เมื่อไม่นานมานี้ทาง Dell ประเทศไทย ได้ประกาศเปิดตัว Dell XPS 13 (9370) รุ่นใหม่ล่าสุดออกมา กับโน๊ตบุ๊คประเภท Ultrabook ระดับบน ด้วยขนาดเล็กกะทัดรัด พร้อมรูปลักษณ์เพรียว เบา บางเฉียบยิ่งขึ้น ด้วยจอแสดงผลแบบ InfinityEdge ด้วยความละเอียดสูงระดับ 4K มีให้เลือกใช้เท่ๆ ใน 2 สไตล์ ได้แก่ Platinum Silver และ Black มาพร้อม Rose Gold และ Alpine White อันเจิดจรัส (ในไทยจะตามมาภายหลัง)
โดย Dell XPS 13 รุ่นแรกเปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2012 (Consumer Electronics Show) เครื่อง XPS 13 ยกระดับไปสู่ความเหนือชั้นที่สืบสานอยู่ในสายผลิตภัณฑ์ XPS ในฐานะของโน๊ตบุ๊คที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลกและผู้ชนะเลิศรางวัลด้านผลิตภัณฑ์มากกว่าสายผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในประวัติศาสตร์ Dell อีกทั้ง Dell XPS 13 (9370) เพิ่งได้รับรับรางวัลอันทรงเกียรติล่าสุดจาก CES 2018 Innovation Award มาช่วงต้นปีนี้เอง
Dell XPS 13 (9370) แบ่งออกเป็น 3 สเปกและราคาดังนี้
- i5-8250U + RAM 8GB + SSD 256GB + Full HD ราคา 59,990 บาท
- i7-8550U + RAM 8GB + SSD 256GB + Full HD ราคา 64,990 บาท
- i7-8550U + RAM 16GB + SSD 512GB + Ultra HD Touch ราคา 79,990 บาท
Dell XPS 13 (9370) ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Ultrabook ตัวหรูระดับไฮเอนด์ ที่มีการเปิดตัวมาหลายปีก่อนกับโมเดลที่ต้องบอกว่าได้ทั้งความบางเบาหรูหรา ในขนาดหน้าจอ 13.3″ ในเครื่องที่เล็กเทียบเท่ากับโน้ตบุ๊ตขนาดหน้าจอ 11.6″ เท่านั้น ด้วยฟีเจอร์ Infinity Edge display ขอบหน้าจอบางเฉียบ เรียกได้ว่าหลังจากที่ Dell XPS 13 ได้เปิดตัวครั้งแรกกับโมเดลนี้ ทำให้โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ หลายรุ่นจะมาพร้อมขอบหน้าจอบางเฉียบมากมาย
Dell XPS 13 (9370) รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่หลายอย่างแต่ก็ยังคงความเป็นคาร์บอนไฟเบอร์อยู่ ที่สำคัญคือมีสีสันใหม่อย่าง Alpine White และ Rose Gold รวมไปถึงมาพร้อมกับพอร์ต Thunderbolt 3 มาตรฐาน USB Type-C โดยให้มาถึง 3 พอร์ตทีเดียว แบ่งเป็นThunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต และ DisPlayPort อีกหนึ่ง (แต่ตัด USB Type-A ไปหมดเลย) อีกทั้งยังมีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และ micro-SD Card Reader มาให้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีปุ่มเช็คสถานะแบตเตอรี่ตัวเครื่องอีกด้วย
ทางด้านดีไซน์ตัวเครื่องนั้นในครั้งนี้ Dell XPS 13 (9370) ยังคงมาพร้อมกับ Infinity Edge display เช่นเดิมแต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือขนาดของขอบตัวเครื่องนั้นจะบางลงกว่าเดิมจาก 5.2 มิลลิเมตร ไปอยู่ที่ 4.5 มิลลิเมตร และบางสุดที่ 3.4 มิลลิเมตรเท่านั้นทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นความแตกต่างจาก XPS 13 รุ่นก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งโดยรวมแล้วนั้น Dell XPS 13 9370 นั้นจะบางลงถึง 23% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่วนน้ำหนักก็เบามากๆ เพียง 1.2 กิโลกรัมเท่านั้น ตอบโจทย์การพกพาอย่างที่สุด
ตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบาโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะลาดเอียงเล็กน้อย ที่ขอบอะลูมิเนียมรอบของตัวเครื่อง ส่วนคาร์บอนไฟเบอร์นั่น จะถูกนำเอามาใช้ด้านในของตัวเครื่องเป็นหลัก ส่งให้เวลาที่เราเอามือมาวางจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหนือชั้นกว่าวัสดุทั่วๆ ไป
สิ่งที่มาพร้อมความสวยงามคือความคงทนด้วยไททาเนียมออกไซด์ที่เคลือบอยู่ด้านบนพื้นผิวอะลูมิเนียมเพื่อความเงางาม ช่วยต้านทานแสง UV และรอยเปื้อน เพื่อป้องกันการเกิดคราบ หรือการเปลี่ยนสีไปตามระยะเวลาใช้งาน ตามจริงแล้ว หากเกิดรอยเปื้อน ไม่ว่าจะจากสีของปากกา หรือคราบต่างๆ ผู้ใช้สามารถเช็ดออกได้อย่างง่ายดาย และด้วยความสามารถในการทนทานต่อความร้อนในระดับที่เหนือกว่าโลหะ การถักทอด้วยไฟเบอร์กลาสยังช่วยให้ตัวเครื่องรักษาความเย็นได้มากขึ้น ช่วยรองรับการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
ส่วนของคีย์บอร์ดนั้นตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีดำสกรีนตัวอักษรสีขาว มีการออกแบบมาให้ปุ่มมีความโค้งรับกับนิ้วมือได้พอดี ในส่วนของไฟ LED Backlit ก็สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว โดยมีระบบการปรับระดับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพแสงรอบข้างด้วย ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมขวาบน สีกลืนไปกับเครื่อง ซึ่งข้อดีก็คือมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปเผลอกดระหว่างการใช้งานแน่นอน พร้อมมีไฟส่องสว่างให้เห็นสถานะ ทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ส่วนดีไซน์นั้นก็ใช้เป็นแบบไม่มีปุ่มแยกออกมาเช่นเดียวกับ Ultrabook หลายๆ รุ่น การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
นอกจากนี้เท่าที่มีข้อมูลคือ Dell XPS 13 (9370) จะมาพร้อมระบบเข้าใช้งาน Windows Hello ผ่านทางกล้อง IR ติดตั้งอยู่ใต้หน้าจอ โดยในชุดบันเดิลมาพร้อมอแดปเตอร์ตัวแปลง USB Type-C to USB Type-A และอแดปเตอร์ที่มีหัวเชื่อมต่อเป็น USB Type-C ดูแล้วสะอาดตา พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการเชื่อมต่อ ที่สำคัญขนาดตัวอแดปเตอร์เองก็มีขนาดที่เล็กลงมากๆ เทียบเท่าอแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟนก็ว่าได้
สำหรับภายในตัวเครื่องนั้น Dell XPS 13 (9360) จะมาพร้อมกับพัดลมระบายอากาศเพียงตัวเดียวเท่านั้นในขณะที่ Dell XPS 13 (9370) นั้นจะมาพร้อมกับพัดลมระบายอากาศจำนวน 2 ตัวซึ่งมีผลทำให้รุ่นใหม่นี้ นั้นจะมีเสียงรบกวนที่น้อยกว่าและความสามารถในการระบายความร้อนของตัวเครื่องที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าอีกด้วย ด้านของลำโพงสเตอรีโอนั้นอยู่บริเวณด้านซ้ายขวาขอบตัวเครื่อง ในเรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่ายอดเยี่ยม โดยจากการใช้งานจริงเสียงนั้นจะออกมาทุกทิศทางทั้งจากช่องลำโพง คีย์บอร์ด และใต้ตัวเครื่องอีกด้ย
