สิ้นสุดการมโนกันเสียทีหลังจากที่ Apple เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ iPhone 8 , 8 Plus และ iPhone X (อ่านว่า ไอโฟนสิบ เพราะ X ในที่นี้คือเลขโรมัน) เรียกได้ว่าเป็นไปเหมือนที่ภาพและข้อมูลหลุดออกมาก่อนหน้านี้แทบ 100 % ซึ่งรอบนี้ Apple ก็ได้จัดเต็มเอาฟีเจอร์ทุกอย่างสมกับฉลองครบรอบ 10 ของ Apple แม้ในบางอย่างจะเคยมีมือถือ Android มาแล้วบ้าง แต่เชื่อว่า Apple เข็นลงมาทำ แสดงว่ามันดีและพร้อมใช้งานแล้ว
1. iPhone X อ่านว่า ไอโฟนสิบ (หรือไอโฟนเท็น) ไม่ใช่ ไอโฟนเอ็กซ์
จากการที่ทาง Apple ได้นำเสนอ iPhone มาครบรอบ 10 ปีแล้ว ส่งผลให้ iPhone X เป็นตัวแทนความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อรุ่นเป็นเลขโรมัน เหมือนที่เคยใช้ในระบบปฏิบัติการ OS X กันมาแล้ว ที่เชื่อได้เลยว่าหลายๆ คนนั้นได้พูดหรือเข้าผิดว่ามันคือตัว X (เอ็กซ์) แต่ความจริงแล้วมันคือเลขสิบนั่นเอง ฉะนั้นถ้าไม่อยากดู Noob แนะนำว่าควรออกเสียงหรือพูดให้ถูกด้วยว่าเป็น ไอโฟนสิบ หรือ ไอโฟนเท็น
2. iPhone 8 ราคาแพงขึ้น ส่วน iPhone X แพงกว่า iPhone ทุกรุ่นที่เคยมีมา
โดยราคาของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เปิดราคามาสูงกว่าตอน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เล็กน้อย แต่จะให้ความจุเริ่มต้นที่ 64 GB กับ 256 GB 2 รุ่นเท่านั้นไม่มี 128 GB แล้ว ส่วน iPhone X ราคาเริ่มต้นในไทยคาดการณ์ว่าจะใกล้ 40,000 บาท และรุ่นท็อปจะไปทะลุ 45,000 บาททีเดียว
ราคา iPhone 8 , iPhone 8 Plus
- iPhone 8 64 GB ราคา $699 ประมาณ 27,000 บาท
- iPhone 8 256 GB ราคา $849 ประมาณ 32,000 บาท
- iPhone 8 Plus 64 GB ราคา $799 ประมาณ 29,900 บาท
- iPhone 8 Plus 256 GB ราคา $949 ประมาณ 35,300 บาท
ราคา iPhone X
- iPhone X 64 GB ราคา $999 ประมาณ 37,100 บาท
- iPhone X 256 GB ราคา $1149 ประมาณ 44,500 บาท
* ราคาเข้าไทยมีแนวโน้มจะมากกว่านี้แน่นอน เมื่อรวมค่าความเสี่ยงเรื่องค่าเงินของ Apple เค้าแล้ว !!!
3. iPhone 8 ดีไซน์คล้ายเดิม ส่วน iPhone X แทบจะไร้ขอบจอ
ถึงแม้ว่าดีไซน์โดยรวมจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ว่ามีการเปลี่ยนใช้วัสดุอย่างเห็นได้ชัด โดย iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีวัสดุตัวเครื่องเป็นกระจกกับอลูมิเนียม ส่วน iPhone X จะใช้กระจกที่แข็งพิเศษและกรอบตัวเครื่องสแตนเลสให้ความแข็งแรงคงทนมากกว่าเรียกได้ว่าได้ DNA จาก iPhone 4 รุ่นเก่ามาอย่างชัดเจน รวมถึงดีไซน์ก็แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด มาพร้อมกับดีไซน์แทบจะไร้ขอบจอ ไร้ปุ่มโฮม พร้อมกล้องคู้แนวตั้ง
4. ชิปเซ็ตตัวใหม่ Apple A11 เร็ว แรงขึ้นกว่าเดิม 70 %
ชิปใหม่ที่ถูกเปิดตัว และนำมาใช้กับ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X คือ Apple A11 Bionic ที่มาพร้อมกับ CPU 4 Core ประหยัดแบตซึ่งเร็วกว่าชิพ A10 Fusion ถึง 70% และ 2 Core ตัวแรง ที่แรงกว่าเดิม 25% (รวมเป็น 6 Core) ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบนิวรอล AI ที่จะคอยมาช่วยประมวลผลต่าง ๆ ให้เร็วยิ่งขึ้น
5. กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านเท่าเดิม แต่เซนเซอร์ใหม่หมด
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus (กล้องคู่) มาพร้อมกล้อง 12 ล้านพิกเซล มีแฟลช LED True Tone 4 ตัวเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่หมด สามารถถ่ายรูปได้สว่างขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 83% มีโหมด Portrait Lighting ให้ปรับแสงได้ความต้องการ รวมถึงสามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ดีขึ้น และที่สำคัญสามารถถ่ายวิดีโอได้ระดับ 4K 60 fps และถ่าย Slow-mo ที่ความละเอียด Full HD 240 fps ได้แล้ว ส่วน iPhone X จะเหนือกว่าด้วยกล้องคู่เทเลโฟโต้ f/2.4 ทำให้ถ่ายรูปในที่แสงน้อยได้ดีกว่า f/2.8 ของกล้องเทเลโฟโต้ใน iPhone 8 Plus โดยทั้งคู่มาพร้อมเทคโนโลยี AR
