้มา 16GB DDR3L เป็นแบบฝังติดบอร์ดมาเช่นเดียวกับ Ultrabook ส่วนใหญ่ในท้องตลาด จะมีจุดที่ต่างก็คือการเลือกใช้ SSD NVMe ความจุ 512GB นอกจากนี้ยังมีเรื่องจอที่ได้กล่าวไปแล้วว่าใช้จอขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3840×2160 พิกเซล 4K Ultra HD ที่เป็นพาเนล IPS คุณภาพสูง แถมตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็น Ultrabook ระดับไฮเอนด์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ส่วนเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานของกลุ่ม Ultrabook ปี 2018 ที่หลักๆ แล้วมีเพียง USB Type-C มาตรฐาน Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต และ USB Type-C มาตรฐาน DisplayPort สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอกหรือโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูง และ Card Reader มาให้ด้วย อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ พร้อมจุดเด่นเดิมที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ Dell นั่นคือมีประกันแบบ On-site Service ให้เป็นระยะเวลา 3 ปีด้วยกัน
Dell XPS 13 (9370) แบ่งออกเป็น 3 สเปกและราคาดังนี้
- i5-8250U + RAM 8GB + SSD 256GB + Full HD ราคา 59,990 บาท
- i7-8550U + RAM 8GB + SSD 256GB + Full HD ราคา 64,990 บาท
- i7-8550U + RAM 16GB + SSD 512GB + Ultra HD Touch ราคา 79,990 บาท
Hardware / Design
Dell XPS 13 (9370) ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Ultrabook ตัวหรูระดับไฮเอนด์ ที่มีการเปิดตัวมาหลายปีก่อนกับโมเดลที่ต้องบอกว่าได้ทั้งความบางเบาหรูหรา ในขนาดหน้าจอ 13.3″ ในเครื่องที่เล็กเทียบเท่ากับโน้ตบุ๊ตขนาดหน้าจอ 11.6″ เท่านั้น ด้วยฟีเจอร์ Infinity Edge display ขอบหน้าจอบางเฉียบ เรียกได้ว่าหลังจากที่ Dell XPS 13 ได้เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลนี้ ทำให้โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ หลายรุ่นจะมาพร้อมขอบหน้าจอบางเฉียบมากมาย
ทางด้านดีไซน์ตัวเครื่องนั้นในครั้งนี้ Dell XPS 13 (9370) ยังคงมาพร้อมกับ Infinity Edge display เช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือขนาดของขอบตัวเครื่องนั้นจะบางลงกว่าเดิมจาก 5.2 มิลลิเมตร ไปอยู่ที่ 11.6 มิลลิเมตร และบางสุดที่ 7.8 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นความแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน ซึ่งโดยรวมแล้วนั้น Dell XPS 13 (9370) นั้นจะบางลงถึง 23% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่วนน้ำหนักก็เบามากๆ เพียง 1.2 กิโลกรัมเท่านั้น ตอบโจทย์การพกพาอย่างที่สุด
ตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบาโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะลาดเอียงเล็กน้อย ที่ขอบอะลูมิเนียมรอบของตัวเครื่อง ส่วนคาร์บอนไฟเบอร์นั่น จะถูกนำเอามาใช้ด้านในของตัวเครื่องเป็นหลัก ส่งให้เวลาที่เราเอามือมาวางจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหนือชั้นกว่าวัสดุทั่วๆ ไป
สิ่งที่มาพร้อมความสวยงามคือความคงทนด้วยไททาเนียมออกไซด์ที่เคลือบอยู่ด้านบนพื้นผิวอะลูมิเนียมเพื่อความเงางาม ช่วยต้านทานแสง UV และรอยเปื้อน เพื่อป้องกันการเกิดคราบ หรือการเปลี่ยนสีไปตามระยะเวลาใช้งาน ตามจริงแล้ว หากเกิดรอยเปื้อน ไม่ว่าจะจากสีของปากกา หรือคราบต่างๆ ผู้ใช้สามารถเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย และด้วยความสามารถในการทนทานต่อความร้อนในระดับที่เหนือกว่าโลหะ การถักทอด้วยไฟเบอร์กลาสยังช่วยให้ตัวเครื่องรักษาความเย็นได้มากขึ้น ช่วยรองรับการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
นอกจากนี้การออกแบบยางรองใต้เครื่องก็เรียกได้ว่าไม่เหมือนใคร โดยใช้เป็นแถบยางยาวขนานไปกับแนวยาวของตัวเครื่อง พร้อมกับมีช่องระบายอากาศอยู่เป็นแนวยาวอีก ที่สำคัญยังมีการในส่วนของดีไซน์การออกแบบ Dell XPS 13 (9370) ยังมีปุ่มสำหรับเช็คพลังงานในแบตเตอรี่ พร้อมไฟบอกระดับพลังงานแบตเตอรี่บริเวณขอบตัวเครื่องด้านซ้าย
สำหรับภายในตัวเครื่องนั้น Dell XPS 13 (9360) จะมาพร้อมกับพัดลมระบายอากาศเพียงตัวเดียวเท่านั้นในขณะที่ Dell XPS 13 (9370) นั้นจะมาพร้อมกับพัดลมระบายอากาศจำนวน 2 ตัวซึ่งมีผลทำให้รุ่นใหม่นี้ นั้นจะมีเสียงรบกวนที่น้อยกว่าและความสามารถในการระบายความร้อนของตัวเครื่องที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าอีกด้วย
Keyboard / Touchpad
ส่วนของคีย์บอร์ด Dell XPS 13 (9370) นั้น ตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีดำสกรีนตัวอักษรสีขาว มีการออกแบบมาให้ปุ่มมีความโค้งรับกับนิ้วมือได้พอดี แต่สำหรับคนที่นิ้วค่อนข้างใหญ่ อาจจะพิมพ์ได้ลำบากเล็กน้อย เนื่องด้วยปุ่มมีขนาดเล็กกว่าเครื่องอื่นๆ จากการที่เพื่อให้สามารถใส่จอขนาด 13 นิ้วลงมาในตัวเครื่อง 11 นิ้วได้นั่นเอง ในส่วนของไฟ LED Backlit ก็สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว โดยสามารถปิดหรือเปิดความสว่างได้ 2 ระดับ ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมขวาบน สีกลืนไปกับเครื่อง ซึ่งข้อดีก็คือมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปเผลอกดระหว่างการใช้งานแน่นอน พร้อมมีไฟส่องสว่างให้เห็นสถานะ
ทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ส่วนดีไซน์นั้นก็ใช้เป็นแบบไม่มีปุ่มแยกออกมาเช่นเดียวกับ Ultrabook หลายๆ รุ่น การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้า
Screen / Speaker
Dell XPS 13 (9370) รุ่นท็อปที่นำมารีวิวเป็นหน้าจอแสดงผลที่มีความละเอียดระดับ 4K Ultra HD ที่ 3840 x 2160 พิกเซล (มากกว่า Full HD ถึง 4 เท่า) พร้อมขอบเขตสีที่ใกล้เคียงมาตรฐาน sRGB ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับสีที่ถูกต้องในการแสดงผล ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพ ส่งผลให้มีสีสันสวยสมจริง คมชัดในทุกมุมมอง ด้วยความสว่างที่สูง
ซึ่งสว่างกว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คทั่วไปเป็น 2 เท่า + จึงสามารถแสดงผลได้ยอดเยี่ยมแม้จะอยู่กลางแจ้ง อีกทั้งยังครอบคลุมเฉดสีและมีอัตราส่วนคอนทราสต์สูง จึงถ่ายทอดสีสันได้มากกว่า นอกเหนือจากนี้ยังรองรับการทัชสกรีนถึง 10 จุดพร้อมๆ กันอีกด้วยสำหรับรุ่นตัวท็อปที่เรานำมารีวิว แต่ถ้าเป็นรุ่นเริ่มต้นและรุ่นกลางที่เป็น Full HD จะไม่สามารถทัชสกรีนได้
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ Dell XPS 13 (9370) ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง แต่สูงแค่ไหนดีแค่ไหนต้องทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรตหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด นอกจากนี้เรายังทำการ Display Analysis ดูประสิทธิภาพการแสดงผลแบบละเอียด อย่างที่ดูด้วยตาเปล่าไม่สามารถบอกได้ จึงต้องใช้เครื่องมือช่วย
โดยขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 92% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันในระดับที่ดีมากๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่มากกว่า 500 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างที่ดีมากๆ ของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือรองรับการใช้งานที่กลางแจ้งได้สบายๆ อย่างไรก็ตามถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นสีตรงกับอุปกรณ์เกี่ยวพ่วงก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องซ้ายมุมล่างเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปถึงระดับ 18% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0
ลำโพงสเตอริโอเทคโนโลยี Waves MaxxAudio Pro นั้นอยู่บริเวณด้านซ้ายขวาขอบตัวเครื่อง ด้านของลำโพงสเตอรีโอนั้นอยู่บริเวณด้านซ้ายขวาขอบตัวเครื่อง ในเรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่ายอดเยี่ยม โดยจากการใช้งานจริงเสียงนั้นจะออกมาทุกทิศทางทั้งจากช่องลำโพง คีย์บอร์ด และใต้ตัวเครื่อง
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง Dell XPS 13 (9370) นี้จัดว่าเป็น Ultrabook ที่มีความครบครับระดับนึง แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น USB Type-C มาตรฐาน Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต และ USB Type-C ที่เป็นแบบ DisplayPort อีกหนึ่ง โดยทั้ง 3 พอร์ต รองรับการชาร์จไฟจากอแดปเตอร์ พร้อมช่องต่อหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร และ micro-SD Card Reader
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของ Ultrabook จอ 13 นิ้วทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 1.21 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์ที่มีขนาดเล็กๆ มาก (พันสายเก็บได้สวยงาม) เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักไม่เกิน 1.4 กิโลกรัมเท่านั้น ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลย แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ สมกับเป็น Ultrabook ในยุคปัจจุบันทีเดียว
Performance / Software
Dell XPS 13 (9370) เครื่องรีวิวนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลจาก Intel Core i7-8550U ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.8 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.0 GHz นะครับ เป็นซีพียูแบบ 4 Core 8 Threads ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลหนักก็รองรับได้อย่างสบายๆ
เทียบกับรุ่นก่อนเรียกได้ว่าแรงขึ้นพอตัวเพราะ Core เยอะขึ้น แม้ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะสูงกว่าพวก Core i7 ตัวซีรีย์ HQ แต่เรื่องประหยัดพลังงานนั้นไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มาพร้อมแรมภายในขนาด 16GB DDR3L ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบาย
ด้านของการ์ดจอที่ติดตั้งมาให้คือการ์ดจอออนบอร์ดจะเป็น Intel UHD Graphic 620 สำหรับประมวลผลทั่วไปเช่นดูหนังหรือฟังเพลง รองรับการประมวลผลกราฟิกระดับ 3 มิติไม่หนักมาก ไม่ว่าจะตัดต่อหนังหรือจะเล่นเกมก็ถือว่าตอบสนองการทำงานได้ดีทีเดียว แม้อาจจะไม่แรงมากเทียบเท่าพวกการ์ดจอแยก แต่ก็พอเพียงกับการใช้งานเล่นเกมประเภทออนไลน์ได้อยู่บ้าง อย่าง DOTA 2 หรือ Overwatch ที่ปรับต่ำๆ บนความละเอียด Full HD
