ถ้าให้นึกถึงธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยมในสมัยนี้มากที่สุดเชื่อว่าหลายๆคนคงนึกถึงธุรกิจ Startup อย่างแน่นอนแต่ก็เชื่อว่าใครหลายๆคนอาจจะยังไม่รู้จักกับธุรกิจ Startup ว่าคืออะไรและแบบไหนที่เรียกว่าธุรกิจ Startup วันนี้เราจะพามารู้จักกับธุรกิจ Startup กันแบบเบื้องต้นกันครับผม
อะไรคือธุรกิจ Startup ?
หลายๆคนคงมักจะคิดกันว่าธุรกิจ Startup คงจะเป็นธุรกิจจากคนที่ไม่มีอะไรเลยแล้วสามารถเติบโตขึ้นมาได้จนถึงจุดสูงสุด ตรงนี้ก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง โดยความหมายของธุรกิจ Startup นั้นก็คือเป็นกิจการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เริ่มต้นจากจุดเล็กๆที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด โดยจะมีการออกแบบธุรกิจให้ทำซ้ำง่ายไม่ซับซ้อน และ ขยายกิจการได้ง่าย เปรียบกับการทำขนมปังถ้าเราออกแบบให้ทำยากใช้วิธีการที่ซับซ้อนทำยากเกินไปก็จะไม่แพร่หลายเพราะมันทำตามยาก แต่ถ้าทำเป็นขนมปังธรรมดาคนก็จะสามารถทำตามกันได้ง่ายสินค้าก็จะแพร่หลายง่ายมากขึ้นนั้นเอง (เห็นภาพเลยก็จะเป็น ขนมปังเยาวราช)
สรุปรวมๆแล้ว ธุรกิจ Startup คือ “ธุรกิจที่ใครๆก็สามารถทำได้ แต่เราต้องทำได้ดีกว่า” โดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นธุรกิจที่นำเทคโนโลยี และ นวัตกรรมมาเป็นหัวใจหลักในการสร้างธุรกิจ และมักจะเป็นธุรกิจที่ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
โดยในยุคไทยแลนด์ 4.0 นั้นก็เริ่มมีธุรกิจ Startup เพิ่มมากขึ้นโดยใช้แนวคิดง่ายๆที่สามารถทำตามกันได้โดยที่เห็นกันอย่างชัดเจนเลยก็คือพวกธุรกิจฝากขายสินค้า Shopee/Lazada/Line shop และอืนๆอีกมากมายนอกจากนั้น Startup แปลกๆที่น่าสนใจก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว อย่าง TakeMeTour ที่เป็นบริการที่จะหาไกด์ให้เราเวลาที่เราไปเที่ยวรวมไปถึงเราก็สามารถเข้าไปสมัครเป็นไกด์ได้ด้วย และที่น่าจับตามองมากที่สุดในตอนนี้คงเป็น ไอแต้ม(iTaam) ธุรกิจที่จะพาเราเข้าถึงประกันสัตว์เลี้ยงได้ง่ายกว่าที่เคย โดยเว็ปไซต์ iTaam จะเป็น เว็บไซต์ที่รวบรวมโปรแกรมตรวจสุขภาพ และ ประกันภัยให้กับเจ้าตูบหรือน้องแมวของคุณ นั้นเอง
Startup จะโตขึ้นอย่างไรละ ?