6. กล้องและชิปสนับสนุนเทคโนโลยี AR (Augmented Reality)
จากการที่เป็นกล้องคู่และชิปประมวลผลตัวใหม่ ทำให้รองรับเทคโนโลยี AR (การรวมสภาพแวดล้อมจริง กับวัตถุเสมือนเข้าด้วยกันในเวลาเดียวกัน อาท Pokemon Go) ผ่านทางแอพพลิเคชั่นต่างๆ โดยใช้ Gyroscope, Accelerometer และเซนเซอร์ใหม่ๆ เพื่อประมวลผลรองรับการใช้งานได้หลากหลาย เช่นเกม AR หรือแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ที่รองรับการแสดงผลของ AR ทั้งอำนวยความสะดวก หรือการซื้อขายที่สมจริงยิ่งขึ้น
7. กล้องหน้า TrueDepth ล้ำหน้ากว่าที่เคย
*เฉพาะ iPhone X* กล้องหน้า TrueDepth ทำให้สามารถใช้ Portrait Mode และ Portrait lighting ได้เหมือนกับกล้องหลัง ของ iPhone 8 Plus นอกจากนี้ยังสามารถทำ Animoji ที่มีให้เลือก 12 แบบ ที่ขยับได้โดยจับสังเกตจากใบหน้าเรา แถมยังอัดเสียงได้ด้วย เบื้องต้นส่งผ่าน iMessage ได้เท่านั้น แต่อนาคตอาจจะส่งบนโปรแกรมแชทอื่นๆ ได้ ส่วนกล้องหน้า iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังคงเป็นกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซลเท่าเดิม
8. หน้าจอ Super Retina HD แสดงผลได้ดีขึ้น คมชัดที่สุดเท่าที่เคยมีใน iPhone
จอ OLED ขนาด 5.8 นิ้วบน iPhone X ถูกพัฒนามาเป็น Super Retina HD Display แบบใหม่ สามารถลบข้อด้อยของ OLED แบบเดิม ๆ ไปได้หมด มีขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล 458ppi คอนทราสสูงถึง 1,000,000:1 กินพื้นที่หน้าจอของ iPhone X ทั้งหมด นอกจากนี้ยังรองรับมาตรฐาน HDR , HDR10 และ Dolby Vision ทำให้การแสดงผลบนหน้าจอนั้นทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนหน้าจอของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็มีขนาดเท่าเดิมคือ 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้วตามลำดับ แต่มีการเพิ่มเรื่อง True Tone Display เข้ามา และมีขอบเขตสีที่กว้างกว่าเดิม
9. ระบบปลดล็อก Face ID และ Touch ID
Face ID เป็นระบบปลดล็อคเครื่องแบบใหม่เฉพาะใน iPhone X ใช้วิธีการจดจำใบหน้าของผู้ใช้ ไม่ว่าจะใส่แว่นตา เปลี่ยนทรงผม หรือหนวดขึ้นเต็มหน้า Face ID ก็สามารถจำผู้ใช้ได้ โดยที่ข้อมูลหน้าผู้ใช้จะถูกเก็บไว้บนเครื่อง และประมวลผลบนเครื่องเท่านั้น ไม่ส่งเข้าเซิร์ฟเวอร์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานกับ Apple Pay และแอพที่รองรับได้เหมือนกับ Touch ID ส่วนระบบการปลดล็อกของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ยังคงเป็น Touch ID เหมือนกับตอน iPhone 7
10. ระบบชาร์จไร้สาย
iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X รองรับการชาร์จไร้สายหรือ Wireless Charging ตามมาตรฐานของ Qi สามารถชาร์จผ่านแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi ได้เลย (หมายความว่าใช้ที่ชาร์จไร้สายของชาวบ้านเค้าก็ได้) และ Apple เองก็ได้ออกที่ชาร์จไร้สายแบบใหม่ที่เรียกว่า AirPower มาพร้อมกันอีกด้วย สามารถชาร์จ iPhone, Apple Watch และ AirPods ได้พร้อมกันถึง 3 เครื่อง
กำหนดการวางจำหน่ายของ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้อยู่ในประเทศกลุ่มที่ 1 และมีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่ในกลุ่มที่ 3 เหมือนเคย ฉะนั้น iPhone 8 และ iPhone 8 Plus จะมีกำหนดวางจำหน่ายก่อนในช่วงประมาณปลายเดือนตุลาคม – ต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 ส่วน iPhone X ที่ต่างประเทศเองมีกำหนดการวางจำหน่ายวันที่ 3 เดือนพฤศจิกายน ทำให้มีโอกาสที่จะเข้าประเทศไทยในช่วงสิ้นปีนี้หรือไม่ก็อาจจะเลทไปถึงต้นปีหน้าเลยทีเดียว
ปิดท้ายด้วยวีดีโอแนะนำ iPhone X และ iPhone 8 น่าจะทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น !!!