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD แบบ NVMe M.2 ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดไดร์ฟแบบจานหมุนหรือแบบลูกผสมอย่าง SSHD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด โดยสามารถอ่านที่ความเร็วสูงสุดที่ 3074 MB/s และเขียนได้ระดับ 1127 MB/s เลยทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าพอสมควร ใกล้เคียงพวกตระกูล HQ เข้าไปอีก จากการทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด รวมไปถึงตัวการ์ดจอออนบอร์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของ Dell XPS 13 (9370) ก็คือมาพร้อมซอฟต์แวร์บันเดิลอย่าง Dell SupportAssistant โดยเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราดูแลคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โปรแกรมนี้ยังระบุข้อมูลที่สำคัญสำหรับแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นหมายรวมไปถึงการอัพเดทไดร์เวอร์ต่างๆ และ Windows ด้วย จัดได้ว่าดีและใช้งานได้จริง
Battery / Heat / Noise
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานที่สุดของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว โดยรองรับการทำงานจริงได้ยาวนานถึง 14 ชั่วโมง ในการเปิด Youtube ดูยาวๆ ในความละเอียด Full HD นอกเหนือจากการทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลงและเบายิ่งแล้ว Dell ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ XPS 13 ใหม่ให้สูงกว่ารุ่นก่อนกย่าง Dell XPS 13 (9360) ถึงสองเท่า ทำให้ Dell XPS 13 (9370) เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในบรรดาเครื่องรุ่นเดียวกัน
Dell XPS 13 (9370) มาพร้อม Dell Power Manager ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับสมดุลของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ การชาร์จไฟ ความร้อน และอะคูสติค นอกจากนี้ Dynamic Power Mode จะให้สมรรถนะการทำงานในระดับสูงสุดสำหรับการใช้งาน แอปพลิเคชันต่างๆ อาทิ การทำวิดีโอ เรนเดอริ่ง การทำสเปรดชีตในระดับแอดวานซ์ ขณะที่มีการตรวจสอบ และจัดการอุณหภูมิของระบบได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งหมายความว่า Dell XPS 13 (9370) จะยังคงรักษาประสิทธิภาพการทำงานในระดับสูงได้แม้มีการใช้งานต่อเนื่อง ในขณะที่โน๊ตบุ๊คอื่นๆ อาจมีประสิทธิภาพลดลง
ในส่วนของวิศวกรรมด้านความร้อน เครื่อง Dell XPS 13 (9370) คือโน๊ตบุ๊คตัวแรกของโลกที่สร้างด้วยฉนวนกันความร้อน GORE Thermal Insulation ซึ่งเป็นฉนวนกันความร้อนเดียวกับ Silica Aerogels ที่ใช้งานในสภาพแวดล้อมด้านงานวิทยาศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและงานวิศวกรรมแบบเต็มพิกัด เพื่อกระจายและลดความร้อน โดยวัสดุดังกล่าวถูกนำไปใช้เป็นฉนวนกันความร้อนของยานสำรวจดาวอังคาร (Mar Rovers) และการจับอนุภาคความเร็วสูง (Hyper Velocity Particle) ในโครงการอวกาศ Stardust โดยวัสดุนี้จะดึงความร้อนออกจากอุปกรณ์โดยตรง เพื่อทำให้ระบบเย็นลงในขณะที่กำลังทำงานอย่างหนัก
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 35 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าเครื่องจะร้อนที่สุด 99 – 100 องศาเซลเซียสทีเดียว แต่ก็สามารถระบายออกได้อย่างรวดเร็ว นับว่าระบบระบายความร้อนของ Dell XPS 13 (9370) เครื่องนี้ทำออกมาได้ดีกว่า Ultrabook เครื่องอื่นๆ ที่เคยทำการรีวิวมาพอควร เพราะความร้อนทั่วไปจะอยู่ที่เพียง 39 – 46 องศาเซลเซียสตอนทำงานเต็มที่แล้ว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนจาก Dell ที่ดี และชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุดที่มีมีเทคโนโลยีการผลิตที่เล็กลง
Conclusion / Award
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า Dell XPS 13 (9370) ไม่ได้มีแต่สีสัน Platinum Silver ที่ทีมงาน NotebookSPEC รีวิวเท่านั้น แต่ยังมีสีตัวเครื่อง Rose Gold อยู่ โดยแตกต่างในส่วนของวัสดุที่รังสรรค์ส่วนรองข้อมือในสีขาว Alpine White ที่ให้อารมณ์เสมือนเป็นลายถักทอ โดยก้าวข้ามข้อจำกัดด้านสีของวัสดุคาร์บอน ไฟเบอร์แบบดั้งเดิม ซึ่งทางเลือกคือการใช้วัสดุที่เป็นนวัตกรรมใหม่เรียกว่า Crystalline Silica ที่มีการถักทอออกมาเป็นสีขาวที่แท้จริง คล้ายกับเนื้อผ้าที่มีการถักทอไปมาถึงเก้าชั้น ทั้งนี้ Dell คือรายแรกที่ใช้การถักทอไฟเบอร์กลาสในโน๊ตบุ๊คการ ซึ่งการถักทอด้วยไฟเบอร์กลาสยังช่วยให้ตัวเครื่องรักษาความเย็นได้มากขึ้น ช่วยรองรับการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจจริงๆ สำหรับ Ultrabook รุ่นล่าสุดสุดพรีเมียมจากทาง Dell XPS 13 (9370) ปี 2018 ที่ต่อยอดความสำเร็จตระกูล XPS 13 ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ รวมไปถึงประสิทธิภาพและประสบการณ์ใช้งาน ที่แม้ว่าอาจจะข้อสังเกตุในเรื่องของราคาค่าตัวที่สูงซักหน่อย