ในสมัยนี้นั้นการโตของธุรกิจ Startup จะง่ายขึ้นเพราะว่าด้วยช่องทางที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Social Media และ เว็ปไซต์ต่างๆ ดังนั้นนี้จึงเป็นเหตุผลหลักๆที่ทำให้ธุรกิจ Startup เติบโต และ เป็นที่น่าสนใจอย่างกว้างคว้างในยุคนี้ โดย Startup ในยุคนี้นั้นจะสามารถพัฒนาและสรุปได้เป็น 3 ขั้นตอน
1.ปัญหา > แนวทางแก้ไข
อยากที่บอกไปในหัวข้อ อะไรคือธุรกิจStartup ? ว่าแนวคิดธุุรกิจนี้จะมาจากการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเราก็ต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหานั้นแล้วจับมาทำเป็นธุรกิจชะเลยยกตัวอย่างเช่น
ปัญหา : หิวข้าวงานยุ่งออกไปไหนไม่ได้ > แนวทางแก้ไข : หาคนออกไปซื้อให้สิ = Line man / Foodpanda
ปัญหา : ต้องส่งเอกสารด่วนจะนั่งรถไปเองก็ไม่สะดวก > แนวทางแก้ไข : หามอไซต์สักคันไปส่งให้ = Lalamove
โดยหลังจากที่เราได้แนวทางแก้ไขแล้วนั้นสิ่งนั้นจะเรียกแทนทีด้วยคำว่า “ผลิตภัณฑ์หรือบริการ” นั้นเอง
2.ผลิตภัณฑ์หรือบริการ > ทดลองตลาด
หลังจากที่เราได้แนวทางในการทำธุรกิจมาแล้วนั้นก็เข้าสู่การทดลองตลาดโดยการทดลองตลาดนั้นง่ายๆเลยก็คือลดแลกแจกแถมมักจะเห็นกันบ่อยๆกับ Grab ที่มักจะมีโปรโมชั่นลดราคามาให้เราเห็นกันบ่อยๆตอนออกบริการใหม่ไม่ว่าจะเป็นนั่งฟรี หรือ ลดทีละเยอะๆ เพราะในช่วงนี้เราไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่กำไร แต่เป็นการสำรวจตลาดจริงว่าลูกค้ามักใช้ตอนไหน และ บริเวณไหนมีคนนิยมใช้กันเยอะที่สุด จนนำไปสู่ “ธุรกิจ”
3.ธุรกิจ > ปรับปรุงพัฒนาต่อยอด
ขั้นตอนสุดท้ายกับการปรับปรุงพัฒนาและต่อยอด หลังจากที่เราได้ไปทดลองตลาดกันเสร็จเรียบร้อยเราก็นำข้อมูลที่ได้จากการทดลองตลาดมาปรับปรุง “ผลิตภัณฑ์หรือบริการ” เพื่อให้เข้ากับตลาดมากที่สุดและนำไปพัฒนาต่อยอดอย่างไม่หยุดยั้ง
จะหาไอเดียธุรกิจมาจากไหน ?
แน่นอนว่าไอเดียธุรกิจที่เกิดขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากการสังเกตุปัญหาที่ตัวเองมี และ ต้องเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ก็อาจจะเจอกัน แต่ยังไม่มีการแก้ปัญหาที่ดีพอจึงเกิดเป็นช่องว่างในการทำธุรกิจขึ้นโดยอาจจะเริ่มจาก
- การคิดถึงประโยชน์ของคนที่เข้ามาใช้งาน
ในยุคสมัยนี้คนชอบอะไรที่เข้าถึงง่ายและก็ออกมาง่ายด้วยเช่นกันยกตัวอย่างเช่น Liluna แอพแชร์ค่าเดินทางชื่อดังโดยประโยชน์ของคนที่เข้ามาใช้งานนั้นก็คือคนขับก็ มีเพื่อนนั่งรถไปด้วย/ประหยัดค่าใช้จ่ายได้จากการแชร์ค่าใช้จ่าย ส่วนคนที่นั่งไปด้วยก็ได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย/ไม่ต้องต่อรถหลายๆต่อ และถ้ามีคนใช้กันเยอะก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องรถติดได้อีกด้วย
- คิดถึงรูปแบบธุรกิจใหม่ๆที่เข้าใจได้ง่าย