ไม่ได้แตกต่างเพียงสีสันเท่านั้นสำหรับ Dell XPS 13 (9370) สีตัวเครื่อง Rose Gold ในการรังสรรค์ส่วนรองข้อมือในสีขาว Alpine White ที่ให้อารมณ์เสมือนเป็นลายถักทอ โดยก้าวข้ามข้อจำกัดด้านสีของวัสดุคาร์บอน ไฟเบอร์แบบดั้งเดิม ซึ่งทางเลือกคือการใช้วัสดุที่เป็นนวัตกรรมใหม่เรียกว่า Crystalline Silica ที่มีการถักทอออกมาเป็นสีขาวที่แท้จริง คล้ายกับเนื้อผ้าที่มีการถักทอไปมาถึงเก้าชั้น ทั้งนี้ Dell คือรายแรกที่ใช้การถักทอไฟเบอร์กลาสในโน๊ตบุ๊คการ ซึ่งการถักทอด้วยไฟเบอร์กลาสยังช่วยให้ตัวเครื่องรักษาความเย็นได้มากขึ้น ช่วยรองรับการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
ในส่วนของวิศวกรรมด้านความร้อน เครื่อง Dell XPS 13 (9370) คือโน๊ตบุ๊คตัวแรกของโลกที่สร้างด้วยฉนวนกันความร้อน GORE Thermal Insulation ซึ่งเป็นฉนวนกันความร้อนเดียวกับ Silica Aerogels ที่ใช้งานในสภาพแวดล้อมด้านงานวิทยาศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและงานวิศวกรรมแบบเต็มพิกัด เพื่อกระจายและลดความร้อน โดยวัสดุดังกล่าวถูกนำไปใช้เป็นฉนวนกันความร้อนของยานสำรวจดาวอังคาร (Mar Rovers) และการจับอนุภาคความเร็วสูง (Hyper Velocity Particle) ในโครงการอวกาศ Stardust โดยวัสดุนี้จะดึงความร้อนออกจากอุปกรณ์โดยตรง เพื่อทำให้ระบบเย็นลงในขณะที่กำลังทำงานอย่างหนัก
ด้วยจอแสดงผลที่มีความละเอียดกว่า 2.5 ล้านพิกเซลพร้อม 4K Ultra HD เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่เป็น +QHD จอแสดงผล sRGB 100% บน Dell XPS 13 (9370) ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับสีที่ถูกต้องในการแสดงผล ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพ ส่งผลให้มีสีสันสวยสมจริง คมชัดในทุกมุมมอง ด้วยความสว่างที่สูง ซึ่งสว่างกว่าแผงหน้าจอทั่วไปถึง 100% จึงสามารถแสดงผลได้ยอดเยี่ยมแม้จะอยู่กลางแจ้ง อีกทั้งยังครอบคลุมเฉดสีและมีอัตราส่วนคอนทราสต์สูง จึงถ่ายทอดสีสันได้มากกว่า แสดงสีโทนสว่างได้สว่างสุดๆ และสีโทนมืดได้มืดสนิท
อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานที่สุดของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว โดยรองรับการทำงานได้ยาวนานถึง 20 ชั่วโมงในรุ่น FHD และสูงถึง 11 ชั่วโมงบน UHD (Mobile Mark 14) ดังนั้น นอกเหนือจากการทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลงและเบายิ่งแล้ว Dell ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ XPS 13 ใหม่ให้สูงกว่าเครื่องรุ่นปี 2015 ถึงสองเท่า ทำให้ XPS 13 เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในบรรดาเครื่องรุ่นเดียวกัน
เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจจริงๆ สำหรับ Ultrabook รุ่นล่าสุดสุดพรีเมียมจากทาง Dell XPS 13 (9370) ปี 2018 ที่ต่อยอดความสำเร็จตระกูล XPS 13 ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ รวมไปถึงประสิทธิภาพและประสบการณ์ใช้งาน ที่แม้ว่าอาจจะข้อสังเกตุในเรื่องของราคาค่าตัวที่สูงซักหน่อย ซึ่งเหมาะกับคนที่พร้อมจ่ายสุดยอดโน๊ตบุ๊คบางเบาที่ดีที่สุดซักตัวครับ
ยังไงก็รอติดตามกันได้เลยสำหรับรีวิวตัวเต็มของ Dell XPS 13 (9370) ปี 2018 เพราะตอนนี้อยู่ในมือของทีมงาน NotebookSPEC กันแล้วครับ