ซึ่งเหมาะกับคนที่พร้อมจ่ายสุดยอดโน๊ตบุ๊คบางเบาที่ดีที่สุดซักตัว ยิ่งเมื่อเทียบ Dell XPS 13 (9370) กับ MacBook Pro 13 รุ่นล่าสุด จะเห็นว่ามีทั้งความบางเบา มิติตัวเครื่อง ที่เหนือกว่า รวมไปถึงความละเอียดหน้าจอ และสเปกที่ใหม่ล่าสุดกว่า ที่สำคัญกับราคาที่ถูกกว่าในสเปกที่ใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็แม้ว่า Dell XPS 13 (9370) จะดีขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีราคาที่สูงกว่า Ultrabook รุ่นอื่นๆ แต่ก็เหนือกว่ารุ่นอื่นๆ เช่กัน ด้วยการที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กเทียบเท่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 11.6 นิ้ว ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3 นิ้ว (แน่นอนว่าขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊ค 13.3 นิ้วทั่วไป) จัดได้ว่ามีความน่าซื้ออยู่ไม่น้อยเช่นกัน สำหรับการเป็น Ultrabook ระดับสูง แถมยังมีการรับประกันเทพถึง 3 ปีอีกด้วย ที่สำคัญคือ On Site Service คือมารับมาส่งถึงบ้านเลย
โดยสนนเริ่มต้นที่ 59,990 บาท สำหรับรุ่น Core i5 ความละเอียดหน้าจอ Full HD ส่วนรุ่น Core i7 จอ Full HD ราคาจะอยู่ที่ 64,990 บาท และรุ่น Core i7 หน้าจอ 4K Ultra HD ก็สนนราคาที่ 69,990 บาท เอาเป็นว่าใครกำลังมองหา Ultrabook ที่เน้นประสบการณ์ใช้งานที่เหนือระดับโดยไม่กังวลในเรื่องของราคาค่าตัวล่ะก็ Dell XPS 13 (9370) น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ
จุดเด่น
- เป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3 นิ้ว แต่มีขนาดตัวเครื่องเล็กเทียบเท่ารุ่นหน้าจอ 11.6 นิ้ว
- พาเนลหน้าจอ IPS มีคุณภาพสูง ขอบเขตสีกว้าง รองรับการทัชสกรีน
- ความละเอียดสูงระดับ 4K Ultra HD (มากกว่า Full HD ถึง 4 เท่า)
- ขอบจอบางพิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป เพิ่มความโดดเด่น
- น้ำหนักเบา ตัวเครื่องบางพิเศษ วัสดุเป็นคาร์บอนไฟเบอร์
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุด และ SSD ความเร็วสูง
- พอร์ตการเชื่อมต่อ USB Type-C มาตรฐาน Thunderbolt 3
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 14 ชั่วโมง
- มี Windows 10 แท้ พร้อมใช้งาน
- รองรับ Windows Hello ด้วยการแสกนหน้าด้วยกล้อง IR
- อแดปเตอร์มีขนาดเล็กมากๆ เทียบเท่าของสมาร์ทโฟน
- ประกันถึง 3 ปี มาพร้อม On Site Service มาตรฐาน Dell
ข้อสังเกตุ
- ราคาสูงกว่า Ultrabook ทั่วไป
- ความร้อนสูงสุด ค่อนข้างสูง (แต่ก็ไม่รบกวนการใช้งาน)
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง Dell XPS 13 (9370) ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ XPS มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน Dell XPS 13 (9370) ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ Ultrabook ตระกูล XPS อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 15 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 1.21 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่เล็กมาก พกพาสะดวก รวมน้ำหนักแล้วยังไม่ถึง 1.4 กิโลกรัม เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ
Best Ultrabook
และด้วยข้อดีข้อเด่นทั้งหมดทั้งมวลนี้ Dell XPS 13 (9370) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอด Ultrabook ของปี 2018 นี้ ทั้งในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ประสิทธิภาพ หน้าจอคุณภาพสูง ที่หา Ultrabook เครื่องอื่นๆ มาเทียบไม่ได้ ประกอบกับคุณสมบัติในการตอบสนองการทำงานที่ครบถ้วน เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกอะไรนักที่จะได้รับ Award ประเภท Best Ultrabook ไปครับ อีกทั้ง Dell XPS 13 (9370) เพิ่งได้รับรับรางวัลอันทรงเกียรติล่าสุดจาก CES 2018 Innovation Award มาช่วงต้นปีนี้เอง การันตีความเจ๋งได้เลย
Best Performance
ด้วยสเปก Dell XPS 13 (9370) ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i7 ตัวล่าสุด ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB รวมไปถึง SSD ความเร็วสูง PCIe ความจุ 512GB ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Best Battery Life
แม้ว่าในตัวของ Dell XPS 13 (9370) จะอัดแน่นไปด้วยสเปกหรือเทคโนโลยีต่างๆ แต่ในเรื่องของการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉลี่ยแล้วถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ได้นานถึงประมาณ 14 ชั่วโมงด้วยกัน ส่งผลให้ได้รางวัล Best Battery Life ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ Dell ได้ใส่แบตเตอรี่คุณภาพสูง และชิปประมวลผลก็ประหยัดพลังงาน อีกทั้งระบบปฏิบัติการซอฟต์แวร์และ Windows 10 ก็เป็นตัวช่วยจัดการพลังงานได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปรับค่าเองแต่อย่างใดเลย
Specification