การที่จะเติบโตได้อย่างไร้คู่แข่งก็คงมีวิธีเดียวนั้นก็คือคิดถึงธุรกิจใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใครทำอย่าง Fixzy ที่เป็นแอพรวบรวมช่างซ่อมไว้ในแอพเดียวไม่ว่าที่บ้านเราจะมีปัญหาอะไรเพียงใช้แอพนี้เรียกช่างที่มีทั้งงานซ่อมระบบน้ำ, ระบบไฟ, เครื่องใช้ไฟฟ้า และอืนๆอีกมากมาย โดยตอนนี้ยังไม่มีใครเป็นคู่แข่งเขาหมายความว่าเขาก็เป็นเจ้าของตลาดส่วนนี้แบบเต็มร้อยนั้นเอง
- คิดถึงเรื่องที่เราชำนาญสิ
แน่นอนว่าสิ่งที่จะเอามาขายที่ดีที่สุดต้องเป็นสิ่งที่เราเก่งที่สุดสิ ดังนั้นเรื่องที่เราชำนาญที่สุดนั้นแหละอาจจะเป็นแนวทางในการทำธุุรกิจอย่างเหล่าๆ Admin เว็ป Notebookspec ก็อาจจะเปิดบริการ เพื่อนซื้อคอม ด ก็ได้ เพราะว่าเหล่า Admin ก็มีความชำนาญในเรื่อง Hardware กันอยู่แล้วจึงได้ดังนี้
ปัญหา : จัดคอมในเน็ตแทบตายไปซื้อจริงไม่มีของ > แนวทางแก้ไขปัญหา : ถ้ามีใครสักคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเลือกอุปกรณ์ได้คงจะดี = เพือนซื้อคอม (สมมุติเฉยๆนะ ไม่ได้ทำจริงๆ ฮ่าๆ)
มารู้จักเครื่องมือ AARRR กันเถอะ
AARRR นั้นเป็นเครื่องมือที่เป็นวิธีการทำการตลาดเพื่อให้เขาถึงลูกค้า โดยจะเน้นในเรื่องการวัดผลไปด้วย ซึ่งจะต้องเรียนรู้เร็วและวิเคราะห์ทุกขั้นตอนเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดย AARRR จะมีความหมายดังนี้
- A : Acquisition – การทำให้เป็นที่รู้จัก (การโฆษณา)
- A : Activation – พอคนเริ่มรู้จักแล้วจะทำให้ยังไงคนอยากมาลองใช้
- R : Retention – พอคนใช้แล้วจะทำยังไงเพื่อให้คนอยากที่จะใช้ต่อ (ส่วนใหญมักจะเป็นโปรโมชั้นสำหรับลูกค้าเก่า)
- R : Revennue – ทำให้เกิดรายได้ ธุรกิจทุกอย่างล้วนต้องการกำไรเพื่อนำมาพัฒนาองค์กร ต่อดังนั้นรูปแบบธุรกิจของเราต้องทำให้เกิดรายได้ที่เพียงพอด้วย
- R: Referral -ทำให้เกิดการบอกต่อ ในส่วนนี้จะเห็นกันบ่อยมากอาจจะเป็นชวนเพื่อนรับส่วนลดเพิ่มบลาๆ
สรุปหัวใจหลักของ ธุรกิจ Startup
สิ่งที่ต้องนึกถึงเสมอเวลาที่ต้องทำธุรกิจ Startup นั้นก็คือ
- ทำให้ใคร ? – ลูกค้าของเราคือใคร แล้ว เราจะใช้ช่องทางไหนในการเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายที่สุด และ เราจะพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าของเราอย่างไร
- ทำอะไร ? – คุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการคืออะไร สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน และ ที่สำคัญตลาดกว้างพอไหม ?
- ทำอย่างไร ? – ใช้ทรัพยากรอะไรทำ และ ต้องทำอะไรบ้างเป็นหลัก สามารถหาผู้สนับสนุน หรือคู่ค้าได้มากแค่ไหน
- ทำแล้วคุ้มไหม ? – รายได้หลักมาจากทางไหน และ มีรายจ่ายหลักเท่าไหร่ เพียงพอสำหรับการจ่ายทีมงานหรือพัฒนาองค์กรต่อหรือไม่
ไอเดียมา แต่เงินทุนไม่มีจะหาแหล่งเงินทุนจากไหน ?