ในเรื่องของสเปก Dell XPS 13 (9370) นั้น เครื่องที่เราได้มารีวิวเป็นเครื่องตัวท็อป ที่ใช้ชิปประมวลผลเป็นIntel Core i7-8550U ที่มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.8 GHz และเร่งความเร็วด้วย TurboBoost ได้เป็น 4.0 GHz ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด ส่วนการ์ดจอก็แน่นอนว่าต้องเป็น Intel Graphic UHD 620 ที่ติดมาในตระกูล Kaby Lake R แรมก็ให้มา 16GB DDR3L เป็นแบบฝังติดบอร์ดมาเช่นเดียวกับ Ultrabook ส่วนใหญ่ในท้องตลาด จะมีจุดที่ต่างก็คือการเลือกใช้ SSD NVMe ความจุ 512GB นอกจากนี้ยังมีเรื่องจอที่ได้กล่าวไปแล้วว่าใช้จอขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3840×2160 พิกเซล 4K Ultra HD ที่เป็นพาเนล IPS คุณภาพสูง แถมตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็น Ultrabook ระดับไฮเอนด์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ส่วนเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานของกลุ่ม Ultrabook ปี 2018 ที่หลักๆ แล้วมีเพียง USB Type-C มาตรฐาน Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต และ USB Type-C มาตรฐาน DisplayPort สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอกหรือโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูง และ Card Reader มาให้ด้วย อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ พร้อมจุดเด่นเดิมที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ Dell นั่นคือมีประกันแบบ On-site Service ให้เป็นระยะเวลา 3 ปีด้วยกัน
Dell XPS 13 (9370) แบ่งออกเป็น 3 สเปกและราคาดังนี้
- i5-8250U + RAM 8GB + SSD 256GB + Full HD ราคา 59,990 บาท
- i7-8550U + RAM 8GB + SSD 256GB + Full HD ราคา 64,990 บาท
- i7-8550U + RAM 16GB + SSD 512GB + Ultra HD Touch ราคา 79,990 บาท
Hardware / Design
Dell XPS 13 (9370) ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Ultrabook ตัวหรูระดับไฮเอนด์ ที่มีการเปิดตัวมาหลายปีก่อนกับโมเดลที่ต้องบอกว่าได้ทั้งความบางเบาหรูหรา ในขนาดหน้าจอ 13.3″ ในเครื่องที่เล็กเทียบเท่ากับโน้ตบุ๊ตขนาดหน้าจอ 11.6″ เท่านั้น ด้วยฟีเจอร์ Infinity Edge display ขอบหน้าจอบางเฉียบ เรียกได้ว่าหลังจากที่ Dell XPS 13 ได้เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลนี้ ทำให้โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ หลายรุ่นจะมาพร้อมขอบหน้าจอบางเฉียบมากมาย
ทางด้านดีไซน์ตัวเครื่องนั้นในครั้งนี้ Dell XPS 13 (9370) ยังคงมาพร้อมกับ Infinity Edge display เช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือขนาดของขอบตัวเครื่องนั้นจะบางลงกว่าเดิมจาก 5.2 มิลลิเมตร ไปอยู่ที่ 11.6 มิลลิเมตร และบางสุดที่ 7.8 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นความแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน ซึ่งโดยรวมแล้วนั้น Dell XPS 13 (9370) นั้นจะบางลงถึง 23% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่วนน้ำหนักก็เบามากๆ เพียง 1.2 กิโลกรัมเท่านั้น ตอบโจทย์การพกพาอย่างที่สุด
ตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบาโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะลาดเอียงเล็กน้อย ที่ขอบอะลูมิเนียมรอบของตัวเครื่อง ส่วนคาร์บอนไฟเบอร์นั่น จะถูกนำเอามาใช้ด้านในของตัวเครื่องเป็นหลัก ส่งให้เวลาที่เราเอามือมาวางจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหนือชั้นกว่าวัสดุทั่วๆ ไป
สิ่งที่มาพร้อมความสวยงามคือความคงทนด้วยไททาเนียมออกไซด์ที่เคลือบอยู่ด้านบนพื้นผิวอะลูมิเนียมเพื่อความเงางาม ช่วยต้านทานแสง UV และรอยเปื้อน เพื่อป้องกันการเกิดคราบ หรือการเปลี่ยนสีไปตามระยะเวลาใช้งาน ตามจริงแล้ว หากเกิดรอยเปื้อน ไม่ว่าจะจากสีของปากกา หรือคราบต่างๆ ผู้ใช้สามารถเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย และด้วยความสามารถในการทนทานต่อความร้อนในระดับที่เหนือกว่าโลหะ การถักทอด้วยไฟเบอร์กลาสยังช่วยให้ตัวเครื่องรักษาความเย็นได้มากขึ้น ช่วยรองรับการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
นอกจากนี้การออกแบบยางรองใต้เครื่องก็เรียกได้ว่าไม่เหมือนใคร โดยใช้เป็นแถบยางยาวขนานไปกับแนวยาวของตัวเครื่อง พร้อมกับมีช่องระบายอากาศอยู่เป็นแนวยาวอีก ที่สำคัญยังมีการในส่วนของดีไซน์การออกแบบ Dell XPS 13 (9370) ยังมีปุ่มสำหรับเช็คพลังงานในแบตเตอรี่ พร้อมไฟบอกระดับพลังงานแบตเตอรี่บริเวณขอบตัวเครื่องด้านซ้าย
สำหรับภายในตัวเครื่องนั้น Dell XPS 13 (9360) จะมาพร้อมกับพัดลมระบายอากาศเพียงตัวเดียวเท่านั้นในขณะที่ Dell XPS 13 (9370) นั้นจะมาพร้อมกับพัดลมระบายอากาศจำนวน 2 ตัวซึ่งมีผลทำให้รุ่นใหม่นี้ นั้นจะมีเสียงรบกวนที่น้อยกว่าและความสามารถในการระบายความร้อนของตัวเครื่องที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าอีกด้วย
Keyboard / Touchpad
ส่วนของคีย์บอร์ด Dell XPS 13 (9370) นั้น ตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีดำสกรีนตัวอักษรสีขาว มีการออกแบบมาให้ปุ่มมีความโค้งรับกับนิ้วมือได้พอดี แต่สำหรับคนที่นิ้วค่อนข้างใหญ่ อาจจะพิมพ์ได้ลำบากเล็กน้อย เนื่องด้วยปุ่มมีขนาดเล็กกว่าเครื่องอื่นๆ จากการที่เพื่อให้สามารถใส่จอขนาด 13 นิ้วลงมาในตัวเครื่อง 11 นิ้วได้นั่นเอง ในส่วนของไฟ LED Backlit ก็สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว โดยสามารถปิดหรือเปิดความสว่างได้ 2 ระดับ ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมขวาบน สีกลืนไปกับเครื่อง ซึ่งข้อดีก็คือมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปเผลอกดระหว่างการใช้งานแน่นอน พร้อมมีไฟส่องสว่างให้เห็นสถานะ
ทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ส่วนดีไซน์นั้นก็ใช้เป็นแบบไม่มีปุ่มแยกออกมาเช่นเดียวกับ Ultrabook หลายๆ รุ่น การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้า
Screen / Speaker
Dell XPS 13 (9370) รุ่นท็อปที่นำมารีวิวเป็นหน้าจอแสดงผลที่มีความละเอียดระดับ 4K Ultra HD ที่ 3840 x 2160 พิกเซล (มากกว่า Full HD ถึง 4 เท่า) พร้อมขอบเขตสีที่ใกล้เคียงมาตรฐาน sRGB ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับสีที่ถูกต้องในการแสดงผล ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพ ส่งผลให้มีสีสันสวยสมจริง คมชัดในทุกมุมมอง ด้วยความสว่างที่สูง
ซึ่งสว่างกว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คทั่วไปเป็น 2 เท่า + จึงสามารถแสดงผลได้ยอดเยี่ยมแม้จะอยู่กลางแจ้ง อีกทั้งยังครอบคลุมเฉดสีและมีอัตราส่วนคอนทราสต์สูง จึงถ่ายทอดสีสันได้มากกว่า นอกเหนือจากนี้ยังรองรับการทัชสกรีนถึง 10 จุดพร้อมๆ กันอีกด้วยสำหรับรุ่นตัวท็อปที่เรานำมารีวิว แต่ถ้าเป็นรุ่นเริ่มต้นและรุ่นกลางที่เป็น Full HD จะไม่สามารถทัชสกรีนได้
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ Dell XPS 13 (9370) ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพสูง แต่สูงแค่ไหนดีแค่ไหนต้องทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรตหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด นอกจากนี้เรายังทำการ Display Analysis ดูประสิทธิภาพการแสดงผลแบบละเอียด อย่างที่ดูด้วยตาเปล่าไม่สามารถบอกได้ จึงต้องใช้เครื่องมือช่วย
โดยขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 92% ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันในระดับที่ดีมากๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่มากกว่า 500 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างที่ดีมากๆ ของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือรองรับการใช้งานที่กลางแจ้งได้สบายๆ อย่างไรก็ตามถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นสีตรงกับอุปกรณ์เกี่ยวพ่วงก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องซ้ายมุมล่างเหมือนจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปถึงระดับ 18% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0
ลำโพงสเตอริโอเทคโนโลยี Waves MaxxAudio Pro นั้นอยู่บริเวณด้านซ้ายขวาขอบตัวเครื่อง ด้านของลำโพงสเตอรีโอนั้นอยู่บริเวณด้านซ้ายขวาขอบตัวเครื่อง ในเรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่ายอดเยี่ยม โดยจากการใช้งานจริงเสียงนั้นจะออกมาทุกทิศทางทั้งจากช่องลำโพง คีย์บอร์ด และใต้ตัวเครื่อง
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง Dell XPS 13 (9370) นี้จัดว่าเป็น Ultrabook ที่มีความครบครับระดับนึง แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น USB Type-C มาตรฐาน Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต และ USB Type-C ที่เป็นแบบ DisplayPort อีกหนึ่ง โดยทั้ง 3 พอร์ต รองรับการชาร์จไฟจากอแดปเตอร์ พร้อมช่องต่อหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร และ micro-SD Card Reader
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของ Ultrabook จอ 13 นิ้วทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 1.21 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์ที่มีขนาดเล็กๆ มาก (พันสายเก็บได้สวยงาม) เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักไม่เกิน 1.4 กิโลกรัมเท่านั้น ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลย แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ สมกับเป็น Ultrabook ในยุคปัจจุบันทีเดียว
Performance / Software
Dell XPS 13 (9370) เครื่องรีวิวนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลจาก Intel Core i7-8550U ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.8 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.0 GHz นะครับ เป็นซีพียูแบบ 4 Core 8 Threads ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลหนักก็รองรับได้อย่างสบายๆ
เทียบกับรุ่นก่อนเรียกได้ว่าแรงขึ้นพอตัวเพราะ Core เยอะขึ้น แม้ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะสูงกว่าพวก Core i7 ตัวซีรีย์ HQ แต่เรื่องประหยัดพลังงานนั้นไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มาพร้อมแรมภายในขนาด 16GB DDR3L ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบาย
ด้านของการ์ดจอที่ติดตั้งมาให้คือการ์ดจอออนบอร์ดจะเป็น Intel UHD Graphic 620 สำหรับประมวลผลทั่วไปเช่นดูหนังหรือฟังเพลง รองรับการประมวลผลกราฟิกระดับ 3 มิติไม่หนักมาก ไม่ว่าจะตัดต่อหนังหรือจะเล่นเกมก็ถือว่าตอบสนองการทำงานได้ดีทีเดียว แม้อาจจะไม่แรงมากเทียบเท่าพวกการ์ดจอแยก แต่ก็พอเพียงกับการใช้งานเล่นเกมประเภทออนไลน์ได้อยู่บ้าง อย่าง DOTA 2 หรือ Overwatch ที่ปรับต่ำๆ บนความละเอียด Full HD
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD แบบ NVMe M.2 ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดไดร์ฟแบบจานหมุนหรือแบบลูกผสมอย่าง SSHD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด โดยสามารถอ่านที่ความเร็วสูงสุดที่ 3074 MB/s และเขียนได้ระดับ 1127 MB/s เลยทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าพอสมควร ใกล้เคียงพวกตระกูล HQ เข้าไปอีก จากการทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด รวมไปถึงตัวการ์ดจอออนบอร์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของ Dell XPS 13 (9370) ก็คือมาพร้อมซอฟต์แวร์บันเดิลอย่าง Dell SupportAssistant โดยเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราดูแลคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โปรแกรมนี้ยังระบุข้อมูลที่สำคัญสำหรับแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นหมายรวมไปถึงการอัพเดทไดร์เวอร์ต่างๆ และ Windows ด้วย จัดได้ว่าดีและใช้งานได้จริง
Battery / Heat / Noise
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานที่สุดของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว โดยรองรับการทำงานจริงได้ยาวนานถึง 14 ชั่วโมง ในการเปิด Youtube ดูยาวๆ ในความละเอียด Full HD นอกเหนือจากการทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลงและเบายิ่งแล้ว Dell ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ XPS 13 ใหม่ให้สูงกว่ารุ่นก่อนกย่าง Dell XPS 13 (9360) ถึงสองเท่า ทำให้ Dell XPS 13 (9370) เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในบรรดาเครื่องรุ่นเดียวกัน
Dell XPS 13 (9370) มาพร้อม Dell Power Manager ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับสมดุลของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ การชาร์จไฟ ความร้อน และอะคูสติค นอกจากนี้ Dynamic Power Mode จะให้สมรรถนะการทำงานในระดับสูงสุดสำหรับการใช้งาน แอปพลิเคชันต่างๆ อาทิ การทำวิดีโอ เรนเดอริ่ง การทำสเปรดชีตในระดับแอดวานซ์ ขณะที่มีการตรวจสอบ และจัดการอุณหภูมิของระบบได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งหมายความว่า Dell XPS 13 (9370) จะยังคงรักษาประสิทธิภาพการทำงานในระดับสูงได้แม้มีการใช้งานต่อเนื่อง ในขณะที่โน๊ตบุ๊คอื่นๆ อาจมีประสิทธิภาพลดลง
ในส่วนของวิศวกรรมด้านความร้อน เครื่อง Dell XPS 13 (9370) คือโน๊ตบุ๊คตัวแรกของโลกที่สร้างด้วยฉนวนกันความร้อน GORE Thermal Insulation ซึ่งเป็นฉนวนกันความร้อนเดียวกับ Silica Aerogels ที่ใช้งานในสภาพแวดล้อมด้านงานวิทยาศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและงานวิศวกรรมแบบเต็มพิกัด เพื่อกระจายและลดความร้อน โดยวัสดุดังกล่าวถูกนำไปใช้เป็นฉนวนกันความร้อนของยานสำรวจดาวอังคาร (Mar Rovers) และการจับอนุภาคความเร็วสูง (Hyper Velocity Particle) ในโครงการอวกาศ Stardust โดยวัสดุนี้จะดึงความร้อนออกจากอุปกรณ์โดยตรง เพื่อทำให้ระบบเย็นลงในขณะที่กำลังทำงานอย่างหนัก
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 35 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าเครื่องจะร้อนที่สุด 99 – 100 องศาเซลเซียสทีเดียว แต่ก็สามารถระบายออกได้อย่างรวดเร็ว นับว่าระบบระบายความร้อนของ Dell XPS 13 (9370) เครื่องนี้ทำออกมาได้ดีกว่า Ultrabook เครื่องอื่นๆ ที่เคยทำการรีวิวมาพอควร เพราะความร้อนทั่วไปจะอยู่ที่เพียง 39 – 46 องศาเซลเซียสตอนทำงานเต็มที่แล้ว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนจาก Dell ที่ดี และชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุดที่มีมีเทคโนโลยีการผลิตที่เล็กลง
Conclusion / Award
อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า Dell XPS 13 (9370) ไม่ได้มีแต่สีสัน Platinum Silver ที่ทีมงาน NotebookSPEC รีวิวเท่านั้น แต่ยังมีสีตัวเครื่อง Rose Gold อยู่ โดยแตกต่างในส่วนของวัสดุที่รังสรรค์ส่วนรองข้อมือในสีขาว Alpine White ที่ให้อารมณ์เสมือนเป็นลายถักทอ โดยก้าวข้ามข้อจำกัดด้านสีของวัสดุคาร์บอน ไฟเบอร์แบบดั้งเดิม ซึ่งทางเลือกคือการใช้วัสดุที่เป็นนวัตกรรมใหม่เรียกว่า Crystalline Silica ที่มีการถักทอออกมาเป็นสีขาวที่แท้จริง คล้ายกับเนื้อผ้าที่มีการถักทอไปมาถึงเก้าชั้น ทั้งนี้ Dell คือรายแรกที่ใช้การถักทอไฟเบอร์กลาสในโน๊ตบุ๊คการ ซึ่งการถักทอด้วยไฟเบอร์กลาสยังช่วยให้ตัวเครื่องรักษาความเย็นได้มากขึ้น ช่วยรองรับการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจจริงๆ สำหรับ Ultrabook รุ่นล่าสุดสุดพรีเมียมจากทาง Dell XPS 13 (9370) ปี 2018 