แน่นอนว่าถึงแม้เราจะมีไอเดียที่ดีสักแค่ไหนแต่กับไม่มีเงินทุนจึงไม่สามารถทำให้ธุรกิจเหล่านั้นสามารถกำเนิดออกมาได้ โดยแหล่งเงินทุนนั้นมาได้จากหลายที่ดังนี้
- เงินทุนจากตัวเองหรือครอบครัว
โดยเป็นแหล่งทุนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดนั้นก็คือจากเงินเก็บของตัวเราเอง แต่ในส่วนนี้ก็ต้องอาศัยความเชื่อมั่นและความกล้าที่จะเสี่ยงด้วยเงินทุกของตนเองก่อน แต่ถ้ายังไม่พอเราอาจจะไปหาเพื่อนสักคนที่สนใจมาเป็นผูู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจ หรือ (Co-Founder) หรือ ยืมมาจากพอแม่ญาติพี่น้องกันก่อนก็ได้
- นักลงทุนอิสระ
จากนักลงทุนอิสระนั้นเอง โดยส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว และมีความสนใจในธุรกิจของเรา และพร้อมที่จะร่วมลงทุน โดยจุดเด่นตรงจุดนี้นั้นก็คือ นอกจากจะได้รับการสนับสนุนเรื่องเงินทุนแล้ว ยังจะได้รับคำแนะนำ ช่วยเหลือ ร่วมไปถึงเรื่อง Connection ในการทำธุรกิจได้อีกด้วย
- การแข่งขั้น
ช่วงนี้หลังจากที่ธุรกิจ Startup นั้นมาแรงก็มักจะมีการประกวดแผนธุรกิจ Startup มาให้เห็นอยู่เรือยๆซึ่งเราก็สามารถทำแผนธุรกิจของเราไปประกวดเพื่อที่จะได้เงินรางวัลรวมไปถึงผู้สนับสนุนมาเป็นแหล่งเงินทุนให้กับเราก็ได้
- การระดมทุน
เป็นอีกหนึ่งทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเวลานี้เพราะในตอนนี้ก็มีเว็ปไซต์ที่สามารถช่วยได้เรื่องการระดมทุนอย่าง Kickstarter นั้นเองซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้วงการธุรกิจ Startup สามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
- เงินกู้ธนาคาร
หนทางสุดท้ายนั้นก็คือกู้ธนาคารในช่วงนี้ก็มีการอนุมัติเงินกู้สำหรับการทำธุรกิจเพียงแค่เรานำแผนธุรกิจไปเสนอกับทางธนาคารและทางธนาคารจะเป็นฝ่ายพิจกรณาว่าจะให้กู้ผ่านหรือไม่นั้นเอง
เพราะอะไรทำไม ธุรกิจ Startup ในยุค 4.0 จึงโตไว ?