ที่ต่อยอดความสำเร็จตระกูล XPS 13 ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ รวมไปถึงประสิทธิภาพและประสบการณ์ใช้งาน ที่แม้ว่าอาจจะข้อสังเกตุในเรื่องของราคาค่าตัวที่สูงซักหน่อย ซึ่งเหมาะกับคนที่พร้อมจ่ายสุดยอดโน๊ตบุ๊คบางเบาที่ดีที่สุดซักตัว ยิ่งเมื่อเทียบ Dell XPS 13 (9370) กับ MacBook Pro 13 รุ่นล่าสุด จะเห็นว่ามีทั้งความบางเบา มิติตัวเครื่อง ที่เหนือกว่า รวมไปถึงความละเอียดหน้าจอ และสเปกที่ใหม่ล่าสุดกว่า ที่สำคัญกับราคาที่ถูกกว่าในสเปกที่ใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็แม้ว่า Dell XPS 13 (9370) จะดีขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีราคาที่สูงกว่า Ultrabook รุ่นอื่นๆ แต่ก็เหนือกว่ารุ่นอื่นๆ เช่กัน ด้วยการที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กเทียบเท่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 11.6 นิ้ว ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3 นิ้ว (แน่นอนว่าขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊ค 13.3 นิ้วทั่วไป) จัดได้ว่ามีความน่าซื้ออยู่ไม่น้อยเช่นกัน สำหรับการเป็น Ultrabook ระดับสูง แถมยังมีการรับประกันเทพถึง 3 ปีอีกด้วย ที่สำคัญคือ On Site Service คือมารับมาส่งถึงบ้านเลย
โดยสนนเริ่มต้นที่ 59,990 บาท สำหรับรุ่น Core i5 ความละเอียดหน้าจอ Full HD ส่วนรุ่น Core i7 จอ Full HD ราคาจะอยู่ที่ 64,990 บาท และรุ่น Core i7 หน้าจอ 4K Ultra HD ก็สนนราคาที่ 69,990 บาท เอาเป็นว่าใครกำลังมองหา Ultrabook ที่เน้นประสบการณ์ใช้งานที่เหนือระดับโดยไม่กังวลในเรื่องของราคาค่าตัวล่ะก็ Dell XPS 13 (9370) น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ
จุดเด่น
- เป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3 นิ้ว แต่มีขนาดตัวเครื่องเล็กเทียบเท่ารุ่นหน้าจอ 11.6 นิ้ว
- พาเนลหน้าจอ IPS มีคุณภาพสูง ขอบเขตสีกว้าง รองรับการทัชสกรีน
- ความละเอียดสูงระดับ 4K Ultra HD (มากกว่า Full HD ถึง 4 เท่า)
- ขอบจอบางพิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป เพิ่มความโดดเด่น
- น้ำหนักเบา ตัวเครื่องบางพิเศษ วัสดุเป็นคาร์บอนไฟเบอร์
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุด และ SSD ความเร็วสูง
- พอร์ตการเชื่อมต่อ USB Type-C มาตรฐาน Thunderbolt 3
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 14 ชั่วโมง
- มี Windows 10 แท้ พร้อมใช้งาน
- รองรับ Windows Hello ด้วยการแสกนหน้าด้วยกล้อง IR
- อแดปเตอร์มีขนาดเล็กมากๆ เทียบเท่าของสมาร์ทโฟน
- ประกันถึง 3 ปี มาพร้อม On Site Service มาตรฐาน Dell
ข้อสังเกตุ
- ราคาสูงกว่า Ultrabook ทั่วไป
- ความร้อนสูงสุด ค่อนข้างสูง (แต่ก็ไม่รบกวนการใช้งาน)
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง Dell XPS 13 (9370) ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ XPS มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน Dell XPS 13 (9370) ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ Ultrabook ตระกูล XPS อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 15 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 1.21 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่เล็กมาก พกพาสะดวก รวมน้ำหนักแล้วยังไม่ถึง 1.4 กิโลกรัม เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ
Best Ultrabook
และด้วยข้อดีข้อเด่นทั้งหมดทั้งมวลนี้ Dell XPS 13 (9370) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอด Ultrabook ของปี 2018 นี้ ทั้งในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ประสิทธิภาพ หน้าจอคุณภาพสูง ที่หา Ultrabook เครื่องอื่นๆ มาเทียบไม่ได้ ประกอบกับคุณสมบัติในการตอบสนองการทำงานที่ครบถ้วน เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกอะไรนักที่จะได้รับ Award ประเภท Best Ultrabook ไปครับ อีกทั้ง Dell XPS 13 (9370) เพิ่งได้รับรับรางวัลอันทรงเกียรติล่าสุดจาก CES 2018 Innovation Award มาช่วงต้นปีนี้เอง การันตีความเจ๋งได้เลย
Best Performance
ด้วยสเปก Dell XPS 13 (9370) ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i7 ตัวล่าสุด ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB รวมไปถึง SSD ความเร็วสูง PCIe ความจุ 512GB ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Best Battery Life
แม้ว่าในตัวของ Dell XPS 13 (9370) จะอัดแน่นไปด้วยสเปกหรือเทคโนโลยีต่างๆ แต่ในเรื่องของการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉลี่ยแล้วถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ได้นานถึงประมาณ 14 ชั่วโมงด้วยกัน ส่งผลให้ได้รางวัล Best Battery Life ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ Dell ได้ใส่แบตเตอรี่คุณภาพสูง และชิปประมวลผลก็ประหยัดพลังงาน อีกทั้งระบบปฏิบัติการซอฟต์แวร์และ Windows 10 ก็เป็นตัวช่วยจัดการพลังงานได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปรับค่าเองแต่อย่างใดเลย