ถ้าสังเกตุจากองค์ประกอบด้านบนนั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าในช่วงนี้นั้่นเทคโนโลยีได้เปิดกว้างไปมากจึงทำให้มีช่องทางต่างๆไม่ว่าจะการทำธุรกิจ เข้าหาลูกค้า รวมไปถึงการหาเงินทุน อีกด้วยถ้าย้อนกลับไปในสมัยก่อนนั้นอาจจะมีปัญหาในเรื่องข้อจำกัดในด้านอุปกรณ์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มาก แต่หลังจากที่สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า Smartphone และ Internet 4G ได้ถือกำเนิดนั้นถือว่าเป็นช่องทางที่เหมาะกับการทำธุรกิจ Startup มากที่สุด
เพราะว่าเราสามารถขยายฐานลูกค้าไปได้อย่างรวดเร็วผ่าน Internet และเข้าถึงลูกค้าตรงเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้นนั้นเอง (สนใจก็โหลดแอพสิ ไม่สนใจก็ไม่เป็นไร) นอกจากนั้นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าก็ง่ายแสนง่ายอย่าง Line ที่สามารถตอบกลับแบบ Real-Time ได้ในทันทีจึงสามารถช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถเข้าถึงการดูแล รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้นนั้นเองดังนั้นนี้คือสิ่งที่ทำให้ ธุรกิจ Startup ในยุค 4.0 โตไว
- เงินทุน : ถ้าของคุณน่าสนใจละก็ใช้ KickStarter สิ
- ทำอะไรดี : สร้างแอพสิ สร้างบริการดีๆ เอาให้ใหม่และใช้งานได้จริง
- การเข้าถึงลูกค้า : โฆษณาสินค้าและบริการผ่าน Facebook สิ
- สรุปผล : มีแอพดีๆหลายแอพคอยช่วยจัดการ รวมไปถึง Facebook ก็มีการเก็บสถิติให้ด้วย
- สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า : ติดต่อผ่าน Line สิ
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจ Startup มีคนสนใจเข้ามาทำกันเยอะมากขึ้นแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายไปหมดทุกอย่างนี้สิ !!!
เพราะอะไรทำไมธุรกิจ Startup ในไทยจึงดับกันค่อนข้างไว ?
- เพราะว่าขาดความเข้าใจในเรื่องการตลาดและลูกค้า
ในโลกที่ทุกอย่างเป็นเทคโนโลยีทั้งหมดแบบนี้ จึงทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหลายรายเลือกที่จะให้ความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยี ที่มากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการตลาดสำคัญเป็นอันดับ 1 จึงทำให้หลายๆบริษัทถึงแม้จะมีเทคโนโลยีที่ดูตื่นเต้นแต่กับสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เพียงกลุ่มเล็กๆ หรือ ทำการตลาดที่ไม่สามารถเจาะถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากพอจึงเป็นเหตุที่ทำให้ปิดตัวไปอย่างรวดเร็ว
- แผนการตลาดอันสวยหรูแต่กับได้กำไรมาไม่คุ้มทุน
ในยุคสมัยที่ของเริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆหลายๆคนพยายามที่จะนำเสนอบริการให้ราคาที่ถูกที่สุดโดยไม่่ได้คำนึงถึงกำไรในระยะยาวโดยในช่วงแรกของธุรกิจ Startup นั้นจะเป็นช่วงที่กำไรเข้ามาเยอะมากเพราะเป็นที่น่าสนใจ(ยกตัวอย่างให้เห็นกับ Pokemon Go ที่ตอนแรกคนสนใจเยอะมาก แต่หลังๆเริ่มหายไปละ) แต่ถ้าหมดช่วงที่คนสนใจไปแล้วละกำไรหลังจากนั้นก็ลดลงไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในเรื่องทรัพยากรต่างๆจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ startup หายไปอย่างรวดเร็ว
- ลงเงินไปเยอะมากจนเกินไป
มีคำพูดหนึ่งที่หลายๆคนชอบพูดถึงก็คือ “การลงทุนคือความเสี่ยง” ใช่เลยการลงทุนทุกครั้งมีความเสี่ยงเสมอการลงเงินที่เยอะมากจนเกินความจำเป็นจนไม่มีเงินทุนแผนสำรองก็อาจจะทำให้ธุรกิจตกสู่ที่นั่งลำบากได้ โดยหลายๆคนมักคิดว่าลงทุนไปเหอะเดี่ยวพอเปิดธุรกิจมาก็ได้เงินทุนคืนเอง แต่อย่าลืมว่า ยิ่งลงทุนเยอะเท่าไหร่ หมายความว่า ระยะเวลาในการหาเงินเพื่อมาคืนทุนในจุดนี้ก็จะได้เวลาที่นานขึ้นด้วยเช่นกัน จึงทำให้เห็นตัวเลขกำไรของธุรกิจนั้นได้ช้าลงอีกด้วย